คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : มนตรา.........
น้ำพุใสในสระเวทใจกลางจัตุรัสดวงดาวนั้นพวยพุงขึ้นสู่ฟ้าสีส้มอ่อนๆของยามเย็น ละอองน้ำก่อเกิดประกายสีรุ้งตัดกับหิมะขาวบนพื้นเบื้องล่าง รอบกายเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ด้วยว่าอากาศค่อยคลายความหนาวเย็นลงมากแล้ว ตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่โดยรอบนั้นดูง่วงงุนคล้ายคนซึ่งเหนื่อยล้าจากการกรำงานหนักมาตลอดวัน
ขอบสระเป็นแผ่นหินกว้างขวางจนสามารถนอนๆนั่งๆได้อย่างสบาย ข้างตัวเด็กหนุ่มผมดำเป็นกองถุงขนมปังที่เจ้าตัวบอกว่ายังไงๆก็กินไม่หมด ขณะที่อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของบรรดาของกินที่หอบหิ้วกันมานั้นว่างเปล่า เฟลิเซียซึ่งนั่งข้างๆกำลังละเลียดแทะพายแอปเปิ้ลชิ้นสุดท้าย ปล่อยให้รสหอมหวานของแอปเปิ้ลแห้งอบอวลอยู่ในปาก
“เฟลิเซีย ข้าว่าเจ้าน่าจะกลับได้แล้วนะ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นเป็นรอบที่ 5 ของวันนี้ “เจ้าจะไล่ข้าอีกแล้วเหรอ” เจ้าของชื่อขึ้นเสียงสูงพร้อมเมินหน้าไปอีกทางด้วยอาการงอนอย่างน่ารักๆ “ข้าเป็นห่วงนี่นา ตอนนี้ก็เย็นแล้วด้วย” ไดแอซอธิบายเสียงอ่อนๆ โดยเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องความผิดปกติที่สัมผัสได้จากชายแปลกหน้า “เดี๋ยวจะเดินไปส่ง” เขากล่าวต่อ
“ไม่ต้องหรอก จากจัตุรัสดวงดาวน่ะ แค่เดินตรงไปก็ถึงพระราชวังแล้ว” เฟลิเซียเอ่ยแล้วชี้มือไปตามทิศทางที่ว่าเป็นการประกอบ “ว่าแต่เจ้าเถอะ ต้องให้ข้าไปส่งไหม” เธอถามพร้อมหัวเราะเบาๆด้วยรู้ว่าคนตรงหน้ามีความสามารถหลงทางในระดับมือโปรทีเดียว
เล่นเอาเจ้าตัวพองแก้มเหมือนปลาทองแล้วยืดอก ก่อนเริ่มแจกแจงทิศทางบ้าง “ถ้าจะไปหอสมุดก็ทางโน้น ส่วนมหาวิหารพาราเทียก็ด้านนี้ แล้วที่พักข้าก็ทางซ้าย ............”
คิกๆ
เสียงใสหลุดหัวเราะออกมา ทำเอาคนที่แสดงท่าทางมั่นใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เกิดอาการเสียเซล์ฟกะทันหัน “หัวเราะอะไรไม่ทราบ ข้าพูดไม่ถูกตรงไหน? หือ” หันไปถามกึ่งขู่เอากับคนข้างๆที่ยังหัวเราะไม่ยอมหยุดอยู่นั่น เด็กสาวหยุดสูดหายใจลึกๆเอาอากาศเข้าปอดก่อนเริ่มตั้งต้นอธิบาย
“ก็จริงๆแล้วน่ะ เจ้าจำสลับทิศกันหมดเลย อย่างที่พักนี่อยู่ทางขวาต่างหาก ส่วนที่บอกว่ามหาวิหารพาราเทียน่ะเป็นหอสมุดต่างหาก”็นหอปุ คำบอกเล่นเอาเจ้าตัวทำหน้าเหวอ ก่อนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อบ่าย
“ท่าจะจริงแฮะ มิน่า ข้าถึงได้หลงอยู่ในเมืองตั้งนานสองนาน”
“นี่ หลับตาก่อนสิ” เด็กสาวยิ้มอย่างมีเลศนัยจนเด็กหนุ่มทำหน้างงเล็กน้อย ครั้นเห็นสีหน้าท่าทางเอาจริงของคนตรงหน้าก็ยอมปิดเปลือกตาลงแต่โดยดี “ข้าให้” วัตถุค่อนข้างหยาบหนาเป็นม้วนกลมๆ ถูกหยิบออกมาวางไว้บนมือของเขา ครั้นลืมตาแล้วคลี่ออกดูพบว่าเป็นแผนที่หนังอย่างดีของแพนโทเนียนั่นเอง
“ข้าสั่งทำพิเศษเพื่อเจ้าเลยล่ะ” เสียงใสเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู “เห็นไหมมีจุดแทนตัวคนถือกับชื่อสถานที่ด้วย” ลูกศรสีเขียวสว่างปรากฏขึ้นตรงกับชื่อของจตุรัสดวงดาว ไดแอซเบิกตาดูของในมืออย่างประหลาดใจ “แบบนี้ก็ไม่หลงแล้วล่ะ” เด็กสาวบอกด้วยรอยยิ้ม
“อื้อ ขอบใจนะ”
“จ๊ะ งั้นข้าไปล่ะ” เฟลิเซียว่าพลางกระชับผ้าพันคอก่อนออกวิ่งไป “แล้วเจอกันอีกนะ” เด็กหนุ่มตะโกนไล่หลัง เธอจึงหันกลับมาโบกมือให้อีกครั้งแล้วหายลับไปท่ามกลางฝูงชน ไดแอซจึงเริ่มออกเดินบ้าง
ท้องฟ้าในเวลานี้เปลี่ยนเป็นเทาปนสีน้ำเงินเข้ม ดวงไฟตามเสาต่างๆค่อยสว่างขึ้นเป็นลำดับ เงาร่างของเด็กหนุ่มทอดยาวไปตามพื้นถนนซึ่งเต็มไปด้วยหิมะมากมายทับถมกัน
“แผนที่นี้ดีจริงๆด้วยแฮะ”
เขาพูดกับตัวเองพลางเดินไปตามทิศทางที่ถูกต้องซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกเดินคนเดียวในแพนโทเนียเลยก็ว่าได้ สมแล้วที่เฟลิเซียอยากจะมอบโล่รางวัลหลงทางดีเด่นให้ “แล้วป่านนี้ท่านแรนดัลกับพวกนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ ถูกตำราถล่มทับแล้วละมั้ง”
******************
ฮัดชิ้ว
“ใครแอบนินทาข้ารับสารภาพมาซะดีๆ”
เสียงจากชายวัยกลางคนซึ่งมีท่าทางโทรมสุดๆเนื่องจากอดนอนมาหลายคืนติดต่อกัน ขอบตาคล้ำจนน่าสงสัยว่าชาติก่อนเคยเป็นแพนด้ามาหรือเปล่า แถมยังโหลลึกชวนให้คิดว่าคงจุปลาวาฬทั้งตัวแถมยังนอนดิ้นพลิกซ้ายพลิกขวาได้สบายๆอีกต่างหาก
“อะไรเหรอครับ” มาร์คัสซึ่งถูกกองตำราฝังกลบโงหัวขึ้นมาถามอย่างสุภาพ “เปล๊า ฮัด.......ฮัดชิ้ว เฮ้ยอีกแล้ว” เสียงบ่นปนจามทำเอาเวสชะโงกหน้ามาดูอีกคน “เป็นหวัดหรือเปล่าครับ อดนอนมาตั้งหลายคืนแล้ว ไปพักสักหน่อยจะดีกว่า” ชายหนุ่มบอก “ข้าก็ว่างั้น งานตรงนี้อีกไม่นานก็เสร็จแล้วล่ะ” โชวี่ที่หอบกองตำราตั้งสูงเดินเข้ามาจากอีกห้องหนึ่งเสริมขึ้น
“แผ่นสุดท้ายแล้วล่ะ” มาร์คัสเอ่ยพลางยืดตัวบิดขี้เกียจ “มืดแล้วด้วย” เขาเหลือบสายตาไปมองฟ้าด้านนอกหน้าต่างที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มปนน้ำเงิน เห็นดวงดาวกระพริบวิบวับบนฟากฟ้า “กลับเถอะ” แรนดัลเอ่ยปากในที่สุด “เดี๋ยวจะไม่ทันกินข้าวเย็นเอาอีกอย่าง ไม่รู้ไอ้เจ้าไดแอซมันจะเป็นยังไงบ้าง”
เป็นคำพูดที่ทำเอามาร์คัสเริ่มออกอาการเหงื่อตก เนื่องมาจากภาพเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือ เด็กหนุ่มผมดำนั่งร้องไห้อยู่ตรงมุมมืดที่ไหนสักแห่งของแพนโทเนียเพราะหาทางกลับที่พักไม่เจอ เจ้าตัวผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหันไปสั่งความกับเพื่อนซี้ แล้วคว้าเสื้อคลุมวิ่งถลาออกไปทันทีพร้อมความกังวลในใจ
******************
แฮ่กๆ
ชายหนุ่มหยุดพักหายใจหลังวิ่งมาราธอนวนเมืองครบ 3 รอบแถมยังบุกตะลุยเข้าไปแทบทุกซอกทุกมุมก็ไม่พบวี่แววของเด็กหนุ่มเลยแม้แต่นิดเดียว “ไดแอซไปไหนของมันนะ” เขานึกพลางสูดหายใจลึกๆก่อนนั่งแปะลงบนขอบอ่างน้ำพุของจตุรัสดวงดาว “เดินหลงออกไปนอกเมืองก็ไม่น่าจะใช่ แล้วที่นี้จะทำไงอ่ะ หัวตึ๊บหมดแล้ว ข้าวเย็นก็ยังไม่ตกถึงท้อง”
ระหว่างที่มาร์คัสกำลังออกอาการคิดไม่ตกอยู่นั้น ปรากฏวัตถุประหลาดพุ่งออกมาจากเงามืดด้วยความเร็วสูง ดีแต่ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหลบทันก่อนที่มันจะพุ่งประสานงากับหัวเขาเข้า วัตถุที่ว่าเลยควงสว่านตกลงไปในอ่างน้ำพุด้วยท่วงท่าอันสวยงามแทน
บุ๋งๆๆๆๆๆ
มาร์คัสชะโงกหน้าเข้าไปดูแล้วใช้สองนิ้วคีบปีกของสัตว์เสกที่คาดว่าจะส่งตรงมาจากเพื่อนซี้ขึ้นมาตรวจดู เสียงพูดอู้อี้เหมือนกำลังสำลักน้ำจนเขาต้องเอียงหูเข้าไปจนแทบจะแนบส่วนปากของสัตว์เสก ครั้นเห็นว่าไม่ได้เกิดอะไรดีขึ้นมาจึงหันมาจัดการด้วยวิธีดั่งเดิมคือเอามือตบๆไปสองสามที
“มะ...มา....มาร์คัส เจอไดแอซแล้ววววววว กะ......กะ......กลับมา......ได้เลย...........................”
“เฮ้ย”
ชายหนุ่มเขย่าตัวสัตว์เวทผู้น่าสงสาร แต่ดูเหมือนว่ามันจะหมดแรงข้าวต้มและไปสู่สุคติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างเล็กสลายกลายเป็นละอองแสงไปตามระเบียบจนหมด
“นี่ข้าต้องออกกำลังกายอีกแล้วเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มนึกแล้วเริ่มออกเดินกึ่งวิ่ง เนื่องมาจากพลังงานถูกใช้ไปจนเกือบหมดแล้วนั่นเอง
******************
แอ๊ด
เสียงแง้มประตูไม้บานหนาอย่างเบามือพร้อมชายหนุ่มผมสีทองอ่อนที่มีท่าทางเหนื่อยล้าค่อยๆชะโงกหน้าเข้าไปดู
สภาพภายในห้องพักมีลูกไฟเสกดวงกลมๆเล็กๆสีอมส้มลอยตัวค้างอยู่เพียงลูกเดียว บรรยากาศจึงดูสลัวเอาการ เด็กหนุ่มผมดำตัวปัญหากำลังนอนหลับสนิทอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรอยู่บนเตียง ทำเอามาร์คัสแทบจะตรงเข้าไปบีบคอเสียเดี๋ยวนั้น ร้อนถึงโชวี่ต้องลากเขาออกมาจากห้องก่อนจะได้ทำการฆาตกรรมสมใจอยาก
“ทหารวังคงพามาส่งมั้ง” เวสเอ่ยขึ้นขณะนั่งมองเพื่อนยัดข้าวเย็นเข้าปาก “งั้นมั้ง ปกติไม่เคยเห็นกลับถูกสักที” โชวี่เสริมให้ “ว่าแต่............” เมอร์สที่เพิ่งเข้ามาสมทบส่งสัญญาณให้ผู้ร่วมโต๊ะทั้งหลายเอียงหูเข้ามาใกล้ๆ “ได้ข่าวท่านเอ็ดมอนด์หรือเปล่า?” เจ้าตัวกระซิบเสียงเบา “ที่เป็นมหาเศรษฐีนะเหรอ” มาร์คัสถามบ้าง คนเริ่มเรื่องจึงพยักหน้ารับ
“เห็นว่าคนๆนี้กำลังค้นหาผู้มีพลังแปลกๆ เช่น ควบคุมชีวิต เวลา อะไรพวกเนี๊ย ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรกันแน่”
“หา อย่าบอกนะว่า อุ๊บ............”
“อย่าพูดดิ เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า”
“แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงมีหวังหัวหลุดจากบ่าแหงๆ”
“เงียบๆเซ่ อยากตายกันหมดหรือไง” เมอร์สรีบปรามเมื่อเห็นว่าพวกเขาชักจะส่งเสียงดังกันเกินไปแล้ว ทั้งหมดจึงปิดปากก่อนกลับมาสุมหัวฟังเรื่องราวกันต่อ “ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าเรื่องนี้คนของสภาคณาจารย์ที่ประจำอยู่แถวอควาบอกมา”
“แถวนั้นมีอะไรเหรอ” ทั้งหมดเอ่ยปากถามแทบจะพร้อมๆกัน คนเล่าเรื่องส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกนั้นบอกว่าเขาไปที่นั่นและพาคนๆหนึ่งกลับมานี่ด้วย แถมรู้สึกว่าตอนผ่านด่านออกมาน่ะเกิดเรื่อง เห็นว่าตัวบาร๊อกในป่าอาละวาดจนหลุดเขตเวทเข้ามาถึงในตัวเมืองเลย พวกนั้นปิดข่าวกันใหญ่”
“เฮ้ย ไม่จริงน่า”
“หน้านี้ตัวบาร๊อกมันจำศีลไม่ใช่เรอะ สัตว์อสูรชนิดนี้น่ะไม่ตื่นง่ายๆหรอกนะ ยกเว้นว่าถูกอะไรซักอย่างกระตุ้นนั่นล่ะ” ราดีสที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านสัตว์อสูรเป็นพิเศษ เอ่ยขึ้น “คิดว่าที่ปลุกมันขึ้นมาคงเป็นพลังแปลกๆที่อยู่ในตัวคนๆนั้นมากกว่า บาร๊อกจะมีปฏิกิริยารุนแรงเฉพาะกับ...........พลังสายมืด”
“พลังนั่นมันไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจะมีได้แล้วนา”
“เป็นพลังสายต้องห้ามด้วยไม่ใช่เหรอ”
“เอาตัวอันตรายแบบนั้นเข้ามาเนี่ยนะ”
“หรือว่าสัตว์ประหลาดคราวนั้นก็เกิดจากคนๆนั้น” ราดีสเปิดประเด็น “ไม่รู้สิ คงต้องรอดูต่อไปแล้วล่ะ” ชายหนุ่มบอก “แล้วพวกสภาคณาจารย์รู้เรื่องรึยัง”
“คิดว่าถึงรู้ก็คงเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้หรอก จำไม่ได้เหรอกฎข้อที่5 น่ะ ห้ามสภาคณาจารย์และจอมปราชญ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองไม่ว่าจะประการใดทั้งสิ้น” เขาหยุดเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “อีกอย่างท่านเอ็ดมอนด์น่ะมีอิทธิพลมากแถมยังมีกองกำลังในบังคับบัญชาตั้งเยอะ เกิดทำอะไรให้เขาสงสัยขึ้นมามีหวัง” ชายหนุ่มเอามือปาดคอประกอบคำพูด
“แต่มันก็เกี่ยวข้องกับงานของพวกเราโดยตรงเลยนะ แล้วเรื่องนี้ยังมีอะไรไม่ชอบมาพากลด้วย ไม่ทำอะไรคงไม่ได้หรอก” มาร์คัสเอ่ยขึ้นในที่สุด เมอร์สยักไหล่เล็กน้อย “เอางี้แล้วกัน ข้ากับเวสจะไปรวบรวมข้อมูลมาก่อน ค่อยว่ากันอีกที” ราดีสเสนอขึ้น “ก็ดีเหมือนกัน” หลายคนมีท่าทีเห็นด้วยก่อนจะเริ่มแยกย้ายสลายวง เนื่องจากทางที่พักเริ่มปิดไฟเป็นเชิงไล่กลายๆ ทั้งยังมีความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก(?)มาทั้งวัน
มาร์คัสค่อยๆย่องเข้าห้อง โดยอาศัยแสงจากลูกไฟดวงน้อย ครั้นเห็นว่าเด็กหนุ่มหลับสนิทแล้วจึงจัดการห่มผ้าที่เจ้าตัวสะบัดตกลงไปบนพื้นห้องให้ “ฝันดีนะ”
**********************
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนลืมขึ้นมาช้าๆ ลูกไฟดวงเวทยังคงลอยตุ๊บป่องอยู่บนหัวนอนเหมือนเดิม ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นมาแล้วร่ายเวทดับเสีย ปรากฏว่าร่ายไปเท่าไหร่ดวงไฟก็ไม่ยอมดับซักที ทำเอาเจ้าตัวขมวดคิ้วน้อยๆ
แปลก
“หรือว่าฝีมือไดแอซ” ความคิดวาบขึ้นมาในหัว “เป็นไปไม่ได้น่า เจ้านั่นน่ะ......”
ตุ๊บ
เสียงร่างในห่อผ้านวมตกลงมากลิ้งหลุนๆอยู่บนพื้นข้างเตียง “ไดแอซ ตื่นๆ” มาร์คัสเลิกสนใจลูกไฟตรงรี่เข้าไปเขย่าตัวเด็กหนุ่มให้ตื่นจากนิทรา ครั้งแรกดวงตาสีฟ้าหม่นฉายแววว่างเปล่าเลื่อนลอยก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นงุนงงเล็กน้อย
ครั้นเจ้าตัวเรียงลำดับความคิดในสมองได้เรียบร้อยแล้ว จึงรีบตาลีตาเหลือลุกขึ้นมาจัดการดับไฟโดยการเอามือปาดผ่านเพียงวูบเดียว ทำเอามาร์คัสจ้องมองอย่างสงสัย “ไดแอซ” เขาเรียกชื่อเด็กหนุ่มที่ยิ้มเจื่อนๆพร้อมทำหน้าเจี่ยมเจี๋ยมด้วยกลัวว่าจะโดนเทศน์ข้อหาเสกลูกไฟลืม
“ลองเสกลูกไฟใหม่อีกทีสิ” คำพูดอันไม่คาดฝันทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับทำหน้าเหวอก่อนจะพึมพำเรียกลูกไฟดวงใหม่ออกมา
ไอที่แผ่คลุ้งทั้วห้องทำเอามาร์คัสถึงกับอึ้งกิมกี่พูดไม่ออกไปเลยทีเดียว อำนาจรุนแรงเกินกว่าจะเป็นพลังเวทในระดับทั่วๆไป ชวนให้นึกไปถึงวันที่ปะทะกับหนูจิ๋วยักษ์นอกเมือง กระแสแบบเดียวกัน ไม่ผิดแน่ๆ และเหมือนเด็กหนุ่มจะรู้ตัวจึงจัดการเก็บไอเหล่านั้นจนหมดสิ้น
“เจ้ามีพลังพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ชายหนุ่มตรงรี่เข้าไปเขย่าไหล่อีกฝ่ายทันที นัยน์ตาสีฟ้าหม่นฉายแววเลื่อนลอยเล็กน้อย “ข้าเจอผู้ชายคนหนึ่ง” ริมฝีปากเริ่มขยับเล่าเรื่องราว “พอข้าแตะตัวเขาก็.............ก็...” น้ำเสียงสะดุดลงพร้อมร่างเด็กหนุ่มทรุดฮวบลงไปกอบอยู่กับพื้น ดวงตาเบิกโพลงคล้ายหวาดกลัวกับบางสิ่งอย่างที่สุด
มาร์คัสเขย่าตัวพลางตบแก้มเบาๆเพื่อเรียกสติของเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อให้กลับคืนมา “อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา ปล่อยข้า......ปล่อย ” เจ้าตัวขยับถอยหนีมาร์คัสไปจนชนกับเก้าอี้กลางห้อง มือทั้งสองข้างผลักไสร่างของอีกฝ่ายไม่ให้เข้ามาใกล้ตัว
“ไดแอซ ไดแอซ”
ชายหนุ่มร่ายเขตเวทขึ้นครอบคลุมห้องของพวกเขา พร้อมคว้าแก้วน้ำชาแล้วสาดออกไปกลางอากาศเพื่อให้เกิดเป็นเชือกเส้นบางพันธนาการตัวเด็กหนุ่มเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้อีก ร่างค่อนข้างผอมขดกลมเป็นลูกบอกอยู่ใต้โต๊ะคล้ายสัตว์ตัวน้อยที่กำลังหวาดกลัวอะไรสักอย่าง “ไม่เป็นไรแล้วนะไดแอซ” มาร์คัสเอ่ยปลอบพลางขยับเข้าไปพร้อมยื่นมือแตะตัวเจ้าของชื่อ
“บ้าจริง”
เสียงสบถเบาๆ เนื่องมาจากปรากฏกำแพงใสห่อหุ้มกั้นขวางไม่ให้ชายหนุ่มมือของเขาถูกตัวอีกฝ่ายได้ ไดแอซยังคงนั่งกอดเข่าอยู่ในท่าเดิม หากพลังที่ปล่อยออกมานั้นรุนแรงขึ้นจนน่าตกใจ ดีแต่มาร์คัสรอบคอบกั้นเขตเวทเอาไว้ ไม่อย่างนั้นข้าวของในห้องคงพังไม่เหลือชิ้นดี ไม่สิ...อาจเป็นทั้งชั้นหรือทั้งตัวอาคารเลยก็เป็นได้
เขตเวทเกิดประกายไฟสีอมส้มพร้อมส่งเสียงเปรี๊ยะๆไม่ขาดระยะ เนื่องมาจากการปะทะกันระหว่างพลังของเขากับเด็กหนุ่ม เจ้าของเขตเวทกัดฟันกรอดพยายามทั้งทุบทั้งร่ายเวทเพื่อสลายกำแพง แต่ก็ไม่เป็นผลใดๆทั้งสิ้น
“ไดแอซ รู้สึกตัวสักทีสิ”
ชายหนุ่มพยายามตะโกนเรียก เพราะถ้าหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเขตเวทของเขาอาจต้านพลังไม่อยู่จนระเบิดออก นั่นหมายความว่าทั้งเขาทั้งเด็กหนุ่มและอาจรวมไปถึงคนอื่นอาจไม่รอด
เปรี๊ยะ
เสียงดังขึ้นกว่าครั้งก่อนๆพร้อมปรากฏรอยปริแตกพาดผ่านเหนือเขตเวทเป็นทางยาว อายพลังสีฟ้าเจิดจ้าเกาะกลุ่มรวมกันอยู่บริเวณรอยร้าวคล้ายน้ำในเขื่อนที่เตรียมพร้อมจะล้นทะลักออกไปได้ทุกเมื่อ ไม่ว่ามาร์คัสจะเค้นพลังส่งออกไปสมานเท่าใดรอยปริแตกเหล่านั้นก็ไม่ได้ลดจำนวนลงเลยซ้ำยังเพิ่มขึ้นจนแทบจะทั่วเขตเวท
แฮ่กๆ
มาร์คัสหอบหายใจแต่ก็ยังพยายามกัดฟันร่ายเวททั้งๆที่พลังในตัวเหือดหายไปจนหมดแล้ว รอยปริร้าวสั่นไหวรุนแรงแล้วระเบิดออกพร้อมพลังที่ถูกกักเก็บไหลทะลักไปปะทะเข้ากับข้าวของในห้องจนกระจัดกระจายไปทั่ว
พลังส่วนหนึ่งพุ่งสะท้อนกลับมากระแทกใส่ชายหนุ่มอย่างแรงจนเจ้าตัวปลิวไปชนกับผนังห้องแล้วทรุดลงมา เลือดสีแดงฉานหยดออกมาจากมุมปาก ที่ขยับเปล่งถ้อยคำแผ่วเบา กระแสพลังอ่อนบางหยดสุดท้ายในร่างแปรเปลี่ยนเป็นเกราะสกัดพลังปกคลุมเหนือตัวของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่กลางห้อง
วาบ
แสงขาวเจิดจ้าบาดตาเหลื่อมพรายกลายเป็นสีรุ้งจาง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนปรือลงทีละน้อย ความรู้สึกสุดท้ายก่อนสติจะดับวูบคือภาพชายในชุดคลุมผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมาทางเขา แม้จะมองไม่เห็นหน้าแต่สิ่งที่ติดตาของเขาคือเส้นผมสีน้ำเงิน แล้วแปรเปลี่ยนไปเป็นทัศนียภาพที่เต็มไปด้วยหยดน้ำโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าซึ่งปกคลุมไปด้วยแพเมฆสีเทาหนา ก่อนจะถูกแทนด้วยความมืดอันไม่มีที่สิ้นสุด
*********************
“ท่านแม่ครับ ดูนี่สิ” เด็กน้อยแบมือที่กำออกตรงหน้ามารดา พร้อมดอกไม้หลากสีหลายชนิดผุดขึ้นมา เสียงหวานหัวเราะน้อยๆ มือเรียวลูบหัวลูกน้อยแผ่วเบาแล้วเอ่ยชม “เก่งมากจ๊ะ” แต่ลูกยังจำที่แม่เคยบอกไว้ได้ไหม เธอถามด้วยดวงตาหม่นแสงจนน่าใจหาย “ครับ ข้าจะไม่แสดงอะไรให้คนอื่นดูแน่นอน” เด็กน้อยตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงคล้ายไม่ได้สังเกตร่องรอยความเศร้าบนใบหน้าของมารดา
ร่างอ้อนแอ้นรวบตัวเด็กชายเข้ามากอด “ดีแล้วจ๊ะ ดีแล้ว” หญิงสาวพึมพำก่อนซุกหน้าลงบนเรือนผมหอมของเด็กน้อยเพื่อซ่อนน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาคู่สวยไว้
ภาพพร่าเลือนแล้วดับลงก่อนถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงหวานขับขานเพลงกล่อม “หลับให้สบายเถิดลูกรัก แม่จะคอยปกปักอยู่ข้างกาย” สัมผัสนุ่มแตะลงบนผมก่อนจะไล่ลงมาที่ใบหน้าพร้อมพากลิ่นหอมกรุ่นมาแตะจมูก
" ท่านแม่...................."
-----------------------------
หวัดดีค่าทุกท่าน พบกันอีกแล้วเนอะ
อากาศร้อนๆอย่างนี้อยากไปเที่ยวน้ำตกหรือไม่ก็ทะเลจังคงเย็นสบายขึ้นเยอะเลย แล้วช่วงนี้ก็ใกล้สงกรานต์ซะด้วย คิดว่าจะใส่เสื้อกันฝนออกไปดูเขาเล่นน้ำกันซักหน่อย(จะออกไปเพื่อ?) 55+
ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน+เม้นท์ด้วยเจ้าค่ะ
ความคิดเห็น