ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #2 : สายฝนแห่งฟอนเทนเบิร์ก

    • อัปเดตล่าสุด 13 ส.ค. 49


        
        ฟอนเทนเบิร์กในยามเช้าครึกครื้นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ถนนปูด้วยอิฐอย่างดีที่ทอดยาวเข้าสู่ตัวเมืองนั้นเรียงรายไปด้วยแผงขายของหลากชนิดเต็มสองข้างทาง เสียงเรียกลูกค้าและเสียงต่อราคาดังเซ็งแซ่ เด็กหนุ่มแวะเวียนเข้าออกแผงนั้นแผงนี้ด้วยท่าทีสนอกสนใจ

        จากตลาดเขาเดินทอดน่องชมเมืองอย่างสบายใจ ทะลุผ่านซอกเล็กซอยน้อยมากมาย จนมาโผล่ยังลานกว้างซึ่งล้อมรอบด้วยอาคารเก่าแก่ และมีน้ำพุแตกฟองฝอยสะท้อนแสงแดด "สวยจัง" เด็กหนุ่มชื่นชมกับภาพความงามตรงหน้า

        "แต่รู้สึกว่า…ข้าจะหลงแล้วล่ะ"

        เขามองซ้ายมองขวาหาคนที่พอจะให้ความช่วยเหลือได้ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าในยามนี้ลานกว้างจะร้างผู้คนเอาเสียอย่างนั้น สายตาของไดแอซปะเอากับอาคารรูปโดมที่เป็นหอสมุดประจำเมือง เมื่อไม่มีวี่แววว่าจะมีใครเดินผ่านมาแน่ๆ คนกำลังหลงทางรีบตรงเข้าหาประตูไม้บานใหญ่ของห้องสมุดทันที

       กริ๊ก

        ประตูเปิดออกในที่สุด เด็กหนุ่มเดินไปในโถงทางเดินที่ปูลาดด้วยพรมสีคร่ำครา "ว้าว!!" เขาอุทานเมื่อห้องสมุดขนาดใหญ่ปรากฏแก่สายตา ไดแอซซึ่งตอนนี้ยืนอยู่บนระเบียงรูปครึ่งวงกลมที่ยื่นเข้าไปในตัวโดมมองไปรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจ ชั้นหนังสือขนาดยักษ์นับสิบๆชั้นสูงจนเกือบจรดหลังคา อัดแน่นไปด้วยหนังสือจำนวนหลายพันเล่ม เบื้องล่างเขามีคนมากมายเดินขวักไขว่ไปมา คอกไม้เล็กๆหลายอันลอยขึ้น-ลงอยู่ตามชั้นต่างๆ

        ชายหนุ่มผมทองในชุดคลุมดำเดินดิ้นด้วยด้ายสีน้ำเงินอย่างผู้ใช้เวทธาตุน้ำก้าวขึ้นบันไดมาพร้อมกับตั้งหนังสือเต็มอ้อมแขน

        "ท่าน…."

        เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงจะเรียก แต่จู่ๆเหล่าหนังสือในอ้อมแขนของผู้ใช้เวทพากันบินตรงมาหาเด็กหนุ่มแล้วลอยวนอยู่รอบๆตัวตนเหตุที่กำลังทำหน้างงสุดชีวิต

         ชายหนุ่มมองไดแอซด้วยท่าทางสงสัย "เอ่อ….คือข้าแค่อยากจะถามว่าในนี้มีแผนที่เมืองรึเปล่า" เด็กหนุ่มลดมือลง บรรดาหนังสือที่ลอยค้างอยู่พร้อมใจกันตกลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก เขาถลาเข้าเก็บหนังสือจับซ้อนกันเป็นตั้งดังเดิมแล้วส่งให้ชายหนุ่มที่ยังคงมีทีท่าคาใจ

        "เจ้าเป็นผู้ใช้เวทรึ" เขาถามขึ้น "ผู้ใช้เวท" ไดแอซทวนคำ "อาไรหว่า" ทำเอาคนถามจ้องเด็กหนุ่มตาแทบถลน "ผู้ใช้เวทคือผู้ที่สามารถดึงเอาพลังของธาตุในธรรมชาติที่เหมาะกับตนออกมาใช้ได้อย่างไรล่ะ" ชายหนุ่มอธิบาย "ที่นี้คงรู้จักแล้ว"

        เจ้าตัวยังคงยึดมั่นในคำตอบเดิมด้วยด้วยการทำตาซื่อแล้วส่ายหน้า ส่งผลให้ชายหนุ่มนึกอยากยกมือขึ้นกุมขมับเต็มกำลังหากไม่ติดว่าต้องหอบหนังสืออยู่ "ช่างเถอะ" เขาบอกก่อนจะวกกลับมาหาเรื่องเก่าอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน "เจ้าอยากได้แผนที่รึ"

        เด็กหนุ่มพยักหน้า "เพิ่งมาฟอนเทนเบิร์กเป็นครั้งแรกสิ" เด็กหนุ่มพยักหน้าอีก "แล้วจะมาหาใครล่ะ" เขาถามต่อ แววตาของคนตรงหน้าสลดลงแต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับมีประกายดูร่าเริงอย่างเก่า

        "ข้าไม่มีคนรู้จักในเมืองนี้หรอก แค่อยากมาเดินเล่นน่ะ"

     เป็นคำตอบที่ไม่ค่อยเข้าท่าเข้าทางสักเท่าใดนัก แต่ชายหนุ่มก็ยังอุตส่าห์พยักหน้ารับ

        "ว่าแต่เจ้ามายังไง….."

             ……………

        เจ้าเด็กหนุ่มตรงหน้าทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก จัดแจงวางย่ามที่สะพายอยู่ข้างตัวลงแล้วรื้อค้นข้าวของ จนได้จดหมายที่จ่าหน้าซองถึงใครบางคนออกมา เขายื่นมันส่งให้ผู้ใช้เวทที่รับไปอ่านชื่อผู้รับอย่างงงๆ "ท่านรู้จักคนคนนี้หรือเปล่า" เฟดริลมองเขาด้วยท่าทางมีความหวัง "ข้าช่วย" เด็กหนุ่มยื่นมือไปรับตั้งหนังสือที่มีความสูงเกือบท่วมหัวเขามาถือไว้เพื่อให้ชายหนุ่มดูจดหมายถนัดขึ้น "รู้จักสิ" ว่าแล้วชายหนุ่มก็แกะจดหมายออกอ่าน

        "ท่าน….."

        "เอ้อ..ข้าลืมแนะนำตัวไป"

        "ข้า มาร์คัส รีล เรย์มองต์ ผู้ใช้เวทธาตุน้ำประจำสถาบันวิจัยเขต 3 ฟอนเทนเบิร์ก แห่งราชอาณาจักรแพนเทีย ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า"เด็กหนุ่มยกมือเกาแก้มแก้เก้อ "ข้าชื่อไดแอซ" เขาแนะนำตัวบ้าง "ท่านรู้จักกัปตันอาเรสด้วยหรือ" มาร์คัสพยักหน้า "เขาแวะเวียนเอาวัตถุดิบมาส่งที่สถาบันวิจัยอยู่บ่อยๆ"

        "เอาล่ะ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ" ชายหนุ่มพูดขึ้นหลังอ่านจดหมายจบ "พวกเรา" ไดแอซทวนคำงงๆ จนชายหนุ่มต้องหันไปอธิบาย "อาเรสเขาฝากฝังให้ข้าช่วยดูแลเจ้า เจ้าหนุ่ม"

                                                          *****************

        อากาศกึ่งฤดูใบไม้ร่วงกำลังสบาย แสงแดดเองก็ไม่ได้จัดจ้านเช่นในทะเล มาร์คัสเดินนำหน้าเฟดริลเข้าสู่โซนที่อยู่อาศัย บ้านช่องก่อสร้างด้วยอิฐก้อนเรียงรายลดหลั่นกันไป "คนที่นี่ให้ความเคารพโบสถ์เก่าแก่ที่อยู่ทางโน้นมาก เลยมีการวางกฎไม่ให้สร้างบ้านสูงกว่าโบสถ์" เขาบอกเมื่อเห็นไดแอซเงยมองความสูงของที่พักอย่างสงสัย "เอ้าถึงแล้ว" มาร์คัสหยุดหน้าบ้านที่มีสวนหย่อมเล็กๆ

         พวกเขาพบชายวัยกลางคนในชุดคลุมของผู้ใช้เวทเช่นเดียวกับมาร์คัส แต่ดิ้นที่เดินเป็นสีน้ำตาลอ่อน ผู้ควบคุมธาตุดิน "ท่านลุง" มาร์คัสทักผู้สูงวัย "แล้วมอเดรสล่ะครับ" ชายหนุ่มถามหา "กลับไปวิทยาลัยแล้ว เห็นบอกว่ามีการทดลองตัวหนึ่งผิดพลาดเลยต้องรีบ ฝากมาขอโทษเจ้าด้วยที่ไม่ได้ลา"

          ตึง

         ไดแอซวางตั้งหนังสือของมาร์คัสที่หอบมาจากห้องสมุดลงบนเก้าอี้ แล้วหอบแฮก ฝุ่นจากหนังสือฟุ้งใส่หน้าซ้ำจนเขาไอแค่กๆ เรียกความสนใจจากบุคคลทั้งคู่

        "นั่นใคร" ผู้เป็นลุงหันไปหาเด็กหนุ่มซึ่งเดินเข้ามาหามาร์คัสทั้งที่ยังไอหน้าดำหน้าแดง "ข้า…ชื่อ..แค่ก ไดแอซครับ" เขารีบคำนับ "อาเรสฝากฝังเขากับข้า" ชายหนุ่มบอก ผู้สูงวัยกว่าพยักหน้ารับรู้และไม่ได้ถามสิ่งใดต่อ มาร์คัสจึงพาไดแอซไปพักผ่อนยังห้องนอนชั้นสองของบ้าน

         เมื่อเขากลับลงมาพบว่าผู้เป็นลุงยังคงรออยู่ "เจ้าเด็กนั่น…..เหมือนไม่ใช่คนของฟินน์เดน" ชายหนุ่มขมวดคิ้ว "ข้าเองก็ติดใจอยู่เช่นกัน สีตาแบบนั้นน้อยนักที่จะพบในแผ่นดินนี้" เขาว่า "ซ้ำพลังของเด็กนั่นก็แปลก ทั้งกระแสและอำนาจ"

        "เอาไว้ข้าจะลองถามดูแล้วกัน"

                                                               *****************

         "ข้าเสียความทรงจำนะครับท่าน" ไดแอซบอก "จะเรียกข้าว่าลุงก็ได้" ผู้สูงวัยกว่ากล่าว "ครับท่านลุง " เด็กหนุ่มรับคำ "เจ้ามีพลังเวท" คำพูดกึ่งตั้งคำถาม ส่งให้ไดแอซทำหน้าเหวอก่อนที่จะรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน หนังสือเล่มหนาที่หนักไม่ใช่เล่นจากมือท่านลุงลอยเข้าหาเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็วเสียจนเขาทำได้แค่เพียงยกมือขึ้นกัน

         หนังสือปะทะเข้ากับบางสิ่งบางอย่างในอากาศและตกลงก่อนจะถูกตัวเด็กหนุ่ม "เจ้ามีพลังเวท" มาร์คัสที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยย้ำคำของผู้เป็นลุง "แต่ดูเหมือนเจ้าจะใช้มันไม่เป็น ทั้งพลังของเจ้ายังแตกต่างจากพวกเรานัก"

         "ไดแอซมาจากดินแดนที่ไกลออกไป อาจเป็นแผ่นดินเหนือ ทวีปทางตะวันตก หรือเกาะใต้ก็สุดที่ข้าจะรู้ได้"

                                             ******************************

         วันนี้เมืองในยามค่ำคืนดูเงียบสงัด อาจเพราะสายฝนซึ่งโปรยปรายลงมาเกือบตลอดทั้งวันจนถึงค่ำก็เป็นได้ ตัวเมืองในม่านฝนจึงเห็นเพียงแสงไฟกระพริบวอมแวมออกมาจากบ้านเรือนกลางอากาศทึมเทา

         กลิ่นอายของดินที่ฟุ้งขึ้นในยามฝนพรำให้ความรู้สึกหอมอย่างน่าประหลาด ไดแอซเหม่อมองสายฝนนอกหน้าต่างราวกับว่ามันปลุกความทรงจำบางอย่างที่หลับใหลอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจขึ้นมา

         "เจ้าหนุ่ม เจ้าจะนั่งจ้องสายฝนไปจนถึงรุ่งเลยใช่ไหม" ผู้สูงวัยเอ่ยถามเชิงล้อ เด็กหนุ่มหันมาทำหน้ามุ่งมั่นสุดๆ ทั้งที่ของตาดำคล้ำเสียจนดูเหมือนญาติของแพนด้ายังไงยังงั้น

         "เจ้ารู้ไหม ทำไมถึงมีฝน" เด็กหนุ่มจัดแจงเลียนแบบท่าทางและเสียงของมาร์คัส ทำเอาท่านลุงหัวเราะออกมาทีเดียว ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาอดนอนมาหลายวันนั้น เรื่องมันก็มีอยู่ว่า

         หลังจากที่เขามาถึงฟอนเทนเบิร์กได้หนึ่งอาทิตย์ มาร์คัสก็เริ่มมีงานยุ่ง เนื่องจากปีนี้ฤดูฝนมาเร็วผิดปกติ ถึงลมจะหอบเอาเมฆชุดแรกผ่านเข้าไปในแผ่นดินใหญ่ หรือข้ามเทือกเขาเอรีอาสู่ทะเลทรายอายันแล้วก็ตาม แต่ยังแถมพัดเอามังกรฟ้าตัวต้นเหตุขึ้นฝั่งมาด้วย แม้ว่าตามธรรมชาติแล้วมังกรฟ้าจะไม่ทำอันตรายใคร เพียงแค่มีอำนาจในการบันดาลฝนก็เถอะ แต่ลองมีมังกรฟ้าทั้งบนบกและในทะเลนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย เพราะผลที่ตามมาเมื่อมีการสร้างเมฆฝนทั้งบนบกและในทะเลที่มีสภาพอากาศเหลื่อมล้ำกันนั้น หากเมฆทั้งสองกลุ่มเกิดรวมตัวกันเข้าจะกลายเป็นพายุรุนแรงซึ่งเป็นผลร้ายต่อฤดูเพาะปลูกอย่างยิ่ง

        ถัดจากฟอนเทนเบิร์ก คืออควาและเวเนเซีย เมืองทั้งสองนี้เป็นเขตกสิกรรมระดับสำคัญของแพนเทียและยังได้ชื่อว่าเป็นจ้าวแห่งน้ำ ทั่วเมืองมีการขุดคลองนับสิบสายเพื่อส่งน้ำและสัญจรไปมา ยิ่งเมื่อเข้าหน้าฝนทีไรน้ำเป็นต้องเอ่อขึ้นท่วมตัวเมืองเป็นประจำ

        นั่นก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองทั้งสอง ทั้งยังส่งผลดีต่อการเพาะปลูก แต่พายุที่เกิดขึ้นจะพัดเอากล้าอ่อนของข้าวและพืชผลเสียหาย

        ปัญหานี้มีแต่พวกผู้ใช้เวทที่พอจะยับยั้งหรือบรรเทาได้บ้าง ทำให้งานที่สถาบันวิจัยเขตสามซึ่งเป็นศูนย์หลักครอบคลุมภาคใต้ของแพนเทียยุ่งเหยิงเพราะปัญหาที่ว่ามานี้ มาร์คัสจึงถือโอกาสพ่วงเอาไดแอซมาช่วยงานด้วยเสียเลย

        หมู่ตึกมากมายที่มีทางเดินเชื่อมโยงถึงกันตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาเหนือฟอนเทนเบิร์กขึ้นไปซึ่งรู้จักกันในนามสถาบันวิจัยเขตสามนั้น ครึกครื้นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เนื่องจากมีการเรียกระดมผู้ใช้เวททุกสาขาที่สังกัดกับสถาบัน เมื่อมาร์คัสเอาเขาไปปล่อยไว้ที่โถงใหญ่ ส่วนเจ้าตัวหายต๋อมไปไหนก็ไม่รู้ พวกปราชญ์ประจำสถาบันเลยลากเอาเด็กหนุ่มไปร่วมหัวจมท้ายในคลังหนังสือด้วยเสียเลย

        ม้วนกระดาษเก่าๆ กับกองหนังสือส่งกลิ่นแปลกๆกองสูงท่วมหัว ตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกในแต่ละม้วนก็เลือนลางจนยากจะมองเห็น ไดแอซจับม้วนกระดาษส่องเข้ากับแสงไฟก็แล้ว แสงแดดก็แล้ว จนกระดาษแทบจะไหม้แต่ยังแกะบรรดาอักขระที่เรียงเป็นพืดไม่ออกเสียที มากเข้าเลยจนใจย้ายตัวเองไปอยู่ฝ่ายลำดับให้รู้แล้วรู้รอด

         ความจริงงานนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหามังกรฟ้า แต่เนื่องจากมีการขนย้ายทุกสิ่งทุกอย่างในห้องสมุดจากเวเนเซียและอความาเก็บไว้ที่ฟอนเทนเบิร์ก จึงต้องมีการสะสางกันครั้งมโหฬาร เด็กหนุ่มพบว่าบันทึกส่วนมากจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการค้นคว้าหญ้าพื้นเมือง สภาพดิน ไม่ก็วิธีปลูกพืช ช่างน่าสนใจอะไรเช่นนี้

        ด้านมาร์คัสเอง หลังประชุมแบบมาราธอนแบบสองวันก็ได้ข้อสรุปในที่สุด บรรดาผู้ใช้เวทธาตุน้ำและธาตุไฟเขียนวงเวทย์ขนาดใหญ่ขึ้นกลางลานกว้าง แล้วจึงเริ่มร่ายเวทยับยั้งฝนโดยอาศัยการยืมพลังจากสัตว์อสูรธาตุไฟหลากหลายชนิดที่ผู้ใช้เวทหลายคนพกพามากองแหมะอยู่จนล้นคอกเสียหลายวัน

         ทำให้ทั้งปริมาณและความแรงของฝนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ค่ำคืนนี้จึงมีเพียงละอองฝนที่โปรยลงมา ไม่มีฝนที่ตกหนักจนหากเดินโดยไม่ใช้ร่มหรือกั้นพลัง อาจลืมบ้านเลขที่เอาง่ายๆ

         "งั้นข้าขึ้นไปนอนนะครับ" เด็กหนุ่มหาวหวอดๆ พลางเดินโซเซขึ้นบันไดไป ท่านลุงมองแล้วยิ้มน้อยๆ "แล้วเจ้ามาร์คัสล่ะ" ผู้สูงวัยนึกขึ้นได้

         "ม่ายรู้อ่ะ"

        "เฮ้อ แล้วมันหายหัวไปไหนของมันละเนี่ย"

        เสียงกระแทกประตูบ้านให้เปิดออก ตามมาด้วยชายหนุ่มในชุดคลุมเปียกปอนเหมือนลงไปว่ายน้ำเล่นในบ่อปลามากกว่าไปทำงาน "เจ้านี่ตายยากแฮะ พอพูดถึงปุ๊บก็มาปั๊บ" ผู้เป็นลุงแอบนึก มาร์คัสตั้งหน้าตั้งตาบิดเสื้อคลุมเป็นการใหญ่ น้ำส่วนมากเลยไหลลงมาเจิ่งนองอยู่เต็มพื้น

        "ทำไมไม่กางม่านพลัง" คำถามนี้ทำเอาชายหนุ่มหัวเราะแหะๆ "ไม่ไหวละครับ ขืนใช้พลังอีกนิดเดียว มีหวังข้าคงต้องรอคนมาแซะขึ้นจากพื้นถนนแน่" ผู้เป็นลุงเลยจัดการเช็ดถูน้ำที่เจิ่งอยู่บนพื้นเสียเอง

        "ไดแอซ?"

        ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาหาเจ้าของชื่อเป็นการใหญ่ "ขึ้นไปนอนแล้ว เห็นมาโอดโอยกับข้าว่าโดนใช้แรงงานหนัก" ท่านลุงหัวเราะ "หนักอาไร๊ แค่เรียงหนังสือ" มาร์คัสว่า กองนึงๆสูงท่วมหัวคนต่อตัวกันสองคน แล้วก็มีแค่ไม่กี่สิบกอง แค่นั้นเอ๊ง

                                                        ***********************

        "ฝนหยุดแล้ว" เด็กหนุ่มบอกหลังยื่นมืออกจากชายคาเพื่อสำรวจละอองฝน วันนี้อากาศเปลี่ยนจากเมื่อวานแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าทีเดียว เมื่อท้องฟ้าที่ทึมเทามาตลอด กลายเป็นสีฟ้าใสเต็มไปด้วยปุยขาวๆของเมฆลอยฟ่องไปทั่ว

        "ไม่ได้เดินเล่นมาเป็นชาติแล้วเนอะ" ไดแอซหันไปบอกมาร์คัสที่ได้รับวันลาเพิ่มมายาวเหยียด "อืม นั่นสิ" ชายหนุ่มเห็นด้วย เรือสินค้ากางใบขาวออกรับลมมองเห็นอยู่ไกลๆ "อยากกินขนมปุยๆนั่น" เด็กหนุ่มพูดขึ้น "หา เขาเรียกขนมปุยเมฆ" อีกฝ่ายแก้ให้ "เออๆ นั่นแหละ เรารีบไปตลาดกันดีกว่า"

        ตลาดเช้าแถวท่าเรือคึกคักขึ้นทันตาหลังเงียบเหงาเพราะฝนตกมาหลายวัน ไดแอซวิ่งนำหน้าไปเกาะแผงทำตาปริบๆ "ว่าไงพ่อหนุ่ม ไม่เจอกันเสียตั้งหลายวัน" หญิงวัยกลางคนทักอย่างคุ้นเคย  "สบายดีครับ   เขาตอบเสียงใส "เอาเหมือนเดิมใช่ไหม" ไดแอซพยักหน้าแล้วหันไปตะโกนเร่งมาร์คัส

        "ท่านน่ะ เดินช้าเหมือนคนแก่เลย"

        "เจ้าว่าอะไรน่ะ" ชายหนุ่มติดเร่งสปีดอวัยวะเบื้องล่างตรงไปหาปากของคนพูดทันที นี่ถ้าได้จับคู่กับไอ้เจ้ามอเดรสมันจะขนาดไหน เขาแอบคิด ว่าแต่ป่านนี้ลูกพี่ลูกน้องตัวแสบจะเป็นไงบ้าง

        "ทำตัวเป็นวัยรุ่นใจร้อนไปได้" มาร์คัสเขม่นเขี้ยวใส่ "อ้าว ก็ข้าน่ะใช่ แต่ท่านนี่มันเกินวัยไปแล้วมั้ง" เด็กหนุ่มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กัดขนมปุยเมฆ ทั้งที่คนข้างตัวแยกเขี้ยวซะกว้างพร้อมส่งบาทามาให้อย่างหวังดี

        ไดแอซรีบเผ่นไปแอบหลังแผงผลไม้ตรงข้ามทันที เรียกเสียงหัวเราะครืนจากคนทั้งตลาด ช่างเป็นเช้าที่สดใสอะไรเช่นนี้

    *********************

    ฝากแนะนำด้วยนะ เพิ่งลองเขียนครั้งแรกเลย

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×