ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #24 : ยามเมื่อหิมะละลาย

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 50



       

           เช้านี้ดูเหมือนว่าหมู่เมฆหม่นที่ปกคลุมผืนฟ้าอยู่หลายวันพากันถอยร่นจากไปที่ไหนสักแห่ง  ดวงอาทิตย์จึงถือโอกาสเยี่ยมหน้ากลมๆออกมาทักทายพวกเขา   สีครามเข้มของฟ้ากระจ่างเบื้องบนมองแล้วชวนให้รู้สึกสดชื่นคล้ายจะบอกว่าฤดูหนาวอันยะเยือกเย็นนั้นใกล้จะจบลงสิ้นแล้ว 


          เด็กหนุ่มทอดสายตาออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่อยู่เหนือหลังคาบ้านเรือนที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะของแพนโทเนีย  ควันสีเทาจางจากปล่องไฟทั้งหลายยังคงพวยพุ่งขึ้นมาเรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย  แลไปคล้ายม่านอันสลับซับซ้อนชวนให้ค้นหาว่ามีสิ่งใดแอบซ่อนอยู่เบื้อง

                   
          "ไดแอซ"

                   
          เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มผละจากการชมทัศนียภาพภายนอกกลับเข้ามาในตัวอาคารของสภากลางอันเป็นที่ประชุมในวันนี้  ไดแอซจัดแจงปัดๆเสื้อคลุมสีดำให้เข้าที่เข้าทางแล้วเดินเข้ามาประจำที่รวมตัวกับพวกเวสซึ่งกำลังสนทนากับผู้ใช้เวทกลุ่มอื่นๆอย่างออกรส 

                   
          ครั้นกวาดตามองไปพบว่าหลายต่อหลายกลุ่มกำลังนั่งหน้าดำคร่ำเคร่งกับบันทึกตำราทั้งหลายแหล่  เด็กหนุ่มเอียงคอเล็กน้อย 
    "ตกลงเรื่องหนูจิ๋ววันนั้นกับกับพลังของเขากลายเป็นเรื่องใหญ่บานตะเกียงขนาดนี้เลยเหรอ"  เจ้าตัวนึกโดยไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าเขากำลังยืนขวางทางเดินอยู่เต็มๆจนได้ยินเสียงคุ้นๆทักมาจากด้านหลัง 

                   
          "เอ้า หลบไปหน่อยสิไดแอซ"  เมื่อหันกลับไปมองพบว่าเป็นมอเดรสในเครื่องแบบเต็มยศของคณาจารย์นั่นเอง   "เห  วันนี้พวกท่านก็เข้าประชุมด้วยเหรอ"   เขาเอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อเหลือบสายตาไปเห็นอีกหลายคนคนในชุดคล้ายๆกับมอเดรสเดินเข้ามานั่งตรงแถวหน้าสุด  ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเดินผ่านเขาเข้าไปหามาร์คัส 

                   
          ชายทั้งสองสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่มอเดรสจะหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาจากในเสื้อคลุม   ซึ่งไดแอซก็พยายามเพ่งมองอย่างสุดความสามารถว่าชายหนุ่มส่งสิ่งใดให้มาร์คัส  แต่ด้วยระยะที่ไม่ใคร่จะใกล้นักและสิ่งนั้นดูจะทั้งเล็กทั้งบางจึงทำให้ไม่อาจชี้ชัดว่าคืออะไรกันแน่

                   
          และเด็กหนุ่มเองไม่มีเวลาจะได้สนใจอะไรมากกว่านั้น  เมื่อแรนดัลเดินเข้ามาประจำที่บนยกพื้นสูงด้านหน้าอันเป็นสัญญาณว่าการประชุมกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว  มอเดรสที่เหมือนจะพูดคุยกับมาร์คัสไม่จบนั้นรีบผละออกมาแล้วตรงรี่กลับลงมายังที่ของตนบริเวณแถวหน้า  สภาพวุ่นวายอึกทึกเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบสงบจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินไปเดินมาจากนอกห้อง

                   
          แรนดัลเริ่มต้นกล่าวแนะนำสภาพคณาจารย์ที่เข้ามาร่วมประชุมด้วยในคราวนี้  ต่อด้วยการรายงานสรุปจากครั้งก่อน

                   
         
    "ใครมีข้อเสนออะไรอีกหรือไม่"

                   
          เวสกับโชวี่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเขาหันไปซุบซิบพลพรรคทั้งหลายก่อนที่มาร์คัสจะยกมือแล้วยืนขึ้น   
    "มีสิ่งใดจงว่ามา"   แรนดัลเอ่ยถาม  ชายหนุ่มผู้พูดสูดหายใจลึกก่อนเอ่ยขึ้น  "เรื่องที่เกี่ยวข้องกับดอกไม้สีเลือดทั้งหมดนั้น จะขอให้อยู่ในความรับผิดชอบของกลุ่มข้า มาร์คัส รีล เรย์มองต์  ได้หรือไม่?"   เสียงของเขาสะท้อนก้องไปให้ได้ยินชัดทั่วถึงกันด้วยอำนาจเวท  สิ้นคำห้องประชุมที่เคยเงียบสงัดเมื่อครู่ก็เต็มไปด้วยเสียงฮือฮาของเหล่าผู้ใช้เวททั้งหลาย  จนแรนดัลลุกขึ้นยืนนั่นล่ะถึงได้เงียบลง       

                   
         
    ชายวัยกลางคนกวาดตามองไปโดยทั่วก่อนส่งเสียงพูดขึ้น 
    "มีผู้ใดมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?"   มือของใครคนหนึ่งยกชูขึ้นเรียกความสนใจจากคนทั้งหลายให้หันมองเป็นตาเดียวกัน เขาพยักหน้าเป็นน็นเชิงอนุญาตให้อีกฝ่ายลุกขึ้น

                   
          "ไม่ทราบว่าจะต้องนับรวมกรณีของหนูจิ๋วเข้าไปด้วยไหม?" 

                    
          "ข้าไม่เห็นว่าจะเกี่ยวข้องกับกรณีดอกไม้สีเลือด"   แรนดัลตอบก่อนขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น  "อีกทั้งเรื่องของหนูจิ๋วนั้นก็จัดอยู่ในหัวข้อของการประชุมวันนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประหลาดซึ่งเกิดขึ้นในแพนเทีย"  เสียงอึงอลจากบรรดาผู้ใช้เวทดังขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้ต่างพูดกันถึงเรื่องราวประหลาดที่ได้ประสบพบเจอมา 

                   
           ยังไม่ทันที่แรนดัลจะทำให้ที่ประชุมกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้งเพื่อจะได้มอบหมาย  กล่าวสรุปและดำเนินการในขั้นต่อไป ก็ปรากฏเสียงฝีเท้าหนักวิ่งมาตามทางเดิน  ก่อนที่ประตูไม้บานหนาถูกผลักให้เปิดออกอย่างแรง

                   
          ร่างของเด็กหนุ่มในเครื่องแบบนักเรียนเตรียมทหารสายเวทสีกรมเข้มหยุดพิงประตูหอบหายใจฮักๆ จากการวิ่งระยะไกล  ครั้นเห็นว่าทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เขาแต่เพียงผู้เดียวจึงยืดตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างเร่งร้อนด้วยเสียงดังพอที่จะได้ยินทั่วถึงกัน

                    
          "แย่แล้ว  หิมะละลาย"

                   
          "หา?"  ทุกเสียงส่งคำถามพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย 

                   
          "หิมะ.....ทั่วทั้งแพนโทเนีย.....ละลาย"

                   
             ปัง

                   
          "เป็นไปได้ยังไง"   หัวหน้าคณาจารย์ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนเก้าอี้ล้มหงายไปด้านหลัง "จริงหรือ?"  ตามด้ายคำถามจากปากแรนดัลซึ่งมีทีท่าประหลาดใจอยู่มิใช่น้อย  "จริงขอรับ"  เด็กหนุ่มยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น  "ท่านกรมเมืองกับเหล่าขุนนางให้ข้ามาเชิญท่านและสภาคณาจารย์ทั้งหมดเข้าประชุมโดยด่วน" 

                   
          
    ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับรู้แล้วโบกมือให้เด็กหนุ่มถอยออกไปรออยู่ด้านนอก 
    "เรื่องทุกอย่างคงต้องพักไว้ก่อน  ตอนนี้ขอให้ผู้ใช้เวททุกคนอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมรอรับคำสั่งจากสภาขุนนาง"  กล่าวจบแรนดัลพร้อมคณาจารย์ทั้งหลายก็เดินออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงความสงัดและความสงสัยในห้องกว้าง

                   
            
    "นี่ๆ เจ้าได้ยินเหมือนข้ารึเปล่า"   เวสหันไปสะกิดถามเอากับผู้ใช้เวทซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าของเขา คล้ายจะยืนยันในสิ่งที่ตนเพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่   "ก็นั่งฟังอยู่กับเจ้านั่นล่ะ"  อีกฝ่ายหันมาตอบง่ายๆตรงๆ  "เออแฮะ"  ชายหนุ่มทำท่าเก้อๆแล้วเกาหัวตัวเอง

                   
          
    ท่ามกลางความเงียบที่แฝงไปด้วยความสับสนนั้น  จู่ๆผู้ใช้เวทคนหนึ่งก็ลุกพรวดขึ้นมา 
    "ข้าจะออกไปดูให้เห็นกับตา"  เขาว่าอย่างนั้นพลางจะก้าวฉับๆออกไป  "ข้าด้วยๆ"  หลายเสียงเสริมก่อนจะลุกขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันจนแลเห็นเป็นคลื่นฝูงชนสีดำสนิท  พวกเขาต่างกรูกันไปยังทางเดินใหญ่อันมุ่งตรงสู่ประตูด้านหน้าของอาคารแห่งนี้

                   
           ภาพที่ปรากฏต่อทุกสายตานั้นทำเอาคนส่วนมากถึงกับนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว  ด้วยว่าทัศนียภาพสีขาวนุ่มที่คุ้นชินตามานานนับเดือนจนถึงเมื่อเช้านั้น  บัดนี้กลับระเหยหายกลายเป็นหย่อมน้ำขนาดย่อมมากมายเจิ่งนองอยู่บนพื้นหินเก่า  อุณหภูมิที่เคยผลุบๆโผล่อยู่ระหว่างติดลบกับศูนย์องศานั้นพุ่งพรวดขึ้นจนแตะระดับ 6 องศาทีเดียว  ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหิมะสีขาวที่เมื่อไม่นานมานี้ยังคงเปล่งประกายล้อแดดอยู่นั้น ฤา จะเป็นเพียงความฝัน 
     

                   
          
    ลมหนาวซึ่งเคยบาดผิวแสบเนื้อนั้นกลับอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์จนทำให้หลายต่อหลายคนสลัดผ้าพันคอหนาหนึ่งในหลายๆผืนออกเสีย  ในขณะที่อีกหลายคนยังออกอาการยืนเบิ่งจนตาแทบถลนจากเบ้าอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็นอยู่นั่น  ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเวสกับเมอร์สรวมอยู่ด้วย

                   
           "ก็.....เมื่อชั่วโมงที่แล้วหิมะยังอยู่เลยไม่ใช่เหรอ"  เมอร์สซึ่งมีท่าทางสับสนกับชีวิตเอ่ยขึ้น   "ไหนฝ่ายพยากรณ์อากาศบอกแค่ว่าใบไม้ผลิจะมาล่ายังไงล่ะ  ไหงตอนนี้ถึงได้กลายเป็นงี้"  เวสค่อยขยับปากที่อ้าค้างพูดบ้าง  "ไม่รู้สิ"  โชวี่กระซิบตอบเบาๆ  ฝ่ายมาร์คัสที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก็หันกลับไปปรึกษาอะไรบางอย่างกับไดแอซซึ่งมีสีหน้ายุ่งยากใจไม่แพ้กัน  เด็กหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนส่ายหน้าอย่างจนแต้ม 

               
          "ลองหน่อยได้ไหม?" 

                   
           สายลมอ่อนพาถ้อยคำหลุดลอยมาเข้าหูพวกเขา 
    "ลอง?"   ทั้งคู่ขมวดคิ้วพร้อมกันแล้วหันขวับไปไปยังทิศทางที่มาพบว่ามาร์คัสถอยห่างออกจากเด็กหนุ่มซึ่งกำลังยืนหลับตานิ่ง  ริมฝีปากเผยอพึมพำถ้อยคำบางอย่างแผ่วเบา  "พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ"   ชายหนุ่มผมทองส่ายหน้าแล้วยกมือแตะปากเบาๆเป็นเชิงบอกให้ทั้งสองเงียบเสียงก่อน 

                   
           เรือนผมดำสนิทกับเสื้อคลุมยาวสีเดียวกันพลิ้วไสวขึ้นตามแรงลมซึ่งหมุนวนอยู่รอบกายของเด็กหนุ่มจนแลคล้ายพายุหมุนขนาดย่อม  วงพายุนั้นค่อยๆหมุนเร็วขึ้นตามลำดับทั้งยังดึงเอาละอองน้ำในระยะร่วม 50 เมตรขึ้นมาผสมรวมกัน ขณะที่ผู้ยืนอยู่ใจกลางยื่นมือทั้งสองข้างออกมาตรงหน้า  ภายในอุ้งมือคือหยดแสงเหลือบรุ้งกระเพื่อมไหวน้อยๆ  สิ่งนั้นลอยตัวขึ้นช้าๆขับให้ใบหน้าของไดแอซเปล่งประกายเรืองเรื่อ  จนดูสวยงามราวกับภาพฝัน

                   
           จวบจนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่  สายลมกลับสงบลงอีกครั้ง  ละอองแสงเหือดหายไปหมดสิ้น ดวงตาสีฟ้าหม่นจึงลืมขึ้นช้าๆ  ทั้งสามปราดเข้าไปหาเจ้าของร่างแทบจะทันที  เด็กหนุ่มส่งเสียงไอออกมา
    "แค่ก" หนึ่งพร้อมเลือดสีสดหยดรินลงมาจากมุมปากตัดกับผิวหน้าซึ่งดูขาวซีดอย่างเห็นได้ชัด  "ข้าไม่เป็นอะไร"  ไดแอซบอกเสียงเรียบก่อนเอ่ยต่อ  "เป็นพลัง.....ที่ข้าไม่รู้จัก"  แล้วเขาก็คล้ายไม่รู้จะอธิบายเช่นไรต่อ

                   
            ริมฝีปากแดงฉานขยับเปล่งถ้อยคำ  ฉับพลันกระแสพลังรูปแบบเดียวกับที่เขาสัมผัสได้ก็ถูกส่งผ่านออกไปสู่ประสาทรับรู้ของคนทั้งสาม  ซึ่งผู้รับต่างเบิกตากว้างอย่างตกใจ 
    "สามารถกดดันและควบคุมธรรมชาติได้ขนาดนี้  คงไม่ใช่เวทสายธรรมดาแล้ว"  มาร์คัสเอ่ยขึ้นในที่สุด  "นั่นสิ"  เวสรับคำอย่างเห็นด้วย  "ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว  เจ้าว่ากรมเมืองกับสภาขุนนางจะว่าอย่างไรบ้างล่ะ  หรือจะเชิญจอมปราชญ์ขึ้นมาจากซามานน่า"  โชวี่ออกความเห็นอีกคน 

                   
           แต่มาร์คัสกลับส่ายหน้าอย่างจะบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้   
    "พวกเจ้าอย่าลืมว่าพลังของจอมปราชญ์ทั้ง6ต่างค้ำจุนอาณาจักรรวมถึงทานอำนาจซึ่งกันและกัน  หากใครสักคนอ่อนพลังลงแม้แต่นิดเดียวสมดุลก็จะถูกทำลาย ถึงตอนนั้นคงไม่ต้อง......" 

                   
          "พอน่าๆ อย่าพูดเรื่องน่ากลัวแบบนั้นเลย เอาเป็นว่าข้ารู้ข้าเข้าใจ  บ่นมากไปจะแก่เร็วนะเออ"  เวสขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนซี้ออกอาการคล้ายจอมปราชญ์วาริดลงทรงมาเทศนา   "ตอนนี้พวกเราคงทำได้แค่รอฟังคำสั่งจากสภาขุนนางเท่านั้นล่ะ"  โชวี่เห็นท่าไม่ดีจึงเข้าขวางลำเสียก่อนแล้วจัดแจงเปลี่ยนเรื่อง

                   
          "ถ้าเป็นอย่างนั้นจะใช้เวทหยุดยั้งหรืออะไรดีล่ะ"  ชายหนุ่มค่อยๆไล่รายชื่อเวทโบราณซึ่งนับได้ว่าทรงอานุภาพที่สุดในหมู่เวททั้งหมด  ก่อนจะหันหน้าไปเห็นว่าเมอร์สกำลังโบกมือเรียกพวกเขาจากด้านหน้าประตู ที่ผู้ใช้เวทส่วนมากทยอยกันเดินออกไปบ้างแล้ว

                   
           ไดแอซซึ่งกำลังจะก้าวขาเดินเกิดอาการหน้ามืดพาให้ตนเซวูบจนต้องยกมือยันไว้กับสิงโตหินที่นั่งทำหน้าดุดันอยู่ข้างทาง 
    "เป็นอะไรหรือเปล่า"  โชวี่หันมาถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าขาวซีดราวหิมะ  "ข้าไม่เป็นอะไร"  เด็กหนุ่มยังคงตอบเรียบๆเช่นเดิมก่อนจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนแล้วเงยหน้า  

                   
          
    นัยน์ตาสีฟ้าหม่นเช่นเดียวกับท้องฟ้าอันเวิ้งว้างที่คุ้นชิน  มาวันนี้กลับดูลึกล้ำสงบเย็นเฉกห้วงน้ำอันกว้างใหญ่ของพระแม่แองเจลล่า  ทว่าโชวี่กลับไม่ได้ใส่ใจนักเนื่องจากเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน   
    "พวกเราไปกันเถอะ"  เวสเร่งเมื่อเห็นเมอร์สป้องปากตะโกนมาอีกรอบ  "รู้สึกว่าจะได้รถแล้วล่ะ"  

                   
           "แต่การจะร่ายเวทพวกนั้นได้ คนร่ายต้องมีพลังสูงมากทีเดียวนะ  คงเป็นระดับพวกผู้ใช้เวทชั้นสูงที่อยู่ในสังกัดของแพนโทเนียละมั้ง"   เวสพูดต่อแล้วเร่งฝีเท้าขึ้นมาเดินคู่กับโชวี่ทิ้งไดแอซไว้กับมาร์คัสซึ่งมีท่าทางแปลกๆไม่น่าไว้ใจ    

                   
            เวสก้าวขึ้นรถเป็นคนสุดท้ายพร้อมบ่นตัวเองเบาๆอย่างอดไม่ได้
     "เฮ้อ มีงานมาจอคิวเพิ่มอีกแล้ว" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปปิดประตูรถเบาๆหลังทุกคนขึ้นมากันครบ  เกือกเหล็กของออกซิเดียนกระทบพื้นส่งเสียงกุบกับๆขณะที่ตัวรถเคลื่อนพ้นบริเวณสภากลางเลียบรั้วใหญ่โตจนกระทั่งหักเลี้ยวผ่านพระราชวังซึ่งตั้งตระง่านอยู่บนเนินและ.................สถาบันวิจัย

                   
           นัยน์ตาสีเทาฉายประกายบางอย่างวาบขึ้นก่อนถูกแทนที่ด้วยแววหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด  เขาจ้องมองสถานที่นั้นไม่วางตาจนกระทั่งรถหักเลี้ยวโค้งอีกครั้ง  บ้านช่องต่างๆเคลื่อนเข้ามาบดบังที่นั่นเสียสิ้น ชายหนุ่มถอนใจแรงแล้วทิ้งตัวพิงพนักก่อนจะจมอยู่ในห้วงความคิดของตน


    *********************

                   
           รัตติกาลค่อยๆเคลื่อนเข้าครอบคลุมแพนโทเนียอีกครั้ง  พวกผู้ใช้เวททั้งหลายยังคงก้มหน้าก้มตาคร่ำเคร่งกับงานที่ได้รับ  แม้แต่ไดแอซซึ่งเป็นผู้ว่างงานเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็นั่งพลิกหนังสือเล่มเท่ายักษ์ไปๆมาๆอยู่บนเตียงนอน

                   
           "เวทโบราณ"  เด็กหนุ่มเอ่ยคำนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบโดยไม่รู้ตัว  "มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่"  ร่างโปร่งบางของเวนตุสทรุดตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วเอ่ยถาม

                   
           "ท่าน....."  ไดแอซสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆอีกฝ่ายส่งเสียง  "ท่านพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์แปลกๆนี้บ้างไหม"  เด็กหนุ่มลองเลียบๆเคียงๆถามดูเผื่ออีกฝ่ายจะรู้รายละเอียดบ้าง  ชายหนุ่มผู้ถูกถามนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปาก  "เวท......ที่มีอำนาจมาก  สืบทอดมาจากครั้งโบราณกาล" 

                   
           ประโยคหลังเรียกให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นด้วยความสนใจ 
    "หมายความว่าอย่างไร"  แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากอีกฝ่ายด้วยว่าบัดนี้เก้าอี้ข้างตัวเขากลับไปว่างเปล่าเหมือนดังเดิม  คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อยกับการที่จู่ๆคู่สนทนาก็หายไปเฉยๆโดยไม่บอกไม่กล่าว  แถมยังทิ้งปริศนาให้เขาต้องมานั่งคิดต่อเองอีกต่างหาก

                   
           เสียงฝีเท้าหนักเดินเข้ามาทำให้ไดแอซเลิกสนใจกับหนังสือเงยหน้าขึ้นมองมาร์คัสที่เดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางซังกะตาย เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้าเต็มที 
    "โอ๊ย  อ่านจนหนังสือแทบจะปรุอยู่แล้วยังหาอะไรไม่เจอเลย  เซ็ง เครียด"  ว่าแล้วชายหนุ่มก็กันไปยกกาน้ำชาขึ้นมาซดอึกๆจนหมดท่ามกลางสายตาหนึ่งคู่ของไดแอซซึ่งฉายแววประหลาดใจติดจะขบขันเสียมาก 

                   
           "เฮ้อ"  ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้  เด็กหนุ่มไอเบาๆกลบเกลื่อนไม่ให้เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาจากนั้นเขาสูดหายใจลึกแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้น  "เมื่อครู่ข้าได้พบกับท่านเวนตุส   เขาบอกว่าเป็นเวทโบราณที่สืบทอดกัน....."  มาร์คัสโงหัวขึ้นมากจากโต๊ะทันใด  ชายหนุ่มคว้าข้อมือไดแอซแล้วลากถูลู่ถูกังออกจากห้องไปในทันที  เด็กหนุ่มอ้าปากพะงาบๆพยายามจะถามแต่ก็ถามไม่ออก  จนทำให้ดูเหมือนคล้ายปลาทองกำลังขาดออกซิเจนยังไงยังงั้น

                   
           โครม 

                   
           
    มาร์คัสกระโดดถีบประตูห้องของเวสเข้าไปอย่างรวดเร็วด้วยเจ้าของลุกมาเปิดไม่เร็วทันใจ  บรรดาคนที่อยู่ในต่างพากันห้องทำสีหน้าแปลกๆ เวสยังค้างอยู่ในท่ารินน้ำจนล้นออกมาจากแก้วแล้วก็ยังไม่รู้ตัวจนไดแอซต้องตรงเข้าไปสะกิดเตือนถึงได้รู้ตัว 
    "สงสัยจะเครียดกันมากไปแล้ว"  เด็กหนุ่มแอบคิดในใจ

                   
           
    "มี...มีเรื่องอะไรเหรอ"  คาร์ล  ชายหนุ่มท่าทางเรียบร้อยได้สติถามขึ้นเป็นรายแรก  "เวทโบราณ   เวทนี้เป็นเวทโบราณ"  ต่างฝ่ายต่างมุ่นคิ้วเข้าหากันด้วยไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่คนบุกห้องพูดออกมาเท่าใดนัก  เวทในตำรายังไงล่ะ"  มาร์คัสตรงเข้าไปคว้าหนังสือคัดลอกบันทึกเวทโบราณมาพลิกพรึบๆต่อหน้าเพื่อนๆทั้งหลาย 

                   
           
    "นี่ไง"

                   
          
    นิ้วเรียวไล่ไปตรงตัวอักษรตามบรรทัดบนหน้ากระดาษออกเหลืองอย่างเก็บมานาน 
    "เวทที่ควบคุมบังคับธรรมชาติได้"   เขายื่นส่งหนังสือไปให้เพื่อนๆได้ดูอย่างทั่วถึงกัน

                   
           ครั้นเห็นเครื่องหมายคำถามอันโตปรากฏขึ้นบนหน้าเขาจึงเอ่ยปากอธิบายสิ่งที่ตนเพิ่งจะฉุกคิดได้ให้ฟัง 
    "ลองคิดดูสิ  ไม่มีใครคิดนี่นาว่าเหตุการณ์ที่เกิดนี่จะมาจากเวทโบราณ  ตอนข้าให้ไดแอซลองหยั่งพลังในระดับลึกแล้วส่งผ่านมาให้พวกเราเจ้าก็รู้สึกไม่ใช่เหรอ"  คราวนี้เขาหันไปหาคำยืนยันเอาจากเวส  ฝ่ายนั้นนิ่งทบทวนความรู้สึกในตอนนั้นก่อนพยักหน้ารับข้อสันนิษฐานของชายหนุ่ม

                   
           
    "หากจะแก้โดยเวทโบราณก็ต้องปลดเกราะพลังที่คุ้มครองแพนโทเนียออก  ไม่อย่างนั้นพลังจะตีกันเองแล้วอาจเกิดอันตรายได้"  ชายหนุ่มพูด  

                   
          "แต่เวทโบราณเป็นเวทที่ถือว่าทรงอานุภาพเพียงพอที่จะหักล้างกับเวทนี้ได้  หากไม่ใช้มันแก้แล้วจะใช้......." 

                   
          "เวททดลองยังไงล่ะ"  ใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาแต่ก็ถูกสายตาของมาร์คัสปรามให้เงียบเสียงไป  "ก็จริง"  เวสรับเสียงแผ่วเบาปนเศร้าสร้อยพาให้หัวใจของทุกคนในห้องจมดิ่งลงไปสู่ความหลังอันน่าเจ็บปวดที่อยากจะลืมยิ่งนัก


    ***************************

                   
           มาร์คัสตวัดปากกาเขียนข้อความสั้นๆลงในกระดาษแผ่นน้อยก่อนจะเสกให้กลายเป็นสัตว์รูปร่างคล้ายนกสีเข้มเกือบดำ  สิ่งนั้นหมุนตัวแล้วโผบินวนรอบห้องอยู่พักหนึ่งก่อนจะหายวับไปในอากาศ  ลูกไฟเวทดวงกลมหรี่แสงแล้วมอดดับลงในที่สุด  กระนั้นชายหนุ่มซึ่งยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่กลับไม่คิดจะจุดมันขึ้นมาใหม่  สายตาเขาเหม่อมองเลยออกไปนอกหน้าต่างสู่ฟ้ายามราตรี

                   
           เดือนเสี้ยวแหว่งเว้าชวนให้หัวใจรู้สึกเหงาอย่างไรบอกไม่ถูก  คล้ายมีบางส่วนที่ขาดหายแล้วมิอาจหาสิ่งใดมาเติมเต็มได้   ผ้าพันคอผืนนุ่มที่เคยคลี่คลุมบ่าหญิงสาวมาอยู่ในมือตนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ชายหนุ่มยกมันขึ้นแล้วสูดกลิ่นหอมอ่อนคล้ายดอกไม้ตามทุ่งกว้างยามฤดูใบไม้ผลิมาเยือน  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมีแววอ่อนโยนวาบขึ้นพร้อมกับริมฝีปากได้รูปปรากฏรอยยิ้มจางๆ 

                   
           
    แสงอ่อนจางส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างตกกระทบเรือนผมสีดำสนิทของเด็กหนุ่มที่เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ไปเสียก่อนแล้ว  เสียงหายใจเข้าออกราบนิ่งเป็นสัญญาณบ่งว่าคนบนเตียงกำลังหลับสนิท  มาร์คัสถอนหายใจเบาแล้วย่องไปยังเตียงของตนอย่างกลัวว่าไดแอซจะรู้สึกตัวตื่น

                   
           
    แต่ครั้นปิดเปลือกตาลงกลับพบว่าตนไม่อาจข่มตาให้หลับไปได้  ด้วยเรื่องราวครั้งอดีตที่พยายามจะลืมนั้นผุดขึ้นมาวนเวียนอยู่ในสมองร่ำไป  เขาจึงตัดสินใจเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ  โดยมีห้องของเพื่อนซี้เป็นเป้าหมาย

                   
           
    เมื่อมาถึงก็พบว่าแสงยังสาดออกมาจากห้องนั้น  ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายเองคงนอนไม่หลับอยู่เช่นกันจึงยกมือขึ้นหมายจะเคาะประตู แต่กลับมีความรู้สึกบางผุดขึ้นจากหัวใจอย่างมาห้ามไว้  ทำให้เขาหดมือกลับแล้วหันหลังออกเดินเอื่อยๆไปจนสุดทางเดินยาวซึ่งมีหน้าต่างกว้างอยู่บานหนึ่ง 

                   
          "มิคาเอล"  ริมฝีปากขยับเอ่ยชื่อคนๆหนึ่งซึ่งไม่ได้เรียกขานมานานนักหนาก่อนเงยหน้าขึ้นมองฟ้า  "เวส........คงจะทรมานใจมากสินะ"  เขานึก "ก็หมอนั่นน่ะสนิทกับคนๆนั้นกว่าใครๆ  ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด  แถมยังมีความฝันถึงสิ่งเดียวกัน.................เวททดลอง"  ชายหนุ่มย้อนระลึกถึงใครคนหนึ่งในอดีตที่มักหอบหนังสือตั้งโตพลางคุยกับเวสเป็นภาษาวิชาการที่เขาและเพื่อนๆคนอื่นไม่เข้าใจ   

                   
           นกน้อยสีทองข้างลำตัวมีตราสัญลักษณ์ของสภาขุนนางปรากฏขึ้นข้างกายเขาแล้วกลายร่างเป็นจดหมายแผ่นหนึ่งที่เมื่ออ่านเสร็จก็เกิดเปลวไฟสีอมน้ำเงินลุกพรึบเผาผลาญจนหมดสิ้น    

                   
           
    ปัง

                   
          ประตูกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรงจนไดแอซที่หลับสนิทถึงกับสะดุ้งตัวลอยขึ้นจากเตียงทีเดียว 
    "ไปเร็วเขาเรียก"  ว่าแล้วมาร์คัสก็ตรงเข้ามาลากมือเด็กหนุ่มที่ยังคงทำหน้าเหวอ ครั้นเห็นอย่างนั้นอีกมือหนึ่งจึงเกี่ยวเอาเสื้อคลุมของฝ่ายนั้นติดไปด้วย

                   
          "มะ....มีอะไรเหรอครับ"  ไดแอซที่เพิ่งได้สติหลังจากมาร์คัสลากเขาลงบันไดมาสมทบกับพวกเวส  "นั่นเจ้าจะเอาไปทำไม?"  เมอร์สเอ่ยถามโชวี่ที่ในมือยังถือแปรงสีฟันค้างไว้เพื่อนๆทั้งหลายเบนสายตาไปมองสิ่งที่อยู่ในมือของชายหนุ่มอย่างพร้อมเพรียงกัน  คนถูกถามอึ้งค้างก่อนจะก้มลงไปมองบ้างพบว่าในมือมีแปรงสีฟันอันโปรดที่เขาถือลงมาโดยไม่รู้ตัว

                   
          ฮ่า ฮ่า  เสียงหัวเราะสนั่นลั่นทุ่งดังติดต่อกันเป็นเวลานานจนต่างฝ่ายต่างอ้าปากพะงาบๆด้วยขาดอากาศหายใจเพราะมัวแต่หัวเราะนั่นเอง  เจ้าตัวส่งยิ้มเจื่อนๆให้เพื่อนๆทั้งหลายก่อนจะยัดมันลงไปในกระเป๋าด้านในของเสื้อคลุมสีดำ  แล้วทำท่าตวาดเป็นการกลบเกลื่อน      

                   
          "รีบไปกันเถอะ  ข้าว่าคนอื่นๆคงไปรออยู่แล้วล่ะ"  เวสเร่งเพื่อนด้วยน้ำเสียงร่าเริงอย่างก่อน พวกรีบจ้ำอ้าวไปตามถนนสายหลัก  เสียงฝีเท้าเร่งรีบกับเสื้อคลุมสีดำสนิทของพวกเขาดูราวกับจะกลืนไปกับสีของราตรีกาล  คล้ายเหล่าภูตพรายออกเดินท่องยามราตรีที่ร้างไร้มนุษย์  ผู้ใช้เวทอีกหลายกลุ่มทยอยเดินออกมาจากตรอกซอกซอยต่างๆมาสมทบแล้วมุ่งหน้าไปยังจุดหมายเดียวกัน

                    
             เส้นทางลัดอันคดเคี้ยวพาพวกเขาทะลุถึงลานกว้างซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของสถาบันวิจัยแห่งแพนโทเนีย   แสงเดือนดูเหมือนจะจงใจสาดลำมอบความสว่างไสวให้กับพื้นที่โล่งกว้างตรงหน้าอันมีเงาดำกลุ่มหนึ่งยืนนิ่งคล้ายรอคอยบางสิ่งอยู่  ครั้นสืบเท้าเข้าไปใกล้พบว่าเป็นชายวัยกลางคนพร้อมเหล่าคณาจารย์มายืนคอยอยู่ก่อนแล้ว

                   
            ด้วยเวลาเพียงไม่นานผู้ใช้เวททั้งหมดก็มาถึงจนครบ  ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบจนสองหูได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านตัว  ครั้นแล้วหัวหน้าคณาจารย์จึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบแต่กลับได้ยินชัดเจนราวกับเอื้อนเอ่ยอยู่ข้างหู 

                   
           "จากการลงมติด้วยเสียงสามในสี่ของสภาขุนนางตามเรื่องที่ข้าเสนอเข้าไป"  ชายวัยกลางคนเว้นจังหวะเล็กน้อย "นั่นคือการอนุญาตให้ใช้เวททดลองในการแก้ไขเหตุการณ์นี้  เนื่องด้วย.........."   หัวหน้าคณาจารย์จะว่าอย่างไรต่อจากนั้นบ้าง เวสก็ไม่ได้ยินอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มยืนนิ่งงั้นคล้ายร่างกายทุกส่วนถูกตรึงแน่น  นัยน์ตาสีเทาฉายประกายรวดร้าวอย่างรุนแรงประหนึ่งว่าได้สูญเสียสิ่งสำคัญยิ่งไป  สองมือข้างลำตัวกำแน่นจิกเล็บจนเลือดซิบ 

                   
           มาร์คัสยกมือขึ้นแตะบ่าเพื่อนเบาๆโดยไม่ได้พูดอะไร  เมอร์สและคนอื่นๆค่อยๆแยกตัวออกไปจับกลุ่มรวมกันอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ

                   
           โชวี่เป็นตัวแทนของกลุ่มเดินเข้าไปพูดคุยกับแรนดัลและเหล่าคณาจารย์เกี่ยวกับเรื่องเวททดลอง ซึ่งเป็นผลงานเมื่อครั้งยังศึกษาอยู่ในวิทยาลัย  ชายวัยกลางคนพยักเบาๆเป็นเชิงบอกว่ารับรู้และจำได้กับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ในอดีตของนักศึกษาเวทมิคาเอลและเวส 
    "เด็กนั่น......"  เสียงอีกฝ่ายสั่นน้อยๆยามเอ่ยถึง  "คงดีใจน่าดู  ถ้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวทุ่มเทได้ถูกนำมาช่วยเหลือผู้คนอย่างที่เคยหวัง  เจ้าว่าไหม?"

               
           "ครับ"  โชวี่รับคำเบาๆแล้วถอยออกมาเพื่อจะเตรียมการ  มุมปากขยับยกยิ้มเศร้า  ชายหนุ่มหันไปหาเพื่อนแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เตรียมตัวเริ่มงาน

                   
           เมฆก้อนโตเคลื่อนตัวเข้ามาบังแสงอ่อนจางของดวงจันทร์ไปจนหมดสิ้น  พร้อมๆกับความมืดค่อยๆแผ่ขยายเข้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณและ....รวมไปถึงหัวใจของใครอีกหลายคนด้วย


    ******************

                   
           
    ภาพในวันวาน...

                   
          ยังแจ่มชัดอยู่ในสมอง

                   
          ยังได้ยินเสียงของนายก้องอยู่ในสองหู

                   
          ก่อนจากกัน.......วันนั้น

                   
         
    นายพูดว่าอะไรนะ...... ลาก่อนใช่หรือเปล่า 

                   
          ทำไม่ถึงไม่ได้เอะใจเลยว่านั่น........จะเป็นครั้งสุดท้าย 


    ---------------------------------------------------
    หวัดดีค่าทุกท่าน
    อัพสาย(อีกตามเคย)  ที่จริงจะอัพเมื่อคืนแต่ท่านแม่บัญชาให้นอนไปก่อนเพราะไม่สบาย  แพ้ผงชูรสอ่ะนะ (แปลกๆยังไงก็ไม่รู้เนอะ) กินอยู่ตั้งนานเพิ่งมาแพ้เอาวันนี้555+  เอาละค่าวันนี้มีอะไรจะนำเสนอด้วย 
    แท๊น แท๊น แท้น......เพื่อนสุดที่รัก(บีจังนั่นเอง) วาดไดแอซมาให้ค่ะ  น่ารักอ่ะเห็นแล้วชอบมากๆ เลยเอามาเผยแพร่  เจ้าของฝากบอกว่าช่วยติชมด้วยเจ้าค่ะ      
       เอ้า เชิญชมกันได้ที่นี่เลย
    http://my.dek-d.com/vilvarin/show_picture.php?pid=8322187&user_id=643002
    สุดท่านก็ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน+เม้นท์+ติชมด้วยเจ้าค่ะ            

                     

                     

                   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×