คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : ยามเมื่อหิมะละลาย
เช้านี้ดูเหมือนว่าหมู่เมฆหม่นที่ปกคลุมผืนฟ้าอยู่หลายวันพากันถอยร่นจากไปที่ไหนสักแห่ง ดวงอาทิตย์จึงถือโอกาสเยี่ยมหน้ากลมๆออกมาทักทายพวกเขา สีครามเข้มของฟ้ากระจ่างเบื้องบนมองแล้วชวนให้รู้สึกสดชื่นคล้ายจะบอกว่าฤดูหนาวอันยะเยือกเย็นนั้นใกล้จะจบลงสิ้นแล้ว
เด็กหนุ่มทอดสายตาออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่อยู่เหนือหลังคาบ้านเรือนที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะของแพนโทเนีย ควันสีเทาจางจากปล่องไฟทั้งหลายยังคงพวยพุ่งขึ้นมาเรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย แลไปคล้ายม่านอันสลับซับซ้อนชวนให้ค้นหาว่ามีสิ่งใดแอบซ่อนอยู่เบื้อง
"ไดแอซ"
เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มผละจากการชมทัศนียภาพภายนอกกลับเข้ามาในตัวอาคารของสภากลางอันเป็นที่ประชุมในวันนี้ ไดแอซจัดแจงปัดๆเสื้อคลุมสีดำให้เข้าที่เข้าทางแล้วเดินเข้ามาประจำที่รวมตัวกับพวกเวสซึ่งกำลังสนทนากับผู้ใช้เวทกลุ่มอื่นๆอย่างออกรส
ครั้นกวาดตามองไปพบว่าหลายต่อหลายกลุ่มกำลังนั่งหน้าดำคร่ำเคร่งกับบันทึกตำราทั้งหลายแหล่ เด็กหนุ่มเอียงคอเล็กน้อย "ตกลงเรื่องหนูจิ๋ววันนั้นกับกับพลังของเขากลายเป็นเรื่องใหญ่บานตะเกียงขนาดนี้เลยเหรอ" เจ้าตัวนึกโดยไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าเขากำลังยืนขวางทางเดินอยู่เต็มๆจนได้ยินเสียงคุ้นๆทักมาจากด้านหลัง
"เอ้า หลบไปหน่อยสิไดแอซ" เมื่อหันกลับไปมองพบว่าเป็นมอเดรสในเครื่องแบบเต็มยศของคณาจารย์นั่นเอง "เห วันนี้พวกท่านก็เข้าประชุมด้วยเหรอ" เขาเอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อเหลือบสายตาไปเห็นอีกหลายคนคนในชุดคล้ายๆกับมอเดรสเดินเข้ามานั่งตรงแถวหน้าสุด ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเดินผ่านเขาเข้าไปหามาร์คัส
ชายทั้งสองสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มอเดรสจะหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาจากในเสื้อคลุม ซึ่งไดแอซก็พยายามเพ่งมองอย่างสุดความสามารถว่าชายหนุ่มส่งสิ่งใดให้มาร์คัส แต่ด้วยระยะที่ไม่ใคร่จะใกล้นักและสิ่งนั้นดูจะทั้งเล็กทั้งบางจึงทำให้ไม่อาจชี้ชัดว่าคืออะไรกันแน่
และเด็กหนุ่มเองไม่มีเวลาจะได้สนใจอะไรมากกว่านั้น เมื่อแรนดัลเดินเข้ามาประจำที่บนยกพื้นสูงด้านหน้าอันเป็นสัญญาณว่าการประชุมกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว มอเดรสที่เหมือนจะพูดคุยกับมาร์คัสไม่จบนั้นรีบผละออกมาแล้วตรงรี่กลับลงมายังที่ของตนบริเวณแถวหน้า สภาพวุ่นวายอึกทึกเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบสงบจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินไปเดินมาจากนอกห้อง
แรนดัลเริ่มต้นกล่าวแนะนำสภาพคณาจารย์ที่เข้ามาร่วมประชุมด้วยในคราวนี้ ต่อด้วยการรายงานสรุปจากครั้งก่อน
"ใครมีข้อเสนออะไรอีกหรือไม่"
เวสกับโชวี่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเขาหันไปซุบซิบพลพรรคทั้งหลายก่อนที่มาร์คัสจะยกมือแล้วยืนขึ้น "มีสิ่งใดจงว่ามา" แรนดัลเอ่ยถาม ชายหนุ่มผู้พูดสูดหายใจลึกก่อนเอ่ยขึ้น "เรื่องที่เกี่ยวข้องกับดอกไม้สีเลือดทั้งหมดนั้น จะขอให้อยู่ในความรับผิดชอบของกลุ่มข้า มาร์คัส รีล เรย์มองต์ ได้หรือไม่?" เสียงของเขาสะท้อนก้องไปให้ได้ยินชัดทั่วถึงกันด้วยอำนาจเวท สิ้นคำห้องประชุมที่เคยเงียบสงัดเมื่อครู่ก็เต็มไปด้วยเสียงฮือฮาของเหล่าผู้ใช้เวททั้งหลาย จนแรนดัลลุกขึ้นยืนนั่นล่ะถึงได้เงียบลง
ชายวัยกลางคนกวาดตามองไปโดยทั่วก่อนส่งเสียงพูดขึ้น "มีผู้ใดมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?" มือของใครคนหนึ่งยกชูขึ้นเรียกความสนใจจากคนทั้งหลายให้หันมองเป็นตาเดียวกัน เขาพยักหน้าเป็นน็นเชิงอนุญาตให้อีกฝ่ายลุกขึ้น
"ไม่ทราบว่าจะต้องนับรวมกรณีของหนูจิ๋วเข้าไปด้วยไหม?"
"ข้าไม่เห็นว่าจะเกี่ยวข้องกับกรณีดอกไม้สีเลือด" แรนดัลตอบก่อนขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น "อีกทั้งเรื่องของหนูจิ๋วนั้นก็จัดอยู่ในหัวข้อของการประชุมวันนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประหลาดซึ่งเกิดขึ้นในแพนเทีย" เสียงอึงอลจากบรรดาผู้ใช้เวทดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ต่างพูดกันถึงเรื่องราวประหลาดที่ได้ประสบพบเจอมา
ยังไม่ทันที่แรนดัลจะทำให้ที่ประชุมกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้งเพื่อจะได้มอบหมาย กล่าวสรุปและดำเนินการในขั้นต่อไป ก็ปรากฏเสียงฝีเท้าหนักวิ่งมาตามทางเดิน ก่อนที่ประตูไม้บานหนาถูกผลักให้เปิดออกอย่างแรง
ร่างของเด็กหนุ่มในเครื่องแบบนักเรียนเตรียมทหารสายเวทสีกรมเข้มหยุดพิงประตูหอบหายใจฮักๆ จากการวิ่งระยะไกล ครั้นเห็นว่าทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เขาแต่เพียงผู้เดียวจึงยืดตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างเร่งร้อนด้วยเสียงดังพอที่จะได้ยินทั่วถึงกัน
"แย่แล้ว หิมะละลาย"
"หา?" ทุกเสียงส่งคำถามพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
"หิมะ.....ทั่วทั้งแพนโทเนีย.....ละลาย"
ปัง
"เป็นไปได้ยังไง" หัวหน้าคณาจารย์ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนเก้าอี้ล้มหงายไปด้านหลัง "จริงหรือ?" ตามด้ายคำถามจากปากแรนดัลซึ่งมีทีท่าประหลาดใจอยู่มิใช่น้อย "จริงขอรับ" เด็กหนุ่มยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ท่านกรมเมืองกับเหล่าขุนนางให้ข้ามาเชิญท่านและสภาคณาจารย์ทั้งหมดเข้าประชุมโดยด่วน"
ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับรู้แล้วโบกมือให้เด็กหนุ่มถอยออกไปรออยู่ด้านนอก "เรื่องทุกอย่างคงต้องพักไว้ก่อน ตอนนี้ขอให้ผู้ใช้เวททุกคนอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมรอรับคำสั่งจากสภาขุนนาง" กล่าวจบแรนดัลพร้อมคณาจารย์ทั้งหลายก็เดินออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงความสงัดและความสงสัยในห้องกว้าง
"นี่ๆ เจ้าได้ยินเหมือนข้ารึเปล่า" เวสหันไปสะกิดถามเอากับผู้ใช้เวทซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าของเขา คล้ายจะยืนยันในสิ่งที่ตนเพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่ "ก็นั่งฟังอยู่กับเจ้านั่นล่ะ" อีกฝ่ายหันมาตอบง่ายๆตรงๆ "เออแฮะ" ชายหนุ่มทำท่าเก้อๆแล้วเกาหัวตัวเอง
ท่ามกลางความเงียบที่แฝงไปด้วยความสับสนนั้น จู่ๆผู้ใช้เวทคนหนึ่งก็ลุกพรวดขึ้นมา "ข้าจะออกไปดูให้เห็นกับตา" เขาว่าอย่างนั้นพลางจะก้าวฉับๆออกไป "ข้าด้วยๆ" หลายเสียงเสริมก่อนจะลุกขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันจนแลเห็นเป็นคลื่นฝูงชนสีดำสนิท พวกเขาต่างกรูกันไปยังทางเดินใหญ่อันมุ่งตรงสู่ประตูด้านหน้าของอาคารแห่งนี้
ภาพที่ปรากฏต่อทุกสายตานั้นทำเอาคนส่วนมากถึงกับนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว ด้วยว่าทัศนียภาพสีขาวนุ่มที่คุ้นชินตามานานนับเดือนจนถึงเมื่อเช้านั้น บัดนี้กลับระเหยหายกลายเป็นหย่อมน้ำขนาดย่อมมากมายเจิ่งนองอยู่บนพื้นหินเก่า อุณหภูมิที่เคยผลุบๆโผล่อยู่ระหว่างติดลบกับศูนย์องศานั้นพุ่งพรวดขึ้นจนแตะระดับ 6 องศาทีเดียว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหิมะสีขาวที่เมื่อไม่นานมานี้ยังคงเปล่งประกายล้อแดดอยู่นั้น ฤา จะเป็นเพียงความฝัน
ลมหนาวซึ่งเคยบาดผิวแสบเนื้อนั้นกลับอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์จนทำให้หลายต่อหลายคนสลัดผ้าพันคอหนาหนึ่งในหลายๆผืนออกเสีย ในขณะที่อีกหลายคนยังออกอาการยืนเบิ่งจนตาแทบถลนจากเบ้าอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็นอยู่นั่น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเวสกับเมอร์สรวมอยู่ด้วย
"ก็.....เมื่อชั่วโมงที่แล้วหิมะยังอยู่เลยไม่ใช่เหรอ" เมอร์สซึ่งมีท่าทางสับสนกับชีวิตเอ่ยขึ้น "ไหนฝ่ายพยากรณ์อากาศบอกแค่ว่าใบไม้ผลิจะมาล่ายังไงล่ะ ไหงตอนนี้ถึงได้กลายเป็นงี้" เวสค่อยขยับปากที่อ้าค้างพูดบ้าง "ไม่รู้สิ" โชวี่กระซิบตอบเบาๆ ฝ่ายมาร์คัสที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก็หันกลับไปปรึกษาอะไรบางอย่างกับไดแอซซึ่งมีสีหน้ายุ่งยากใจไม่แพ้กัน เด็กหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนส่ายหน้าอย่างจนแต้ม
"ลองหน่อยได้ไหม?"
สายลมอ่อนพาถ้อยคำหลุดลอยมาเข้าหูพวกเขา "ลอง?" ทั้งคู่ขมวดคิ้วพร้อมกันแล้วหันขวับไปไปยังทิศทางที่มาพบว่ามาร์คัสถอยห่างออกจากเด็กหนุ่มซึ่งกำลังยืนหลับตานิ่ง ริมฝีปากเผยอพึมพำถ้อยคำบางอย่างแผ่วเบา "พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ" ชายหนุ่มผมทองส่ายหน้าแล้วยกมือแตะปากเบาๆเป็นเชิงบอกให้ทั้งสองเงียบเสียงก่อน
เรือนผมดำสนิทกับเสื้อคลุมยาวสีเดียวกันพลิ้วไสวขึ้นตามแรงลมซึ่งหมุนวนอยู่รอบกายของเด็กหนุ่มจนแลคล้ายพายุหมุนขนาดย่อม วงพายุนั้นค่อยๆหมุนเร็วขึ้นตามลำดับทั้งยังดึงเอาละอองน้ำในระยะร่วม 50 เมตรขึ้นมาผสมรวมกัน ขณะที่ผู้ยืนอยู่ใจกลางยื่นมือทั้งสองข้างออกมาตรงหน้า ภายในอุ้งมือคือหยดแสงเหลือบรุ้งกระเพื่อมไหวน้อยๆ สิ่งนั้นลอยตัวขึ้นช้าๆขับให้ใบหน้าของไดแอซเปล่งประกายเรืองเรื่อ จนดูสวยงามราวกับภาพฝัน
จวบจนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ สายลมกลับสงบลงอีกครั้ง ละอองแสงเหือดหายไปหมดสิ้น ดวงตาสีฟ้าหม่นจึงลืมขึ้นช้าๆ ทั้งสามปราดเข้าไปหาเจ้าของร่างแทบจะทันที เด็กหนุ่มส่งเสียงไอออกมา "แค่ก" หนึ่งพร้อมเลือดสีสดหยดรินลงมาจากมุมปากตัดกับผิวหน้าซึ่งดูขาวซีดอย่างเห็นได้ชัด "ข้าไม่เป็นอะไร" ไดแอซบอกเสียงเรียบก่อนเอ่ยต่อ "เป็นพลัง.....ที่ข้าไม่รู้จัก" แล้วเขาก็คล้ายไม่รู้จะอธิบายเช่นไรต่อ
ริมฝีปากแดงฉานขยับเปล่งถ้อยคำ ฉับพลันกระแสพลังรูปแบบเดียวกับที่เขาสัมผัสได้ก็ถูกส่งผ่านออกไปสู่ประสาทรับรู้ของคนทั้งสาม ซึ่งผู้รับต่างเบิกตากว้างอย่างตกใจ "สามารถกดดันและควบคุมธรรมชาติได้ขนาดนี้ คงไม่ใช่เวทสายธรรมดาแล้ว" มาร์คัสเอ่ยขึ้นในที่สุด "นั่นสิ" เวสรับคำอย่างเห็นด้วย "ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เจ้าว่ากรมเมืองกับสภาขุนนางจะว่าอย่างไรบ้างล่ะ หรือจะเชิญจอมปราชญ์ขึ้นมาจากซามานน่า" โชวี่ออกความเห็นอีกคน
แต่มาร์คัสกลับส่ายหน้าอย่างจะบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ "พวกเจ้าอย่าลืมว่าพลังของจอมปราชญ์ทั้ง6ต่างค้ำจุนอาณาจักรรวมถึงทานอำนาจซึ่งกันและกัน หากใครสักคนอ่อนพลังลงแม้แต่นิดเดียวสมดุลก็จะถูกทำลาย ถึงตอนนั้นคงไม่ต้อง......"
"พอน่าๆ อย่าพูดเรื่องน่ากลัวแบบนั้นเลย เอาเป็นว่าข้ารู้ข้าเข้าใจ บ่นมากไปจะแก่เร็วนะเออ" เวสขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนซี้ออกอาการคล้ายจอมปราชญ์วาริดลงทรงมาเทศนา "ตอนนี้พวกเราคงทำได้แค่รอฟังคำสั่งจากสภาขุนนางเท่านั้นล่ะ" โชวี่เห็นท่าไม่ดีจึงเข้าขวางลำเสียก่อนแล้วจัดแจงเปลี่ยนเรื่อง
"ถ้าเป็นอย่างนั้นจะใช้เวทหยุดยั้งหรืออะไรดีล่ะ" ชายหนุ่มค่อยๆไล่รายชื่อเวทโบราณซึ่งนับได้ว่าทรงอานุภาพที่สุดในหมู่เวททั้งหมด ก่อนจะหันหน้าไปเห็นว่าเมอร์สกำลังโบกมือเรียกพวกเขาจากด้านหน้าประตู ที่ผู้ใช้เวทส่วนมากทยอยกันเดินออกไปบ้างแล้ว
ไดแอซซึ่งกำลังจะก้าวขาเดินเกิดอาการหน้ามืดพาให้ตนเซวูบจนต้องยกมือยันไว้กับสิงโตหินที่นั่งทำหน้าดุดันอยู่ข้างทาง "เป็นอะไรหรือเปล่า" โชวี่หันมาถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าขาวซีดราวหิมะ "ข้าไม่เป็นอะไร" เด็กหนุ่มยังคงตอบเรียบๆเช่นเดิมก่อนจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนแล้วเงยหน้า
นัยน์ตาสีฟ้าหม่นเช่นเดียวกับท้องฟ้าอันเวิ้งว้างที่คุ้นชิน มาวันนี้กลับดูลึกล้ำสงบเย็นเฉกห้วงน้ำอันกว้างใหญ่ของพระแม่แองเจลล่า ทว่าโชวี่กลับไม่ได้ใส่ใจนักเนื่องจากเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน "พวกเราไปกันเถอะ" เวสเร่งเมื่อเห็นเมอร์สป้องปากตะโกนมาอีกรอบ "รู้สึกว่าจะได้รถแล้วล่ะ"
"แต่การจะร่ายเวทพวกนั้นได้ คนร่ายต้องมีพลังสูงมากทีเดียวนะ คงเป็นระดับพวกผู้ใช้เวทชั้นสูงที่อยู่ในสังกัดของแพนโทเนียละมั้ง" เวสพูดต่อแล้วเร่งฝีเท้าขึ้นมาเดินคู่กับโชวี่ทิ้งไดแอซไว้กับมาร์คัสซึ่งมีท่าทางแปลกๆไม่น่าไว้ใจ
เวสก้าวขึ้นรถเป็นคนสุดท้ายพร้อมบ่นตัวเองเบาๆอย่างอดไม่ได้ "เฮ้อ มีงานมาจอคิวเพิ่มอีกแล้ว" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปปิดประตูรถเบาๆหลังทุกคนขึ้นมากันครบ เกือกเหล็กของออกซิเดียนกระทบพื้นส่งเสียงกุบกับๆขณะที่ตัวรถเคลื่อนพ้นบริเวณสภากลางเลียบรั้วใหญ่โตจนกระทั่งหักเลี้ยวผ่านพระราชวังซึ่งตั้งตระง่านอยู่บนเนินและ.................สถาบันวิจัย
นัยน์ตาสีเทาฉายประกายบางอย่างวาบขึ้นก่อนถูกแทนที่ด้วยแววหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด เขาจ้องมองสถานที่นั้นไม่วางตาจนกระทั่งรถหักเลี้ยวโค้งอีกครั้ง บ้านช่องต่างๆเคลื่อนเข้ามาบดบังที่นั่นเสียสิ้น ชายหนุ่มถอนใจแรงแล้วทิ้งตัวพิงพนักก่อนจะจมอยู่ในห้วงความคิดของตน
*********************
รัตติกาลค่อยๆเคลื่อนเข้าครอบคลุมแพนโทเนียอีกครั้ง พวกผู้ใช้เวททั้งหลายยังคงก้มหน้าก้มตาคร่ำเคร่งกับงานที่ได้รับ แม้แต่ไดแอซซึ่งเป็นผู้ว่างงานเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็นั่งพลิกหนังสือเล่มเท่ายักษ์ไปๆมาๆอยู่บนเตียงนอน
"เวทโบราณ" เด็กหนุ่มเอ่ยคำนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบโดยไม่รู้ตัว "มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่" ร่างโปร่งบางของเวนตุสทรุดตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วเอ่ยถาม
"ท่าน....." ไดแอซสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆอีกฝ่ายส่งเสียง "ท่านพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์แปลกๆนี้บ้างไหม" เด็กหนุ่มลองเลียบๆเคียงๆถามดูเผื่ออีกฝ่ายจะรู้รายละเอียดบ้าง ชายหนุ่มผู้ถูกถามนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปาก "เวท......ที่มีอำนาจมาก สืบทอดมาจากครั้งโบราณกาล"
ประโยคหลังเรียกให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นด้วยความสนใจ "หมายความว่าอย่างไร" แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากอีกฝ่ายด้วยว่าบัดนี้เก้าอี้ข้างตัวเขากลับไปว่างเปล่าเหมือนดังเดิม คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อยกับการที่จู่ๆคู่สนทนาก็หายไปเฉยๆโดยไม่บอกไม่กล่าว แถมยังทิ้งปริศนาให้เขาต้องมานั่งคิดต่อเองอีกต่างหาก
เสียงฝีเท้าหนักเดินเข้ามาทำให้ไดแอซเลิกสนใจกับหนังสือเงยหน้าขึ้นมองมาร์คัสที่เดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางซังกะตาย เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้าเต็มที "โอ๊ย อ่านจนหนังสือแทบจะปรุอยู่แล้วยังหาอะไรไม่เจอเลย เซ็ง เครียด" ว่าแล้วชายหนุ่มก็กันไปยกกาน้ำชาขึ้นมาซดอึกๆจนหมดท่ามกลางสายตาหนึ่งคู่ของไดแอซซึ่งฉายแววประหลาดใจติดจะขบขันเสียมาก
"เฮ้อ" ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้ เด็กหนุ่มไอเบาๆกลบเกลื่อนไม่ให้เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาจากนั้นเขาสูดหายใจลึกแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้น "เมื่อครู่ข้าได้พบกับท่านเวนตุส เขาบอกว่าเป็นเวทโบราณที่สืบทอดกัน....." มาร์คัสโงหัวขึ้นมากจากโต๊ะทันใด ชายหนุ่มคว้าข้อมือไดแอซแล้วลากถูลู่ถูกังออกจากห้องไปในทันที เด็กหนุ่มอ้าปากพะงาบๆพยายามจะถามแต่ก็ถามไม่ออก จนทำให้ดูเหมือนคล้ายปลาทองกำลังขาดออกซิเจนยังไงยังงั้น
โครม
มาร์คัสกระโดดถีบประตูห้องของเวสเข้าไปอย่างรวดเร็วด้วยเจ้าของลุกมาเปิดไม่เร็วทันใจ บรรดาคนที่อยู่ในต่างพากันห้องทำสีหน้าแปลกๆ เวสยังค้างอยู่ในท่ารินน้ำจนล้นออกมาจากแก้วแล้วก็ยังไม่รู้ตัวจนไดแอซต้องตรงเข้าไปสะกิดเตือนถึงได้รู้ตัว "สงสัยจะเครียดกันมากไปแล้ว" เด็กหนุ่มแอบคิดในใจ
"มี...มีเรื่องอะไรเหรอ" คาร์ล ชายหนุ่มท่าทางเรียบร้อยได้สติถามขึ้นเป็นรายแรก "เวทโบราณ เวทนี้เป็นเวทโบราณ" ต่างฝ่ายต่างมุ่นคิ้วเข้าหากันด้วยไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่คนบุกห้องพูดออกมาเท่าใดนัก เวทในตำรายังไงล่ะ" มาร์คัสตรงเข้าไปคว้าหนังสือคัดลอกบันทึกเวทโบราณมาพลิกพรึบๆต่อหน้าเพื่อนๆทั้งหลาย
"นี่ไง"
นิ้วเรียวไล่ไปตรงตัวอักษรตามบรรทัดบนหน้ากระดาษออกเหลืองอย่างเก็บมานาน "เวทที่ควบคุมบังคับธรรมชาติได้" เขายื่นส่งหนังสือไปให้เพื่อนๆได้ดูอย่างทั่วถึงกัน
ครั้นเห็นเครื่องหมายคำถามอันโตปรากฏขึ้นบนหน้าเขาจึงเอ่ยปากอธิบายสิ่งที่ตนเพิ่งจะฉุกคิดได้ให้ฟัง "ลองคิดดูสิ ไม่มีใครคิดนี่นาว่าเหตุการณ์ที่เกิดนี่จะมาจากเวทโบราณ ตอนข้าให้ไดแอซลองหยั่งพลังในระดับลึกแล้วส่งผ่านมาให้พวกเราเจ้าก็รู้สึกไม่ใช่เหรอ" คราวนี้เขาหันไปหาคำยืนยันเอาจากเวส ฝ่ายนั้นนิ่งทบทวนความรู้สึกในตอนนั้นก่อนพยักหน้ารับข้อสันนิษฐานของชายหนุ่ม
"หากจะแก้โดยเวทโบราณก็ต้องปลดเกราะพลังที่คุ้มครองแพนโทเนียออก ไม่อย่างนั้นพลังจะตีกันเองแล้วอาจเกิดอันตรายได้" ชายหนุ่มพูด
"แต่เวทโบราณเป็นเวทที่ถือว่าทรงอานุภาพเพียงพอที่จะหักล้างกับเวทนี้ได้ หากไม่ใช้มันแก้แล้วจะใช้......."
"เวททดลองยังไงล่ะ" ใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาแต่ก็ถูกสายตาของมาร์คัสปรามให้เงียบเสียงไป "ก็จริง" เวสรับเสียงแผ่วเบาปนเศร้าสร้อยพาให้หัวใจของทุกคนในห้องจมดิ่งลงไปสู่ความหลังอันน่าเจ็บปวดที่อยากจะลืมยิ่งนัก
***************************
มาร์คัสตวัดปากกาเขียนข้อความสั้นๆลงในกระดาษแผ่นน้อยก่อนจะเสกให้กลายเป็นสัตว์รูปร่างคล้ายนกสีเข้มเกือบดำ สิ่งนั้นหมุนตัวแล้วโผบินวนรอบห้องอยู่พักหนึ่งก่อนจะหายวับไปในอากาศ ลูกไฟเวทดวงกลมหรี่แสงแล้วมอดดับลงในที่สุด กระนั้นชายหนุ่มซึ่งยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่กลับไม่คิดจะจุดมันขึ้นมาใหม่ สายตาเขาเหม่อมองเลยออกไปนอกหน้าต่างสู่ฟ้ายามราตรี
เดือนเสี้ยวแหว่งเว้าชวนให้หัวใจรู้สึกเหงาอย่างไรบอกไม่ถูก คล้ายมีบางส่วนที่ขาดหายแล้วมิอาจหาสิ่งใดมาเติมเต็มได้ ผ้าพันคอผืนนุ่มที่เคยคลี่คลุมบ่าหญิงสาวมาอยู่ในมือตนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ชายหนุ่มยกมันขึ้นแล้วสูดกลิ่นหอมอ่อนคล้ายดอกไม้ตามทุ่งกว้างยามฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมีแววอ่อนโยนวาบขึ้นพร้อมกับริมฝีปากได้รูปปรากฏรอยยิ้มจางๆ
แสงอ่อนจางส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างตกกระทบเรือนผมสีดำสนิทของเด็กหนุ่มที่เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ไปเสียก่อนแล้ว เสียงหายใจเข้าออกราบนิ่งเป็นสัญญาณบ่งว่าคนบนเตียงกำลังหลับสนิท มาร์คัสถอนหายใจเบาแล้วย่องไปยังเตียงของตนอย่างกลัวว่าไดแอซจะรู้สึกตัวตื่น
แต่ครั้นปิดเปลือกตาลงกลับพบว่าตนไม่อาจข่มตาให้หลับไปได้ ด้วยเรื่องราวครั้งอดีตที่พยายามจะลืมนั้นผุดขึ้นมาวนเวียนอยู่ในสมองร่ำไป เขาจึงตัดสินใจเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ โดยมีห้องของเพื่อนซี้เป็นเป้าหมาย
เมื่อมาถึงก็พบว่าแสงยังสาดออกมาจากห้องนั้น ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายเองคงนอนไม่หลับอยู่เช่นกันจึงยกมือขึ้นหมายจะเคาะประตู แต่กลับมีความรู้สึกบางผุดขึ้นจากหัวใจอย่างมาห้ามไว้ ทำให้เขาหดมือกลับแล้วหันหลังออกเดินเอื่อยๆไปจนสุดทางเดินยาวซึ่งมีหน้าต่างกว้างอยู่บานหนึ่ง
"มิคาเอล" ริมฝีปากขยับเอ่ยชื่อคนๆหนึ่งซึ่งไม่ได้เรียกขานมานานนักหนาก่อนเงยหน้าขึ้นมองฟ้า "เวส........คงจะทรมานใจมากสินะ" เขานึก "ก็หมอนั่นน่ะสนิทกับคนๆนั้นกว่าใครๆ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แถมยังมีความฝันถึงสิ่งเดียวกัน.................เวททดลอง" ชายหนุ่มย้อนระลึกถึงใครคนหนึ่งในอดีตที่มักหอบหนังสือตั้งโตพลางคุยกับเวสเป็นภาษาวิชาการที่เขาและเพื่อนๆคนอื่นไม่เข้าใจ
นกน้อยสีทองข้างลำตัวมีตราสัญลักษณ์ของสภาขุนนางปรากฏขึ้นข้างกายเขาแล้วกลายร่างเป็นจดหมายแผ่นหนึ่งที่เมื่ออ่านเสร็จก็เกิดเปลวไฟสีอมน้ำเงินลุกพรึบเผาผลาญจนหมดสิ้น
ปัง
ประตูกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรงจนไดแอซที่หลับสนิทถึงกับสะดุ้งตัวลอยขึ้นจากเตียงทีเดียว "ไปเร็วเขาเรียก" ว่าแล้วมาร์คัสก็ตรงเข้ามาลากมือเด็กหนุ่มที่ยังคงทำหน้าเหวอ ครั้นเห็นอย่างนั้นอีกมือหนึ่งจึงเกี่ยวเอาเสื้อคลุมของฝ่ายนั้นติดไปด้วย
"มะ....มีอะไรเหรอครับ" ไดแอซที่เพิ่งได้สติหลังจากมาร์คัสลากเขาลงบันไดมาสมทบกับพวกเวส "นั่นเจ้าจะเอาไปทำไม?" เมอร์สเอ่ยถามโชวี่ที่ในมือยังถือแปรงสีฟันค้างไว้เพื่อนๆทั้งหลายเบนสายตาไปมองสิ่งที่อยู่ในมือของชายหนุ่มอย่างพร้อมเพรียงกัน คนถูกถามอึ้งค้างก่อนจะก้มลงไปมองบ้างพบว่าในมือมีแปรงสีฟันอันโปรดที่เขาถือลงมาโดยไม่รู้ตัว
ฮ่า ฮ่า เสียงหัวเราะสนั่นลั่นทุ่งดังติดต่อกันเป็นเวลานานจนต่างฝ่ายต่างอ้าปากพะงาบๆด้วยขาดอากาศหายใจเพราะมัวแต่หัวเราะนั่นเอง เจ้าตัวส่งยิ้มเจื่อนๆให้เพื่อนๆทั้งหลายก่อนจะยัดมันลงไปในกระเป๋าด้านในของเสื้อคลุมสีดำ แล้วทำท่าตวาดเป็นการกลบเกลื่อน
"รีบไปกันเถอะ ข้าว่าคนอื่นๆคงไปรออยู่แล้วล่ะ" เวสเร่งเพื่อนด้วยน้ำเสียงร่าเริงอย่างก่อน พวกรีบจ้ำอ้าวไปตามถนนสายหลัก เสียงฝีเท้าเร่งรีบกับเสื้อคลุมสีดำสนิทของพวกเขาดูราวกับจะกลืนไปกับสีของราตรีกาล คล้ายเหล่าภูตพรายออกเดินท่องยามราตรีที่ร้างไร้มนุษย์ ผู้ใช้เวทอีกหลายกลุ่มทยอยเดินออกมาจากตรอกซอกซอยต่างๆมาสมทบแล้วมุ่งหน้าไปยังจุดหมายเดียวกัน
เส้นทางลัดอันคดเคี้ยวพาพวกเขาทะลุถึงลานกว้างซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของสถาบันวิจัยแห่งแพนโทเนีย แสงเดือนดูเหมือนจะจงใจสาดลำมอบความสว่างไสวให้กับพื้นที่โล่งกว้างตรงหน้าอันมีเงาดำกลุ่มหนึ่งยืนนิ่งคล้ายรอคอยบางสิ่งอยู่ ครั้นสืบเท้าเข้าไปใกล้พบว่าเป็นชายวัยกลางคนพร้อมเหล่าคณาจารย์มายืนคอยอยู่ก่อนแล้ว
ด้วยเวลาเพียงไม่นานผู้ใช้เวททั้งหมดก็มาถึงจนครบ ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบจนสองหูได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านตัว ครั้นแล้วหัวหน้าคณาจารย์จึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบแต่กลับได้ยินชัดเจนราวกับเอื้อนเอ่ยอยู่ข้างหู
"จากการลงมติด้วยเสียงสามในสี่ของสภาขุนนางตามเรื่องที่ข้าเสนอเข้าไป" ชายวัยกลางคนเว้นจังหวะเล็กน้อย "นั่นคือการอนุญาตให้ใช้เวททดลองในการแก้ไขเหตุการณ์นี้ เนื่องด้วย.........." หัวหน้าคณาจารย์จะว่าอย่างไรต่อจากนั้นบ้าง เวสก็ไม่ได้ยินอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มยืนนิ่งงั้นคล้ายร่างกายทุกส่วนถูกตรึงแน่น นัยน์ตาสีเทาฉายประกายรวดร้าวอย่างรุนแรงประหนึ่งว่าได้สูญเสียสิ่งสำคัญยิ่งไป สองมือข้างลำตัวกำแน่นจิกเล็บจนเลือดซิบ
มาร์คัสยกมือขึ้นแตะบ่าเพื่อนเบาๆโดยไม่ได้พูดอะไร เมอร์สและคนอื่นๆค่อยๆแยกตัวออกไปจับกลุ่มรวมกันอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ
โชวี่เป็นตัวแทนของกลุ่มเดินเข้าไปพูดคุยกับแรนดัลและเหล่าคณาจารย์เกี่ยวกับเรื่องเวททดลอง ซึ่งเป็นผลงานเมื่อครั้งยังศึกษาอยู่ในวิทยาลัย ชายวัยกลางคนพยักเบาๆเป็นเชิงบอกว่ารับรู้และจำได้กับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ในอดีตของนักศึกษาเวทมิคาเอลและเวส "เด็กนั่น......" เสียงอีกฝ่ายสั่นน้อยๆยามเอ่ยถึง "คงดีใจน่าดู ถ้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวทุ่มเทได้ถูกนำมาช่วยเหลือผู้คนอย่างที่เคยหวัง เจ้าว่าไหม?"
"ครับ" โชวี่รับคำเบาๆแล้วถอยออกมาเพื่อจะเตรียมการ มุมปากขยับยกยิ้มเศร้า ชายหนุ่มหันไปหาเพื่อนแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เตรียมตัวเริ่มงาน
เมฆก้อนโตเคลื่อนตัวเข้ามาบังแสงอ่อนจางของดวงจันทร์ไปจนหมดสิ้น พร้อมๆกับความมืดค่อยๆแผ่ขยายเข้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณและ....รวมไปถึงหัวใจของใครอีกหลายคนด้วย
******************
ภาพในวันวาน...
ยังแจ่มชัดอยู่ในสมอง
ยังได้ยินเสียงของนายก้องอยู่ในสองหู
ก่อนจากกัน.......วันนั้น
นายพูดว่าอะไรนะ...... ลาก่อนใช่หรือเปล่า
ทำไม่ถึงไม่ได้เอะใจเลยว่านั่น........จะเป็นครั้งสุดท้าย
---------------------------------------------------
หวัดดีค่าทุกท่าน
อัพสาย(อีกตามเคย) ที่จริงจะอัพเมื่อคืนแต่ท่านแม่บัญชาให้นอนไปก่อนเพราะไม่สบาย แพ้ผงชูรสอ่ะนะ (แปลกๆยังไงก็ไม่รู้เนอะ) กินอยู่ตั้งนานเพิ่งมาแพ้เอาวันนี้555+ เอาละค่าวันนี้มีอะไรจะนำเสนอด้วย
แท๊น แท๊น แท้น......เพื่อนสุดที่รัก(บีจังนั่นเอง) วาดไดแอซมาให้ค่ะ น่ารักอ่ะเห็นแล้วชอบมากๆ เลยเอามาเผยแพร่ เจ้าของฝากบอกว่าช่วยติชมด้วยเจ้าค่ะ
เอ้า เชิญชมกันได้ที่นี่เลย
http://my.dek-d.com/vilvarin/show_picture.php?pid=8322187&user_id=643002
สุดท่านก็ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน+เม้นท์+ติชมด้วยเจ้าค่ะ
ความคิดเห็น