ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #22 : มนตรา.........

    • อัปเดตล่าสุด 10 เม.ย. 50


               
           
    น้ำพุใสในสระเวทใจกลางจัตุรัสดวงดาวนั้นพวยพุงขึ้นสู่ฟ้าสีส้มอ่อนๆของยามเย็น  ละอองน้ำก่อเกิดประกายสีรุ้งตัดกับหิมะขาวบนพื้นเบื้องล่าง   รอบกายเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ด้วยว่าอากาศค่อยคลายความหนาวเย็นลงมากแล้ว  ตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่โดยรอบนั้นดูง่วงงุนคล้ายคนซึ่งเหนื่อยล้าจากการกรำงานหนักมาตลอดวัน   

                   
          ขอบสระเป็นแผ่นหินกว้างขวางจนสามารถนอนๆนั่งๆได้อย่างสบาย  ข้างตัวเด็กหนุ่มผมดำเป็นกองถุงขนมปังที่เจ้าตัวบอกว่ายังไงๆก็กินไม่หมด  ขณะที่อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของบรรดาของกินที่หอบหิ้วกันมานั้นว่างเปล่า  เฟลิเซียซึ่งนั่งข้างๆกำลังละเลียดแทะพายแอปเปิ้ลชิ้นสุดท้าย  ปล่อยให้รสหอมหวานของแอปเปิ้ลแห้งอบอวลอยู่ในปาก

                   
          “เฟลิเซีย ข้าว่าเจ้าน่าจะกลับได้แล้วนะ  เด็กหนุ่มพูดขึ้นเป็นรอบที่ 5 ของวันนี้  เจ้าจะไล่ข้าอีกแล้วเหรอ  เจ้าของชื่อขึ้นเสียงสูงพร้อมเมินหน้าไปอีกทางด้วยอาการงอนอย่างน่ารักๆ  ข้าเป็นห่วงนี่นา ตอนนี้ก็เย็นแล้วด้วย  ไดแอซอธิบายเสียงอ่อนๆ โดยเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องความผิดปกติที่สัมผัสได้จากชายแปลกหน้า  เดี๋ยวจะเดินไปส่ง  เขากล่าวต่อ

                   
          “ไม่ต้องหรอก จากจัตุรัสดวงดาวน่ะ แค่เดินตรงไปก็ถึงพระราชวังแล้ว เฟลิเซียเอ่ยแล้วชี้มือไปตามทิศทางที่ว่าเป็นการประกอบ  ว่าแต่เจ้าเถอะ  ต้องให้ข้าไปส่งไหม  เธอถามพร้อมหัวเราะเบาๆด้วยรู้ว่าคนตรงหน้ามีความสามารถหลงทางในระดับมือโปรทีเดียว

                   
          เล่นเอาเจ้าตัวพองแก้มเหมือนปลาทองแล้วยืดอก ก่อนเริ่มแจกแจงทิศทางบ้าง 
    ถ้าจะไปหอสมุดก็ทางโน้น ส่วนมหาวิหารพาราเทียก็ด้านนี้  แล้วที่พักข้าก็ทางซ้าย ............

                   
          คิกๆ

                   
          เสียงใสหลุดหัวเราะออกมา   ทำเอาคนที่แสดงท่าทางมั่นใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เกิดอาการเสียเซล์ฟกะทันหัน 
    หัวเราะอะไรไม่ทราบ  ข้าพูดไม่ถูกตรงไหน?  หือ  หันไปถามกึ่งขู่เอากับคนข้างๆที่ยังหัวเราะไม่ยอมหยุดอยู่นั่น  เด็กสาวหยุดสูดหายใจลึกๆเอาอากาศเข้าปอดก่อนเริ่มตั้งต้นอธิบาย

                   
           
    ก็จริงๆแล้วน่ะ  เจ้าจำสลับทิศกันหมดเลย  อย่างที่พักนี่อยู่ทางขวาต่างหาก  ส่วนที่บอกว่ามหาวิหารพาราเทียน่ะเป็นหอสมุดต่างหาก็นหอปุ  คำบอกเล่นเอาเจ้าตัวทำหน้าเหวอ  ก่อนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อบ่าย 

                   
          “ท่าจะจริงแฮะ มิน่า ข้าถึงได้หลงอยู่ในเมืองตั้งนานสองนาน

                   
           
    นี่ หลับตาก่อนสิ  เด็กสาวยิ้มอย่างมีเลศนัยจนเด็กหนุ่มทำหน้างงเล็กน้อย ครั้นเห็นสีหน้าท่าทางเอาจริงของคนตรงหน้าก็ยอมปิดเปลือกตาลงแต่โดยดี  ข้าให้  วัตถุค่อนข้างหยาบหนาเป็นม้วนกลมๆ ถูกหยิบออกมาวางไว้บนมือของเขา  ครั้นลืมตาแล้วคลี่ออกดูพบว่าเป็นแผนที่หนังอย่างดีของแพนโทเนียนั่นเอง 

                   
          “ข้าสั่งทำพิเศษเพื่อเจ้าเลยล่ะ  เสียงใสเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู  เห็นไหมมีจุดแทนตัวคนถือกับชื่อสถานที่ด้วย  ลูกศรสีเขียวสว่างปรากฏขึ้นตรงกับชื่อของจตุรัสดวงดาว  ไดแอซเบิกตาดูของในมืออย่างประหลาดใจ  แบบนี้ก็ไม่หลงแล้วล่ะ  เด็กสาวบอกด้วยรอยยิ้ม

                   
           
    อื้อ  ขอบใจนะ

                   
          “จ๊ะ  งั้นข้าไปล่ะ  เฟลิเซียว่าพลางกระชับผ้าพันคอก่อนออกวิ่งไป  แล้วเจอกันอีกนะ  เด็กหนุ่มตะโกนไล่หลัง เธอจึงหันกลับมาโบกมือให้อีกครั้งแล้วหายลับไปท่ามกลางฝูงชน ไดแอซจึงเริ่มออกเดินบ้าง 

                   
          ท้องฟ้าในเวลานี้เปลี่ยนเป็นเทาปนสีน้ำเงินเข้ม  ดวงไฟตามเสาต่างๆค่อยสว่างขึ้นเป็นลำดับ  เงาร่างของเด็กหนุ่มทอดยาวไปตามพื้นถนนซึ่งเต็มไปด้วยหิมะมากมายทับถมกัน 

                   
           
    แผนที่นี้ดีจริงๆด้วยแฮะ        

                   
          เขาพูดกับตัวเองพลางเดินไปตามทิศทางที่ถูกต้องซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกเดินคนเดียวในแพนโทเนียเลยก็ว่าได้  สมแล้วที่เฟลิเซียอยากจะมอบโล่รางวัลหลงทางดีเด่นให้ 
    แล้วป่านนี้ท่านแรนดัลกับพวกนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ  ถูกตำราถล่มทับแล้วละมั้ง


    ******************

                   
          ฮัดชิ้ว

                   
          “ใครแอบนินทาข้ารับสารภาพมาซะดีๆ

                   
          เสียงจากชายวัยกลางคนซึ่งมีท่าทางโทรมสุดๆเนื่องจากอดนอนมาหลายคืนติดต่อกัน ขอบตาคล้ำจนน่าสงสัยว่าชาติก่อนเคยเป็นแพนด้ามาหรือเปล่า  แถมยังโหลลึกชวนให้คิดว่าคงจุปลาวาฬทั้งตัวแถมยังนอนดิ้นพลิกซ้ายพลิกขวาได้สบายๆอีกต่างหาก

                   
          “อะไรเหรอครับ  มาร์คัสซึ่งถูกกองตำราฝังกลบโงหัวขึ้นมาถามอย่างสุภาพ  เปล๊า ฮัด.......ฮัดชิ้ว เฮ้ยอีกแล้ว  เสียงบ่นปนจามทำเอาเวสชะโงกหน้ามาดูอีกคน  เป็นหวัดหรือเปล่าครับ  อดนอนมาตั้งหลายคืนแล้ว  ไปพักสักหน่อยจะดีกว่า   ชายหนุ่มบอก  ข้าก็ว่างั้น งานตรงนี้อีกไม่นานก็เสร็จแล้วล่ะ  โชวี่ที่หอบกองตำราตั้งสูงเดินเข้ามาจากอีกห้องหนึ่งเสริมขึ้น 

                   
          “แผ่นสุดท้ายแล้วล่ะ  มาร์คัสเอ่ยพลางยืดตัวบิดขี้เกียจ  มืดแล้วด้วย  เขาเหลือบสายตาไปมองฟ้าด้านนอกหน้าต่างที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มปนน้ำเงิน  เห็นดวงดาวกระพริบวิบวับบนฟากฟ้า  กลับเถอะ  แรนดัลเอ่ยปากในที่สุด  เดี๋ยวจะไม่ทันกินข้าวเย็นเอาอีกอย่าง ไม่รู้ไอ้เจ้าไดแอซมันจะเป็นยังไงบ้าง 

                   
          เป็นคำพูดที่ทำเอามาร์คัสเริ่มออกอาการเหงื่อตก  เนื่องมาจากภาพเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือ เด็กหนุ่มผมดำนั่งร้องไห้อยู่ตรงมุมมืดที่ไหนสักแห่งของแพนโทเนียเพราะหาทางกลับที่พักไม่เจอ  เจ้าตัวผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหันไปสั่งความกับเพื่อนซี้  แล้วคว้าเสื้อคลุมวิ่งถลาออกไปทันทีพร้อมความกังวลในใจ


    ******************

                   
          แฮ่กๆ

                   
          ชายหนุ่มหยุดพักหายใจหลังวิ่งมาราธอนวนเมืองครบ 3 รอบแถมยังบุกตะลุยเข้าไปแทบทุกซอกทุกมุมก็ไม่พบวี่แววของเด็กหนุ่มเลยแม้แต่นิดเดียว  
    ไดแอซไปไหนของมันนะ  เขานึกพลางสูดหายใจลึกๆก่อนนั่งแปะลงบนขอบอ่างน้ำพุของจตุรัสดวงดาว  เดินหลงออกไปนอกเมืองก็ไม่น่าจะใช่  แล้วที่นี้จะทำไงอ่ะ  หัวตึ๊บหมดแล้ว ข้าวเย็นก็ยังไม่ตกถึงท้อง   

                   
          ระหว่างที่มาร์คัสกำลังออกอาการคิดไม่ตกอยู่นั้น  ปรากฏวัตถุประหลาดพุ่งออกมาจากเงามืดด้วยความเร็วสูง ดีแต่ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหลบทันก่อนที่มันจะพุ่งประสานงากับหัวเขาเข้า  วัตถุที่ว่าเลยควงสว่านตกลงไปในอ่างน้ำพุด้วยท่วงท่าอันสวยงามแทน 

                   
          บุ๋งๆๆๆๆๆ

                   
          มาร์คัสชะโงกหน้าเข้าไปดูแล้วใช้สองนิ้วคีบปีกของสัตว์เสกที่คาดว่าจะส่งตรงมาจากเพื่อนซี้ขึ้นมาตรวจดู  เสียงพูดอู้อี้เหมือนกำลังสำลักน้ำจนเขาต้องเอียงหูเข้าไปจนแทบจะแนบส่วนปากของสัตว์เสก  ครั้นเห็นว่าไม่ได้เกิดอะไรดีขึ้นมาจึงหันมาจัดการด้วยวิธีดั่งเดิมคือเอามือตบๆไปสองสามที

                   
          “มะ...มา....มาร์คัส  เจอไดแอซแล้ววววววว กะ......กะ......กลับมา......ได้เลย...........................

                   
          “เฮ้ย   

                   
          ชายหนุ่มเขย่าตัวสัตว์เวทผู้น่าสงสาร แต่ดูเหมือนว่ามันจะหมดแรงข้าวต้มและไปสู่สุคติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างเล็กสลายกลายเป็นละอองแสงไปตามระเบียบจนหมด 

                   
         
    นี่ข้าต้องออกกำลังกายอีกแล้วเหรอเนี่ย  ชายหนุ่มนึกแล้วเริ่มออกเดินกึ่งวิ่ง เนื่องมาจากพลังงานถูกใช้ไปจนเกือบหมดแล้วนั่นเอง


    ******************

                   
          แอ๊ด

                   
          เสียงแง้มประตูไม้บานหนาอย่างเบามือพร้อมชายหนุ่มผมสีทองอ่อนที่มีท่าทางเหนื่อยล้าค่อยๆชะโงกหน้าเข้าไปดู 

                   
          สภาพภายในห้องพักมีลูกไฟเสกดวงกลมๆเล็กๆสีอมส้มลอยตัวค้างอยู่เพียงลูกเดียว  บรรยากาศจึงดูสลัวเอาการ  เด็กหนุ่มผมดำตัวปัญหากำลังนอนหลับสนิทอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรอยู่บนเตียง   ทำเอามาร์คัสแทบจะตรงเข้าไปบีบคอเสียเดี๋ยวนั้น  ร้อนถึงโชวี่ต้องลากเขาออกมาจากห้องก่อนจะได้ทำการฆาตกรรมสมใจอยาก   

                   
           
    ทหารวังคงพามาส่งมั้ง  เวสเอ่ยขึ้นขณะนั่งมองเพื่อนยัดข้าวเย็นเข้าปาก  งั้นมั้ง  ปกติไม่เคยเห็นกลับถูกสักที  โชวี่เสริมให้   ว่าแต่............   เมอร์สที่เพิ่งเข้ามาสมทบส่งสัญญาณให้ผู้ร่วมโต๊ะทั้งหลายเอียงหูเข้ามาใกล้ๆ  ได้ข่าวท่านเอ็ดมอนด์หรือเปล่า?  เจ้าตัวกระซิบเสียงเบา  ที่เป็นมหาเศรษฐีนะเหรอ  มาร์คัสถามบ้าง  คนเริ่มเรื่องจึงพยักหน้ารับ 

                   
          “เห็นว่าคนๆนี้กำลังค้นหาผู้มีพลังแปลกๆ เช่น ควบคุมชีวิต เวลา อะไรพวกเนี๊ย  ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรกันแน่

                   
           “หา อย่าบอกนะว่า อุ๊บ............

               
           
    อย่าพูดดิ เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า

                   
          “แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงมีหวังหัวหลุดจากบ่าแหงๆ

                   
           
    เงียบๆเซ่  อยากตายกันหมดหรือไง  เมอร์สรีบปรามเมื่อเห็นว่าพวกเขาชักจะส่งเสียงดังกันเกินไปแล้ว  ทั้งหมดจึงปิดปากก่อนกลับมาสุมหัวฟังเรื่องราวกันต่อ  ข้าก็ไม่แน่ใจ  แต่ว่าเรื่องนี้คนของสภาคณาจารย์ที่ประจำอยู่แถวอควาบอกมา 

                   
          “แถวนั้นมีอะไรเหรอ  ทั้งหมดเอ่ยปากถามแทบจะพร้อมๆกัน  คนเล่าเรื่องส่ายหน้าเล็กน้อย  ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน  พวกนั้นบอกว่าเขาไปที่นั่นและพาคนๆหนึ่งกลับมานี่ด้วย  แถมรู้สึกว่าตอนผ่านด่านออกมาน่ะเกิดเรื่อง  เห็นว่าตัวบาร๊อกในป่าอาละวาดจนหลุดเขตเวทเข้ามาถึงในตัวเมืองเลย  พวกนั้นปิดข่าวกันใหญ่   

                   
          “เฮ้ย  ไม่จริงน่า

                   
           
    หน้านี้ตัวบาร๊อกมันจำศีลไม่ใช่เรอะ  สัตว์อสูรชนิดนี้น่ะไม่ตื่นง่ายๆหรอกนะ  ยกเว้นว่าถูกอะไรซักอย่างกระตุ้นนั่นล่ะ  ราดีสที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านสัตว์อสูรเป็นพิเศษ เอ่ยขึ้น  คิดว่าที่ปลุกมันขึ้นมาคงเป็นพลังแปลกๆที่อยู่ในตัวคนๆนั้นมากกว่า  บาร๊อกจะมีปฏิกิริยารุนแรงเฉพาะกับ...........พลังสายมืด

                   
          “พลังนั่นมันไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจะมีได้แล้วนา

               
          “เป็นพลังสายต้องห้ามด้วยไม่ใช่เหรอ 

                   
           
    เอาตัวอันตรายแบบนั้นเข้ามาเนี่ยนะ

                   
          “หรือว่าสัตว์ประหลาดคราวนั้นก็เกิดจากคนๆนั้น  ราดีสเปิดประเด็น  ไม่รู้สิ  คงต้องรอดูต่อไปแล้วล่ะ  ชายหนุ่มบอก  แล้วพวกสภาคณาจารย์รู้เรื่องรึยัง 

                   
          “คิดว่าถึงรู้ก็คงเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้หรอก จำไม่ได้เหรอกฎข้อที่5  น่ะ ห้ามสภาคณาจารย์และจอมปราชญ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองไม่ว่าจะประการใดทั้งสิ้น  เขาหยุดเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ  อีกอย่างท่านเอ็ดมอนด์น่ะมีอิทธิพลมากแถมยังมีกองกำลังในบังคับบัญชาตั้งเยอะ  เกิดทำอะไรให้เขาสงสัยขึ้นมามีหวัง ชายหนุ่มเอามือปาดคอประกอบคำพูด

                       
          “แต่มันก็เกี่ยวข้องกับงานของพวกเราโดยตรงเลยนะ แล้วเรื่องนี้ยังมีอะไรไม่ชอบมาพากลด้วย ไม่ทำอะไรคงไม่ได้หรอก  มาร์คัสเอ่ยขึ้นในที่สุด  เมอร์สยักไหล่เล็กน้อย  เอางี้แล้วกัน ข้ากับเวสจะไปรวบรวมข้อมูลมาก่อน ค่อยว่ากันอีกที  ราดีสเสนอขึ้น  ก็ดีเหมือนกัน  หลายคนมีท่าทีเห็นด้วยก่อนจะเริ่มแยกย้ายสลายวง  เนื่องจากทางที่พักเริ่มปิดไฟเป็นเชิงไล่กลายๆ  ทั้งยังมีความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก(?)มาทั้งวัน 

                   
          มาร์คัสค่อยๆย่องเข้าห้อง  โดยอาศัยแสงจากลูกไฟดวงน้อย  ครั้นเห็นว่าเด็กหนุ่มหลับสนิทแล้วจึงจัดการห่มผ้าที่เจ้าตัวสะบัดตกลงไปบนพื้นห้องให้   
    ฝันดีนะ


    **********************

                   
          นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนลืมขึ้นมาช้าๆ  ลูกไฟดวงเวทยังคงลอยตุ๊บป่องอยู่บนหัวนอนเหมือนเดิม  ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นมาแล้วร่ายเวทดับเสีย  ปรากฏว่าร่ายไปเท่าไหร่ดวงไฟก็ไม่ยอมดับซักที ทำเอาเจ้าตัวขมวดคิ้วน้อยๆ 

                   
          แปลก

                   
          “หรือว่าฝีมือไดแอซ  ความคิดวาบขึ้นมาในหัว  เป็นไปไม่ได้น่า  เจ้านั่นน่ะ...... 

                   
           
    ตุ๊บ

                   
          เสียงร่างในห่อผ้านวมตกลงมากลิ้งหลุนๆอยู่บนพื้นข้างเตียง 
    ไดแอซ  ตื่นๆ  มาร์คัสเลิกสนใจลูกไฟตรงรี่เข้าไปเขย่าตัวเด็กหนุ่มให้ตื่นจากนิทรา  ครั้งแรกดวงตาสีฟ้าหม่นฉายแววว่างเปล่าเลื่อนลอยก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นงุนงงเล็กน้อย   

                   
           
    ครั้นเจ้าตัวเรียงลำดับความคิดในสมองได้เรียบร้อยแล้ว จึงรีบตาลีตาเหลือลุกขึ้นมาจัดการดับไฟโดยการเอามือปาดผ่านเพียงวูบเดียว  ทำเอามาร์คัสจ้องมองอย่างสงสัย 
    ไดแอซ  เขาเรียกชื่อเด็กหนุ่มที่ยิ้มเจื่อนๆพร้อมทำหน้าเจี่ยมเจี๋ยมด้วยกลัวว่าจะโดนเทศน์ข้อหาเสกลูกไฟลืม 

                   
          “ลองเสกลูกไฟใหม่อีกทีสิ  คำพูดอันไม่คาดฝันทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับทำหน้าเหวอก่อนจะพึมพำเรียกลูกไฟดวงใหม่ออกมา 

                   
          ไอที่แผ่คลุ้งทั้วห้องทำเอามาร์คัสถึงกับอึ้งกิมกี่พูดไม่ออกไปเลยทีเดียว  อำนาจรุนแรงเกินกว่าจะเป็นพลังเวทในระดับทั่วๆไป  ชวนให้นึกไปถึงวันที่ปะทะกับหนูจิ๋วยักษ์นอกเมือง กระแสแบบเดียวกัน ไม่ผิดแน่ๆ  และเหมือนเด็กหนุ่มจะรู้ตัวจึงจัดการเก็บไอเหล่านั้นจนหมดสิ้น             

                   
          “เจ้ามีพลังพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่  ชายหนุ่มตรงรี่เข้าไปเขย่าไหล่อีกฝ่ายทันที  นัยน์ตาสีฟ้าหม่นฉายแววเลื่อนลอยเล็กน้อย  ข้าเจอผู้ชายคนหนึ่ง  ริมฝีปากเริ่มขยับเล่าเรื่องราว  พอข้าแตะตัวเขาก็.............ก็...  น้ำเสียงสะดุดลงพร้อมร่างเด็กหนุ่มทรุดฮวบลงไปกอบอยู่กับพื้น  ดวงตาเบิกโพลงคล้ายหวาดกลัวกับบางสิ่งอย่างที่สุด 

                   
          มาร์คัสเขย่าตัวพลางตบแก้มเบาๆเพื่อเรียกสติของเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อให้กลับคืนมา 
    อย่าเข้ามานะ  อย่าเข้ามา   ปล่อยข้า......ปล่อย   เจ้าตัวขยับถอยหนีมาร์คัสไปจนชนกับเก้าอี้กลางห้อง  มือทั้งสองข้างผลักไสร่างของอีกฝ่ายไม่ให้เข้ามาใกล้ตัว 

                   
          “ไดแอซ ไดแอซ

                   
          ชายหนุ่มร่ายเขตเวทขึ้นครอบคลุมห้องของพวกเขา พร้อมคว้าแก้วน้ำชาแล้วสาดออกไปกลางอากาศเพื่อให้เกิดเป็นเชือกเส้นบางพันธนาการตัวเด็กหนุ่มเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้อีก   ร่างค่อนข้างผอมขดกลมเป็นลูกบอกอยู่ใต้โต๊ะคล้ายสัตว์ตัวน้อยที่กำลังหวาดกลัวอะไรสักอย่าง 
    ไม่เป็นไรแล้วนะไดแอซ   มาร์คัสเอ่ยปลอบพลางขยับเข้าไปพร้อมยื่นมือแตะตัวเจ้าของชื่อ 

                   
          “บ้าจริง

                   
          เสียงสบถเบาๆ เนื่องมาจากปรากฏกำแพงใสห่อหุ้มกั้นขวางไม่ให้ชายหนุ่มมือของเขาถูกตัวอีกฝ่ายได้  ไดแอซยังคงนั่งกอดเข่าอยู่ในท่าเดิม  หากพลังที่ปล่อยออกมานั้นรุนแรงขึ้นจนน่าตกใจ  ดีแต่มาร์คัสรอบคอบกั้นเขตเวทเอาไว้ ไม่อย่างนั้นข้าวของในห้องคงพังไม่เหลือชิ้นดี  ไม่สิ...อาจเป็นทั้งชั้นหรือทั้งตัวอาคารเลยก็เป็นได้       

                   
          เขตเวทเกิดประกายไฟสีอมส้มพร้อมส่งเสียงเปรี๊ยะๆไม่ขาดระยะ  เนื่องมาจากการปะทะกันระหว่างพลังของเขากับเด็กหนุ่ม  เจ้าของเขตเวทกัดฟันกรอดพยายามทั้งทุบทั้งร่ายเวทเพื่อสลายกำแพง แต่ก็ไม่เป็นผลใดๆทั้งสิ้น

                   
           
    ไดแอซ รู้สึกตัวสักทีสิ

                   
          ชายหนุ่มพยายามตะโกนเรียก เพราะถ้าหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเขตเวทของเขาอาจต้านพลังไม่อยู่จนระเบิดออก นั่นหมายความว่าทั้งเขาทั้งเด็กหนุ่มและอาจรวมไปถึงคนอื่นอาจไม่รอด 

                   
          เปรี๊ยะ

                   
          เสียงดังขึ้นกว่าครั้งก่อนๆพร้อมปรากฏรอยปริแตกพาดผ่านเหนือเขตเวทเป็นทางยาว  อายพลังสีฟ้าเจิดจ้าเกาะกลุ่มรวมกันอยู่บริเวณรอยร้าวคล้ายน้ำในเขื่อนที่เตรียมพร้อมจะล้นทะลักออกไปได้ทุกเมื่อ  ไม่ว่ามาร์คัสจะเค้นพลังส่งออกไปสมานเท่าใดรอยปริแตกเหล่านั้นก็ไม่ได้ลดจำนวนลงเลยซ้ำยังเพิ่มขึ้นจนแทบจะทั่วเขตเวท

                     
           
    แฮ่กๆ

                   
          มาร์คัสหอบหายใจแต่ก็ยังพยายามกัดฟันร่ายเวททั้งๆที่พลังในตัวเหือดหายไปจนหมดแล้ว  รอยปริร้าวสั่นไหวรุนแรงแล้วระเบิดออกพร้อมพลังที่ถูกกักเก็บไหลทะลักไปปะทะเข้ากับข้าวของในห้องจนกระจัดกระจายไปทั่ว 

                   
          พลังส่วนหนึ่งพุ่งสะท้อนกลับมากระแทกใส่ชายหนุ่มอย่างแรงจนเจ้าตัวปลิวไปชนกับผนังห้องแล้วทรุดลงมา  เลือดสีแดงฉานหยดออกมาจากมุมปาก ที่ขยับเปล่งถ้อยคำแผ่วเบา  กระแสพลังอ่อนบางหยดสุดท้ายในร่างแปรเปลี่ยนเป็นเกราะสกัดพลังปกคลุมเหนือตัวของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่กลางห้อง

                   
          วาบ

                   
          แสงขาวเจิดจ้าบาดตาเหลื่อมพรายกลายเป็นสีรุ้งจาง  นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนปรือลงทีละน้อย  ความรู้สึกสุดท้ายก่อนสติจะดับวูบคือภาพชายในชุดคลุมผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมาทางเขา แม้จะมองไม่เห็นหน้าแต่สิ่งที่ติดตาของเขาคือเส้นผมสีน้ำเงิน  แล้วแปรเปลี่ยนไปเป็นทัศนียภาพที่เต็มไปด้วยหยดน้ำโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าซึ่งปกคลุมไปด้วยแพเมฆสีเทาหนา  ก่อนจะถูกแทนด้วยความมืดอันไม่มีที่สิ้นสุด


    *********************

               
          “ท่านแม่ครับ  ดูนี่สิ  เด็กน้อยแบมือที่กำออกตรงหน้ามารดา  พร้อมดอกไม้หลากสีหลายชนิดผุดขึ้นมา  เสียงหวานหัวเราะน้อยๆ มือเรียวลูบหัวลูกน้อยแผ่วเบาแล้วเอ่ยชม  เก่งมากจ๊ะ  แต่ลูกยังจำที่แม่เคยบอกไว้ได้ไหม  เธอถามด้วยดวงตาหม่นแสงจนน่าใจหาย  ครับ  ข้าจะไม่แสดงอะไรให้คนอื่นดูแน่นอน  เด็กน้อยตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงคล้ายไม่ได้สังเกตร่องรอยความเศร้าบนใบหน้าของมารดา   

                   
          ร่างอ้อนแอ้นรวบตัวเด็กชายเข้ามากอด 
    ดีแล้วจ๊ะ  ดีแล้ว  หญิงสาวพึมพำก่อนซุกหน้าลงบนเรือนผมหอมของเด็กน้อยเพื่อซ่อนน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาคู่สวยไว้    

                   
          ภาพพร่าเลือนแล้วดับลงก่อนถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงหวานขับขานเพลงกล่อม
    หลับให้สบายเถิดลูกรัก  แม่จะคอยปกปักอยู่ข้างกายสัมผัสนุ่มแตะลงบนผมก่อนจะไล่ลงมาที่ใบหน้าพร้อมพากลิ่นหอมกรุ่นมาแตะจมูก 

                   " ท่านแม่...................."


    -----------------------------
        

    หวัดดีค่าทุกท่าน พบกันอีกแล้วเนอะ 

      อากาศร้อนๆอย่างนี้อยากไปเที่ยวน้ำตกหรือไม่ก็ทะเลจังคงเย็นสบายขึ้นเยอะเลย  แล้วช่วงนี้ก็ใกล้สงกรานต์ซะด้วย  คิดว่าจะใส่เสื้อกันฝนออกไปดูเขาเล่นน้ำกันซักหน่อย(จะออกไปเพื่อ?) 55+ 

       ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน+เม้นท์ด้วยเจ้าค่ะ

           

     

               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×