คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : เพียงแค่อยากพบ...อีกสักครั้ง
แดดยามเช้าสาดผ่านม่านสีอ่อนเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มผู้ที่เมื่อคืนหลับสนิทไม่รู้เรื่องอะไรกำลังนั่งคุยกับเพื่อนรักพร้อมจิบชาร้อนตรงโต๊ะกลางห้อง
“บ้าเอ๊ย” เสียงบ่นปนด่าของเวสดังขึ้นพร้อมเจ้าตัวยื่นมือไปโดยมีเป้าหมายเป็นหัวค่อนข้างยุ่งๆของมาร์คัสที่กำลังมองเพื่อนด้วยสีหน้างงๆ “เมื่อคืนไม่อยู่เป็นเพื่อนกันเล๊ย ดันชิงหลับไปก่อนซะได้ ไม่รู้ไอ้เจ้าไดแอซเป็นอะไร มันยืนพูดคนเดียวอยู่กับประตูหน้าห้องตั้งนานสองนาน ข้างี้ขนหัวลุกไปหมดเลย หัวใจแทบหยุดเต้นน่ะ รู้ไหม กว่าจะลากกันเข้าห้องได้ก็เหนื่อยแทบตาย” ชายหนุ่มทำท่าประกอบเรื่อง “น่ากลัวที่นี่จะมีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้วล่ะ” ว่าพลางหันไปมองรอบๆห้องด้วยอาการหวาดผวา “ข้ายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครตายที่นี่นะ” มาร์คัสขัดขึ้นตรงๆก่อนที่คนเป็นเพื่อนจะจินตนาการอะไรไปมากกว่านี้
“เจ้าไม่รู้อะไร” ชายหนุ่มยังไม่เลิกราง่ายๆ “ลองมาเหลืออยู่คนเดียวตอนที่เพิ่งมีคนพูดกับอะไรไม่รู้ดูสิ กว่าข้าจะอันเชิญไอ้โชวี่ให้มารับที่นี่ได้....” มาร์คัสหันไปถามเพื่อน “อ้าวงั้นเมื่อคืนเจ้านอนที่นี่เหรอ”
“เกือบอยู่เหมือนกันล่ะ ก็ข้าไม่กล้าออกจากห้องนี่นา กลัวเปิดประตูไปแล้วจ๊ะเอ๋กับอะไรก็ไม่รู้ยืนยิ้มอยู่หน้าห้องละเสร็จเลย” ชายหนุ่มบอก
“ว่าแต่เจ้าเอาไวน์ให้มันกินหรือเปล่า” มาร์คัสเลิกคิ้วอย่างงงๆ “หือ ไวน์เหรอ? เปล่านี่” ชายหนุ่มส่ายหน้าเชิงปฏิเสธ “เมื่อคืนรู้สึกว่ามันจะดื่มเข้าไปนิดหน่อยด้วย” อีกฝ่ายเอ่ยต่อก่อนหันไปมองเด็กหนุ่มคนที่ว่าซึ่งกำลังหลับปุ๋ย “น่ากลัวจะเมามากกว่ามั้ง” มาร์คัสบอก “แต่หน้าตาตอนพูดนั่น.....” เวสนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
ดูเหมือนไดแอซกำลังถามใครบางคนอยู่ และอีกฝ่ายเหมือนจะรู้จักเด็กหนุ่มด้วย หลังเจ้าตัวยืนพูดไปได้สักพัก เขาผู้เกิดอาการประสาทหลอนจึงกลั้นใจหลับหูหลับตาลากเด็กหนุ่มเข้าห้องลงกลอนเสียแน่นหนา ครั้นมาลองคิดๆดูปรากฏว่าตัวเองยังคาใจอยู่กับสีหน้าและแววตาแปลกๆนั่น
“จำได้.... นึกออก.... งั้นหรือ?”
“เอาเป็นว่าไดแอซตื่นเมื่อไหร่ค่อยถามแล้วกัน” มาร์คัสได้ข้อสรุป “เฮ้อ ตั้งแต่งานดอกไม้สีเลือดนี่นับวันพวกเราจะยิ่งเจอเรื่องแปลกๆเข้าไปทุกทีๆ”
พรวด
ไม่ทันขาดคำ ไดแอซผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะก้าวลงจากเตียงในฉับพลัน ส่งผลให้เด็กหนุ่มสะดุดเอากับผ้านวมหนาหนักซึ่งกองอยู่บนตัวลงมานอนแอ้งแม้งบนพื้นห้องอันเย็นเฉียบ
โครม
“ง่า”
ครั้นผู้ใช้เวททั้งสองได้สติก็รีบกรูกันเข้าไปหาร่างภายใต้กองผ้านวมทันที ไดแอซลืมตาขึ้นพร้อมท่าทางมึนงงซึ่งคงจะเป็นผลมาจากการตกเตียงเมื่อครู่ เด็กหนุ่มคลำหัวตัวเองป้อยๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปยังปากซึ่งค่อนข้างเจ่อเล็กน้อยจากการเสียจูบแรกให้กับพื้นห้อง เจ้าตัวเลยทำหน้าแหย่ๆ
ความจริงค่อยๆลุกก็ได้ เวสว่าหลังพยุงให้เขากลับขึ้นมานั่งบนเตียงได้สำเร็จ ค่อยๆลุก เจ้าตัวทวนคำอย่างประหลาดใจ “ทำไมอ่ะ? แต่เสียดายกำลังจะได้กินลูกกวาดอยู่แล้วเชียว อุตส่าห์ลอยมาตรงหน้าแท้ๆ” เด็กหนุ่มทำท่าคอตกเล็กน้อย “ตกลงนี่มันละเมอใช่ไหมเนี่ย”
ครั้นเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสองจ้องมองเขาอย่างสงสัยจึงเริ่มเล่าให้ฟัง “ข้ากำลังฝันว่าได้ไปนอนอยู่บนปุยเมฆนุ่มๆ คงเป็นสวรรค์แหละ แล้วมีขนมเต็มไปหมดเลย ทั้งคุ๊กกี้ เค้ก ลูกกวาด มาชเมลโล่ ไอศกรีม แอปเปิ้ลชุบคาราเมล น้ำแข็งไส ขนมปัง....”
“พอเหอะ” สองผู้ใช้เวทปรามเด็กหนุ่มที่กำลังบรรยายสภาพสรวงสวรรค์ของกินที่เจ้าตัวเพิ่งได้ประสบพบเจอมา “แล้วยังมี......” มาร์คัสรีบถามขัดไดแอซซึ่งกำลังจะเริ่มบรรยายต่อ “เมื่อคืนเจ้าเห็นอะไร” เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆสองสามทีกับคำถามที่ส่งตรงมาโดยไม่ทันตั้งตัว
“ผู้ชายคนนั้น..... มีตาสีอัญชันเข้ม กับผมสีน้ำเงินเหลือบๆดำ...” ไดแอซพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “คิดเหมือนกันไหม” ทันทีที่ฟังจบมาร์คัสกับเวสหันหน้าเข้าหากันเหมือนนึกอะไรออก ก่อนทั้งคู่จะถลาไปยังโต๊ะกลางห้องอันเป็นที่ตั้งของกองเอกสารนานาชนิดซึ่งวางสุมๆกันอย่าไม่ใคร่เป็นระเบียบเท่าใดนัก แล้วเริ่มต้นคุ้ยหาสิ่งที่ต้องการขึ้นมายืนยันความคิดของตนเอง
“เจอแล้ว”
มือของสองคนคว้าหมับเข้าที่ม้วนบันทึกบางม้วนเดียวกัน เลยเกิดสงครามแย่งชิงเอกสารย่อยๆเกิดขึ้น ไดแอซส่งสายตามองชายหนุ่มทั้งสองทะเลาะกันอย่างสงสัย โดยไม่คิดจะห้ามปรามแต่อย่างใด
“พรึบ”
ม้วนบันทึกสะบัดกางออกคล้ายเป็นการห้ามศึกกลายๆนี้ ก่อนที่ตัวมันจะเปลี่ยนสถานะไปเป็นเศษกระดาษเสียก่อน
โป๊ก
เสียงหัวปะทะหัวดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อมาร์คัสกับเวสยื่นหน้าเข้าไปอ่านบันทึกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างฝ่ายต่างค้างในท่าเดิมชั่วขณะก่อนทรุดตัวลงนั่งทั้งที่มือยังกุมหัวแน่น ตามมาด้วยเสียงบ่นอย่างอดไม่ได้ของเวส “หัวแข็งนะ ท่าทางกะโหลกหนานี่” ชายหนุ่มว่าหลังจากอาการมึนตึ๊บค่อยๆหายไปจากสมอง ฝ่ายมาร์คัสที่กำลังเพลิดเพลินกับการนับดาวซึ่งกำลังโคจรและเปล่งแสงระยิบระยับรอบหัวไม่ได้ตอบอะไร
นัยน์ตาสีฟ้าหม่นมองปฏิกิริยาของคนทั้งสองอย่างแปลกใจ ก่อนหลุดขำออกมาเมื่อเห็นท่าทางการแย่งข้าวของคล้ายเด็กๆ เวสกับมาร์คัสค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปอ่านอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
“ใช่เลย”
สองเสียงตะโกนลั่นห้องราวกับพบขุมทรัพย์ก็ไม่ปานหลังไล่สายตาอ่านไปจนจบย่อหน้า ตามด้วยม้วนบันทึกอันดังกล่าวลอยละลิ่วมาหาเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียง ซึ่งเจ้าตัวก็รับไว้ได้อย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะฟาดหัวเข้า
“ก็สีตากับสีผม..... แล้วทำไมเหรอ” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามเสียงซื่อ เล่นเอาผู้ใช้เวทซึ่งกำลังนั่งจ้องตาแทบถลนออกจากเบ้า เกือบจะลุกขึ้นมาตบกะโหลกเขาอยู่รอมร่อ “เอาเถอะ” มาร์คัสทำท่าเหนื่อยใจ “แล้วเขาพูดอะไรกับเจ้าบ้างล่ะ”
“เขาบอกว่า.......”
ไดแอซนิ่งไป “ว่า
” มาร์คัสต่อ เจ้าตัวหันไปสบตาคนถามแล้วส่งยิ้มจืดๆไปให้ “อีกแล้ว” คราวนี้เป็นเสียงโวยวายลั่นห้องของเวส ฮึ อย่าให้รู้นะว่าใช้เซลล์สมองส่วนไหนจำ พ่อจะควักมากระทืบแล้วส่งให้มังกรกินเลย คอยดู
“บางทีคนๆนั้นอาจใช่ท่านเวนตุสที่เรากำลังหาอยู่ก็ได้” มาร์คัสพูดขึ้นคล้ายบ่นกับตัวเอง แต่ก็ส่งผลให้เวสหยุดอาการอาฆาตไดแอซไว้ชั่วคราว แล้วหันขวับหาชายหนุ่มพร้อมทำท่าซักไซ้ “อะไรนะ เจ้าหาคนๆนั้นทำไม” คนถูกซักได้แต่หลุบตามองพื้น “พวกเจ้ามีอะไรปิดบังข้าไว้หา” คำถามนี้ทำเอาเด็กหนุ่มกับมาร์คัสนิ่งสนิท
โครม
เสียงสวรรค์ช่วยชีวิตที่เป็นใครบางคนกำลังถีบประตูอย่างกับแค้นใครมาสักร้อยปี ครั้นเห็นเพื่อนซี้นั่งนิ่งทำไม่รู้เรื่อง เวสจึงเลิกซักและเป็นฝ่ายลุกไปเปิดประตูเสียเอง โชวี่ถลาเข้ามาในห้องพร้อมของกินเต็มอ้อมแขน เนื่องมาจากคำขอร้องแกมบังคับจากเวส ชายหนุ่มโยนของทั้งหมดลงบนโต๊ะสุมรวมไปกับกองตำราที่ผ่านการรื้อค้นจนกระจุยกระจายเมื่อครู่ ก่อนจะโดดเข้ามาร่วมวงและเริ่มเผาเพื่อนตัวเอง
“เมื่อคืนไปไหนกันมา กลับซะดึกโขเลย” มาร์คัสเลิกคิ้วอย่างแปลกใจห้องก็ไม่ได้ติดกันซะหน่อย แล้วโชวี่รู้ได้ยังไง คำตอบก็เฉลยขึ้นในประโยคถัดไป “เวสมันส่งสัตว์เสกมาปลุกสัก 10 รอบได้ ไอ้เราก็นึกว่ามันจะถูกใครลากไปทำมิดีมิร้าย ที่แท้.....”
“เงียบไปเลย”
คนถูกเผาระยะประชิดขัด “ก็ไดแอซนั่นล่ะ ดันไปพูดกับอากาศโล่งๆ ข้าก็กลัวดิ” โชวี่หันไปซุบซิบอะไรบางอย่างกับมาร์คัสซึ่งรายนั้นทำหน้าไม่เชื่ออย่างที่สุด
“เวสเนี่ยนะ เคยลากเจ้าเข้าป่าช้าไปพิสูจน์.....”
“เบาๆ เดี๋ยวมันได้ยิน”
“มันไม่เหมือนกันนี่นา” คนถูกนินทายื่นหน้าเข้ามาฟังด้วย
“เฮ้ย” เป็นผลให้วงแตกในทันที
เวสยักไหล่เล็กน้อยแล้วหันไปเพื่อจะถามไดแอซ ปรากฏว่ารายนั้นหลับอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขาเลยจัดแจงเขย่าตัวมันให้ตื่นมาช่วยไขข้อข้องใจ แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะหลับลึกไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะกรอกหูด้วยประโยคยอดฮิตอาทิเช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม ลูกเห็บตก แผ่นดินไหว แพขนตายาวที่พริ้มหลับก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดขึ้นมารับรู้แต่อย่างใด
“ให้มันได้อย่างนี้สิ” เวสทำท่าปลงตกก่อนหันไปปรึกษาเรื่องงานกับเพื่อนเป็นการฆ่าเวลาเพื่อรอให้เด็กหนุ่มตื่นมาตอบคำถามต่อ
******************
เสียงนกร้องประสานกันอย่างรื่นเริง พร้อมลำแดดสาดทะลุรูโหว่ของหลังคาเก่าๆลงมาบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยเศษฟางและหยากไย่ ชุดเก้าอี้ไม้ฝุ่นจับหนาเตอะตั้งระเกะระกะอยู่กลางห้อง เศษม่านขาดๆสีซีดจางปลิวสะบัดตามสายลมอุ่น ข้างนอกหน้าต่างนั้นเป็นแปลงผักรกร้างเต็มไปด้วยวัชพืช ถัดจากรั้วหักๆคือป่าละเมาะสีเขียวชอุ่ม
ไดแอซมองสภาพรอบกายด้วยความรู้สึกคุ้นเคย เด็กหนุ่มก้าวผ่านประตูโล่งไปยังบริเวณที่ต้องสงสัยว่าจะเคยเป็นครัวมาก่อน เขาปัดฝุ่นบนที่วางชามเก่าเบาๆ นกตัวจ้อยบินเปร๋อจากหม้อเก่ามุมครัวออกไปทางประตูหลัง เสียงลูกนกร้องจิ๊บๆเบาๆดังลอดออกมา เด็กหนุ่มเดินตามออกไปสู่ภายนอก ไม้เลื้อยนานาพรรณทอดตัวข้ามทางเดินปูด้วยหินเก่าๆพร้อมผลิดอกสีสดบานสะพรั่ง บนตอไม้เตี้ยๆขนาดย่อมมีชายหนุ่มที่เขาพบเมื่อคืนนั่งอยู่
นัยน์ตาสีอัญชันเข้มทอดมอง ขณะที่ไดแอซทรุดตัวลงนั่งบนตอไม้อันถัดไป “ท่านมาพบข้ามีเรื่องอะไร” เขาตัดสินใจถามขึ้น เนื่องจากด้วยฤทธิ์ไวน์เมื่อคืนทำให้เขาเบลอจัด ตื่นมาเรียงลำดับอะไรไม่ได้ “ข้าคิดว่าเจ้าคงพอช่วยข้าตามหาสิ่งสำคัญที่ขาดหายไปได้” แว่วตาคนพูดหม่นแสงลงจนน่าใจหาย “แล้วสิ่งสำคัญที่ว่านั่นอะไรหรือ พอจะบอกข้าได้ไหม” เด็กหนุ่มถามต่อ
อีกฝ่ายส่ายหน้าเบาๆ “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่สิ่งนั้นเปรียบเสมือนเป็นหัวใจของข้า” คนฟังมุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง “ทำไมถึงขอให้ข้าช่วย”
“เพราะเจ้ามีบางอย่างเหมือนกับข้า บางอย่าง.......ที่ข้าไม่รู้ว่าคืออะไร” ชายหนุ่มก้มหน้ามองมือที่ประสานกันหลวมๆบนตัก “ข้าเองก็จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร”
เด็กหนุ่มหัวเราะขื่นๆเมื่อได้ฟังอีกฝ่าย “อันที่จริงข้าก็เป็นเหมือนท่าน” คำพูดนี้เรียกความสนใจจากชายหนุ่มให้หันมา ขณะที่สายตาคนพูดจับจ้องผีเสื้อปีกบางที่บินวนเวียนอยู่รอบๆกอดอกไม้ป่าหลากสีข้างตัวเขา “ข้าก็จำอะไรไม่ได้เช่นกัน ไม่รู้ว่าตัวเองมาจากที่ไหน เคยเป็นใคร...... แค่เรื่องของตัวเองยังทำอะไรไม่ได้เลย คงไม่มีหน้าไปช่วยคนอื่นหรอก”
ไดแอซปฏิเสธก่อนลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินกลับเข้าไปยังบ้านร้างนั้น “นั่นสินะ เวลาพยายามนึกอะไรแล้วมันนึกไม่ออกนี่น่ารำคาญจริงๆ” ชายหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบ “แล้ว.......ท่านตามหาสิ่งนั้นมาตลอดเลยหรือ” เขาชะงักก่อนหันกลับมา
“ข้าทำได้เพียงพยายามมาตลอด ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะได้พบเมื่อไหร่ ” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ “ก็แค่อยากได้พบอีกสักครั้ง ก่อนที่เวลาของข้าจะหมดลง จะได้จากไปอย่างไม่มีอะไรคาใจ”
“เวลากำลังจะหมดลง....” คำพูดของชายหนุ่มสะท้อนก้องไปก้องมาในหัวซ้ำกับประโยคที่เขาเคยได้ยิน “อยากพบอีกสักครั้ง ก่อนที่ดวงวิญญาณนี้จะดับสลายไป.....”
วูบ
ละอองไอสว่างจ้าค่อยๆผุดขึ้นมารอบๆกาย ร่างของไดแอซโปร่งแสงขึ้นทีละน้อยจนแทบจะกลืนไปเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศ กระนั้นเจ้าตัวยังหันกลับไปตะโกนบอกชายหนุ่มซึ่งยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม “จะช่วย..... ท่าน ข้า...........”
ภาพทุกอย่างกลับเป็นสีขาวเจิดจ้าก่อนเปลี่ยนสู่ความมืดมนอย่างฉับพลัน “เฮ้ย มันตื่นแล้ว” เสียงคุ้นหูตะโกน พร้อมการเขย่าตัวเขาด้วยแรงระดับช้างป่าตกมันและยังมีทีท่าว่าจะเพิ่มดีกรีความแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังทบทวนความฝันแปลกๆเมื่อครู่จำต้องลืมตาขึ้นอย่างเสียไม่ได้
“นี่กะว่าถ้าไม่ตื่นจะ......” ไดแอซจึงได้เงยหน้ามองมือของคนปลุกที่เสกลูกบอลน้ำขนาดย่อมมาถือไว้ในท่าเตรียมพร้อมเต็มที่ “เอื๊อก ขอบคุณสวรรค์ ดีนะที่ข้าตื่นก่อน”
แก๊ง แก๊ง
“ระฆังอะไรมาตีตอนกลางวันหว่า” เด็กหนุ่มเกาหัว แล้วเหลือบสายตาไปทางหน้าต่าง ท้องฟ้าเหลือเพียงหมู่เมฆสะท้อนแสงสีน้ำเงินเข้ม กับจุดแสงเล็กกระพริบวิบวับ “มัน...มืดแล้วนี่นา” เด็กหนุ่มอุทานเบาๆในใจ “เมื่อกี๊ยังเช้าอยู่เลยอ่ะ ต้องมีใครเล่นตลกอะไรแน่ๆ”
แต่ดูเหมือนสามสหายอันประกอบไปด้วยเวส มาร์คัสและโชวื่ที่กำลังนั่งสุมหัวล้อมรอบโต๊ะอันเต็มไปด้วยกองตำราที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกสามถึงสี่เท่าตัวจะไม่สนใจท่าทางสับสนของเขา ไดแอซจึงตัดใจละทิ้งผ้านวมหนากับสวรรค์ชั้นขนมแล้วลงไปร่วมด้วยช่วยกันอีกแรง
“นี่ข้าหลับไปทั้งวันเลยสินะ” คนทั้งโต๊ะพยักหน้าพร้อมกัน เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างพลางขยี้ตาพร้อมหาวหวอดใหญ่ก่อนเอานิ้วสางผมยุ่งๆสองสามทีพอเป็นทรง พวกท่านทำอะไรกันอยู่เหรอ เจ้าตัวถาม
“กินข้าวมั้ง ถามได้”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย”
“กำลังสงสัยเรื่องคนที่เจ้าพูดถึงเมื่อเช้านั้นล่ะ” มาร์คัสเงยหน้าขึ้นมาตอบ “ผู้ชายคนนั้น” ไดแอซทวนคำ ข้าเล่าให้เวสกับโชวี่ฟังหมดแล้วล่ะ ชายหนุ่มเอ่ยต่อ “เรื่องของเจ้าหญิงลีเมย์นั่นไง” เขาขยายความเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตามเรื่องไม่ค่อยทัน
ไดแอซพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนเริ่มพูดบ้าง “ตอนหลับไปข้าฝันถึงผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว” ประโยคนี้เรียกเอาความสนใจของคนทั้งสามให้หันมาจ้องเขาเขม็งเป็นตาเดียว “คงไม่ลืมอีกหรอกนะว่าพูดอะไรกันบ้าง” เวสเปรย เด็กหนุ่มส่ายศีรษะแรงๆเป็นการยืนยันเต็มที่
“เขาขอให้ข้าช่วยตามหาสิ่งสำคัญที่หายไป” เด็กหนุ่มเล่าช้าๆ “เขายังบอกอีกว่า สิ่งนั้นสำคัญมาก เป็นเหมือน......หัวใจ” โชวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คนๆนั้นบอกเจ้าแค่นี้หรือ แล้วจะไปตามหาได้ไงไอ้ของที่ว่านั่น” คนเล่าส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “เขาเองก็จำอะไรไม่ได้เช่นกัน เลยไม่อาจบอกได้ว่าสิ่งนั้นหน้าตาแบบไหน” มาร์คัสพลิกหนังสือเล่มบางในมือพรึบๆ ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าที่ต้องการ
เขายื่นมันให้เด็กหนุ่มและเพื่อนๆได้อ่าน “ท่านเวนตุสเองก็ก่อนเสียชีวิตก็จำอะไรไม่ได้เช่นกัน และ.... “ข้ารู้สึกเหมือนว่าได้เสียสิ่งสำคัญไป สิ่งสำคัญที่เป็นชีวิต เป็นหัวใจของข้า”
“ต้องเป็นเขาแน่ๆ” ไดแอซโพล่งเสียงดังหลังอ่านจบ “แต่น่าแปลก ปกติดวงวิญญาณหากไม่มีวัตถุอะไรเป็นสิ่งเชื่อมโยงกับโลกนี้ไว้ จะต้องดับสลายไปตั้งนานแล้ว ไม่ควรอยู่มาได้ถึงขนาดนี้” มาร์คัสสงสัย “คงเป็นความรู้สึกที่รุนแรงสักอย่างกระมัง เลยทำให้วิญญาณสามารถอยู่ได้นานเกินกว่าแบบทั่วๆไป” เวสออกความเห็น “อาจเพราะเมื่อยังมีชีวิตเคยเป็นผู้ใช้มนตราด้วยก็ได้” โชวี่เสนอบ้าง “แต่เขาพูดเหมือนที่ใครคนหนึ่งเคยพูดไว้” จู่ๆไดแอซก็เอ่ยขึ้น
“อยากพบสักครั้ง......เวลาที่กำลังจะหมดลง.....”
“เจ้าหญิงลีเมย์ยังไงล่ะ”
“เช่นนั้นทำไมนางกับเขาถึงไม่เคยได้พบกันเลย ทั้งๆที่อยู่ในแพนโทเนียแท้ๆ” เวสสะดุดใจกับอะไรบางอย่าง “นั่นสิเจ้าหญิงลีเมย์เองก็หลุดพันธนาการมาตั้งนานแล้ว” มาร์คัสทบทวนเรื่องราวจากปากของเจ้าหญิงพระองค์นั้น “ได้เวลากินข้าวเย็นแล้วคุณชายทั้งหลาย” เมอร์สตะโกนเรียกจากหน้าประตูห้อง ต่างฝ่ายต่างจัดแจงจับเอกสารมาสุมๆกันไว้อย่างลวกแล้วเปิดประตูออกไป
“หมายความว่าพวกเขาอาจไม่ได้เจอกันอีกเลยใช่ไหม” เด็กหนุ่มหันไปถามมาร์คัสที่เดินรั้งท้ายอยู่กับเขา “ไม่แน่นักหรอก คงพอมีหนทางอยู่บ้าง ไหนๆก็รับปากเขาไว้แล้วนี่ว่าจะช่วยถึงที่สุด”
“อื้อ จะต้องช่วยให้ถึงที่สุด”
********************
“ไดแอซ เดี๋ยวข้ากับโชวี่จะออกไปหาท่านแรนดัลสักหน่อย” มาร์คัสโผล่หน้าเข้ามาบอกเด็กหนุ่มที่กำลังตั้งอกตั้งใจอ่านเอกสารเต็มที่ “แล้ว........” ผู้ใช้เวททำท่านึกได้ เขาหยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมแล้วโยนไปให้เด็กหนุ่ม “ในซองนั่นมีจดหมายรับรองตัวของเจ้ากับเอกสารยืนยันประทับตราของทางพระราชวัง พอไปถึงที่นั่นแล้วยื่นของพวกนี้ให้เขาดู เจ้าก็จะได้พบองค์ราชา” มาร์คัสอธิบายแจกแจงวิธีโดยละเอียดให้เด็กหนุ่มฟังโดยไม่ได้สนใจว่าใบหน้าอีกฝ่ายเริ่มซีดลงๆ
“ให้ข้าไปคนเดียวเหรอ?” เจ้าตัวหลุดคำถามออกมาได้ “มีจดหมายเรียกแต่เจ้านี่ ไม่ได้เรียกข้าเสียหน่อย” ชายหนุ่มบอก “เอาเถอะน่า พระราชวังนะไม่ใช่ปราสาทกินคน เขาไม่เอาเจ้าไปต้มยำทำแกงหรอกน่า” เป็นคำปลอบใจที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นโขเลย จริงๆนะ
เสียงพูดกึ่งตะโกนจับใจความไม่ได้ดังแว่วๆอยู่นอกห้อง “ข้าต้องไปแล้ว” ชายหนุ่มบอกเขาพร้อมอวยพร “โชคดีนะ” ไดแอซพยักหน้ารับช้าๆเหมือนหุ่น “อ้อ” มาร์คัสผลุบเข้ามาอีกรอบ เด็กหนุ่มทำท่ามีหวังเล็กน้อยด้วยคิดว่าอีกฝ่ายอาจยอมไปกับเขา “เกือบลืม รายละเอียดอยู่ในหนังสือปกสีเทาๆข้างเจ้านั่นล่ะ ส่วนเวลาอยู่มุมซองด้านซ้าย แล้วอย่าไปสายล่ะ”
เฮ้อ
ไดแอซถอนหายใจเมื่อมาร์คัสออกไปแล้ว ไปเข้าเฝ้าองค์ราชาคนเดียวเพียวๆ เขาพลิกซองดูเวลานัดหมาย บ่ายสองโน่น บางทีพวกนั้นอาจกลับมาทัน เด็กหนุ่มยังอุตส่าห์มีความหวัง ถึงจะค่อนข้างริบหรี่แบบไฟฉายใกล้ถ่านหมดก็เถอะนะ
วูบ
หลังจากอ่านเอกสารที่ส่วนมากเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หนูจิ๋วยักษ์ขมูขีที่เขาจำอะไรไม่ได้เลยเสียมาก เด็กหนุ่มก็เริ่มหาว ก่อนเจ้าตัวจะหยิบหนังสืออ้างอิงสองสามเล่มที่หนากำลังดีมาหนุนแทนหมอนแล้วเข้าสู่นิทรารมย์ ไป สายลมอันไร้ที่มาพัดวนอยู่รอบๆตัวคนกำลังหลับสบาย
วาบ
กลับมาอีกแล้ว ไดแอซนึกในใจเมื่อลืมตาขึ้นพบภาพหลังคาผุๆพังๆกับบ้านร้างหลังเดิม คราวนี้เจ้าตัวเริ่มออกเดินสำรวจไปทั่วอย่างคุ้นมากขึ้น เงาร่างโปร่งของชายหนุ่มปริศนายังคงนั่งอยู่บนตอไม้อันเดิมเหมือนเมื่อตอนที่เขาได้พบครั้งแรก
บรรยากาศสดชื่นมีชีวิตชีวาของฤดูใบไม้ผลิเคลื่อนเข้ามาโอบล้อมตัวเขาไว้ หากแต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความเศร้าที่แผ่กระจายออกมาจากตัวคนผู้นั้น เด็กหนุ่มแตะกอหญ้าเล็กๆตรงปลายเท้าเล่นก่อนเดินไปหยุดข้างตัวชายหนุ่ม “ข้าจะช่วยท่าน” ไดแอซเอ่ยขึ้น “ท่านจะได้พบกับสิ่งนั้นแน่ๆ ข้า.....” เด็กหนุ่มวางมือบนบ่าอีกฝ่ายเป็นการให้กำลังใจ
ทั้งๆที่ไม่น่าเป็นไปได้ เด็กหนุ่มควรแตะได้เพียงธาตุอากาศ แต่มือของเขากลับสามารถสัมผัสกับบ่าของอีกฝ่ายคล้ายชายหนุ่มยังมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกับเขา
วิ้ง วิ้ง
ภาพบางอย่างไหลทะลักเข้าสู่สมองไดแอซคล้ายสายน้ำทั้งเชี่ยวทั้งรุ่นแรง เด็กหนุ่มทรุดลงกับพื้นเนื่องจากไม่อาจรับภาพและความรู้สึกซึ่งสับสนคล้ายปมด้ายนับร้อยที่ถาโถมเข้ามาเพียงเสี้ยววินาทีไม่ได้ ความมืดและคำพูดนับพันผุดขึ้นมาในสมองเด็กหนุ่มราวฟองอากาศจากก้นทะเลลึก เจ้าตัวใช้สองมือกุมศีรษะแน่นจนขึ้นข้อขาวโดยหวังว่าจะหยุดยั้งสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ร่างของเขาล้มลงกระทบกับพื้น กลิ่นดินผสมกับกลิ่นใบหญ้าโชยขึ้นมาแตะจมูก “เจ้า.......... เป็นอะไร” เสียงเรียกของชายหนุ่มฟังดูเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกลท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกราก มือโปร่งที่กำลังจะเอื้อมมาแตะร่างที่กำลังบิดงออยู่บนพื้นด้วยความเป็นห่วงชะงักกลางอากาศ
แฮ่ก แฮ่ก
ไดแอซหอบเล็กน้อยเมื่อภาพต่างๆหยุดสนิท แรกลืมตาท้องฟ้าสีครามกับป่าสีเขียวกำลังลังหมุนวนอยู่รอบตัว เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วสูดหายใจยาวลึกก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกรอบ “เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงแสดงความห่วงใยดังมาจากชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้ามองเขา เด็กหนุ่มส่ายหน้าด้วยไม่มีแรงตอบ เขาพยุงตัวขึ้นมานั่งอิงกับโคนต้นสนใหญ่ ชายหนุ่มมองเขาด้วยสายตางุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ไดแอซพึมพำอะไรบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัว อากาศตรงหน้าเขาระเบิดออกเป็นดวงไฟสีรุ้งพร่างพรมลงบนพื้นดินรอบตัว
วูบ
ภาพอันน่าอัศจรรย์ของต้นไม้ใบหญ้าที่ต่างพากันแทงยอดออกดอกอย่างรวดเร็ว จนแทบจะกลายเป็นทุ่งดอกไม้อันงดงาม แต่เพียงพริบตาทุกสิ่งกลับเหี่ยวเฉาลงคงเหลือแต่พื้นดินและกอหญ้าเล็กๆดังเดิม “มนตรา” ชายหนุ่มหลุดถ้อยคำออกมา
วาบ
ก่อนที่จะทันถามหรือพูดอะไรแสงสีขาวสว่างก็เขากลืนกินทัศนียภาพรอบกายจนหมดสิ้น
ไดแอซสะดุ้งตื่นขึ้นในห้องพักท่ามกลางกองเอกสาร “ฝันแปลกๆอีกแล้ว” เด็กหนุ่มนึกในใจ “คงเพราะคิดถึงเรื่องนี้มากไป” เจ้าตัวสะบัดศีรษะขับไล่ความง่วงงุนก่อนเหลือบไปมองนาฬิกาเรือนเล็กบนผนัง ใกล้จะเที่ยงแล้วนี่นา
เด็กหนุ่มจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดแบบผู้ใช้เวทอย่างรวดเร็ว คิ้วเรียวมุ่นเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะหยิบเสื้อคอตั้งแขนยาวที่เพิ่งถอดออกไปขึ้นมาดู ตรงชายแขนเสื้อมีเศษดินเปื้อนอยู่ “งั้น เมื่อครู่.....”. เด็กหนุ่มเอ่ยถ้อยคำที่ผุดขึ้นมาในหัวซ้ำอีกครั้ง คราวนี้ปรากฏดวงแสงสว่างเจิดจ้าหากแต่เยียบเย็นขึ้นมาตรงหน้าเขา ครั้นเขาปาดมือผ่านดวงแสงนั้นก็หายไป
เจ้าตัวนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ เสียงฝีเท้าหนักๆเดินผ่านหน้าห้องเรียกให้เขาหลุดจากภวังค์ความคิด “ช่างมันเถอะ ไหนๆก็ไหนๆ รีบกินข้าวแล้วไปพระราชวังดีกว่า”
***********************
“ว่าแล้ว เหมือนข้าสังหรณ์ไม่มีผิด” เด็กหนุ่มพูดคล้ายจะบ่นกับตัวเองพร้อมตลบผ้าพันคอขึ้นพันอีกชั้น หลังจากที่เขาหลงทางอยู่กับตรอกซอกซอยในเมืองเป็นหลายรอบกว่าจะหลุดออกมาถึงทางกว้างอันมุ่งสู่พระราชวังได้ก็เสียเวลาไปนานโข ตอนนี้เข็มสั้นอันโตของหอนาฬิกายักษ์ เลื่อนมาอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างเลขหนึ่งกับเลขสองพอดิบพอดี
เขาเร่งฝีเท้าไปจนถึงประตูบานใหญ่ยักษ์ของพระราชวัง เด็กหนุ่มอดหันกลับไปมองภาพเบื้องหลังไม่ได้ รอยเท้าบนหิมะนุ่มของเขาทอดเป็นทางยาวจนลับตาไป “เชิญ” เสียงทหารยามหน้าประตูวังเรียกให้หันกลับไป เด็กหนุ่มยื่นจดหมายให้ชายร่างสูงผู้นั้น เขาหันไปสั่งการอะไรบางอย่างกับผู้เป็นลูกน้องก่อนที่ทหารนายหนึ่งจะออกเดินพาเด็กหนุ่มเข้าไปภายใน
ไดแอซรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแปลกๆอย่างไรก็ไม่รู้ มือที่ซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อหนาเสียดิบดีเย็นเยียบขึ้นมา กระนั้นเจ้าตัวก็ยังคงรักษาสีหน้าท่าทางไว้คงเดิม ดูเหมือนเขาจะชินกับบรรดาพิธีการจำพวกนี้ "คุ้นๆ" คำที่ดังอยู่ในใจจนเจ้าตัวสงสัย
“เย่ย”
เด็กหนุ่มสะดุดพรมจนเซถลาเกือบล้มลงไปกองกับพื้น เจ้าตัวยิ้มแหย่ๆแล้วรีบออกเดินต่อ เมื่อผู้นำทางหันมามอง พวกเขาผ่านเข้ามาถึงห้องรับรองเล็กๆ
“เชิญท่านรออยู่ที่นี่ก่อน”
ชายผู้นั้นคำนับแล้วจากไป เด็กหนุ่มเมียงๆชุดเก้าอี้หนาก่อนตัดสินใจเดินสำรวจรอบห้อง ม่านหน้าต่างหนาจับกลีบเหมือนที่เขาเคยพบที่ตำหนักของเจ้าหญิงเฟลิเซีย ชั้นวางจานกระเบื้องเขียนลวดลายสวยๆ พร้อมผนังในโทนสีนุ่มละมุน
ไดแอซหยุดยืนข้างหน้าต่างบานใหญ่ก่อนสูดหายใจลึกๆเสียสองสามทีเพื่อระงับอาการตื่นเต้น นัยน์ตาสีฟ้าหม่นทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง สวนหย่อมฤดูหนาวเต็มไปด้วยหิมะสีขาว หิมะ.....ที่เจ้าตัวรู้สึกผูกพันนัก
----------------------------------------------------------------------
เข้ามาดูอีกทีตอนที่ลงไว้หาย T-T ตอนลงครั้งแรกรีบไปหน่อยเลยไม่ได้เช็ค ไม่น่าเลยเราคิดแล้วเศร้า เป็นยังไงกันบ้างคะ ตอนนี้กำลังติดการ์ตูนอยู่ค่ะ เรื่องHowl's moving castle ของค่ายghibli ชอบมากๆเลยถึงจะดูไม่รู้เรื่องก็เถอะนะ (คาดว่าตัวเองไม่แตกฉานซับอ่ะ) คิดว่าคงปิดเทอมกันหมดแล้ว หลายคนอาจกำลังจะไปเที่ยวหรือเรียนพิเศษมาราธอน(เหมือนกันเลยอ่ะ) แต่ยังไงก็มีความสุขกับหน้าร้อนนี้นะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่าน+เม้นด้วยเจ้าค่ะ
ป.ล. http://www.jj-book.com/jjstory1/view.php?qs_qno=4830 อันนี้เป็นเรื่องที่เพื่อนเราเขียนไว้ค่ะ แนวนี้น่ารักปนเศร้าดีๆ ฝากให้ช่วยติชมกันด้วยค่ะ
ความคิดเห็น