ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #25 : เงาแห่งราตรีกาล

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 50


     
          " เวสๆ"  เสียงเรียกพร้อมฝีเท้าวิ่งตึกตักๆมาตามทางเดินพลางหลบหลีกผู้คนที่เพิ่งจะทยอยกันออกมาจากตึกเรียน  เจ้าของเสียงแย้มรอยยิ้มร่าพลางชูตำราเล่มหนาที่เพิ่งค้นเจอสดๆร้อนๆจากหอสมุดให้เพื่อนได้เห็นก่อนมาถึงตัว  ชายหนุ่มผมแดงเห็นดังนั้นจึงหันไปออกปากเร่งบรรดาเพื่อนๆทั้งหลายที่เดินเอื่อยๆเกาะกลุ่มกันอยู่ให้เร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย

                   
          แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังคงโบกไม้โบกมือเรียกเพื่อนต่อไปไม่ยอมหยุด  และด้วยอารามอยากให้ทุกคนได้เห็นสิ่งที่ตนเพิ่งจะได้มาเร็วๆนี้จึงยกตำราเล่มที่ว่าขึ้นเหนือศีรษะแล้วโบกซ้ายโบกขวาอย่างแรง

                   
          "เฮ้ย"

                   
          เจ้าตัวอุทานเบาๆเมื่อจู่หนังสือเล่มหนาก็หลุดลอยออกไปจากมือแล้วตีโค้งเป็นการเคลื่อนที่แบบครึ่งวงกลมก่อนจะตกปุ๊ลงใส่หัวแดงๆของเวสเข้าเต็มเปา

                   
          "น็อคเอาท์" 

                   
          มิคาเอลนึกในใจ
     "ไม่เคยแม่นขนาดนี้เลยนะเนี่ย"  ก่อนจะรู้สึกตัวเมื่อเหลือบเห็นสภาพอีกฝ่าย  " ..........  เวส...........เป็นยังไงบ้าง"   ชายหนุ่มตะโกนออกมาแล้วรีบวิ่งตรงเข้าไปหาเพื่อนที่ยังนั่งกุมหัวป้อยๆพลางขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ โดยมีบรรดาเพื่อนๆที่เมื่อครู่วิ่งหลบหนังสือกันให้อลหม่านล้อมรอบ

                   
          "ไม่เป็นร๊าย ไม่เป็นไร"  คนเพิ่งถูกหนังสือน็อคเข้าบอกทั้งๆที่สองมือยังกุมหัวอยู่  ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนด้วยอาการติดจะเซนิดๆ เนื่องมาจากบรรดาดาวเคราะห์น้อยใหญ่ยังหมุนเวียนกันโคจรรอบศีรษะอย่างไม่ขาดสาย ที่นับได้ก็เกือบๆ 10 ดวง  เจ้าตัวสะบัดหัวแรงๆสองสามทีเป็นการไล่ความมึนงงจนผมหางม้าสีแดงสะบัดไปมาทำเอามาร์คัสนึกหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุจึงจับดึงๆเล่นอย่างมันมือ

                   
          "โอ๊ย"

                   
           
    ผู้ถูกกระทำร้องก่อนหันกลับไปปัดมือชายหนุ่มออกแล้วทำท่าน่าสงสารจนอดประเคนมะเหงกเข้าให้อีกครั้งไม่ได้   และก่อนที่จะเกิดสงครามขนาดย่อมขึ้น  หนังสือดังกล่าวก็ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ด้วยการเข้าขวางกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย 
    "มัวแต่เล่นเหมือนเด็กๆแล้ววันนี้จะได้เรื่องอะไรไหม"   

                   
          "จ้าๆ เจ้าเอาเวสไปเลยละกัน  เดี๋ยวพวกเราจะล่วงหน้าไปโรงอาหารก่อน  ได้ข่าวว่าวันนี้มีบาร์บีคิวสูตรพิเศษด้วย ไม่รีบไม่ได้แล้ว"  คนทั้งกลุ่มทำตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อได้ฟังรายการอาหารชวนน้ำลายสอ "อย่างนั้นก็รีบๆตามมาล่ะ ช้าหมดอดนะจะบอกให้"   เสียงทิ้งท้ายก่อนทั้งหมดจะหายลับไปในทางเดิน

                   
           
    "เจ้าได้อะไรมา"  ชายหนุ่มเอ่ยถามพลางพลิกๆหนังสือตามหน้าที่อีกฝ่ายคั่นเอาไว้  "ข้ออ้างอิงจากการทดลองของรุ่นพี่หลายรุ่นที่ผ่านมาน่ะ  อีกอย่าง.........ข้าว่าพวกเราเดินมาถูกทางแล้ว"  ประกายความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมฉายชัดในดวงตาสีน้ำเงินอมเขียว  คนเป็นเพื่อนพยักหน้าพลางขยายยิ้มกว้างให้ 

               
          "เหลือแค่การผสมเปลือกสนเพลิงเข้าไปก็จะรู้ผลแล้วล่ะ"  มิคาเอลเอ่ยช้าๆ  

               
          "5hkงั้นเราก็รีบไปกินข้าวเย็นกันเถอะ  เดี๋ยวเจ้าพวกนั้นจะเขมือบเกลี้ยงไปเสียก่อน" 


    ***************

                   
          "วัตถุดิบพวกนั้นที่ข้าเขียนรายการให้เป็นยังไงบ้าง"  เวสถามขณะที่ทั้งสองเดินทอดน่องท่ามกลางสวนสาธารณะข้างวิทยาลัยอย่างสบายๆ "ขาดแค่เปลือกสนเพลิงเดียวน่ะ  ดันเป็นของหายากราคาก็แพงด้วย แถมยังเป็นส่วนประกอบหลักอีกต่างหาก"  อีกฝ่ายตอบก่อนจะบ่นต่ออย่างอดไม่ได้  "งบก็เอาไปลงกับอย่างอื่นหมดแล้ว  รู้งี้ไอ้พวกนั้นซื้อแบบเกรดกลางๆซะก็ดีหรอก" 

                 
          "ขอข้าดูหน่อย"  ชายหนุ่มรับเศษซึ่งเขียนด้วยลายมือหวัดๆเป็นรายการของยาวเฟื้อยมาดูบ้าง  "อย่างงั้นเปลี่ยนเป็นน้ำตาวาลาแทนแล้วกัน"  เขาเอ่ยขึ้นก่อนหยิบปากกาขึ้นมาขีดฆ่าแล้วใส่ชื่อวัตถุดิบอันใหม่แทนที่ลงไป

                 
          "คุณสมบัติคล้ายกันแทบจะทุกอย่าง ข้าว่าพอแทนกันได้"  ชายหนุ่มขยายความหลังไล่สายตาตรวจทานความเรียบร้อยอีกรอบหนึ่งแล้วส่งคืนให้กับเพื่อน  "มันจะไม่มีปัญหาแน่นะ"  มิคาเอลถามด้วยไม่ค่อยแน่ใจกับสรรพคุณของวัตถุดิบตัวใหม่เท่าใดนัก  "เท่าที่ข้าค้นจากหนังสืออ้างอิงมานี่ไม่มีแน่นอน"  เวสยืนยันกับเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง 

                 
          "เออ แล้วเจ้าส่งเอกสารทั้งหมดไปศูนย์ใหญ่ที่แพนโทเนียหรือยัง"   คนผมแดงถามต่อ  "มือชั้นนี้แล้ว ต้องเรียบร้อยสิ"   อีกฝ่ายทำท่ายืดอกเต็มที่ก่อนพูดต่อ  "พวกมาร์คัสก็ตอบรับทุนด้วยล่ะ เห็นเก็บข้าวเก็บของกันอย่างกับจะย้ายบ้าน"  เสียงเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างติดจะขันๆกับท่าทางของเพื่อนทั้งหลาย   "ท่าทางเจ้าพวกนั้นก็ไปได้สวยเหมือนกัน" 

                 
          แสงอาทิตย์ทอลอดหมู่เมฆแลดูอ่อนจาง  ขณะที่เงาหม่นมัวสีอมเทานั้นทอดยาวออกไปเบื้องหลัง  เงาของไม้ใหญ่พาดผ่านสนามหญ้าสีเขียวสดซึ่งแต่งแต้มด้วยดอกไม้น้อยๆใกล้หุบกลีบ  เสียงพูดคุยกันของสองคนที่เดินเคียงกันบนทางเดินอย่างไม่รีบร้อน

                 
          "ดูเหมือนว่าไปคราวนี้จะติดธุระยาวเลย ยังไงเจ้าก็ทำการทดลองไปก่อนเลยก็แล้วกัน"  เวสบอกกึ่งจะสั่งความกับเพื่อนสนิทแล้วกล่าวสืบไป  "ข้าจะรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุด"  คนเป็นเพื่อนหันมองอย่างห่วงใย   "จะยังไงก็คิดถึงตัวเองเสียบ้างนะ" ชายหนุ่มตบไหล่เพื่อนเบาๆแล้วเปลี่ยนเรื่องไปสั่งของฝากแทน  

              
          "อย่าลืมของฝากข้านะ  รู้สึกว่าแถวบ้านเจ้านี่พวกขนมแนวๆที่ทำจากผลไม้แห้งจะขึ้นชื่อใช่ไหม?"   มิคาเอลเริ่มไล่รายการของดีขึ้นชื่อของบ้านเกิดเพื่อน  "ได้ๆ คราวนี้ข้าจะเหมามาฝังกลบเจ้าให้มิดเลย"  เสียงหัวเราะเบาๆผสมไปกับอากาศของยามเย็น

                 
          "ได้เวลาแล้ว ข้าไปก่อนนะ"   เวสบอกเมื่อได้ยินเสียงปุ๊งข้างๆตัวพร้อมสัตว์เสกสีออกน้ำตาลถลาผ่านช่องว่างของอากาศมาเกาะอยู่บนบ่า  "อื้อ" อีกฝ่ายรับคำเบาๆแล้วยิ้มให้

                 
          "ถ้าอย่างนั้นขอให้โชคดี  และ................ ลาก่อน"


    **********************

                 
          รถเทียมด้วยออบซิเดียนสีดำสนิทหยุดลงตรงหน้าอาคารสูงสร้างด้วยอิฐสีขาวออกน้ำตาลซึ่งถูกแสงอาทิตย์ในยามเย็นย่ำย้อมให้กลับเป็นสีชมพูอย่างงดงาม

                
           
    ประตูรถเปิดออกแล้วเวสกระโดดลงมาพร้อมหอบหิ้วสัมภาระอันประกอบด้วยเสบียงตามคำสั่งของเพื่อนสนิท  ชายหนุ่มจัดแจงบิดตัวคลายความเมื่อยขบตามร่างกายอันเกิดจากการเดินทางไกล  ผมหางม้ายาวเลยบ่าหลุดลุ่ยเล็กน้อยจากการงีบหลับในรถโดยที่เจ้าของไม่สนใจจะรวบผูกเสียใหม่  นัยน์ตาสีเทาเข้มเหลือบมองตัวอาคารกลางเก่ากลางใหม่ของสถาบันวิจัยนั้นอีกครั้ง  เวสกระชับเสื้อคลุมให้เข้าที่เข้าทางแล้วหอบหิ้วข้าวของเดินตรงเข้าไป

                 
         
    เขาฝากของทั้งหมดแล้วแสดงบัตรสีอมทองกับเจ้าหน้าที่ด้านหน้าก่อนจะเดินลึกผ่านส่วนสำนักงานเข้าไปด้านในตามทางซึ่งทอดยาวหักเลี้ยวคดเคี้ยวที่จะนำพาไปสู่ส่วนของห้องทดลอง  แสงไฟสลัวจากเพดานส่องให้เห็นห้องทดลองต่างๆมากมายเรียงรายกันอยู่ทั้งสองข้าง

                 
          ทั้งๆที่เย็นมากแล้วแต่หลายต่อหลายห้องก็ยังมีคนเดินเข้าเดินออกกันให้วุ่นวาย  ชายหนุ่มแกว่งหนังสือเล่มหนาที่หยิบติดมือมาพร้อมฮัมเพลงเบาๆพลางก้าวอย่างไม่เร่งรีบนัก จนกระทั่งมาหยุดยังห้องซึ่งตั้งอยู่ริมสุดของทางเดินติดกับบานหน้าต่างใหญ่

                 
          เขาหยุดดูเลขตรงป้ายไม้หน้าห้องกับบัตรของตนเองแล้วมองผ่านช่องประตูใสเข้าไปด้านใน  เงาร่างของใครบางคนกำลังยุ่งอยู่กับหลอดทดลองจำนวนมากมายเบื้องหน้า 

                 
         
    บรรดาของเหลวใสหลากสีทอประกายกับแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดม่านบังตาเข้ามา  ในภาชนะทรงกลมคือละอองไอของเวทที่พวกเขาเฝ้าทดลองกันมานานจนคุ้นตา  ดูท่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีจนเหลือเพียงขั้นตอนการผสมสารตัวสุดท้ายลงไปเท่านั้น

                 
          แสงจากไอเวทส่องเริงแรงผสมผสานกับสีอมส้มอมชมพูของแสงอาทิตย์ยามอัสดงอาบร่างผู้ทดลองให้ดูเรืองรองงดงามอย่างน่าประหลาด  ยิ่งบวกกับของเหลวสีแดงฉานที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งแล้วทำให้ชายหนุ่มคล้ายกำลังยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงอันร้อนแรงแห่งโลกันต์

                 
          ทันทีที่ของเหลวสีแดงรินลงไปสัมผัสกับไอเวทก็เกิดประกายไฟสว่างวาบขึ้นในขวด  วินาทีต่อมามันระเบิดออกอย่างรุนแรงจนคนที่ยืนอยู่ตรงประตูด้านนอกถึงกับกระเด็นไปปะทะกับฝาผนังอีกด้าน  ทั้งฝุ่นควันและเศษอิฐจากห้องทอลองทั้งหลายกระเด็นกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ  ฝ่ายเวสเมื่อยันตัวลุกขึ้นได้ก็รีบสร้างเกราะป้องกันตัวเอง แล้วพยายามส่งเวทปกป้องเข้าไปขวางการระเบิดและคุ้มครองคนที่ติดอยู่ด้านในเอาไว้

                 
          แต่คล้ายกับว่ายิ่งส่งพลังเข้าไปมากเท่าใดก็ถูกดูดกลืนไปจนหมดสิ้น เสียงปะทุของไอเวทยังคงดังออกมาต่อเนื่องไม่ขาดระยะพร้อมเปลวไฟสีส้มลามเลียห้องอย่างรวดเร็วราวกับสัตว์ที่หิวโหยกำลังกลืนกินเหยื่อ  พลังอันรุนแรงแผ่รัศมีออกมาจนเกราะเวทปริร้าวแล้วแตกออก ร่างของชายหนุ่มทรุดลงพิงผนังแตกร้าวด้านหลัง

                 
          "จงปกป้อง  ร่างกาย ชีวิต วิญญาณ"  ริมฝีปากที่แดงไปด้วยเลือดยังคงขยับรายเวทอย่างไม่ขาดระยะ  "ด้วยพลังทั้งหมดของข้า........."   กระแสเสียงอ่อนเบาท่ามกลางสัญญาณเตือนภัยที่กรีดก้องไปในทุกอณูของอากาศ  ขณะที่เปลวไฟเผาผลาญเข้ามาจนใกล้ตัวเต็มที 

                 
          ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับหนี  ผิวหนังสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่แทรกซึมผ่านเสื้อผ้าหนาเข้ามา  ดวงตาทั้งคู่เริ่มพร่ามัวด้วยความร้อนและกลุ่มควันซึ่งอัดแน่นกันอยู่ทั่วบริเวณ 
    "แค่ก" เขาไอเบาๆหลังจากสูดเอาควันเข้าไปในปอด  ท่ามกลางความพร่าเลือนนั้น ...................รู้สึกเหมือนว่าเวลานาทีจะทอดยาวออกไปชั่วกัปกัลป์ 

                 
          ฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งมากมายมาหยุดอยู่ข้างกาย ได้ยินเสียงคนพึมพำบางอย่างอยู่ข้างหูก่อนจะถูกพยุงให้ออกมาพ้นจากบริเวณนั้น 
    "เจ้ายังพอเดินไหวไหม?"  ใครบางคนกระซิบถาม  ชายหนุ่มฝืนใจพยักหน้ารับเบาๆ ครั้นเหลือบสายตาไปมองยังซากหักพังก็เห็นผู้ใช้เวทหลายสิบคนกำลังพยายามระบายควันและกั้นไม่ให้เพลิงลุกลามไปยังส่วนห้องทดลองอื่นๆ  นัยน์ตาสีเทาที่สะท้อนภาพเปลวไฟสีส้มแดงมีแววเจ็บร้าวรุนแรงก่อนจะปิดลงช้าๆคล้ายไม่อยากจะมองภาพตรงหน้า...........อีกต่อไป


    ***************

              
           ทันทีที่ลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่ในห้องโล่ง  อันประกอบด้วยเพดานสีขาวแปลกตา  ด้านขวาเป็นหน้าต่างซึ่งมีม่านบางเบากางกั้นแสงแดดที่แผดกล้าของยามสาย

                 
          เขาเสยผมยาวซึ่งถูกปล่อยลงมาให้พ้นหน้าพลางมองหายางรัดผมบนโต๊ะข้างเตียง  สายตาพลันไปสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนาที่มีรอยไหม้ไฟเล็กน้อย  ความทรงจำทั้งหมดย้อนกลับเข้ามาในหัวเหมือนกับมีใครมาเล่นวีดีโอกลับให้ดูซ้ำสอง 

                 
          กลิ่นควัน......รสชาติของเลือด......ความร้อน

                 
          มือที่รวบกำผมอยู่ทิ้งให้ตกลงกับเตียง  ใบหน้าก้มต่ำซ่อนแววหวาดหวั่น 

                 
          "พระผู้สร้าง......ได้โปรดเถิด  ขอให้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นแค่ความฝันที"    

                 
           
    "ปัง"

                 
          ผู้ที่ประแทกประตูเข้ามาอย่างแรงนั้นเป็นโชวี่และเมอร์สที่มีสีหน้าติดจะตื่นตกใจ  
    "เวส"  ทั้งคู่เรียกชื่อเขาแทบจะพร้อมๆกัน  ชายหนุ่มหันหน้าไปมองตามทิศทางนั้น  "โชวี่......เมอร์ส"  ริมฝีปากแห้งฝากหลุดชื่อของคนทั้งสองที่ยังยืนอยู่หน้าห้องออกมาเบาๆ  นัยน์ตาสีเทาเข้มมีแววคล้ายจะถามไถ่ให้ทั้งสองช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่ความฝันของเขา      

                 
          ครั้นเห็นคนทั้งคู่นิ่งเงียบแล้วเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆเตียงแทน  ชายหนุ่มจึงได้สังเกตว่าเพื่อนของตนอยู่ในเครื่องแบบผู้ใช้เวทติดปลอกแขนสีดำสนิท........เครื่องหมายแทนการไว้ทุกข์แด่ผู้จากไป

                 
           ดวงตานั้นค่อยเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าและเลื่อนลอย  ทว่าก็แฝงไว้ด้วยแววเศร้าจนน่าใจหาย  ไม่ว่าเพื่อนทั้งสองจะเอ่ยอะไรบ้างชายหนุ่มก็คล้ายจะไม่ได้ยินได้ฟัง   ทั้งอาหารและถ้วยยาขมปร่าถูกยกขึ้นจ่อจนชิดริมฝีปากแต่เจ้าตัวกลับนิ่งเฉยไม่ตอบสนองจนคนเป็นเพื่อนหมดปัญญาไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี  จึงจำใจต้องลุกออกไปในที่สุด ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งนิ่งแต่เพียงลำพังในห้องนั้น


    *****************

              
         
    เวสนิ่งงันคล้ายรูปปั้น ไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ ไม่ใส่ใจกับความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งรอบกาย แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนทั้งหลายแวะเวียนผลัดเปลี่ยนมาอยู่ด้วยไม่ได้ขาดนั้นเป็นห่วงเขามากแค่ไหน 

                 
        "แต่ว่า......... ขอโทษนะ พวกเจ้าต้องมาลำบากเพราะข้าอีกแล้ว"

                 
          แววรับรู้ฉายวูบขึ้นเพียงเสี้ยวนาทีก่อนที่ดวงตาสีเทาว่างเปล่านั้นตัดสินใจจะปิดลงด้วยเจ้าของไม่อยากรับรู้สิ่งใดอีกต่อไปแล้ว  ขอเพียงหลีกลี้จากโลกแห่งความเป็นจริงที่เจ็บปวดนี้ไปได้ ต่อให้ต้องหลับไปโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกก็ยินดี

                 
          "เมอร์ส"   มาร์คัสและดีอัสที่เพิ่งกลับจากจัดการธุระทั้งหลายจนเสร็จตรงเข้ามาพร้อมๆกัน  "คงจะหลับแล้วล่ะ"  คนที่เฝ้าอยู่ก่อนบอกเบาๆเมื่อเห็นว่าแผ่นอกของชายหนุ่มขยับเป็นจังหวะสม่ำเสมอ 

                 
           
    "เป็นยังไงบ้าง"   ดีอัสถามพร้อมดวงตาสีเขียวมรกตกวาดมองสภาพของคนบนเตียง  "ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนหรอก แค่มีแผลถลอกนิดหน่อยเท่านั้นเอง"  คำบอกเล่าทำเอาชายหนุ่มทั้งสองเลิกคิ้วอย่างแปลกใจปนไม่เชื่อ   "เมื่อครู่ข้าเพิ่งแวะเข้าไปที่ศูนย์วิจัย"   คนพูดเว้นวรรคให้เสียงที่สั่นเล็กน้อยกลับมาเป็นปกติตามเดิมแล้วเอ่ยต่อแต่กระนั้นกลับสั่นเครือกว่าเดิมจนแทบจะจำคำพูดไม่ได้

                 
          "ห้องทดลองบริเวณนั้น........กับข้าวของ.......แทบจะไม่เหลืออะไรให้เก็บ  ทุกอย่าง...............ไหม้.......เป็นตอตะโกหมด  กระทั่ง.............."

                 
           
    เจ้าของเสียงไม่อาจแข็งใจให้พูดต่อได้จึงเงียบไป ขณะที่ประตูห้องถูกผลักให้เปิดขึ้นเบาๆพร้อมร่างของคาร์ลที่เพิ่งกลับจากการเดินทางไกลด้วยมังกรกับนายแพทย์ใหญ่ประจำสถานพยาบาลเดินเข้ามาสมทบ

                 
          "เวสไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ"   ดีอัสหันไปถามชายสูงวัยซ้ำสอง  คนฟังมีท่าทีเข้าใจแล้วเอ่ยช้าๆเหมือนจะช่วยปลอบ  "มีพลังบางอย่างคุ้มครองเขาไว้ในวินาทีที่เกิดระเบิดขึ้นทำให้รอดมาได้โดยไม่บาดเจ็บเลย  คิดว่าเด็กอีกคนในห้องคง.........."

                 
          ร่างบนเตียงปรากฏน้ำตาหยดหนึ่งไหลรินลงมาจากดวงตาคู่ที่ปิดสนิท  ขณะที่คนเป็นเพื่อนคลี่ยิ้มขื่นๆ 
    "เจ้าหมอนั่น................" เสียงพูดเพียงเท่านี้แล้วปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมอากาศรอบตัวพร้อมกับสายลมอ่อนพัดพาเอากลิ่นหอมเบาของดอกไม้ตรงแปลงปลูกข้างหน้าต่างเข้ามาให้ม่านสีขาวตีลมพึบพับราวจะปลอบประโลม  ทว่า.........กลับส่งไปไม่ถึงหัวใจของใครเลย

                 
          เป็นเพราะเขา.......... 

                 
           
    กระนั้น......แม้ในความมืดดำเช่นนี้ก็ไม่อาจลบเลือนภาพออกไปจากสมองได้  เงาร่างที่ยืนอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพสีอมส้อมอมแดงของวันวาน  ชีวิต........ที่ไม่อาจเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้  นั่นเพราะข้าอ่อนแอใช่ไหม 

                 
          ถึงต้องให้เจ้าคอยช่วยเหลืออยู่ร่ำไป  เพราะอย่างนี้ถึงได้...............

                 
          เกลียดตัวเองเหลือเกิน  เกลียด
    ……….

              
         ……………….


    **************

              
          ท่ามกลางยามราตรีที่พร่างพราวไปด้วยแสงดาว  สายลมอ่อนละมุนพัดผ่านมาลูบไล้ผิวของต้นหญ้าซึ่งแข่งกันชูยอดเรียวโบกสะบัดสู่ฟ้าสูง  ร่างเงาสีดำในชุดคลุมคุ้นตายืนนิ่งทอดสายตาออกไปตามทะเลยอดหญ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา   ริมฝีปากของชายหนุ่มขยับเรียกขานชื่อนั้นก่อนที่เจ้าของจะทันรู้ตัว

                 
          "มิคาเอล"

                 
          ใครคนนั้นผินหน้ากลับมามองเขา  ฉับพลันรอบกายก็เปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงที่ลุกท่วมเศษซากของบรรดาห้องทดลอง  เวสรู้สึกคล้ายเวลารอบกายได้ย้อนคืนไปเมื่อวันที่เกิดเรื่องร้ายนี้  ชั่ววินาทีนัยน์ตาสีน้ำเงินเหลือบเขียวฉายแววเศร้าสร้อยขณะเหลือบมองเขา  ก่อนลับร่างไปท่ามกลางกองเพลิงอันโชติช่วงนั้น

                 
         "เวส"

                 
          เสียงเรียกชื่อดังขึ้นจากด้านซ้ายมือ  ครั้นชายหนุ่มหันไปก็พบว่าเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าละม้ายเขาในชุดไหมคอตั้งสีเข้ม  ทว่ากลับมีเลือดสีสดหยดย้อยมาจากมุมปากไม่ขาดสาย  ด้านขวามือของคนผู้นั้นคือสตรีผมยาวในชุดหรูที่ขาดวิ่นและเกรอะกรังไปด้วยเลือดสีดำเข้ม  หากดวงตาของคนทั้งคู่กลับแฝงแววห่วงหานัก

                 
           "ท่าน......"

                 
           
    สองร่างนั้นเคลื่อนเข้ามาจนใกล้............และภาพทั้งหมดก็ดับวูบไปเหลือเพียงความสงัดงันท่ามกลางความมืดดังเดิม

                   
          ร่างสูงของชายหนุ่มผวาลุกขึ้นนั่ง  บนดวงหน้าพราวไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบมือข้างหนึ่งสะบัดไปปัดเอาวัตถุบางอย่างบนโต๊ะข้างเตียงให้ตกโครมลงไปในความมืดของพื้น  เวสพยุงร่างอ่อนแรงของตนให้ลุกขึ้นหมายจะเก็บสิ่งนั้นแต่ทันทีที่เท้าแตะพื้นร่างกลับเซถลาจนล้มลงไปกองอยู่ข้างเตียง

                 
          ลูกไฟเวทดวงน้อยกระพริบแสงริบหรี่บ่งบอกถึงสภาพของผู้ใช้พลังเป็นอย่างดี  ชายหนุ่มฝืนใจขยับร่างไปตามพื้นขณะที่สองมือคลำเปะปะไปจนพบว่าสิ่งที่ตนปัดตกลงมานั้นคือหนังสือเล่มหนาซึ่งถือติดมือมาเพื่อจะอ่านในวันเกิดเหตุนั่นเอง

                 
          หน้ากระดาษออกสีเหลือปนน้ำตาลด้วยเก่าเก็บเปิดแผ่หราอยู่บนพื้น  กว่าครึ่งถูกเขียนด้วยหมึกสีออกน้ำเงินเข้มคล้ายต้องการเน้นย้ำว่าเป็นข้อความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

                 
          หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวแรงด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นขณะไล่สายตาเพ่งมองไปตามบรรทัดตัวอักษรซึ่งเขียนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ  จนสองสามบรรทัดสุดท้ายของหน้านั้นน้ำหมึกกลับจืดจางเสียจนต้องเพ่งสายตามากกว่าเดิมเพื่ออ่านให้ออก

                 
          "น้ำตาวาลาแม้จะมีคุณสมบัติสามารถแทนเปลือกสนเพลิงได้ แต่ควรระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษ  โดยเฉพาะในการทดลองเกี่ยวกับเวทที่ถูกนำมาแปรสภาพเป็นละออง  เนื่องจากสามารถทำปฏิกิริยาจนกลายเป็นระเบิดซึ่งมีอานุภาพการทำลายล้างรุนแรงโดยมีรัศมี 20 เมตร"             

                 
          แปะ

                 
          หยดน้ำตกลงบนหน้ากระดาษเป็นด่างดวง  ชายหนุ่มกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดซึมออกมา  สองมือจิกกำชายเสื้อแน่นจนแทบจะฉีกขาด  ก้อนเนื้อที่ขยับอยู่ในอกปวดแปลบราวกับถูกของมีคมกรีดลึกซ้ำที่เก่าจนเป็นแผลเปิด  ร่างบนพื้นหินอันเย็นยะเยียบกับอากาศติดจะหนาวในยามค่ำคืนนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ลูกไฟเวทค่อยจางแสงก่อนจะกระพริบเบาๆเป็นครั้งสุดท้ายแล้วดับลงพร้อมกับนัยน์ตาสีเทาของชายหนุ่ม 


    ***********************

                 
          "เวส..................."

                 
          มาร์คัสเรียกชื่อชายหนุ่มเบาๆอย่างจนใจเต็มที  หากร่างที่นอนนิ่งบนเตียงก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ.....ทั้งยาและอาหาร  เครื่องมือต่างๆห้อยระโยงระยางอยู่รอบตัว ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิทแพขนตาทาบทับบนใบหน้าซีดเซียวราวกระดาษขาว ลมหายใจก็ดูจะอ่อนล้าเต็มทนแล้ว
      

              
          วันนี้นับเป็นวันที่ 9 นับตั้งแต่เขาพบเพื่อนของตนนอนฟุบอยู่ข้างเตียงพร้อมหนังสือเล่มหนาที่เปิดอ้า  ครั้นได้กวาดสายตาดูก็พบสาเหตุ 

                 
          เพื่อนเจ็บปวดแค่ไหน..........เขารู้  แต่ไม่อาจทำอะไรให้ได้เลยสักอย่าง  กระนั้นก็ไม่อยากจะต้องเสียเพื่อนไปอีกคน  ชายหนุ่มเหม่อมองร่างแน่นิ่งด้วยหัวใจหม่นเศร้า 

                 
          "ข้าแต่พระผู้สร้าง  ได้โปรด....ช่วยเหลือเพื่อนของข้าพระองค์ด้วยเถิด" 

                 
          บรรดาเพื่อนๆทั้งหลายทำได้เพียงภาวนาในใจซ้ำไปซ้ำมาเช่นนั้น  หวังให้คำขอของพวกเขาทั้งหลายส่งไปถึงผู้ซึ่งสถิตอยู่บนสรวงสวรรค์

                 
           
    ปี๊ปๆ

                
           
    สัญญาณของอุปกรณ์ข้างเตียงดังขัดจังหวะความคิดของชายหนุ่ม  เขาเหลือบมองไปยังต้นเสียงอย่างไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไรดี  แต่ในวินาทีถัดมาประตูสีขาวก็ถูกเปิดออกพร้อมนายแพทย์เจ้าของไข้และพยาบาลถลาเข้ามาล้อมอยู่รอบเตียง  มาร์คัสจึงหันไปปลุกโชวี่ที่นั่งสัปหงกคำนับลมฟ้าอากาศให้ตื่นแล้วเลี่ยงออกไปข้างนอกด้วยกันอย่างรู้หน้าที่

                 
          
    "ทรุดลงอีกแล้ว"   ชายหนุ่มผมทองเอ่ยพลางบิดแขนเสื้อไปมาโดยไม่รู้ตัว  "จะทำยังไงดี"   แล้วเจ้าตัวก็หันมาถามเอากับเพื่อนเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าเช่นเดิม

                 
           พวกเขาทั้งหมดพักการทดลองในส่วนของตนเองไว้แล้วผลัดเวรกันมาเฝ้าไข้เวสซึ่งดูเหมือนว่าอาการอาจจะทรุดลงไปได้ในทุกวินาที  พวกที่ว่างก็มักจะไปขลุกตัวอยู่ที่มหาวิหารพาราเทียสวดภาวนากันอย่างเอาเป็นเอาตายเนื่องจากไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาอะไร หรือไม่ก็หอสมุดประจำแพนโทเทียค้นหาวิธีการรักษาจนแทบจะกินนอนกันกลางกองหนังสือนั่นเลย 

              
          "วิ้ง"

                 
          จดหมายสีขาวสะอาดประทับครั่งสีแดงของวิทยาลัยร่วงลงมาจากอากาศว่างเปล่าตรงหน้า  โชวี่ไม่เสียเวลาตกตะลึงรีบฉีกซองออกอ่านทันที

                 
           
    "มาร์คัส"  ชายหนุ่มมีทีท่าเหมือนคนหลงทางในวงกตที่เพิ่งค้นพบว่าทางออกวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้ว  "จอมปราชญ์วาริด .....มา...."  เจ้าตัวรีบร้อนจนแทบจะพูดไม่เป็นคำ  "จะมาที่นี่......."   คนฟังต้องยกมือห้ามให้โชวี่ตั้งสติเรียงลำดับเรื่องราวในหัวให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยเอ่ยออกมาอีกครั้ง

                 
          "จอมปราชญ์วาริดบอกว่าจะขึ้นมาแพนโทเนียแล้วจะเลยไปพิธีคำนับดวงวิญญาณที่โรแวงต์"   ดวงตาคนฟังสว่างวาบไปด้วยความหวัง  เนื่องเพราะจอมปราชญ์วาริดผู้นี้เป็นบุคคลที่แทบจะเรียกได้ว่าเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของเวส 

                 
          "บางที........"


    *************

              
          ชายชราผู้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเป็นนิจทรุดกายลงนั่งข้างเตียง   มือติดจะเหี่ยวย่นสัมผัสท่อนแขนเย็นเฉียบที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาแผ่วเบาพร้อมเอ่ยคำพูดเหมือนรู้ว่าคนบนเตียงต้องกำลังฟังอยู่เป็นแน่

                  
           
    "เจ้าจะเอาแต่หลบอยู่ในความมืดแล้วละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปหรือ" 

                 
          
    "ยังจำได้ไหม?  ความฝันของเจ้ากับมิคาเอลคือสิ่งใด?  หรือในความมืดมิดนั้นเจ้าได้สูญเสียมันไปจนสิ้นแล้ว" 

                 
           
    ชายชราเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วประสานมือไว้บนตักหลวมพลางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยดั่งสายธารอันชุ่มเย็นรินรดหัวใจที่อ่อนล้าดวงนั้น  โดยหวังว่าจะทำให้กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ได้อีกสักครั้งหนึ่ง               

              
          "หากการที่คนที่เรารักต้องจากไป  ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม คนที่ยังอยู่ล้วนต้องเสียใจด้วยกันทั้งนั้น  หากการจมอยู่กับความทุกข์ไม่ใช่ทางออกที่ดีหรือสิ่งที่เขาอยากให้เกิดกับเราเป็นแน่  ดังนั้นสำหรับเราที่ยังมีชีวิตอยู่ก็สมควรทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดให้คุ้มค่าที่สุด ทำ............ในสิ่งที่เขาไม่อาจทำได้อีกต่อไปแล้ว  เพื่อว่าสักวันจะได้พบกันอีกครั้งอย่างเต็มภาคภูมิ" 

                 
          ดวงตาสีเทาคล้ายชายหนุ่มหากก็ลุ่มลึกกว่าทอดมองร่างบนเตียงอีกครา 
    "แม้มิอาจแก้ไขหรือย้อนเวลากลับไป หากจงระลึกไว้ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเพียงเท่านั้น"

                 
          เสียงขาเก้าอี้ครูดพื้นเบาๆพร้อมร่างของจอมปราชญ์ลุกขึ้นแล้วเดินช้าๆออกไปจากห้องนั้น  ชายชราชะงักที่ประตูเล็กน้อย

                 
          "อีก 4 วันจะมีพิธีคำนับดวงวิญญาณของผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายที่โรแวงต์" เขาหันมาทิ้งท้ายก่อนที่บานประตูสีขาวจะถูกปิดลง


    *********************

                 
          เสียงขลุ่ยผิวหวีดหวิวไปในอากาศยามเช้าตรู่  ละอองน้ำค้างบนใบไม้สั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะหยาดหยดลงสู่พื้นดินราวกับน้ำตาของใครบางคน  กลีบดอกไม้หอมกรุ่นหลากสีสันปลิวว่อนไปทั่วบริเวณแล้วถูกสายลมหอบพาให้ลอยละล่องสู่ฟ้าสีสดใสเบื้องบนโน้น 

                 
          เพลงภาษาพื้นเมืองที่ไม่ทราบความหมายนั้นซึมซาบเข้าสู่หัวใจของทุกผู้ที่ยืนอยู่  ท่วงทำนองเนิบช้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าราวกับจะไว้อาลัยแด่ผู้จากไป  หากก็คล้ายจะปลอบประโลมและบอกให้ผู้ที่ยังอยู่นั้นดำเนินชีวิตของตนต่อไป   แม้อาจปราศจากบุคคลอันเป็นที่รักแล้ว ก็จะต้องก้าวเดินต่อไปอย่างเข้มแข็งให้ได้

                 
           
    "ข้าแต่พระผู้สร้าง........ผู้ทรงสถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์

                 
           
    "โปรดทรงเมตตารับเอาดวงวิญญาณดวงนี้สู่อาณาจักรอันเป็นนิรันดร์" 

                 
          เสียงสะอื้นเบาๆหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากของผู้ซึ่งยืนรายรอบบริเวณนั้น  ชายในชุดยาวสีขาวสะอาดเอ่ยคำด้วยเสียงไม่ดังไปกว่ากระซิบ หากก็ก้องกังวานอยู่ในหัวใจ 
    กลุ่มคนในชุดดำค่อยเดินตรงไปยังแท่นไม้เล็กด้านหน้าแล้วค่อยๆบรรจงวางกุหลาบขาวในมือของตนลงก่อนจะถอยออกมา 

              
          "เวลาสำหรับเขาบนโลกนี้ได้หมดลงแล้ว  ขอทรงนำพาเขากลับคืนสู่อ้อมพระหัตถ์ของพระองค์ด้วยเถิด" เสียงนกน้อยขับขานเพลงเศร้าคลอไปกับท่วงทำนองของสายลมและใบไม้ประดุจท่วงทำนองจากราตรีกาลอันมืดมนแห่งชีวิต 

                 
          "ขอให้ดวงวิญญาณของมิคาเอล  โรแวงต์  สงบสุขอยู่ในอาณาจักรแห่งความเป็นนิรันด์ ณ สรวงสวรรค์ด้วยเถิด"

                
          
    สิ้นคำของผู้ทำพิธีทั้งบริเวณก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด  ได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านตัวคล้ายกับจะโอบกอดปลอบโยนแทนผู้ที่จากไป   

                 
           
    ผู้คนเริ่มทยอยกันออกไปจากบริเวณนั้น  สตรีในชุดดำสนิทในผ้าคลุมหน้าร่ำไห้ออกมาเบาๆขณะเดินผ่านเขาพร้อมชายร่างสูงที่ประคองเอาไว้ด้วยเกรงว่าจะเป็นล้มพับไป  ชายหนุ่มยืนนิ่งก้มหน้ามองพื้นอย่างเงียบงัน  มือของมาร์คัสยื่นมาบีบแขนเขาเบาๆแล้วเดินเลี่ยงออกไปพร้อมกลุ่มเพื่อน   

                 
           
    นัยน์ตาสีเทาที่ติดจะแดงเล็กน้อยเหลือบขึ้นมอง แท่นไม้เล็กๆที่เต็มไปด้วยกุหลาบสีขาวสะอาด  เบื้องหลังคือสนามหญ้าสีเขียวสดทอดตัวไปจรดกับทุ่งหญ้าสูงที่โบกสะบัด  พุ่มไม้ดอกสีสดรายล้อมอยู่รอบตัวเขา  ครั้นชายหนุ่มกระพริบตาน้ำตาหยดหนึ่งก็รินลงมาพาให้ทัศนียภาพเบื้องหน้าพร่ามัว

                 
          เขาเหมือนจะเห็นว่าร่างในชุดคลุมแบบผู้ใช้เวทที่เห็นเจนตากำลังสาวเท้าออกห่างจากตัวไป 
    "มิคาเอล" นัยน์ตาสีน้ำทะเลที่ตวัดกลับมามองเขาแฝงแววเศร้าสร้อยห่วงใย หยดน้ำสีใสเอ่อคลออยู่บนขอบตา  กระนั้นมุมปากบางกลับหยักยิ้มให้ราวกับจะบอกลา  ขณะที่เสียงหนึ่งก้องไปในอากาศ

                 
          "ฝากด้วยนะ"


    *****************

                 
          "เวส"  คาร์ลเดินเข้ามาเรียกให้ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ความคิด  เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้คือวงเวทขนาดยักษ์  มีอักขระเชื่อมต่อเขียนอยู่โดยรอบ  ส่วนสัญลักษณ์ของธาตุทั้งสี่นั้นถูกเขียนให้อยู่ตามมุมต่างๆของสี่เหลี่ยมเล็กซึ่งวาดอยู่ด้านใน  ตอนนี้ผู้ใช้เวทส่วนมากถอยออกมายืนเรียงตัวกันอยู่บนเส้นวงกลมภายนอก 

                 
          มาร์คัส  โชวี่ เมอร์สและดีอัสยืนประจำตามเวทธาตุของตนตามมุมของสี่เหลี่ยมโดยเว้นที่ว่างตรงใจกลางเอาไว้  ครั้นเหลือบสายตามมามองก็พบว่าในมือของคาร์ลคือขวดแก้วทรงกลมสีใสภายในบรรจุละอองไอซึ่งเปล่งแสงเรืองเรื่อเล็กน้อยออกมาท่ามกลางความมืดของยามดึก   ชายหนุ่มรับขวดแก้วนั้นด้วยมือเย็นเฉียบแล้วค่อยๆก้าวเข้าไปยังพื้นที่ว่างตรงกลาง  มือที่กำขวดอยู่นั้นสั่นน้อยๆขณะยกขึ้นให้อยู่ในระดับอกเป็นการให้สัญญาณ 

                 
          เสียงร่ายเวทดังประสานกันราวกับกำลังขับขานท่วงทำนองท่ามกลางยามราตรีอันมืดมิดและเงียบงันนี้  ขณะที่วงเวทแทบเท้าเริ่มเปล่งแสงขึ้นทีละน้อย  มือของเวสที่ค่อยๆเลื่อนไปยังจุกไม้ตรงปากขวดหยุดชะงักชั่วครู่  ก่อนเจ้าของจะสูดลมหายใจลึกแล้วกระชากมันให้เปิดออกพร้อมแสงสีส้มสดสาดสว่างจ้าไปทั่วบริเวณจนคล้ายรถทรงของดวงตะวันอันเรืองรองได้ชะลอลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน
          
          สายลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆพาให้เสื้อคลุมสีดำปลิวสะบัด  ไดแอซซึ่งยืนอยู่ตรงโคนต้นไม้ด้านนอกวงหรี่ตาลงเล็กน้อย
       ภาพที่สะท้อนผ่านนัยน์ตาสีฟ้าหม่นคือเหล่าผู้ใช้เวทท่ามกลางแสงอันเจิดจรัสที่พวยพุ่งขึ้นสูงผ่านอากาศที่ค่อยๆเย็นลงเรื่อยๆสู่ฟ้า
         
          เมฆสีเทาหม่นยาตราทัพเข้าบดบังแสงจันทร์เสียสิ้น  เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อวัตถุนุ่มเบาและเย็นเฉียบสัมผัสแก้ม  
         
          "หิมะตก"
    -------------------------------------------------
    หวัดดีค่าทุกท่าน อัพช้าได้ใจมากเลย55+  
       เพิ่งหนีไอดินกลิ่นระเบิดแถวบ้านไปสอบค่ะ  มีใครไปสอบเหมือนกันบ้างไม๊เอ่ยยกมือหน่อยจิ  จะบอกว่าเมาคนมากๆเลยค่ะ  แถมยังอดนอนอีก  แต่โชคยังดีที่ไม่ค่อยเจอรถติดมากไม่งั้นจอดแหงๆเลยเรา  ก็สนุกดีอ่ะกับการ(โดดโรงเรียน)มาเที่ยว 555+ (ตกลงมาเพื่อสอบแน่เรอะ) เอาละค่าทีนี้ก็เหลือแค่ลุ้นผลว่าจะได้ซักกี่คะแนน  รู้สึกว่าผิดไปเยอะเลยตรงคณิต แถมความรู้รอบตัวยังมั่วอีก เฮ้อ จะรอดไม๊น่อเรา
       ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน+เม้นท์ด้วยค่า
     ปล ขออภัยอย่างสูงที่เลทนานค่ะm(_ _)m        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×