คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : ความทรงจำ....ที่หวาดกลัวนัก
ท่ามกลางทัศนียภาพอันหม่นมัวนั้น
..
เขาคล้ายแลเห็นเงาสลัวรัวรางของใครบางคนยืนอยู่เบื้องหน้า
เมื่อยื่นมือออกไปจะสัมผัส ภาพเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงก็หลั่งไหลผ่านตัวคล้ายน้ำป่าซึ่งบ่าลงมายามพายุฝนกระหน่ำ ชายหนุ่มดูเหมือนจะเข้าใจทุกสิ่งอย่างแจ่มชัด รวมไปถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ทุกอย่างที่ค้างคาใจปรากฏชัดเจนในสมอง
แสงสว่างสีขาวเหมือนครั้งก่อนปรากฏขึ้นพร้อมกลืนกินร่างของเขาจนมิด พร้อมกับที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนค่อยปรือลงช้าๆ ความคิดสุดท้ายผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ริมฝีปากค่อยขยับเอ่ยถ้อยคล้ายเป็นการให้สัญญา
"ข้าจะช่วยท่านทุกอย่าง........ช่วยทุกอย่าง........"
********************
"มาร์ค๊าส จะไปหนายยยยย" โชวี่ร้องเสียงหลงเมื่อเพื่อนของตนลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเตียงแถมยังมีท่าทางเหมือนจะออกวิ่งไปนอกห้องเสียด้วยซ้ำ
"เดี๋ยวเซ่ เวส เฮ้ย เวสตื่น......"
ชายหนุ่มถูกลากด้วยแรงระดับไบซันที่ไดแอซเคยเปรียบเปรยไว้จนเซถลาไปด้านหน้า ตัวเองจึงจำต้องยกอวัยวะเบื้องล่างพร้อมส่งลูกถีบหลังไปยันเวสที่กำลังหลับอุตุน้ำลายยืดให้ตื่นขึ้นมาช่วยกันอีกแรงหนึ่ง ฝ่ายคนถูกถีบหงายหลังลงไปกองกับพื้นตามด้วยเสียงบ่นงึมงำ ก่อนจะได้สติเพราะเสียงร้องของเพื่อน
ตึง
โครม
และแล้วสองแรงก็ช่วยกันกดมาร์คัสให้นอนลงบนเตียงได้จนสำเร็จ "เอาไงดี" เวสหันมาถามขณะทุ่มแรงทั้งหมดไปยังแขนทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสลุกขึ้นอีกรอบ "ก็ใช้ไอ้เวทที่เจ้าภูมิใจหนักหนาจัดการมันดิ" โชวี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก "จะบ้าเรอะ เดี๋ยวก็ได้เกรียมกันพอดีหรอก" ชายหนุ่มผมแดงว๊ากใส่เพื่อนพลางเสกเชือกเส้นบางมามัดตัวคนบนเตียง
"บางยังงี้ ดิ้นซักสองทีก็หลุดแล้ว"
"ปึด"
"อ้าวนั่น เห็นไม๊ ไม่ทันขาดคำ" โชวี่ว่าหน้าตาเฉย "งั้นเจ้าก็จัดการเองเสียสิ" เวสหันมาบอก ชายหนุ่มข้างตัวจึงเสกเชือกขนาดพอๆกับข้อมือมามัดเสียจนมาร์คัสแทบจะกลายเป็นแหนมทีเดียว คนถูกมัดที่สงบสติลงได้แล้วถอนหายใจอย่างปลงตกเต็มแก่กับเพื่อนรักทั้งสอง
"นี่พวกเจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไรไม่ทราบ" เขาถามออกมาในที่สุด แต่สหายทั้งคู่ก็ยังคงยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี "ก็คนอะดิถามได้" สองเสียงพร้อมใจกันตอบด้วยท่าทางไม่ลังเลอะไรเลย จนคนบนเตียงเกิดอารมณ์อยากสลัดเชือกลุกขึ้นมาบีบคอเสียให้รู้แล้วรู้รอดกันไปข้างหนึ่ง
"เป็นอะไรไป ตื่นปุ๊ปก็จะลุกขึ้นวิ่งท่าเดียว" เวสยื่นหน้าเข้ามาถาม "ข้ามีเรื่องจะไปพบท่านแรนดัล" ชายหนุ่มตอบกลับทำเอาคนเป็นเพื่อนถึงกับงงเต๊กไปเลยทีเดียว "ใจเย็นก่อนสิ มีเรื่องหรือ" ฝ่ายนั้นถามต่อ แต่คนบนเตียงที่ถูกมัดขยับตัวไปมาด้วยรำคาญเชือกเส้นหนานั้น พลางส่งสายตาอาฆาตแค้นไปหาคนทำที่ยืนอยู่ข้างๆกัน
เมื่อโชวี่เหลือบไปเห็นก็รีบคลายเชือกให้ทันที ฝ่ายนั้นจึงลุกขึ้นนั่งแล้วสะบัดเนื้อสะบัดตัวสองสามทีก่อนเหลือบมองสภาพรอบๆห้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายประกายสงสัย แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถามอะไรคนเป็นเพื่อนก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน
"มาร์คัส ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่" เวสลากเก้าอี้มานั้งข้างๆเตียงขณะที่โชวี่เดินไปรินน้ำชามาส่งให้คนถูกถาม "พอข้าเข้ามาก็เจอพวกเจ้าสลบอยู่กับพื้นแล้ว ตกใจแทบแย่นึกว่าเป็นอะไรไปแล้วเสียอีก" ชายหนุ่มเล่าเรื่องรัวๆพลางมองเพื่อนที่มีสีหน้าแปลกๆด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าหมอจะยืนยันนั่งยันมาสิบกว่ารอบว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้วก็ตาม คงเพราะช่วงนี้มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นบ่อยก็เป็นได้
มาร์คัสยกมือขึ้นแตะบริเวณมุมปากที่เคยเปื้อนเลือดเบาๆ หูยังฟังเสียงเปรยต่อด้วยความแปลกใจของเพื่อน "ข้าวของในห้องก็ระเนระนาดไปหมด อย่างกับระเบิดลงแน่ะ" คำพูดที่พาให้ภาพเหล่านั้นย้อนกลับมาสู่สมองอีกครั้ง แสงสว่างเจิดจ้ากับแรงระเบิดของพลังจากตัวเด็กหนุ่ม "แล้ว....พวกเจ้าได้ยินเสียงระเบิดบ้างไหม" เขาถามขัดขึ้น
"ไม่นี่" โชวี่เป็นฝ่ายเอ่ยตอบ "วันนั้น......." ชายหนุ่มลากเสียงเล็กน้อยคล้ายกำลังนึกทบทวนความทรงจำ "พวกข้ามากระจุกกันที่ห้องเมอร์สตั้งแต่เช้าแล้ว ยังแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ไม่เห็นพวกเจ้า แต่นึกว่าท่านแรนดัลเรียกไปพบน่ะ พอตอนบ่ายๆลงไปถามเอาจากคนข้างล่างก็บอกว่าไม่เห็นพวกเจ้าลงมา เลยส่งสัตว์เสกออกไปตาม" เจ้าตัวหันไปพยักเพยิดกับคนข้างๆตัว "แต่สักพักพลังมันดีดกลับ ทำเอาข้าสังหรณ์ใจแปลกๆ เลยลองตามรอยจนถึงห้องพวกเจ้านั่นล่ะ เคาะเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบใช้เวทปลดกลอนก็ดีดกลับหมด ต้องพังประตูเข้าไปแทน"
ถึงประโยคสุดท้ายคนพูดลดเสียงลงแถมส่งยิ้มเฝื่อนๆก่อนรีบเอ่ยต่อเมื่อเห็นมาร์คัสหันขวับไปมองประตูอย่างแทบจะทันทีที่พูดจบ "ไม่ต้องห่วงหรอกนะข้าซ่อมให้แล้วล่ะ"
"แล้ว........." คนบนเตียงทำท่าจะพูดต่อด้วยตั้งแต่ตื่นมายังไม่เห็นหน้าเด็กหนุ่มตัวต้นเหตุเลย "ไดแอซ นะเหรอ" อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นราวรู้ใจ "รายนั้นตื่นปุ๊ปก็ออกไปเดินเล่นปั๊ป รู้สึกว่าจะออกไปตั้งนาน........"
"เฮ้ย มาร์คัสจะไปไหนน่ะ" โชวี่ร้องถามเมื่อชายหนุ่มลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมตัวหนามาสวมแล้วตั้งท่าจะออกจากห้อง "จะไปหาไดแอซ" เขาหันมาตอบ "แล้วท่านแรนดัลล่ะ" โชวี่นึกในใจ "ก็บอกว่าจะไปหาอยู่แหมบๆ แถมยังทำท่ากระตือรือร้นเสียขนาดนั้น สงสัยจะเปลี่ยนใจแล้วมั้ง เฮ้อ..........ข้าล่ะไม่เข้าใจมันจริงๆ"
"เจ้านั่นน่ะ........." เวสอ้าปากค้างเนื่องจากร่างสูงของเพื่อนลับหายไปหลังบานประตูเสียก่อนที่เขาจะทันได้บอกรายละเอียดอะไร จึงตรงเข้าไปลากแขนโชวี่ซึ่งยืนเอ๋ออยู่กลางห้องให้ตามมาด้วยกัน
จากนั้นอีกไม่กี่วินาทีแทบทุกคนในอาคารสี่ชั้นนี้ก็ได้ยินเสียงแหกปากของชายหนุ่มที่มีนามว่าโชวี่อย่างถนัดชัดเจน
"เดี๋ยวเซ่.................ก็บอกว่าไม่... จ๊ากกกกกกกก"
เป็นเสียงที่ดังติดต่อกันลงมาตั้งแต่บันไดชั้นสามยันชั้นหนึ่ง ด้วยเวสลากเขาวิ่งทั่กๆลงบันไดมาด้วยความเร็วสูงแบบไม่มีเบรคจนถึงชั้นล่างทีเดียว หลังหยุดพักให้หัวใจที่มันเต้นโครมครามสงบลงเจ้าตัวจึงได้เห็นเพื่อนตัวเองซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าวิ่งวนไปวนมาพลางมองหาพร้อมเรียกชื่อเด็กหนุ่ม "เหมือนทำลูกหมาหายไม่มีผิด" เขาแอบนึกในใจ
ขณะที่เวสพยายามจะพูดกับมาร์คัส แต่ดูเหมือนว่ารายนั้นจะมองเลยเขาเสียทุกทีไปทำให้ชายหนุ่มมีท่าทางเหมือนกำลังคุยกับโต๊ะเก้าอี้หรือไม่ก็กำแพงอยู่มากกว่า ดีแต่ช่วงนี้เป็นเวลาค่อนบ่ายทำจึงไม่ค่อยมีคนมากนัก ไม่เช่นนั้นโชวี่คงต้องออกไปหาปี๊ปมาคลุมหัวให้สองคนนี้เป็นแน่
"นี่ มาร์คัส หยุดฟังข้า......."
"เดี๋ยวสิ"
ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่เกิดผลขึ้นมาสุดท้ายเวสจึงถอยออกมายืนดูเพื่อนหัวหมุนด้วยอาการปลงตกแทน "เอาเถอะเดี๋ยวก็เจอไดแอซเองล่ะ" โชวี่เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นหลังมองตามมาร์คัสที่เห็นหลังไวไวอยู่ตรงทางเดินชั้นสอง "หวังว่าคงไม่เหนื่อยตายซะก่อน" เวสเสริมกึ่งประชดแล้วทำท่าจะหันหลังกลับ "ไปทำงานต่อเหอะ รู้สึกว่าเมอร์สจะได้ข่าวอะไรดีๆมาด้วย" แล้วทั้งสองก็ปล่อยให้มาร์คัสวิ่งวนหาไดแอซต่อไปตามบุญตามกรรม
*********************
ฝ่ายมาร์คัสก็เริ่มออกอาการเหนื่อยหอบแฮ่กๆคาบันไดทางขึ้นดาดฟ้าซึ่งเขาเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ขึ้นไปสำรวจและคาดว่าเด็กหนุ่มอาจจะอยู่บนนั้น
ปัง
ชายหนุ่มส่งแรงทั้งหมดไปยังไหล่เพื่อกระแทกให้ประตูไม้ซึ่งค่อนข้างฝืดเอาการเปิดออก ลมเย็นเยียบพัดวูบหอบเอากลิ่นอายของหิมะสวนเข้ามาตามช่องว่างของประตูในทันที ครั้นปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างจ้าของภายนอกได้แล้วจึงเหลือบไปเห็นร่างในชุดขาวยืนอิงกับระเบียงอยู่ตรงมุมของดาดฟ้าอย่างไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเย็น
เส้นผมสีดำสนิทซึ่งยาวประบ่าและผ้าพันคอสีหม่นปลิวไสวขึ้นจากสายลมอันอ่อนเบาซึ่งพัดผ่านมาไม่ขาดระยะ ชายหนุ่มห่อตัวเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปใกล้คนที่เขาวิ่งหาให้วุ่น เสียงรอยเท้าย่ำผ่านหิมะบางที่ยังไม่ได้กวาดออกเบาๆเรียกให้เด็กหนุ่มหันกลับมามอง
"ไดแอซ"
อีกฝ่ายเรียกชื่อของเด็กหนุ่มด้วยเสียงเข้มติดจะดุทำเอาคนฟังหัวใจหล่นตุ๊บลงไปกองอยู่ตรงฝ่าเท้าทีเดียว "มายังงี้มีหวังข้าโดนดุหูชาแหงๆ" เจ้าตัวแอบคิดในใจก่อนทำใจดีสู้เสือส่งยิ้มไปให้
"เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกันแน่" คำถามแรกเป็นสิ่งที่ค้างคาใจของเขามาตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็ว่าได้ แต่คนถูกถามกลับทำหน้าเหวอไปเล็กน้อย "อะ....อะไร" ท่านหมายความว่ายังไง เขาตะกุกตะกักอย่างไม่เข้าใจในความหมายของอีกฝ่ายเท่าใดนัก
"ก็เมื่อวาน....ที่เจ้า..." ชายหนุ่มเองก็ชะงักไปคล้ายไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี กระนั้นก็พอทำให้ไดแอซปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้จากท่าทางของอีกฝ่าย "รู้เรื่องของท่านเวนตุสแล้วสินะ" เด็กหนุ่มกลับเอ่ยถามแทนคำตอบ มาร์คัสพยักหน้ารับเบาๆ "เหตุการณ์ตอนนั้น.......ก็ด้วย?" ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง
"ส่วนเรื่องเมื่อวาน........ดูเหมือนว่าอะไรสักอย่างในตัวเขาจะไปปลุกบางสิ่งในตัวข้าขึ้นมา" ไดแอซเอ่ยต่อ "คงเป็นความทรงจำที่หายไปกระมัง" รอยยิ้มขื่นๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าติดจะหล่อนั้น "ข้าฝัน.......ถึงผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นฝันที่เลือนรางพอจะนึกย้อนกลับจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง"
ลมหนาวพัดแรงหอบเอาละอองหิมะปลิวฟุ้งขึ้นจากพื้นเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทีเศร้าๆของอีกฝ่ายชายหนุ่มจึงไม่ได้ซักอะไรต่อทั้งๆที่ในใจมีคำถามอีกร้อยแปดประการก็ตาม มือหนาวางลงบนบ่าของคนข้างตัวเบาๆแทนคำให้กำลังใจ "เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว..." เสียงทุ้มว่า ขณะนัยน์ตาทั้งคู่เหม่อเล็กน้อยคล้ายกำลังนึกไปถึงบางสิ่งในอดีต
ความเงียบเข้าปกคลุมบริเวณนั้นไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนเสียงกระดิ่งต้องลมจะดังขึ้นเบาๆจากเบื้องล่าง มาร์คัสขยับดึงเสื้อคลุมให้กระชับตัว "มีบางอย่างที่น่าแปลก...... ข้าจำได้ว่าตอนนั้นพลังของเจ้าระเบิดทะลุเขตเวทไปแล้ว แต่พวกเวสกลับบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้ยินเสียงอะไร" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งจะถามไถ่กึ่งจะบอกเล่ากับผู้ร่วมเหตุการณ์ด้วยกัน "พลังของข้า......" ไดแอซเอ่ยทวน "ใช่ เหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด" ครั้นเห็นสีหน้างงงวยจึงค่อยขยายความต่อ "วันที่เจ้าจัดการหนูจิ๋วยักษ์นั่นอย่างไรล่ะ"
"เหมือน.....เหรอ" เด็กหนุ่มพึมพำราวกับพยายามจะนึกให้ออก "ไม่รู้สิ" นี่สุดเจ้าตัวก็ส่ายหน้าแรงๆ "ข้าจำไม่ได้อีกแล้ว" น้ำเสียงนั้นเหมือนจะตัดพ้อเอากับตนที่ดูเหมือนจะเป็นคนไร้ค่าเสียเหลือเกิน รังแต่จะเป็นตัวถ่วงให้คนอื่นต้องช่วยเหลือเรื่อยไป
รู้สึกว่า..............โลกนี้ช่างไม่เหมาะกับเขาเอาเสียเลย
นัยน์ตาสีฟ้าหม่นเศร้าเลื่อนลอย แท้จริงแล้วในอดีตเขาเคยเป็นใครกัน บุคคลผู้นั้นจะเคยรู้สึกเช่นเดียวกับเขาในตอนนี้บ้างไหม
บางที.....สวรรค์อาจลงโทษก็เป็นได้ จึงต้องกลายมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ รอยยิ้มคล้ายเยาะเย้ยผุดขึ้นบนใบหน้าอันแฝงไปด้วยริ้วรอยของความเศร้าหมอง
"ไดแอซ"
น้ำเสียงทุ้มเรียกเขาอย่างอ่อนโยนอีกครา "ดูนั่นสิ" นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบแลไปยังทิศทางที่ว่า ปรากฏเป็นลำแสงสีจางค่อยๆสาดแทงทะลุแพเมฆหนาลงมายังพื้นดินเบื้องล่างช้าๆ ก่อนเปล่งประกายสีทองระยับอาบตัวเมือง ครั้นแล้วก็กลับกลืนหายไปด้วยถูกก้อนเมฆหนาเคลื่อนเข้ามาบดบังเสียสิ้น
"สวยไหม" ชายหนุ่มถามอีกครั้ง ไดแอซจึงรับคำเบาๆ "นั่นก็เหมือนกับชีวิตคน มีทั้งดีและร้าย สุขและทุกข์ สลับสับเปลี่ยนกันไปคล้ายลำแดดที่ส่องลงมาเพียงชั่วประเดี๋ยวก็ถูกกลืน กระนั้น.....แม้ชีวิตจะต้องพบพานกับสิ่งเลวร้ายเพียงใด ย่อมต้องมีวันอันแสนงดงามรอคอยเจ้าอยู่......ข้าเชื่อเช่นนั้น" เด็กหนุ่มถอนใจเบา ปรากฏรอยยิ้มเศร้าบนริมฝีปากนั้นอีกครั้ง "น่ากลัวว่าวันนั้นคงจะมาไม่ถึงข้าเป็นแน่"
"พวกเราก็กลับลงไปกันเถอะ ข้างบนนี้อากาศหนาวออกเดี๋ยวจะไม่สบายเอา" มาร์คัสบอก เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนอยู่ที่เดินจึงกล่าวต่อ "ไม่เป็นไรหรอก อีกไม่นานความทรงจำของเจ้าก็จะกลับมาแล้ว" เขาหันหลังเตรียมจะออกเดินยังประตูไม้
"หมับ" ไดแอซกลับคว้าชายเสื้อคลุมนั้นไว้
"ข้ากลัว.........."
เขาชะงักเท้าก่อนหันกลับมาหาเด็กหนุ่มซึ่งยืนก้มหน้าอยู่ แม้เจ้าของจะพยายามบังคับอารมณ์เต็มที่แต่สองมือที่กำเสื้อเขาไว้นั้นสั่นระริก "มีอะไรหรือ?" เอ่ยด้วยความห่วงใยดุจพี่ถามไถ่ต่อน้อง "พอจะบอกข้าได้ไหม?"
"ข้า......กลัวตัวตนในอดีต กลัวความทรงจำ กลัวเรื่องราวทั้งหมด" น้ำเสียงนั้นสั่นเครือ "ทุกครั้ง....ในฝันที่มีแต่ความมืด........... ข้ารู้สึกได้ถึงความหวาดผวา ความชิงชัง ความเจ็บปวด ความเหงา ข้าน่ะ....ความรู้สึกเหล่านั้นไม่อยากจะรับรู้อีกแล้ว มันเจ็บปวด.....ทรมาน......."
"หวาดกลัวเหลือเกิน จนแทบอยากจะหนีไปเสียให้พ้น.....จากโลกนี้"
มาร์คัสเอื้อมมือไปแตะบ่าทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเอาไว้พบว่าตัวของอีกฝ่ายก็สั่นเทาเช่นเดียวกัน แว่วเสียงปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนของชายหนุ่มแทรกผ่านสายลม ขณะที่ปุยสีขาวของหิมะปลายฤดูหมุนพลิ้วลงมาจากฟากฟ้าอย่างแผ่วเบาต้องกายของทั้งสองคล้ายช่วยแบ่งรับเอาความเศร้าไปจากหัวใจอันหม่นมัวไปบ้าง
******************
ไดแอซนั่งนิ่งอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง เนื่องจากมาร์คัสมีธุระต้องออกไปในตัวเมือง แสงสว่างอ่อนจางแผ่ออกมาจากลูกไฟซึ่งลอยอยู่เหนือศีรษะเขา เด็กหนุ่มพยายามลองใช้พลังในหลายๆรูปแบบตามความรู้ที่ค่อยๆผุดขึ้นมาสมอง
เขาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง มือกำผ้าห่มเอาไว้แน่นจนเกิดรอยยับเป็นวงกว้าง การฝันถึงเรื่องราวต่างๆ ไม่ปะติดปะต่อ หากเคยคุ้นเหมือนได้พบมาแล้ว ล้วนเป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานความทรงจำทั้งหมดของเขาใกล้จะกลับคืนมาแล้ว
นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววครุ่นคิด "หากจำเรื่องทั้งหมดได้จริงๆแล้วเขาจะทำเช่นไร ควรจะต้องกลับไปยังที่ที่จากมาหรือไม่ เขาจะทำอย่างไรดี......" เด็กหนุ่มอดคิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ถึงแม้ใจจะยังหวาดกลัวในสิ่งเหล่านี้อยู่ก็ตามที
ขณะเดียวกันอากาศว่างเปล่าตรงหน้าค่อยก่อรูปขึ้นเป็นร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้ม ดวงตาสีอ่อนทอดมองท่าทางของคนที่นั่งอยู่บนเตียง เขาค่อยสาวเท้าเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าไดแอซ คนที่นั่งก้มหน้านิ่งคล้ายรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองจึงเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อได้เห็นชายหนุ่ม
ร่างอันโปร่งบางนั้นทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง "ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน" ฝ่ายนั้นกล่าวเบาๆ "ข้า......ไม่เป็นอะไรหรอก" เด็กหนุ่มบอกปัดแต่ร่างโปร่งยังคงกล่าวต่อ "ยังดีที่ข้าเข้ามาแก้ไขได้ทัน ถึงจะทำไปแบบไม่รู้ตัวก็เถอะนะ" ชายหนุ่มเล่ากึ่งอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงยับยั้งพลังอันรุนแรงเหล่านั้นไว้ได้ และด้วยวิธีใด
"พลังอะไรนั่น เกี่ยวอะไรกับท่านกันแน่" ไดแอซสวนขึ้นมาทันที "เรื่องนั้นน่ะ......ข้าเองก็เคยบอกเจ้าไปแล้วว่าจำไม่ได้" อีกฝ่ายพูดอย่างใจเย็น "แต่ว่า.....ข้าเองเหมือนจะนึกอะไรได้ขึ้นมาลางๆ พลังแบบนี้...........เรียกว่ามนตรา"
คำที่จอมปราชญ์เคยบอกเขาผ่านเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง วันนั้นรับฟังแล้วหลงลืมไป ไม่ทันได้นึกย้อน
มนตรา..............
เฟลูทีเน่.....................
เขาเกี่ยวข้องอะไรกับอาณาจักรนี้กัน หรือว่า..................นั่นคือที่ที่เขาได้จากมา
******************
มาร์คัสกระชับเสื้อคลุมสีเข้มอย่างผู้ใช้เวทก่อนออกเดินตรงเข้าไปในตัวเมืองท่ามกลางเกล็ดบางที่โปรยลงมาอย่างไม่ขาดสาย สองเท้าย่ำไปบนพื้นพรมสีขาวซึ่งปูลาดไปตามถนนเบื้องหน้า ตัวเมืองย่านนี้ในยามค่อนบ่ายดูเงียบเหงาร้างผู้คน จะกลับมาคึกคักอีกทีก็ตกเวลากลางคืน ร้านอาหารหลายร้านที่เขาเดินผ่าน บรรดาพ่อครัวแม่ครัวยังคงวุ่นวายอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบต่างๆ
ควันไฟพวยพุ่งขึ้นมาจากปล่องไฟของบ้านแทบจะทุกหลัง เนื่องด้วยชาวแพนโทเนียส่วนใหญ่ยังคงนิยมใช้ฟืนซึ่งมาจากไม้ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวมากกว่าลูกไฟเวท แม้ความสะดวกสบายจะต่างกันลิบลับก็ตาม
ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาย่ำหิมะจนร่างของใครคนหนึ่งเดินสวนไปโดยไม่รู้ตัว ฝ่ายนั้นชะงักแล้วหันกลับมาเรียกเขา
เสียงใสราวระฆังเงินซึ่งคุ้นหูขานนามอย่างอ่อนหวาน รอยยิ้มที่หญิงสาวส่งมาให้ช่วยลดความหนาวเย็นของบรรยากาศรอบด้านลงไปโขทีเดียว เขาสาวเท้าเข้าไปหาเจ้าของเสียงพลางเอ่ยปากถาม "ไม่ทราบเจ้าจะไปไหนหรือ"
รอยยิ้มที่คล้ายดวงตะวันปรากฏขึ้นอีกครา ดวงตาสีมรกตเปล่งประกายสดใส "ข้าออกมาเดินเล่นนิดหน่อย แล้วท่าน....". ริมฝีปากชมพูขยับเอื้อนเอ่ย "ข้ากำลังจะไปพบท่านแรนดัลสักหน่อย" เขาตอบ "เจ้า.......เอ้อ จะเดินไปกับข้าไหม" คนถามมีท่าทางแปลกๆด้วยรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นในจังหวะที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ฝ่ายอาซาเลียนั้นยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าตอบรับคำชวน
สองร่างเดินเคียงกันไปกลางทัศนียภาพอันหนาวเย็น เสียงพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบลอยละล่องอยู่ท่ามกลางความเหน็บหนาว "แล้วเจ้าหญิงลีเมย์ทรงเป็นอย่างไรบ้าง" มาร์คัสเอ่ยถามเมื่อการสนทนาวกกลับเข้าสู่เรื่องนี้ "ข้ารู้สึกว่าดวงวิญญาณของนางอ่อนพลังลงมากจนแทบจะปรากฏร่างหรือเคลื่อนไหวไม่ค่อยได้ พวกท่าน....." เสียงหวานแฝงแววเคร่งเครียดด้วยรู้ว่าเวลาของผู้ที่กำลังพูดถึงนั้นเหลืออยู่ไม่มากแล้ว "ข้าจะพยายามหาวิธีให้เร็วที่สุด" ชายหนุ่มให้คำมั่น
ลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง ร่างบางสั่นสะท้านเล็กน้อยกับสัมผัสอันเย็นเฉียบ มาร์คัสปลดผ้าพันคอหนานุ่มออกแล้วคลี่มันคลุมให้หญิงสาวข้างกาย เสียงหวานเอ่ยคำขอบคุณเบาๆพร้อมพวงแก้มแต่งแต้มด้วยสีชมพูเรื่ออย่างน่ารัก มือหนาค่อยๆยื่นไปคว้ามือเรียวมากุมกระชับแน่นอย่างทะนุถนอม ก่อนออกเดินไป.........ด้วยกัน
รอยเท้าสองรอยเคียงกันไป แม้อีกไม่นานจะถูกฝังกลบ หากความรู้สึกดีๆที่มีต่อกันหาได้ลบเลือนไปตามกาลเวลาไม่ กลับยิ่งเพิ่มพูนขึ้นในหัวใจของคนสองคนทีละเล็กทีละน้อย............จนก่อเกิดสิ่งซึ่งยึดโยงพวกเขาเอาไว้ด้วยกัน
สิ่งนั้น........เรียกว่าความรัก
--------------------------------------------------------------------
หวัดดีค่าทุกๆท่าน
ก็ยังคงอัพดึกๆเช่นเดิม แหะๆมัวแต่ไปเที่ยว+อ่านหนังสืออยู่อ่ะค่ะ คงต้องรีบจรลีไปนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าละเจ้าค่ะ
ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน+เม้นท์ด้วยน๊า
ความคิดเห็น