ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #18 : นิทานจากต่างแดน

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 50



          แพขนตายาวกระพริบน้อยๆก่อนดวงตาสีฟ้าหม่นจะลืมขึ้น  แสงอาทิตย์อุ่นจากหน้าต่างสาดเป็นลำมากระทบใบหน้าเขา  เงาสีเทาจางจากลูกไฟเวทแลเห็นเต้นวิบวับอยู่บนม่านคล้ายภูตพรายกำลังร่ายระบำ

                   
           ใบหน้าเลือนรางของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏแก่สายตา  เธอผู้นั้นมีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยาวหยักศกรับกับใบหน้าหวานชวนมอง  นัยน์ตาคู่โตสีน้ำตาลแก่ติดจะดำทอดมองเขา  ริมฝีปากชมพูบางขยับเปล่งถ้อยคำคล้ายเรียกชื่อเขาด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจ

               
          เจ็บลึกในอก

                   
          ห่วงหานัก  เด็กหนุ่มกระพริบตาอีกครั้ง ภาพเธอผู้นั้นค่อยลบเลือนไป

               
          "ฟื้นแล้ว"

                   
           
    เสียงใสเสียงเดิมตะโกนด้วยความยินดี  ก่อนที่ความหม่นมัวถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของมาร์คัสซึ่งโผล่เข้ามาในรัศมีการมองเห็นของเขา 
    "ไดแอซ"  เสียงทุ้มเรียกชื่อเขาก่อนหันไปมองอะไรบางอย่างข้างตัว 

                   
          "มอเดรส  เฮ้ย ตื่นได้แล้ว" 

                   
          ว่าพลางประเคนมะเหงกใส่หัวคนข้างๆซึ่งกำลังฟุบหลับบนผ้านวมอย่างสบาย  เด็กหนุ่มจ้องมองเพดานสีค่อนข้างเก่าอย่างคุ้นเคย  ครั้นเขาค่อยๆเบือนสายตามองเลยมาร์คัสไปรอบๆห้องพักพบว่า ผู้ใช้เวทหลายคนยึดครองเก้าอี้บ้าง โต๊ะบ้างเป็นสรณะในการนอนหลับ และดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงของใครกรนเบาๆดังฟี้ๆด้วย

                   
          โครม

                   
          เป็นเสียงหัวของโชวี่ซึ่งกำลังนั่งสัปหงกกระแทกพื้นโต๊ะเข้าอย่างจัง  พอเจ้าตัวลืมตาขึ้นมาพบว่าเพื่อนของตนกำลังยืนคุยกับคนบนเตียงอยู่ก็จัดแจงแหกปากป่าวประกาศลั่นไปทั่วห้องด้วยระดับเสียงเกิน 80 เดซิเบล ทำเอาต่างฝ่ายต่างสะดุ้งไปตามๆกัน

                   
          "ไดแอซ"

                    
         
          หลายเสียงเรียกชื่อเขาเกือบจะพร้อมๆกัน ตามด้วยร่างของบรรดาผู้ใช้เวททั้งหลายกรูกันเข้ายืนเรียงๆกันข้างเตียง 
    "หลับไปเสียตั้งนานนะ"  เวสว่า  "สวัสดีปีใหม่"  มอเดรสที่เพิ่งได้ฤกษ์โงหัวขึ้นมาบอกอย่างงัวเงีย ส่งให้เครื่องหมายคำถามอันโตผุดขึ้นบนหน้าไดแอซ  "เสียดายที่เจ้าไม่ได้มาฉลองกับพวกเรา"  โชวี่หันมาบอกบ้าง  "งานปีนี้สนุกมากเลยนะ" 

               
          "ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม"  เมอร์สยื่นหน้าเข้ามาถามบ้าง  เด็กหนุ่มพยักหน้ารับทั้งที่ยังงงงวยอยู่   "งั้นก็ดีแล้วล่ะ  หาวววว"  มอเดรสเสริมก่อนตบท้ายด้วยการหาวเสียงสนั่นหวั่นไหว   "เอ้อ ไหนๆไดแอซก็ฟื้นแล้ว เจ้าไปพักก่อนเถอะ" มาร์คัสหันไปบอกกับญาติผู้น้องและเพื่อนๆผู้หวังดีทั้งหลายที่อดนอนมาคอยเป็นกำลังใจให้เสียหลายวัน

                   
         
    "ดื่มน้ำหน่อยนะ"  เสียงหวานของเฟลิเซียดังขึ้นพร้อมยื่นแก้วน้ำอุ่นให้  เด็กหนุ่มจิบน้ำในแก้วช้าๆจนหมด  ความชุ่มชื้นกลับคืนสู่ริมฝีปากแห้งผาก  ห้องค่อยพร่าเลือนคล้ายมองผ่านกระจกขุ่นแล้วกลับชัดขึ้น  เขาสะบัดศีรษะเบาๆขับไล่ความมึนงง  ก่อนหันไปมองมอเดรสและเพื่อนๆอีกสองคนที่บัดนี้กำลังคุยอยู่กับพวกของมาร์คัสขณะเดินออกจากห้อง

                   
          ไดแอซจึงหันมาถามเฟลิเซียซึ่งทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้เล็กๆข้างเตียง 
    "นี่ข้าหลับไปนานเลยเหรอ"  เด็กสาวพยักหน้า  "เจ้าหลับไปตั้งหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ   พวกเราเป็นห่วงกันมากเลยรู้ไหม"   เธอขึ้นเสียงสูงในตอนท้ายอย่างไม่รู้ตัว  เขาเลยยิ้มเจื่อนๆให้หนึ่งทีก่อนจะขยับร่างขึ้นเป็นท่านั่ง          

                   
          "เดี๋ยว......"  เสียงใสร้องห้าม

                   
          "อย่าเพิ่งลุกสิ"  มาร์คัสที่ยืนอยู่ใกล้กับเตียงปราดเข้ามาใช้มือหนากดบ่าให้เด็กหนุ่มนอนลงอีกครั้ง          
       
          "จ๊ากกกกกกกก"  เจ้าตัวร้องเสียงหลงแล้วรีบปัดมือผู้ใช้เวทก่อนเบ้หน้า  "มือหนัก แรงก็เยอะอย่างกับเป็นญาติไบซัน" เจ้าตัวยกชายหนุ่มไปเปรียบเทียบกับควายป่าโน่น  

                   
          มาร์คัสค่อยๆเลิกแขนเสื้อสีขาวตัวโคร่งของไดแอซขึ้นดู  พบรอยแดงช้ำเลือดช้ำหนองเป็นจ้ำๆไล่ไปเป็นทางยาวจนเกือบทั่วแขน คนเจ็บกลั้นใจชะโงกมามองตาปริบๆ  แล้วทำท่าสยอง 
    "เพิ่งใช้พลังเต็มๆได้ครั้งแรก  แถมยังเป็นระดับสูงอีกต่างหาก คงที่ก็ไม่คงที่"  เขาบอกเด็กหนุ่มคล้ายเป็นการบ่นกลายๆ 

                   
          "เจ้าต้องพักอีกหน่อยนะไดแอซ  ยังไม่หายเลย"  ผู้ใช้เวทว่าก่อนจะจัดแขนเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง  เจ้าของชื่อยังหันมองเขาอย่างสงสัยในคำพูดนั้น  "ผลสะท้อนกลับของพลัง  ระดับสูงไปร่างกายเจ้ายังปรับตัวไม่ค่อยได้"   ชายหนุ่มอธิบายเรียบๆพลางเอื้อมมือไปแตะหน้าผาก  แต่ต้องชักมือกลับออกมาแทบจะทันทีเนื่องจากตัวอีกฝ่ายค่อนข้างร้อนเอาการ  "ยังมีไข้อยู่เลย"  เขาพึมพำแล้วหันไปรื้อค้นของในห่อบนโต๊ะข้างตัวแล้วส่งให้เฟลิเซีย

                   
          "แล้วข้าไปใช้ไอ้พลังนั่นตอนไหน"  ไดแอซยังสงสัยไม่เลิก  "ก็เจ้าปราบสัตว์อสูรปีศาจได้นอกเมืองนั่นไงล่ะ"  เวสโผล่เข้ามาแทรกแล้วขยายความต่อ  "ที่ระเบิดมันเล๊ะเป็นโจ๊ก  มีเลือดกระจายหน่อยๆ  เครื่องในเกลื่อนนิดๆ  ส่วนกระดูกก็...."

                   
          พรวด

                   
          เสียงใครบางคนซึ่งกำลังกินข้าวเช้าพ่นสิ่งที่อยู่ในปากออกมา  ชายหนุ่มรีบหันไปยกมือเป็นเชิงขอโทษ  แล้วหันกลับมาหาไดแอซ 
    "ทีนี้จำได้หรือยัง"   เด็กหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ  "ไอ้หนูจิ๋วยักษ์ขมูขีที่ตัวใหญ่เท่าช้าง  สูงพอๆกับหอระฆัง ขาข้างนึงนะ......"  เวสยังไม่เลิกพยายาม  "พอเหอะ"  มาร์คัสหันไปขัดเพื่อนซี้ ขืนปล่อยให้มันพูดต่อกว่าจะลากกลับเข้าเรื่องได้คงออกไปถึงปากอ่าวแล้ว

                      
          ไดแอซยังคงนั่งฟังตาแป๋วด้วยท่าทางไม่รู้เรื่องสุดๆ  สองผู้ใช้เวทกับหนึ่งเจ้าหญิงเริ่มหันหน้าเข้าหากันเป็นเชิงปรึกษา  แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยใส่ใจกับท่าทีของคนข้างเตียงรวมถึงความจำขาดๆหายๆเท่าใดนักจึงจัดแจงยิงคำถามต่อ

                   
         "แล้วการประชุมล่ะ" 

                   
          "จบไปตั้งแต่ปีที่แล้วโน่นนนนน"  ไดแอซเกาแก้มเล็กน้อย  ก็ปีก่อนโน้นมันฟังดูห่างไกลนักนี่นา แต่จริงๆ........มันก็แค่ 5 วันที่แล้วเอง  "พวกสภาคณาจารย์นั่นมีมติให้เจ้าเข้ามาเป็นผู้ช่วยแรนดัล"  มาร์คัสกล่าวต่อ 

               
          "หา!!  อะไรนะ"  คนถูกเลื่อนตำแหน่งหมาดๆอ้าปากค้างพลางนึกในใจ  "พวกนั้นกินยาผิดแหงเลย"  ครั้นเห็นเครื่องหมายคำถามซึ่งผุดเป็นรอบที่  6 นับแต่มันฟื้นขึ้นมาปรากฏหราอยู่กลางหน้า ชายหนุ่มจึงพูดต่อ  "และตอนนี้ก็มีคำสั่งให้ข้าคอยควบ....เอ๊ย ดูแลเจ้า"  คนที่เพิ่งได้คนดูแลเป็นของแถมเบิกหน้าโตเท่าไข่ห่าน

                   
          "ถามมากลมเข้าท้องน่า  เอ้า กินยาแล้วนอนซะ"  ชายหนุ่มตัดบทแล้วหันไปรับถ้วยยาจากเจ้าหญิง           เฟลิเซียมาส่งให้   "รีบกินเข้าสิ เดี๋ยวเย็นหมด"  เด็กหนุ่มจึงก้มลงมองน้ำสีคล้ำเหมือนขี้โคลนในถ้วยยาอย่างไม่ใคร่ไว้ใจเท่าไหร่นัก  เขาลองยกมันขึ้นจ่อจมูกแล้วเบ๊ะปาก "นอกจากสีแล้วกลิ่นยังไม่โสภาอีกต่างหาก"  เจ้าตัวเลยจ้องมันเงียบๆอย่างนั้น

                   
          "จะกินดีๆหรือจะให้จับกรอกปาก"  ด้วยความอดรนทนไม่ไหว  ผู้ใช้เวทจึงส่งสายตาวิบวับพร้อมตัวช่วยที่บังคับเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งมาให้  ไดแอซกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่  แล้วกลั้นใจหลับหูหลับตายกซดรวดเดียวหมดเกลี้ยง 

                   
          ของเหลวร้อนวูบล่วงผ่านลำคอลงสู่กระเพาะ  เด็กหนุ่มทำหน้าพิกลๆกับรสชาติแปลกปร่า  ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถามอะไรต่อ ความรู้สึกง่วงงุนก็เข้าครอบงำทุกส่วนของร่างกายอย่างรวดเร็ว  เขารู้สึกเหมือนมีมือเรียวบางของใครบางคนคลี่ผ้าห่มคลุมให้

                   
          "ฝันดีนะ"


    ******************

                   
          ไดแอซรู้สึกเลือนรางระหว่างหลับและตื่น  หลายครั้งเหมือนเห็นใครคนหนึ่งก้มลงมองเขาอย่างห่วงใย  ปอยผมยาวนุ่มตกลงมาต้องแก้มเด็กหนุ่ม  กับกลิ่นดอกไม้หอมติดจมูกคล้ายคอยกล่อมให้หลับสบาย  บางคราก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆเดินไปเดินมาและมีคนค่อยๆป้อนยาขมปร่าพร้อมเช็ดตัวให้

                   
          จนล่วงเข้าวันที่สาม  เด็กหนุ่มจึงได้รู้สึกตัวเต็มที่  เขามองซ้ายมองขวาด้วยความสงสัยก่อนเอ่ยถามคนข้างๆ 
    "วันที่เท่าไหร่แล้ว" 

                   
          "เจ้าหลับไปสามวัน วันนี้วันที่ 7 เวลา 10 นาฬิกา"  มาร์คัสซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการจัดยาตอบก่อนเสียงเคาะประตูจะดังขึ้นพร้อมร่างของบริกรถือถาดอาหารเดินเข้ามาส่งให้  ไดแอซค่อยๆลุกขึ้นนั่งพลางสำรวจรอยช้ำตามแขน  "หายหมดแล้ว"  เจ้าตัวพึมพำ

                   
          "เอ้า กินข้าวซะ"  ผู้ใช้เวทยกถาดอาหารและยามาวางตรงหน้า  "ข้าวแบบนี้จะอิ่มอาไร๊"  คนเจ็บแอบบ่น  "จะกินไม่กิน"  มาร์คัสเริ่มเปิดรายการขู่  "คนไม่สบายมีที่ไหนเขาให้กินอาหารหนักๆหา"  เขาแหวใส่  "ไม่ต้องมามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นเลย  ข้าไม่พิศวาสหรอก "  ชายหนุ่มว่าแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงพร้อมแจ้งกำหนดการ  "ตอนบ่ายๆต้องไปพบท่านแรนดัล"  ไดแอซเงยหน้าขึ้นมองคนพูดทั้งที่ปากยังคาบช้อนค้างไว้   

                   
          "เดี๋ยวก่อน"  เขาทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเด็กหนุ่มเป็นการวัดอุณหภูมิ  ครั้นเห็นว่าดีขึ้นจนเป็นปกติแล้วจึงปล่อยให้กินข้าวต่อ 

                   
          ระหว่างนั้นชายหนุ่มจัดแจงรื้อค้นตู้เสื้อผ้ายกใหญ่  จนบริกรคนเดิมมาเก็บถาดอาหารไปนั่นล่ะ  เขาก็ดึงอะไรบางอย่างออกมาได้  แล้ววัตถุต้องสงสัยห่อด้วยกระดาษบางสีขาวที่ว่าก็ลอยละลิ่วมาหาคนบนเตียงอย่างรวดเร็ว

                   
          "เฮ้ย"

                   
          ไดแอซร้องลั่นแต่ก็รับห่อนั้นไว้ได้  เมื่อลองคลี่ออกดูพบว่าเป็นเสื้อผ้าใหม่แกะกล่องชุดหนึ่ง  แถมยังมีเสื้อคลุมแบบผู้ใช้เวทติดมาอีกด้วย 
    "หยิบผิดแล้ว  นี่มันเสื้อของท่านต่างหาก มั่ว"  ไม่ว่าเปล่าเด็กหนุ่มจัดการโยนมันกลับมาให้เขาทันที

                   
         
    "ไม่ผิดหรอก  ของเจ้านั่นล่ะ"  ชายหนุ่มส่งมันกลับมาให้เขาอีกครั้งด้วยการปาอย่างเต็มแรง  แต่คราวนี้รู้สึกว่าจะผิดเป้าหมายไปเล็กน้อย  เสื้อคลุมทั้งชุดเลยไปลงเอยบนหัวเด็กหนุ่มแทน  เจ้าตัวรวบมันมาดูอีกครั้ง  มาร์คัสเห็นอย่างนั้นจึงชิงพูดขึ้นก่อน  "สภาคณาจารย์ส่งเครื่องแบบมาให้เจ้า"  เมื่อก้มลงสังเกตดีๆแล้วพบว่า เสื้อคลุมดังกล่าวเป็นสีดำสนิทไม่มีการเดินดิ้นใดๆ

                   
          "ตกลงเรื่องนั้นเอาจริงอ่ะ"  ไดแอซเกาหัวแกรกๆ  "นึกว่าฝันซะอีก" ประโยคสุดท้ายราวพึมพำกับตัวเอง  "รีบแต่งตัวได้แล้ว  เดี๋ยวข้าจะไปเรียกเวสมัน"   ชายหนุ่มพูดรวดเดียวจบแล้วเดินออกจากห้องไป  สักพักเด็กหนุ่มจึงได้ยินเสียงรายนั้นเคาะประตูห้องคนเป็นเพื่อนโครมๆ

                   
          ครู่ใหญ่เด็กหนุ่มก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย  เจ้าตัวยืนด้วยท่าทางเก้ๆกังๆในเครื่องแบบที่ค่อนข้างหลวมเล็กน้อย  เสื้อผ้าชุดใหม่อันประกอบด้วยเชิ้ตสีขาวธรรมดาๆทับด้วยเสื้อคลุมดำขอบเป็นขนสัตว์ขาวนุ่ม  ทิ้งชายยาวลงจรดพื้น  กับกางเกงขายาวสีเดียวกัน 

                   
          "ก็ดีนะ" 

                   
           
    เวสซึ่งมายืนอยู่ตรงประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เอ่ยขึ้น 
    "ข้าว่า....มันแปลกๆอ่ะ"  เจ้าตัวทำหน้าพิกลๆ เมื่อก้มลงมองดูเสื้อผ้าที่สวมอีกครั้ง  "เออน่า หล่อแล้วอย่ากังวลเลย"  กล่าวจบชายหนุ่มก็ตรงเข้ามาลากตัวไดแอซออกไปจากห้อง  "เดี๋ยวสาวๆคงมองกันตาไม่กระพริบ"  ประโยคทิ้งท้ายไม่ได้ช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีอะไรขึ้นมาเลย  "จริงๆนะ"

               
          "ได้ฤกษ์ลงมาแล้วเหรอ"  มาร์คัสถามเมื่อเห็นเวสเยี่ยมหน้าลงมาจากบันไดชั้นบน " อื้อ"  ชายหนุ่มรับคำอย่างง่ายๆก่อนจะลากไดแอซซึ่งพยายามหลบมุมเต็มที่ให้ออกมาโชว์ตัว 

                   
          เสียงคนพูดคุยกันเงียบสนิทลงจนน่าสงสัย

                   
          เด็กหนุ่มยิ้มเก้อๆก่อนจะเดินผ่านไปหามาร์คัสอย่างรวดเร็ว  บรรยากาศรอบกายกลับมาครึกครื้นเหมือนเมื่อหลายนาทีที่แล้ว  มีหลายคนแอบชำเลืองมองมาที่เขา  ทำเอาเจ้าตัวร่ำๆจะขึ้นเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสียให้ได้ 
    "เอาเถอะน่า  ผู้ใช้เวทอายุน้อยๆแบบเจ้าใช่จะมีให้เห็นบ่อยเสียเมื่อไหร่"   

                   
         
    "เหรอ" 

                   
         
    เขาทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่นัก 
    "เออสิ  ปกติแล้วผู้ใช้เวทเต็มตัวส่วนมากอายุ 20 ขึ้นไป  น้อยที่สุดก็ 19 นั่นล่ะ  เพิ่งมีเจ้าที่อายุแค่ 16 ก็ได้เป็นผู้ใช้เวทแล้ว"  คำอธิบายสั้นๆ ก่อนที่มาร์คัสจะลากเขาออกไปยังสวนหิมะเล็กๆด้านหลังร้านร้านอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

                   
          "ไดแอซ  ไหนๆเจ้าก็ได้เป็นผู้ช่วยแรนดัล ทวนเวทให้ข้าฟังหน่อยเป็นไร  เอาทุกบทที่เคยสอน!!"  ชายหนุ่มสั่งเสียงเข้มพร้อมเริ่มกางเขตเวท  เขาเลยหันไปทำตาปริบๆขอความช่วยเหลือจากเวส 

                   
          "เห็นด้วย"

                   
         
    เวรกรรม แทนที่จะช่วยข้าบ้างดันไปเข้าข้างเจ้านั่น  
    "แล้วทีนี้จะทำไงอ่ะ  ไอ้มนตร์อะไรที่เคยใช้เมื่อวันก่อนก็ดันจำไม่ได้ไม่รู้จัก  หรือมั่วแบบคราวที่แล้วดีไหมนี่"  ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังคิดหาทางรอดมาร์คัสกับเวสก็พร้อมใจกันส่งสายตามาเร่ง

                   
          "ก็ เอ่อ..... ละอองแห่งธาราเอย  จง....จงมอบอำนาจแก่...เอ๊ย...แด่ข้า"  เด็กหนุ่มตะกุกตะกักท่องเวทที่พอจะขุดๆขึ้นมาจากเมมโมรี่การ์ดสมองว่างๆออกมาเรื่อยๆ  "สายธารจันทร์ เอ๊ย....ตะวัน ผู้เป็นต้นแห่งอัคคีอันแรงกล้า.......เอ๊ะหรือร้อนแรงหว่า" เจ้าตัวยังคงมีความพยายามมั่วเวทตั้งแต่ธาตุน้ำยันธาตุลม มาจบตรงธาตุไฟจนได้

                   
          "เฮ้อ"

                   
          ไดแอซถอนหายใจเมื่อเจ้าตัวท่องๆสิ่งที่เคยรู้ออกมาจนหมดเกลี้ยงก่อนโผเผลกลับเข้ามาในร้านแล้วฟุบลงบนโต๊ะด้วยท่าทางหมดแรงอย่างไม่สนใจสายตาคนมอง 

                   
          ปึง

                   
          เสียงถ้วยชามจานช้อนกระทบโต๊ะเบาๆเรียกให้เด็กหนุ่มค่อยๆโงหัวขึ้นมอง  มาร์คัสเลื่อนถ้วยซุปกับชามข้าวต้มพร้อมขนมปังกับมาให้ 
    "อะ  หยอด(น้ำ)ข้าวต้มซะ  จะได้มีแรงไง" เมื่อได้เห็นของกินมาตั้งเรียงรายตรงหน้า คนฟังก็รีบตักมันเข้าปากแต่โดยดี


    ***************

                   
          ขณะที่เปิดประตูไม้ออกสู่ภายนอก ลมหนาวต่างพากันแทรกตัวเข้ามาตามเสื้อคลุมหนา ยิ่งส่วนที่ไม่มีอะไรปกปิดอย่างใบหน้าแล้ว แดงเป็นลูกตำลึงสุกไปตามๆกันทีเดียว

                   
          ครั้นออกเดินกันได้พักใหญ่ ทั้งสามเริ่มรู้สึกว่ามีเงาดำเคลื่อนเข้ามาบดบังแสงอาทิตย์เอาไว้มาร์คัสกับเวสพร้อมใจกันเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เห็นแพเมฆสีเทาหม่นค่อยลอยตัวผ่านไป 
    "หวังว่า...พายุหิมะคงยังไม่มาเร็วๆนี้หรอกใช่ไหม"  มาร์คัสหันไปถามเพื่อนที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่  "อากาศหมู่นี้มันแปลกๆ  เจ้ารู้สึกหรือเปล่า"  เวสไม่ตอบกลับถามไปอีกเรื่องแทน

                   
          "เมื่อเช้าพยากรณ์อากาศว่าไง"  เขากล่าวต่อ  "เห็นบอกว่าแจ่มใสไม่มีเมฆกับหิมะตก"   อีกฝ่ายบอกก่อนที่ลมหนาวจะพัดแรงอีกรอบ  ทำเอาชายหนุ่มสังหรณ์แปลกๆในใจ  "คงไม่แคล้วพายุหิมะครั้งใหญ่เป็นแน่"  มาร์คัสหันไปพยักหน้ากับเวสแล้วลากตัวไดแอซซึ่งกำลังยืนงงเข้าไปหลบในร้านอาหารข้างทางได้อย่างทันท่วงที

                   
          "พายุหิมะ"  เสียงฮือฮาของคนในร้านดังขึ้นหลังเสียงปิดประตูดังโครมใหญ่ของคนทั้งสาม   "เฉียดนิดเดียว"  เวสพูดปนหอบ  "ถือว่าครั้งนี้โชคช่วย  กลับฟอนเทนเบิร์กไปข้าว่าคงต้องทำบุญในโบสถ์กับเขาบ้าง"  เจ้าตัวว่าอย่างนั้นก่อนจะหันไปมองหาที่นั่งในร้านซึ่งครึกครื้นเอาการ  ห้องโถงกว้างมีโต๊ะกลมเกือบห้าสิบ แถมคนยังนั่งเต็มไปทุกโต๊ะอีก  ชายหนุ่มจึงเบนเป้าหมายมายังโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆติดมุมเงียบๆแทน  

                   
          เสียงดีดสายพิณเบาๆเรียกความสนใจจากคนข้างในทั้งหมดให้หันไปมองยกพื้นสูงกึ่งกลาง  ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวจรดพื้นสีสันสดใสแปลกตา ผ้าโพกศีรษะได้รับการปักลวดลายงดงามด้วยด้ายหลากหลายสลับกับลูกปัดทรงเรียว  ผมสีออกน้ำตาลแดงปล่อยยาว  บางปอยร้อยด้วยลูกปัดสีออกแดง  ใบหน้าคร้ามคมดูนิ่งสงบ  แสงจากลูกไฟเวทบนเพดานส่องลงมาต้องผิวสีน้ำผึ้งจัด  

                   
          ด้วยลักษณะแปลกๆทั้งหลายประการ  เด็กหนุ่มจึงจ้องชายผู้นั้นไม่วางตาด้วยความสนใจ จนฝ่ายถูกมองคล้ายจะรู้ตัวจึงผินหน้ามาทางเขา    

                   
          มือหนาที่กำลังกรีดสายพิณหยุดชะงักเล็กน้อย  ก่อนดวงตาคมวับจะสบกับนัยน์ตาสีฟ้าหม่น ประกายกล้ากร้านคล้ายรู้เท่าทันความคิดอ่านของเด็กหนุ่มทำเอาเจ้าตัวต้องเป็นฝ่ายหลบตาลงไป

               
          "รู้สึกว่า.....เขาจะเป็นนักเดินทางชาวอายัน"  มาร์คัสเอ่ยขึ้นหลังมองอีกฝ่ายพลางจิบโกโก้ร้อนๆ "ใช่แล้ว"  เวสรับ  "ชาวทะเลทรายนั่นหรือฮะ  มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง"  ไดแอซถามอย่างแปลกใจ   "ไม่รู้สิ"   ผู้ใช้เวทตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

                   
          "ระหว่างนี้...."  เขาเริ่มต้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบชวนฟังทำให้ทุกคนเงียบเสียงลง   "ข้าจะเล่านิทานสักหนึ่งเรื่องให้พวกท่านได้ฟังกัน  นิทานซึ่งเล่าสืบต่อกันมาในดินแดนอันไกลโพ้นของทวีปเหนือ"  สายพิณบรรเลงท่วงทำนองแผ่วเบาสอดประสานไปกันถ้อยคำนุ่มนวลซึ่งเจ้าตัวเอื้อนเอ่ยออกมา  ทุกผู้ที่อยู่ในร้านคล้ายได้กลิ่นคาวเค็มของทะเลเหนือ  เสียงลมแรงปะทะโขดหินสลับกับเสียงคลื่นซัดซ่า

                   
          "ดินแดนแห่งนั้นเป็นที่ตั้งของนครแห่งผู้ใช้มนตรา.....ท่ามกลางทุ่งหิมะ" ภาพปราสาทราชวังและบ้านเรือนมากมายค่อยๆก่อร่างขึ้นในหัวใจของผู้ฟังทีละน้อย 

                   
          กาลครั้งนั้น....เมื่อโลกยังเยาว์นัก  แผ่นดินทั้งหลายร้างไร้ซึ่งผู้อยู่อาศัย  แสงจันทร์ทอทาบผืนน้ำอย่างเดียวดาย ด้วยว่าสุริยเทพยังคงนิทราอยู่ในอนธาการแห่งโลก  เวลานั้น....ราชินีหิมะผู้ทรงสิริโฉมยิ่งประทับองค์อยู่บนบัลลังก์แห่งแผ่นดินเหนือ เฝ้ามองการเปลี่ยนแปรอย่างเงียบงัน  ฝ่ายราชาแห่งพิภพที่ทรงงานในพระตำหนักอันโอ่โถงของโลกล่างได้รังสรรค์สิ่งประดิษฐ์อันงดงามมากมาย  หนึ่งในนั้น.....คือลูกแก้วซึ่งสลักเสลาอย่างละเอียดอ่อน  ฐานประดับประดาด้วยดอกไม้แก้วกลีบบางใสพิสุทธิ์ แต่งแต้มด้วยหยาดน้ำค้างราตรีและมณีแห่งนภา  ภายในคือบ้านเมืองอันวิจิตรตระการตา

                   
          ราชาแห่งพิภพจึงมอบเป็นกำนัลแด่ราชินีหิมะ  เมื่อได้เห็นลูกแก้วนั้นพระองค์ก็ทรงโปรดปรานยิ่งนัก  จนวันหนึ่ง......ขณะที่ดำเนินไปท่ามกลางแดนเหนือ  ทรงย่างบาทผ่านเข้าไปพบแผ่นดินเหนืออ่าวอันงดงามอยู่ท่ามกลางรัศมีจันทร์ฉาบจนเป็นสีเหลืองทอง  เมื่อทอดพระเนตรของในอุ้งหัตถ์ที่บัดนี้เปล่งประกายเรืองเรื่อขึ้น  จึงดำริในพระทัย  จะวางลูกแก้วลงบนแผ่นดินนี้  จะเสกสร้างนครอันโอฬารริก  ครั้นแล้วราชินีหิมะจึงประทานพรแห่งพระองค์   พรแห่งหิมะที่จะสถิตอยู่ ณ แว่นแคว้นแห่งนี้ตราบโลกมลาย

                   
          เมื่อสิ้นสุรเสียง  แสงแรกแห่งอโณทัยฉายฉานแต้มของฟ้า ขับไล่รัตติกาลอันยาวนานให้ถอยร่นไป พร้อมกับนครเฟลูทีเน่ได้อุบัติขึ้นท่ามกลางหิมะสีอมส้มอมนั้น.................

                   
          เสียงปรบมือกระหึ่มก้องจนโถงกว้างแทบจะถล่มลงมา  มีเพียงเด็กหนุ่มที่ยังนั่งนิ่งคล้ายถูกสะกดด้วยเรื่องราวนี้  ฝ่ายผู้เล่าเพียงเหลือบตามามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปบรรเลงเพลงต่อ   

                   
           
    "ได........"

                   
          คำเรียกชื่อชะงักลงเมื่อมาร์คัสเห็นมือของเด็กหนุ่มกำชายเสื้อของเขาไว้แน่น  ผู้ใช้เวทตัดสินใจเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆแล้วเริ่มแกะมือออก 
    "ไดแอซ"  คราวนี้เป็นเสียงเรียกด้วยความตกใจของเวสที่เห็นใบหน้าเจ้าของชื่อซีดลงจนเกือบขาว  เมื่อเลื่อนมือไปแตะหน้าผากอีกฝ่ายชายหนุ่มถึงกับสถบในใจ  "บ้าจริง!! ไข้กลับ"

                   
         "นึกว่าหายดีแล้วซะอีก"  เวสเอ่ยเบาๆอย่างรู้ความคิดของเพื่อนพร้อมเลื่อนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง  พายุหิมะหลงฤดูยังคงพัดจัดอยู่นั่น

                   
          หมับ

                   
          คราวนี้เด็กหนุ่มยึดมือของมาร์คัสไว้  เขาอุตส่าห์สะบัดเบาๆพอให้รู้ตัวแต่รายนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยง่ายๆ 
    "ถึงจะไม่สบายก็เถอะนะ แต่ถ้ามันขยับมากอดแขนเมื่อไหร่ พ่อจะยันให้กระเด็นไปถึงหน้ายกพื้นเลย"   เขาคิดพลางยกบาทาขึ้นมาเตรียมพร้อม   แต่จู่ๆร่างของเด็กหนุ่มก็อ่อนยวบลงจนต้องโน้มตัวไปช่วยพยุงไว้  "อย่ามาเป็นอะไรตอนนี้นะเว้ย"  

                   
          ติ๊ง

                   
          สายพิณซึ่งบรรเลงทำนองประหลาดคล้ายสะท้อนภาพดินแดนของนิทานเมื่อครู่หยุดลง  ก่อนร่างของชายหนุ่มต่างถิ่นจะมายืนอยู่ข้างๆพวกเขาโดยไม่รู้ตัว 
    "ท่าน......"  ฝ่ายนั้นคล้ายจะเรียกเด็กหนุ่มที่ตอนนี้พิงอยู่กับไหล่ของมาร์คัส  แต่ก็ชะงักไปแล้วหันมาหาพวกเขาแทน   "ผู้นี้อยู่กับพวกท่านใช่หรือไม่"  ทั้งสองพยักหน้ารับพร้อมกัน 

                   
          ชายหนุ่มนั่งลงอีกด้านของโต๊ะไม้  มือหนาปาดผ่านวูบในอากาศปรากฏขลุ่ยไม้เรียวเล็กอันหนึ่ง  ผู้ใช้เวทเริ่มมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสงสัย  เขาค้อมศีรษะเล็กน้อย 
    "ข้า....เอ็ดเวิร์ด  ผู้ขับคีตาแห่งอายัน"  ชายหนุ่มแนะนำตัวก่อนยกเครื่องดนตรีขึ้นจรดริมฝีปาก

                   
          ขลุ่ยลำเรียวเปล่งเสียงหวานแผ่วเบาแทรกท่ามกลางเสียงคุยของผู้คนในร้าน  หากกลับก้องกังวานในใจของพวกเขา  ดูเหมือนว่าความร้อนและอาการไข้ในตัวไดแอซลดลงอย่างน่าแปลกใจ  ใบหน้าขาวซับสีเลือดขึ้นเล็กน้อย   สายลมอันไร้ที่มาพัดต้องหน้าคนทั้งสามพร้อมกลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้าจากป่าลึก  ให้ความรู้สึกสดชื่นยามได้สูดดม

                   
          อาการขยับตัวเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าเด็กหนุ่มรู้สึกตัว พร้อมดวงตาสีฟ้าค่อยๆเปิดขึ้น  ทำเอาผู้ใช้เวททั้งสองถึงกับถอนใจด้วยความโล่งอกก่อนนึกขึ้นได้  เขาว่าถอนหายใจมากๆแก่เร็วนี่หว่า.....เฮ้อ 

                   
          บริกรแบกถาดใบโตเอาเครื่องดื่มร้อนๆมาเสิร์ฟให้
      "คงจะค่อยยังชั่วแล้ว" ชายผู้นั้นเอ่ยพร้อมรอยยิ้มละไมบนใบหน้า  ก่อนยกของเหลวในแก้วขึ้นมาจิบช้าๆ  ข้างบนอกหน้าต่างนั้นสายลมหวีดหวิวถาโถมเข้าปะทะฝาไม้หนาไม่หยุดยั้ง  เกล็ดหิมะฟุ้งกระจายไปทั่ว  จนทัศนียภาพกลับกลายเป็นสีขาวขุ่น

                   
           
    "กว่าพายุจะสงบลง  เรา........คงได้สนทนากันอีกนาน"

    ----------------------------------------------------------------------

    หวัดดีค่าทุกท่าน  สบายดีกันรึเปล่าคะ  แหะๆ อัพช้าเล็กน้อยแบบว่าการบ้านเยอะเจ้าค่ะ ง่าจะสอบแล้วด้วย ไปอ่านหนังสือแล้วน๊า 
    ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน+เม้นท์เจ้าค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×