ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #23 : ความทรงจำ....ที่หวาดกลัวนัก

    • อัปเดตล่าสุด 25 เม.ย. 50


                   
          ท่ามกลางทัศนียภาพอันหม่นมัวนั้น
    ……..

                   
          เขาคล้ายแลเห็นเงาสลัวรัวรางของใครบางคนยืนอยู่เบื้องหน้า

                   
          เมื่อยื่นมือออกไปจะสัมผัส  ภาพเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงก็หลั่งไหลผ่านตัวคล้ายน้ำป่าซึ่งบ่าลงมายามพายุฝนกระหน่ำ  ชายหนุ่มดูเหมือนจะเข้าใจทุกสิ่งอย่างแจ่มชัด  รวมไปถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
      ทุกอย่างที่ค้างคาใจปรากฏชัดเจนในสมอง

                   
          แสงสว่างสีขาวเหมือนครั้งก่อนปรากฏขึ้นพร้อมกลืนกินร่างของเขาจนมิด  พร้อมกับที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนค่อยปรือลงช้าๆ ความคิดสุดท้ายผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ริมฝีปากค่อยขยับเอ่ยถ้อยคล้ายเป็นการให้สัญญา 

                   
          "ข้าจะช่วยท่านทุกอย่าง........ช่วยทุกอย่าง........"


    ********************

               
          "มาร์ค๊าส  จะไปหนายยยยย"   โชวี่ร้องเสียงหลงเมื่อเพื่อนของตนลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเตียงแถมยังมีท่าทางเหมือนจะออกวิ่งไปนอกห้องเสียด้วยซ้ำ

                   
          "เดี๋ยวเซ่  เวส  เฮ้ย เวสตื่น......" 

                    
              ชายหนุ่มถูกลากด้วยแรงระดับไบซันที่ไดแอซเคยเปรียบเปรยไว้จนเซถลาไปด้านหน้า ตัวเองจึงจำต้องยกอวัยวะเบื้องล่างพร้อมส่งลูกถีบหลังไปยันเวสที่กำลังหลับอุตุน้ำลายยืดให้ตื่นขึ้นมาช่วยกันอีกแรงหนึ่ง  ฝ่ายคนถูกถีบหงายหลังลงไปกองกับพื้นตามด้วยเสียงบ่นงึมงำ ก่อนจะได้สติเพราะเสียงร้องของเพื่อน 

                   
          ตึง

                   
         
    โครม

                   
           
    และแล้วสองแรงก็ช่วยกันกดมาร์คัสให้นอนลงบนเตียงได้จนสำเร็จ 
    "เอาไงดี"  เวสหันมาถามขณะทุ่มแรงทั้งหมดไปยังแขนทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสลุกขึ้นอีกรอบ  "ก็ใช้ไอ้เวทที่เจ้าภูมิใจหนักหนาจัดการมันดิ"  โชวี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก  "จะบ้าเรอะ  เดี๋ยวก็ได้เกรียมกันพอดีหรอก"  ชายหนุ่มผมแดงว๊ากใส่เพื่อนพลางเสกเชือกเส้นบางมามัดตัวคนบนเตียง

                   
          "บางยังงี้  ดิ้นซักสองทีก็หลุดแล้ว"

                   
          "ปึด"

                   
          "อ้าวนั่น  เห็นไม๊  ไม่ทันขาดคำ"  โชวี่ว่าหน้าตาเฉย  "งั้นเจ้าก็จัดการเองเสียสิ"  เวสหันมาบอก  ชายหนุ่มข้างตัวจึงเสกเชือกขนาดพอๆกับข้อมือมามัดเสียจนมาร์คัสแทบจะกลายเป็นแหนมทีเดียว  คนถูกมัดที่สงบสติลงได้แล้วถอนหายใจอย่างปลงตกเต็มแก่กับเพื่อนรักทั้งสอง

                   
          "นี่พวกเจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไรไม่ทราบ"  เขาถามออกมาในที่สุด แต่สหายทั้งคู่ก็ยังคงยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี   "ก็คนอะดิถามได้" สองเสียงพร้อมใจกันตอบด้วยท่าทางไม่ลังเลอะไรเลย  จนคนบนเตียงเกิดอารมณ์อยากสลัดเชือกลุกขึ้นมาบีบคอเสียให้รู้แล้วรู้รอดกันไปข้างหนึ่ง

                   
          "เป็นอะไรไป  ตื่นปุ๊ปก็จะลุกขึ้นวิ่งท่าเดียว"   เวสยื่นหน้าเข้ามาถาม  "ข้ามีเรื่องจะไปพบท่านแรนดัล"  ชายหนุ่มตอบกลับทำเอาคนเป็นเพื่อนถึงกับงงเต๊กไปเลยทีเดียว  "ใจเย็นก่อนสิ  มีเรื่องหรือ"  ฝ่ายนั้นถามต่อ  แต่คนบนเตียงที่ถูกมัดขยับตัวไปมาด้วยรำคาญเชือกเส้นหนานั้น  พลางส่งสายตาอาฆาตแค้นไปหาคนทำที่ยืนอยู่ข้างๆกัน  

                   
          เมื่อโชวี่เหลือบไปเห็นก็รีบคลายเชือกให้ทันที  ฝ่ายนั้นจึงลุกขึ้นนั่งแล้วสะบัดเนื้อสะบัดตัวสองสามทีก่อนเหลือบมองสภาพรอบๆห้อง  นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายประกายสงสัย  แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถามอะไรคนเป็นเพื่อนก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน

                   
          "มาร์คัส ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่"  เวสลากเก้าอี้มานั้งข้างๆเตียงขณะที่โชวี่เดินไปรินน้ำชามาส่งให้คนถูกถาม  "พอข้าเข้ามาก็เจอพวกเจ้าสลบอยู่กับพื้นแล้ว  ตกใจแทบแย่นึกว่าเป็นอะไรไปแล้วเสียอีก"  ชายหนุ่มเล่าเรื่องรัวๆพลางมองเพื่อนที่มีสีหน้าแปลกๆด้วยความเป็นห่วง  ถึงแม้ว่าหมอจะยืนยันนั่งยันมาสิบกว่ารอบว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้วก็ตาม   คงเพราะช่วงนี้มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นบ่อยก็เป็นได้

                   
          มาร์คัสยกมือขึ้นแตะบริเวณมุมปากที่เคยเปื้อนเลือดเบาๆ  หูยังฟังเสียงเปรยต่อด้วยความแปลกใจของเพื่อน 
    "ข้าวของในห้องก็ระเนระนาดไปหมด อย่างกับระเบิดลงแน่ะ"  คำพูดที่พาให้ภาพเหล่านั้นย้อนกลับมาสู่สมองอีกครั้ง  แสงสว่างเจิดจ้ากับแรงระเบิดของพลังจากตัวเด็กหนุ่ม  "แล้ว....พวกเจ้าได้ยินเสียงระเบิดบ้างไหม"   เขาถามขัดขึ้น

                   
          "ไม่นี่"  โชวี่เป็นฝ่ายเอ่ยตอบ  "วันนั้น......." ชายหนุ่มลากเสียงเล็กน้อยคล้ายกำลังนึกทบทวนความทรงจำ "พวกข้ามากระจุกกันที่ห้องเมอร์สตั้งแต่เช้าแล้ว  ยังแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ไม่เห็นพวกเจ้า  แต่นึกว่าท่านแรนดัลเรียกไปพบน่ะ  พอตอนบ่ายๆลงไปถามเอาจากคนข้างล่างก็บอกว่าไม่เห็นพวกเจ้าลงมา เลยส่งสัตว์เสกออกไปตาม"  เจ้าตัวหันไปพยักเพยิดกับคนข้างๆตัว  "แต่สักพักพลังมันดีดกลับ  ทำเอาข้าสังหรณ์ใจแปลกๆ เลยลองตามรอยจนถึงห้องพวกเจ้านั่นล่ะ  เคาะเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบใช้เวทปลดกลอนก็ดีดกลับหมด  ต้องพังประตูเข้าไปแทน" 

                   
          ถึงประโยคสุดท้ายคนพูดลดเสียงลงแถมส่งยิ้มเฝื่อนๆก่อนรีบเอ่ยต่อเมื่อเห็นมาร์คัสหันขวับไปมองประตูอย่างแทบจะทันทีที่พูดจบ 
    "ไม่ต้องห่วงหรอกนะข้าซ่อมให้แล้วล่ะ" 

                   
          "แล้ว........."  คนบนเตียงทำท่าจะพูดต่อด้วยตั้งแต่ตื่นมายังไม่เห็นหน้าเด็กหนุ่มตัวต้นเหตุเลย  "ไดแอซ นะเหรอ"  อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นราวรู้ใจ  "รายนั้นตื่นปุ๊ปก็ออกไปเดินเล่นปั๊ป  รู้สึกว่าจะออกไปตั้งนาน........"

                   
           
    "เฮ้ย  มาร์คัสจะไปไหนน่ะ"  โชวี่ร้องถามเมื่อชายหนุ่มลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมตัวหนามาสวมแล้วตั้งท่าจะออกจากห้อง  "จะไปหาไดแอซ"  เขาหันมาตอบ  "แล้วท่านแรนดัลล่ะ"  โชวี่นึกในใจ  "ก็บอกว่าจะไปหาอยู่แหมบๆ แถมยังทำท่ากระตือรือร้นเสียขนาดนั้น สงสัยจะเปลี่ยนใจแล้วมั้ง  เฮ้อ..........ข้าล่ะไม่เข้าใจมันจริงๆ"  

                     
          "เจ้านั่นน่ะ........."  เวสอ้าปากค้างเนื่องจากร่างสูงของเพื่อนลับหายไปหลังบานประตูเสียก่อนที่เขาจะทันได้บอกรายละเอียดอะไร  จึงตรงเข้าไปลากแขนโชวี่ซึ่งยืนเอ๋ออยู่กลางห้องให้ตามมาด้วยกัน

                   
          จากนั้นอีกไม่กี่วินาทีแทบทุกคนในอาคารสี่ชั้นนี้ก็ได้ยินเสียงแหกปากของชายหนุ่มที่มีนามว่าโชวี่อย่างถนัดชัดเจน

                   
          "เดี๋ยวเซ่.................ก็บอกว่าไม่... จ๊ากกกกกกกก"

                   
          เป็นเสียงที่ดังติดต่อกันลงมาตั้งแต่บันไดชั้นสามยันชั้นหนึ่ง  ด้วยเวสลากเขาวิ่งทั่กๆลงบันไดมาด้วยความเร็วสูงแบบไม่มีเบรคจนถึงชั้นล่างทีเดียว หลังหยุดพักให้หัวใจที่มันเต้นโครมครามสงบลงเจ้าตัวจึงได้เห็นเพื่อนตัวเองซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าวิ่งวนไปวนมาพลางมองหาพร้อมเรียกชื่อเด็กหนุ่ม  "เหมือนทำลูกหมาหายไม่มีผิด"  เขาแอบนึกในใจ

                   
          ขณะที่เวสพยายามจะพูดกับมาร์คัส  แต่ดูเหมือนว่ารายนั้นจะมองเลยเขาเสียทุกทีไปทำให้ชายหนุ่มมีท่าทางเหมือนกำลังคุยกับโต๊ะเก้าอี้หรือไม่ก็กำแพงอยู่มากกว่า  ดีแต่ช่วงนี้เป็นเวลาค่อนบ่ายทำจึงไม่ค่อยมีคนมากนัก ไม่เช่นนั้นโชวี่คงต้องออกไปหาปี๊ปมาคลุมหัวให้สองคนนี้เป็นแน่

                   
           
    "นี่ มาร์คัส หยุดฟังข้า......."

                   
          "เดี๋ยวสิ"

                   
          ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่เกิดผลขึ้นมาสุดท้ายเวสจึงถอยออกมายืนดูเพื่อนหัวหมุนด้วยอาการปลงตกแทน 
    "เอาเถอะเดี๋ยวก็เจอไดแอซเองล่ะ"  โชวี่เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นหลังมองตามมาร์คัสที่เห็นหลังไวไวอยู่ตรงทางเดินชั้นสอง  "หวังว่าคงไม่เหนื่อยตายซะก่อน"  เวสเสริมกึ่งประชดแล้วทำท่าจะหันหลังกลับ  "ไปทำงานต่อเหอะ  รู้สึกว่าเมอร์สจะได้ข่าวอะไรดีๆมาด้วย"  แล้วทั้งสองก็ปล่อยให้มาร์คัสวิ่งวนหาไดแอซต่อไปตามบุญตามกรรม


    *********************

                   
          ฝ่ายมาร์คัสก็เริ่มออกอาการเหนื่อยหอบแฮ่กๆคาบันไดทางขึ้นดาดฟ้าซึ่งเขาเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ขึ้นไปสำรวจและคาดว่าเด็กหนุ่มอาจจะอยู่บนนั้น

                   
         ปัง

                   
          ชายหนุ่มส่งแรงทั้งหมดไปยังไหล่เพื่อกระแทกให้ประตูไม้ซึ่งค่อนข้างฝืดเอาการเปิดออก  ลมเย็นเยียบพัดวูบหอบเอากลิ่นอายของหิมะสวนเข้ามาตามช่องว่างของประตูในทันที  ครั้นปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างจ้าของภายนอกได้แล้วจึงเหลือบไปเห็นร่างในชุดขาวยืนอิงกับระเบียงอยู่ตรงมุมของดาดฟ้าอย่างไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเย็น

                   
          เส้นผมสีดำสนิทซึ่งยาวประบ่าและผ้าพันคอสีหม่นปลิวไสวขึ้นจากสายลมอันอ่อนเบาซึ่งพัดผ่านมาไม่ขาดระยะ  ชายหนุ่มห่อตัวเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปใกล้คนที่เขาวิ่งหาให้วุ่น  เสียงรอยเท้าย่ำผ่านหิมะบางที่ยังไม่ได้กวาดออกเบาๆเรียกให้เด็กหนุ่มหันกลับมามอง

                   
          "ไดแอซ"

                   
          อีกฝ่ายเรียกชื่อของเด็กหนุ่มด้วยเสียงเข้มติดจะดุทำเอาคนฟังหัวใจหล่นตุ๊บลงไปกองอยู่ตรงฝ่าเท้าทีเดียว 
    "มายังงี้มีหวังข้าโดนดุหูชาแหงๆ"  เจ้าตัวแอบคิดในใจก่อนทำใจดีสู้เสือส่งยิ้มไปให้ 

                   
          "เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกันแน่"  คำถามแรกเป็นสิ่งที่ค้างคาใจของเขามาตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็ว่าได้  แต่คนถูกถามกลับทำหน้าเหวอไปเล็กน้อย   "อะ....อะไร"  ท่านหมายความว่ายังไง  เขาตะกุกตะกักอย่างไม่เข้าใจในความหมายของอีกฝ่ายเท่าใดนัก

                   
         "ก็เมื่อวาน....ที่เจ้า..."   ชายหนุ่มเองก็ชะงักไปคล้ายไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี  กระนั้นก็พอทำให้ไดแอซปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้จากท่าทางของอีกฝ่าย   "รู้เรื่องของท่านเวนตุสแล้วสินะ"   เด็กหนุ่มกลับเอ่ยถามแทนคำตอบ  มาร์คัสพยักหน้ารับเบาๆ   "เหตุการณ์ตอนนั้น.......ก็ด้วย?"  ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง

                   
          "ส่วนเรื่องเมื่อวาน........ดูเหมือนว่าอะไรสักอย่างในตัวเขาจะไปปลุกบางสิ่งในตัวข้าขึ้นมา"  ไดแอซเอ่ยต่อ  "คงเป็นความทรงจำที่หายไปกระมัง"  รอยยิ้มขื่นๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าติดจะหล่อนั้น  "ข้าฝัน.......ถึงผู้หญิงคนหนึ่ง  เป็นฝันที่เลือนรางพอจะนึกย้อนกลับจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง"

                    
            ลมหนาวพัดแรงหอบเอาละอองหิมะปลิวฟุ้งขึ้นจากพื้นเล็กน้อย  เมื่อเห็นท่าทีเศร้าๆของอีกฝ่ายชายหนุ่มจึงไม่ได้ซักอะไรต่อทั้งๆที่ในใจมีคำถามอีกร้อยแปดประการก็ตาม  มือหนาวางลงบนบ่าของคนข้างตัวเบาๆแทนคำให้กำลังใจ 
    "เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ  ดีแล้ว..." เสียงทุ้มว่า  ขณะนัยน์ตาทั้งคู่เหม่อเล็กน้อยคล้ายกำลังนึกไปถึงบางสิ่งในอดีต

                    
               ความเงียบเข้าปกคลุมบริเวณนั้นไปชั่วขณะหนึ่ง  ก่อนเสียงกระดิ่งต้องลมจะดังขึ้นเบาๆจากเบื้องล่าง  มาร์คัสขยับดึงเสื้อคลุมให้กระชับตัว  
    "มีบางอย่างที่น่าแปลก...... ข้าจำได้ว่าตอนนั้นพลังของเจ้าระเบิดทะลุเขตเวทไปแล้ว  แต่พวกเวสกลับบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ไม่ได้ยินเสียงอะไร"  ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งจะถามไถ่กึ่งจะบอกเล่ากับผู้ร่วมเหตุการณ์ด้วยกัน  "พลังของข้า......"  ไดแอซเอ่ยทวน  "ใช่  เหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด"  ครั้นเห็นสีหน้างงงวยจึงค่อยขยายความต่อ  "วันที่เจ้าจัดการหนูจิ๋วยักษ์นั่นอย่างไรล่ะ"

                   
                "เหมือน.....เหรอ"  เด็กหนุ่มพึมพำราวกับพยายามจะนึกให้ออก  "ไม่รู้สิ"  นี่สุดเจ้าตัวก็ส่ายหน้าแรงๆ  "ข้าจำไม่ได้อีกแล้ว"  น้ำเสียงนั้นเหมือนจะตัดพ้อเอากับตนที่ดูเหมือนจะเป็นคนไร้ค่าเสียเหลือเกิน รังแต่จะเป็นตัวถ่วงให้คนอื่นต้องช่วยเหลือเรื่อยไป  

                   
          รู้สึกว่า..............โลกนี้ช่างไม่เหมาะกับเขาเอาเสียเลย

                   
          นัยน์ตาสีฟ้าหม่นเศร้าเลื่อนลอย  แท้จริงแล้วในอดีตเขาเคยเป็นใครกัน  บุคคลผู้นั้นจะเคยรู้สึกเช่นเดียวกับเขาในตอนนี้บ้างไหม 

                   
          บางที.....สวรรค์อาจลงโทษก็เป็นได้  จึงต้องกลายมาอยู่ในสภาพเช่นนี้  รอยยิ้มคล้ายเยาะเย้ยผุดขึ้นบนใบหน้าอันแฝงไปด้วยริ้วรอยของความเศร้าหมอง

                   
          "ไดแอซ"

                   
          น้ำเสียงทุ้มเรียกเขาอย่างอ่อนโยนอีกครา 
    "ดูนั่นสิ"   นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบแลไปยังทิศทางที่ว่า  ปรากฏเป็นลำแสงสีจางค่อยๆสาดแทงทะลุแพเมฆหนาลงมายังพื้นดินเบื้องล่างช้าๆ  ก่อนเปล่งประกายสีทองระยับอาบตัวเมือง  ครั้นแล้วก็กลับกลืนหายไปด้วยถูกก้อนเมฆหนาเคลื่อนเข้ามาบดบังเสียสิ้น

                   
          "สวยไหม"  ชายหนุ่มถามอีกครั้ง  ไดแอซจึงรับคำเบาๆ  "นั่นก็เหมือนกับชีวิตคน  มีทั้งดีและร้าย สุขและทุกข์  สลับสับเปลี่ยนกันไปคล้ายลำแดดที่ส่องลงมาเพียงชั่วประเดี๋ยวก็ถูกกลืน  กระนั้น.....แม้ชีวิตจะต้องพบพานกับสิ่งเลวร้ายเพียงใด  ย่อมต้องมีวันอันแสนงดงามรอคอยเจ้าอยู่......ข้าเชื่อเช่นนั้น"  เด็กหนุ่มถอนใจเบา  ปรากฏรอยยิ้มเศร้าบนริมฝีปากนั้นอีกครั้ง  "น่ากลัวว่าวันนั้นคงจะมาไม่ถึงข้าเป็นแน่"

                   
          "พวกเราก็กลับลงไปกันเถอะ  ข้างบนนี้อากาศหนาวออกเดี๋ยวจะไม่สบายเอา"  มาร์คัสบอก เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนอยู่ที่เดินจึงกล่าวต่อ  "ไม่เป็นไรหรอก  อีกไม่นานความทรงจำของเจ้าก็จะกลับมาแล้ว"  เขาหันหลังเตรียมจะออกเดินยังประตูไม้ 

                   
          "หมับ"  ไดแอซกลับคว้าชายเสื้อคลุมนั้นไว้ 

                   
          "ข้ากลัว.........."

                     
          เขาชะงักเท้าก่อนหันกลับมาหาเด็กหนุ่มซึ่งยืนก้มหน้าอยู่   แม้เจ้าของจะพยายามบังคับอารมณ์เต็มที่แต่สองมือที่กำเสื้อเขาไว้นั้นสั่นระริก 
    "มีอะไรหรือ?"  เอ่ยด้วยความห่วงใยดุจพี่ถามไถ่ต่อน้อง  "พอจะบอกข้าได้ไหม?"   

                   
          "ข้า......กลัวตัวตนในอดีต  กลัวความทรงจำ  กลัวเรื่องราวทั้งหมด"  น้ำเสียงนั้นสั่นเครือ  "ทุกครั้ง....ในฝันที่มีแต่ความมืด...........  ข้ารู้สึกได้ถึงความหวาดผวา  ความชิงชัง  ความเจ็บปวด  ความเหงา  ข้าน่ะ....ความรู้สึกเหล่านั้นไม่อยากจะรับรู้อีกแล้ว  มันเจ็บปวด.....ทรมาน......."

               
          "หวาดกลัวเหลือเกิน  จนแทบอยากจะหนีไปเสียให้พ้น.....จากโลกนี้"

                   
          มาร์คัสเอื้อมมือไปแตะบ่าทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเอาไว้พบว่าตัวของอีกฝ่ายก็สั่นเทาเช่นเดียวกัน  แว่วเสียงปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนของชายหนุ่มแทรกผ่านสายลม   ขณะที่ปุยสีขาวของหิมะปลายฤดูหมุนพลิ้วลงมาจากฟากฟ้าอย่างแผ่วเบาต้องกายของทั้งสองคล้ายช่วยแบ่งรับเอาความเศร้าไปจากหัวใจอันหม่นมัวไปบ้าง


    ******************

               
          ไดแอซนั่งนิ่งอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง  เนื่องจากมาร์คัสมีธุระต้องออกไปในตัวเมือง  แสงสว่างอ่อนจางแผ่ออกมาจากลูกไฟซึ่งลอยอยู่เหนือศีรษะเขา  เด็กหนุ่มพยายามลองใช้พลังในหลายๆรูปแบบตามความรู้ที่ค่อยๆผุดขึ้นมาสมอง

                   
           
    เขาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง  มือกำผ้าห่มเอาไว้แน่นจนเกิดรอยยับเป็นวงกว้าง  การฝันถึงเรื่องราวต่างๆ ไม่ปะติดปะต่อ  หากเคยคุ้นเหมือนได้พบมาแล้ว  ล้วนเป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานความทรงจำทั้งหมดของเขาใกล้จะกลับคืนมาแล้ว 

                   
          นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววครุ่นคิด 
    "หากจำเรื่องทั้งหมดได้จริงๆแล้วเขาจะทำเช่นไร  ควรจะต้องกลับไปยังที่ที่จากมาหรือไม่  เขาจะทำอย่างไรดี......"   เด็กหนุ่มอดคิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปไม่ได้  ถึงแม้ใจจะยังหวาดกลัวในสิ่งเหล่านี้อยู่ก็ตามที

                   
          ขณะเดียวกันอากาศว่างเปล่าตรงหน้าค่อยก่อรูปขึ้นเป็นร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้ม  ดวงตาสีอ่อนทอดมองท่าทางของคนที่นั่งอยู่บนเตียง  เขาค่อยสาวเท้าเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าไดแอซ   คนที่นั่งก้มหน้านิ่งคล้ายรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองจึงเงยหน้าขึ้นมา  นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อได้เห็นชายหนุ่ม

                   
          ร่างอันโปร่งบางนั้นทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง  
    "ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน"  ฝ่ายนั้นกล่าวเบาๆ    "ข้า......ไม่เป็นอะไรหรอก"  เด็กหนุ่มบอกปัดแต่ร่างโปร่งยังคงกล่าวต่อ  "ยังดีที่ข้าเข้ามาแก้ไขได้ทัน  ถึงจะทำไปแบบไม่รู้ตัวก็เถอะนะ" ชายหนุ่มเล่ากึ่งอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงยับยั้งพลังอันรุนแรงเหล่านั้นไว้ได้  และด้วยวิธีใด  

                   
         "พลังอะไรนั่น  เกี่ยวอะไรกับท่านกันแน่"   ไดแอซสวนขึ้นมาทันที   "เรื่องนั้นน่ะ......ข้าเองก็เคยบอกเจ้าไปแล้วว่าจำไม่ได้"  อีกฝ่ายพูดอย่างใจเย็น  "แต่ว่า.....ข้าเองเหมือนจะนึกอะไรได้ขึ้นมาลางๆ  พลังแบบนี้...........เรียกว่ามนตรา"

                   
          คำที่จอมปราชญ์เคยบอกเขาผ่านเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง   วันนั้นรับฟังแล้วหลงลืมไป  ไม่ทันได้นึกย้อน

                   
          มนตรา..............

                   
         
    เฟลูทีเน่.....................

                   
          เขาเกี่ยวข้องอะไรกับอาณาจักรนี้กัน  หรือว่า..................นั่นคือที่ที่เขาได้จากมา


    ******************

                   
          มาร์คัสกระชับเสื้อคลุมสีเข้มอย่างผู้ใช้เวทก่อนออกเดินตรงเข้าไปในตัวเมืองท่ามกลางเกล็ดบางที่โปรยลงมาอย่างไม่ขาดสาย  สองเท้าย่ำไปบนพื้นพรมสีขาวซึ่งปูลาดไปตามถนนเบื้องหน้า  ตัวเมืองย่านนี้ในยามค่อนบ่ายดูเงียบเหงาร้างผู้คน จะกลับมาคึกคักอีกทีก็ตกเวลากลางคืน  ร้านอาหารหลายร้านที่เขาเดินผ่าน บรรดาพ่อครัวแม่ครัวยังคงวุ่นวายอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบต่างๆ 

                   
          ควันไฟพวยพุ่งขึ้นมาจากปล่องไฟของบ้านแทบจะทุกหลัง  เนื่องด้วยชาวแพนโทเนียส่วนใหญ่ยังคงนิยมใช้ฟืนซึ่งมาจากไม้ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวมากกว่าลูกไฟเวท  แม้ความสะดวกสบายจะต่างกันลิบลับก็ตาม 

                   
         
    ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาย่ำหิมะจนร่างของใครคนหนึ่งเดินสวนไปโดยไม่รู้ตัว  ฝ่ายนั้นชะงักแล้วหันกลับมาเรียกเขา

                   
          เสียงใสราวระฆังเงินซึ่งคุ้นหูขานนามอย่างอ่อนหวาน  รอยยิ้มที่หญิงสาวส่งมาให้ช่วยลดความหนาวเย็นของบรรยากาศรอบด้านลงไปโขทีเดียว  เขาสาวเท้าเข้าไปหาเจ้าของเสียงพลางเอ่ยปากถาม 
    "ไม่ทราบเจ้าจะไปไหนหรือ" 

                   
          รอยยิ้มที่คล้ายดวงตะวันปรากฏขึ้นอีกครา  ดวงตาสีมรกตเปล่งประกายสดใส 
    "ข้าออกมาเดินเล่นนิดหน่อย  แล้วท่าน....". ริมฝีปากชมพูขยับเอื้อนเอ่ย  "ข้ากำลังจะไปพบท่านแรนดัลสักหน่อย"  เขาตอบ  "เจ้า.......เอ้อ   จะเดินไปกับข้าไหม"   คนถามมีท่าทางแปลกๆด้วยรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นในจังหวะที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน  ฝ่ายอาซาเลียนั้นยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าตอบรับคำชวน

                   
          สองร่างเดินเคียงกันไปกลางทัศนียภาพอันหนาวเย็น  เสียงพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบลอยละล่องอยู่ท่ามกลางความเหน็บหนาว  
    "แล้วเจ้าหญิงลีเมย์ทรงเป็นอย่างไรบ้าง"  มาร์คัสเอ่ยถามเมื่อการสนทนาวกกลับเข้าสู่เรื่องนี้  "ข้ารู้สึกว่าดวงวิญญาณของนางอ่อนพลังลงมากจนแทบจะปรากฏร่างหรือเคลื่อนไหวไม่ค่อยได้  พวกท่าน....."  เสียงหวานแฝงแววเคร่งเครียดด้วยรู้ว่าเวลาของผู้ที่กำลังพูดถึงนั้นเหลืออยู่ไม่มากแล้ว  "ข้าจะพยายามหาวิธีให้เร็วที่สุด"  ชายหนุ่มให้คำมั่น

                   
          ลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง  ร่างบางสั่นสะท้านเล็กน้อยกับสัมผัสอันเย็นเฉียบ  มาร์คัสปลดผ้าพันคอหนานุ่มออกแล้วคลี่มันคลุมให้หญิงสาวข้างกาย  เสียงหวานเอ่ยคำขอบคุณเบาๆพร้อมพวงแก้มแต่งแต้มด้วยสีชมพูเรื่ออย่างน่ารัก  มือหนาค่อยๆยื่นไปคว้ามือเรียวมากุมกระชับแน่นอย่างทะนุถนอม  ก่อนออกเดินไป.........ด้วยกัน

                   
          รอยเท้าสองรอยเคียงกันไป  แม้อีกไม่นานจะถูกฝังกลบ หากความรู้สึกดีๆที่มีต่อกันหาได้ลบเลือนไปตามกาลเวลาไม่  กลับยิ่งเพิ่มพูนขึ้นในหัวใจของคนสองคนทีละเล็กทีละน้อย............จนก่อเกิดสิ่งซึ่งยึดโยงพวกเขาเอาไว้ด้วยกัน

                   
          สิ่งนั้น........เรียกว่าความรัก 


    --------------------------------------------------------------------
     
     หวัดดีค่าทุกๆท่าน 

     ก็ยังคงอัพดึกๆเช่นเดิม  แหะๆมัวแต่ไปเที่ยว+อ่านหนังสืออยู่อ่ะค่ะ  คงต้องรีบจรลีไปนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าละเจ้าค่ะ  
    ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน+เม้นท์ด้วยน๊า               

                   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×