คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : อีกตัวตน
“พวกท่านคงเหนื่อยกันมากสินะ” เฟลิเซียเอ่ยหลังฟังเรื่องราวทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นจากปากเด็กหนุ่มจบ “ก็นิดหน่อย” เจ้าตัวบอกแล้วยกถ้วยกระเบื้องอย่างดีขึ้นจิบชาควันฉุยพร้อมกวาดตาสำรวจสภาพห้องหับอันหรูหราของพระตำหนัก
สายตาของเขาจับอยู่ที่รูปดอกไม้ใบไม้บนฐานเสาซึ่งสลักเสลาจากฝีมือช่างโบราณ ก่อนจะเลื่อนไปยังผนังสีหวานเขียนลวดลายเถากุหลาบ ฟากตรงข้ามของห้องเป็นชั้นหนังสือขนาดใหญ่ซึ่งกินพื้นที่เกือบทั้งหมดของผนัง ม่านบางสีอ่อนจับกลีบอยู่เหนือหน้าต่างกระจกบานใหญ่ซึ่งสามารถมองออกไปได้ทั่วสวนหย่อมที่คั่นระหว่างพระตำหนัก
ในห้องเล็กนั้นอบอุ่นด้วยพลังเวทที่แผ่จากลูกไฟกลมเล็กบนเชิงเทียน โต๊ะกลมกลางห้องอันเป็นที่นั่งของคนทั้งสองปูด้วยผ้าเดินดิ้นเงินเย็บปักเป็นลวดลายพิสดาร ทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับออกอาการเกร็งนิดๆไปเลยทีเดียว
“ท่านหายดีแล้วหรือ” ไดแอซถามบ้างเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายยังดูซีดเซียวอยู่ “อื้อ” เด็กสาวยิ้มให้ “ผลกระทบทางเวทเล็กน้อยน่ะ” นางพระกำนัลสองคนเดินเข้ามาพร้อมถาดขนม เฟลิเซียหันไปยิ้มน้อยๆให้ ทั้งสองยอบกายต่ำก่อนจะวางของลงแล้วถอยจากไป
“ส่วนเรื่องของเจ้าหญิงลีเมย์
” ถ้อยคำสะดุดเล็กน้อย “ที่เคยตรัสว่าทรงจับไอของท่านเวนตุสได้นั้น” ร่างบางส่ายศีรษะเบาๆคล้ายจนปัญญาจะช่วยเหลืออันใด “ข้าไม่รู้สึกอะไรเลย”
“แต่ข้า......รู้สึก”
เด็กหนุ่มพึมพำคล้ายจะพูดกับตัวเองเสียมากกว่า เฟลิเซียมองข้ามโต๊ะมาด้วยสายตาสงสัยหากก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงค่อยๆวางถ้วยน้ำชาลง
แก๊ง แก๊ง
เสียงของระฆังเย็นดังสะท้อนก้องไปเป็นสัญญาณบอกเวลา 6 โมงเย็น ไดแอซสะดุ้งขึ้นเล็กน้อยก่อนหันไปมองหน้าต่างบานใหญ่ ครั้นเห็นว่าความมืดค่ำเริ่มโรยตัวลงมาปกคลุมอากาศภายนอกแล้วและดูท่าจะหนาวเย็นขึ้นเสียด้วยซ้ำ “ข้าว่าคงต้องรีบกลับแล้ว” เด็กหนุ่มบอกพลางลุกขึ้น “หวังว่าเราคงได้พบกันอีก” เฟลิเซียเอ่ย เขาค้อมกายลงพร้อมรอยยิ้มน้อยๆประดับอยู่บนใบหน้า
จากนั้นนางพระกำนัลนำเด็กหนุ่มไปตามทางเดินยาวเหยียดและค่อนข้างวกวนเล็กน้อยของพระราชวังอันวิจิตรงดงามชวนตื่นตาตื่นใจ ภาพต่างๆไหลผ่านสายตาและหัวสมองของเขาไปคล้ายภาพฝัน มารู้สึกตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าประตูวังแล้ว
เจ้าตัวยกมือเกาศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะค่อยเดินกลับลงไปสู่ตัวเมืองด้านล่างพลางคิดว่าจะถึงที่หมายก่อนคำหรือไม่ รสขมอ่อนๆของใบชายังคงติดอยู่ตรงปลายลิ้น กลิ่นหอมโชยมาจากผ้าพันคอซึ่งตลบขึ้นปิดอยู่ประมาณครึ่งหน้า เจ้าตัวสูดลมหายใจลึกเข้าทีหนึ่ง
ตอนนี้โคมไฟถนนเริ่มส่องแสงไล่กันไปทีละดวงจนทั่วทั้งถนน ไดแอซจึงเดินโต๋เต๋กลับมาจนถึงที่พักได้ในที่สุด หางตาของเด็กหนุ่มบังเอิญเหลือบไปเห็นเงาดำตะคุ่มอยู่ในมุมมืดด้านซ้ายของชายคาหน้าที่พัก ภาพพร่าเลือนในหัวผุดขึ้นแล้วเคลื่อนมาซ้อนทับกับร่างตรงหน้า
“เงานั่น”
เขาถึงกับชะงักงัน ภาพที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็น คุ้นตาอย่างไรบอกไม่ถูก..... “สิ่งนั้น.....” หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นรัวแรง ความรู้สึกทั้งเกลียดทั้งกลัวฝังแน่นในจิตสำนึก “อย่า......” เขาพึมพำแล้วค่อยก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว
“ไดแอซ”
เสียงเรียกกึ่งตะโกนคุ้นหูดังมาจากเงานั้นทำให้เด็กหนุ่มได้สติ ภาพทั้งหมดหายวับไปในทันที เสียงตะโกนเรียกชื่อแผดซ้ำอีกครั้ง คราวนี้มีผลให้ไดแอซทำอัศจรรย์กระโดดถอยหลังไปจนเกือบถึงทางเท้าของอีกฟากถนน
“หายหัวไปไหนมา” มาร์คัสสาวเท้าเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งเรียกสติอยู่ที่เดิม เจ้าตัวส่งยิ้มจืดเจื่อนให้ “ข้าวิ่งหลงเข้าไปในเขตอุทยานหลวง” เมื่อเล่าถึงตรงนี้ดวงตาคนฟังเบิกกว้าง “แล้วข้ายังเจอเจ้าหญิงเฟลิเซีย“ คราวนี้ลูกตาแทบถลนออกจากเบ้า “จากนั้นก็ได้ไปนั่งคุยกับกินขนมอร่อยๆที่พระตำหนักด้วยนะ”
ท่าทางการเล่าซื่อๆเหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร ทำเอามาร์คัสอยากจะเอื้อมมือไปบีบคออยู่นั่นแล้ว “รู้ไหม” เสียงกึ่งจะคำรามดังออกมาพร้อมท่าทางแยกเขี้ยว “ข้าน่ะ เที่ยววิ่งหาเจ้าซะทั่วเมือง นึกว่าไปหลงทางอยู่ตรงไหนหรือว่าโดนจับได้” เมื่อกวาดตาดูดีๆแล้ว เด็กหนุ่มเองก็เพิ่งสังเกตว่าบนเรือนผมสีทองอ่อนกับเสื้อคลุมหนายังมีเกล็ดหิมะจับติดอยู่ ใบหน้าก็ยังขึ้นสีเรื่อๆจากการวิ่งมาราธอนรอบเมืองที่ใหญ่ไม่ใช่เล่น
ไดแอซส่งยิ้มแหย่ๆให้อีกรอบ “ข้าเหนื่อยอ่ะ ท่านก็วิ่งมาเยอะตากลมหนาวนานเดี๋ยวไม่สบาย” เจ้าตัวเปลี่ยนเรื่องไปเสียอย่างนั้นพร้อมเดินเข้ามาลากแขนเสื้อร่างสูงซึ่งกำลังยืนงงเข้าตัวอาคารไป
*****************
วูม วูม
เสียงเป่าเข่าเป็นท่วงทำนองแปลกประหลาดดังสะท้อนก้องไปทั่วเมืองสลับกับเสียงกลองคล้ายสัญญาณตอบรับ ฝีเท้าหนักวิ่งมาตามทางเดินจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องของพวกเขาพร้อมกับที่คนภายนอกเคาะประตูรัวสลับกับทุบเข้าหลายโครมราวกับมีเรื่องร้อนใจ
ไดแอซงัวเงียลุกขึ้นมาจากกองผ้านวมเดินโซเซชนเก้าอี้สองทีและ โต๊ะอีกหนึ่งที ก่อนจะมาถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย ทันทีที่เด็กหนุ่มหมุนลูกบิด ประตูไม้ซึ่งบอบช้ำจากเหตุการณ์เมื่อครู่ถูกกระชากให้เปิดออกด้วยแรงระดับช้างสาร ทำเอาคนข้างในถลาลงไปกองแทบเท้าผู้มาเยือนยามเช้า
เขาเหลือบตาขึ้นมองคนที่อยู่ในเสื้อคลุมสีดำอย่างผู้ใช้เวท “ประชุม” คำแรกผ่านวาบเข้ามาในสมองอันว่างเปล่า “วันนี้.... เฮ้ย” เด็กหนุ่มสปริงตัวลุกขึ้นในทันทีอาการง่วงงุนเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง “สายแล้วนี่หว่า” เจ้าตัวเริ่มหน้าซีด
“มาร์คัส เกิดเรื่องแล้ว” โชวี่ตะโกนผ่านประตูด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนไปยังชายหนุ่มอีกคนในห้อง “สัตว์......” คำพูดชะงักงันเมื่อไอเวทแผ่คลุ้งเข้าปกคลุมเหนือพวกเขา มาร์คัสดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ ด้วยเจ้าตัวรีบคว้าเสื้อคลุมดำอันเป็นเครื่องแบบประจำตัว ก่อนจะสาวเท้าตามร่างอีกฝ่ายไป
“รอด้วยสิ รอก่อน จะรีบไปไหน”
เสียงตะโกนไล่หลัง ไดแอซหันไปปะเข้ากับเสื้อคลุมสีน้ำตาลตัวเก่าจึงรีบคว้ามาสวมทับเสื้อขาวแล้วรีบวิ่งตามลงไปสมทบกับกลุ่มคนข้างล่าง
เมื่อทั้งหมดกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากที่พัก เด็กหนุ่มออกจะแปลกใจเล็กน้อยกับสภาพรอบกาย เมื่อชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายยังคงดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขไม่มีอาการเดือดเนื้อร้อนใจอย่างบรรดาผู้ใช้เวทสักรายเดียว จะมีบ้างก็บางกลุ่มที่เงยหน้ามองฟ้าแล้วซุบซิบกันแต่สักพักก็กลับไปทำงานต่อ
ไดแอซมุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อเจ้าตัวหยุดยืนแหงนเงยขึ้นมองบ้าง วันฟ้าเปิดอากาศค่อนข้างสดใส เมฆจางลอยต่ำผ่านไป บางอย่างไหววับสะท้อนแดดอ่อนเหลื่อมพรายเป็นสีรุ้งประหนึ่งผิวเบาของฟองสบู่ เด็กหนุ่มรีบวิ่งตามกลุ่มผู้ใช้เวทซึ่งเห็นหลังไวๆพร้อมคำถาม แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไรก็มีเสียงโหวกเหวกขัดขึ้นเสียก่อน
ประตูเมืองทางทิศเหนืออันเป็นจุดเกิดเหตุค่อนข้างวุ่นวายด้วยเหล่าพาลาดินและผู้ใช้เวทซึ่งพอจะตามกันมาได้ในเวลานี้ สิริรวมทั้งสิ้นแล้วกว่า30ชีวิต ที่หน้าประตูเมืองแรนดัลกำลังกางเขตเวทสำรองไว้เป็นทางหนีทีไล่หากเกิดอะไรขึ้น
พวกเขารุดออกไปรวมตัวกับผู้ใช้เวทอีกราวสิบกว่าคนที่กำลังยืนจดๆจ้องๆกองหิมะสูงอยู่ ครั้นเขาเหลือบสายตากลับไปมองดูตัวเมืองพบว่า ถูกห่อหุ้มไว้ในผิวบางใสอันมีลักษณะคล้ายกับเขตเวทที่แรนดัลกาง ต่างกันเพียงพลังที่ปลดปล่อยออกมา “เขตเวทคุ้มครอง” ไดแอซระลึกถ้อยคำในหนังสือที่เคยอ่านขึ้นมาได้
พรึบ
เสียงอะไรบางอย่างพุ่งออกจากกองหิมะดึงความสนใจของทุกคนให้หันไปหาเสียงนั้น ปรากฏร่างเล็กเท่ากับสุนัขของหนูจิ๋วที่มีลักษณะคล้ายตัวคาปีบาร่าซึ่งมีขนสีน้ำตาลอ่อนหน้าค่อนข้างยาวเดินออกมาด้วยท่าทางที่ไดแอซคิดว่าดูจะงงๆเสียด้วยซ้ำ
“ไอ้นี่เนี่ยนะ ที่เรียกระดมพลกันให้ครึกครื้นซะทั่วเมือง”
ผู้ใช้เวททั้งหลายจ้องมองมันเป็นตาเดียวกัน เสียงหวีดแหลมสูงแปลกหูดังแผ่วๆพร้อมหมอกควันอันไร้ที่มาเข้าห้อมลอมปกคลุมบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ ทำเอาต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก เงารางๆของหนูจิ๋วเบื้องหน้าพร่าเลือนลง มาร์คัสเริ่มหันกลับไปเล็งตำแหน่งเขตเวทสำรองซึ่งอยู่เบื้องหลัง ร่างของเวสที่ยืนอยู่ข้างกันเริ่มกระดึ๋บๆเข้ามาชิดตัว เขาหันไปมองเพื่อนอย่างแปลกใจ ครั้นพบว่ามันกำลังมองตรงไปข้างหน้าอ้าปากค้างพลางดึงแขนเสื้อเขาจึงหันกลับไปดูบ้าง
บัดนี้หนูจิ๋วท่าทางน่ารักน่าชังแปลงกายเป็นเป็นหนูจิ๋วยักษ์ขมูขีไปในพริบตา เขี้ยวขาวยาวคมวาวแสยะพร้อมน้ำลายหนืดหยดติ๊งๆ ชวนเสียวไส้ไม่น้อย
“แผ่นโลด” คำสั้นๆหลุดออกมา พร้อมผู้ใช้เวททั้งหมดจะหันหลังโกยอ้าวกลับไปตั้งหลักดูเชิงในเขตเวทสำรอง เหล่าพาลาดินที่ยืนกระจายตัวตามสัญลักษณ์เวทธาตุทั้ง 5 ทิศ ดาบยาวสีเงินใบดาบสลักอักขระอ่อนช้อยถูกชักออกมาในท่าเตรียมพร้อม
“ไดแอซ”
เวสมองหาเจ้าของชื่อที่คิดว่าเมื่อครู่ยังวิ่งมาด้วยกัน
เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก
ครั้นกวาดตาก็ไม่พบร่างในเสื้อคลุมสีน้ำตาล ทำเอาคิ้วสองคู่ขมวดปมเป็นโบว์อยู่กลางหน้าผาก โชวี่ มาร์คัสหันไปทางเพื่อนพบว่าอีกฝ่ายส่ายหน้า คนในกลุ่มจึงเริ่มพับแขนเสื้อเป็นสัญญาณเตรียมลุยเต็มที่ แรนดัลเห็นดังนั้นก็หันมาทำหน้าดุห้ามไว้
พลันสายลมแรงพัดกรรโชกวูบหนึ่งพาม่านหมอกจางหายเผยให้เห็นทัศนียภาพเบื้องหน้า สายตาหลายสิบคู่กวาดมองไปปะเข้ากับร่างเล็กในเสื้อคลุมสีน้ำตาลยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเงาใหญ่ของหนูจิ๋วยักษ์ขมูขี
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย “ง่า........” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของโชวี่เบิกกว้างมองสัตว์อสูรปีศาจที่ขาแต่ละข้างมีขนาดเท่ากับต้นไม้ 3 คนโอบ ชวนให้นึกว่าจะบี้แบนท่าไหนถ้าลองโดนเหยียบเข้า เส้นเลือดเส้นเอ็นสีคล้ำที่ปูดโปนพ้นผิวบางใสขึ้นมาเต้นตุ๊บๆ ดวงตากลืนเป็นสีดำสนิทเหลือกถลนออกจากเบ้าจ้องดูพวกเขา
กลุ่มผู้ใช้เวทเริ่มเตรียมกระจายตัวล้อมบริเวณที่เด็กหนุ่มยืนอยู่ เวสหรี่ตามอง เห็นไดแอซยกมือขึ้นตรงหน้าแต่จะทำอย่างไรนั้นมองไม่ถนัดนัก
ละอองแสงเล็กจางรายรอบมือของเด็กหนุ่มก่อนจะรวมตัวกันแล้วหยดลงบนพื้นกลืนไปกับหิมะแทบเท้า พลันปรากฏเส้นสีหลากหลายวิ่งวนเป็นวงกลมบนพื้น สัตว์อสูรปีศาจคำรามอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นเหยื่อตรงหน้าไม่มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด
กรร
เสียงคำรามแผดลั่นตามด้วยเล็บแหลมเหวี่ยงเข้าตะปบร่างของเด็กหนุ่ม เขาหลบฉากอย่างรวดเร็วและหายตัวไปปรากฏห่างจากสัตว์ปีศาจราวสองร้อยเมตร ดาบด้ามยาวส่องแสงสีฟ้าเรืองรองถูกเรียกออกมาจากอากาศ ดวงตาสีฟ้าหม่นดูเย็นชาขณะจับจ้องสัตว์ร้ายเบื้องหน้าที่รีบถอยหลังกลับไปตั้งหลัก มุมปากบางยกยิ้ม “ฉลาดดีนี่” ก่อนจะหายตัวไปอีกครั้ง
ฉึก
คมดาบดื่มเลือดสีคล้ำของสัตว์ปีศาจเต็มคำ กงเล็บตรงเข้าใส่มนุษย์ตัวจ้อยผู้หาญกล้า เงาดำอันผุดขึ้นจากตัวมันรวมกันเป็นสายยาวพุ่งโจมตีซ้ำอย่างไม่ปรานี ไดแอซเพียงแต่ยกดาบขึ้นกันอย่างง่ายๆดึงให้คู่ต่อสู้ก้าวตามเขามาสู่กับดักโดยไม่รู้ตัว
เกล็ดหิมะพึ่งตกบนพื้นกระจายตามแรงต่อสู้ เสียงปะทะระหว่างดาบกับเล็บดังเปรื่อง สายสีดำได้โอกาสพุ่งเข้ารัดรอบตัวเด็กหนุ่มตามด้วยเสียงระเบิดพาเอาเกล็ดน้ำแข็งกระจายไปคนละทิศละทาง ขาใหญ่เหยียบขยี้ลงบนพื้นเต็มแรงจนเกิดหลุมขึ้น เศษผ้าคลุมสีน้ำตาลกะรุ่งกะริ่งโผล่พ้นฝ่าเท้าใหญ่ออกมา ทำเอาผู้ใช้เวทใจหายวาบเตรียมสอดมือเข้าช่วย
เวทของใครคนหนึ่งเหวี่ยงออกไปปะทะกับม่านพลังที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นสะท้อนกลับออกมาจนเจ้าของก้มหลบแทบไม่ทัน
ร่างขาวโผล่วูบขึ้นตรงหน้าพวกเขา เจ้าตัวหันมาตามเสียงตะโกนเรียกของคนด้านหลัง ใบหน้านั้นงามราวรูปสลักน้ำแข็ง แววตาชวนให้ผู้ใช้เวททั้งหลายรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ครั้นแล้วเด็กหนุ่มเบือนสายตากลับไปมองสัตว์อสูรตรงหน้า พร้อมยิ้มน้อยๆอีกครั้งอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก
แสงสีขาวเจิดจ้าบาดตาค่อยสว่างรุ่งเรืองขึ้นมาจากวงเวทย์จนพวกเขาต้องหลับตาลง ชั่วเสี้ยววินาทีกระแสพลังรุนแรงพุ่งออกมาจากร่างเด็กหนุ่มอย่างเกรี้ยวกราด พัดเกล็ดหิมะปลิวว่อนฟุ้งไปทั่วบริเวณนั้นจนเห็นเป็นม่านสีขาวทึบ หูยังแว่วเสียงร้องครวญครางอย่างทรมานของสัตว์บาดเจ็บเวลาเพียงสั้นๆดูเหมือนยาวนานในความรู้สึกของพวกเขาก่อนเสียงนั้นจะค่อยๆเงียบสนิท
สายลมรุนแรงสงบลงตามด้วยเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกตามมาติดๆ ทันทีที่ลืมตาก็ได้พบภาพอันไม่โสภาเท่าใดนัก สัตว์อสูรบัดนี้เหลือเพียงเศษเนื้อกระจัดกระจาย ขาไปทางหัวไปอีกทาง หัวใจตับไตไส้พุงทั้งหลายแหล่กองรวมๆกันบนหย่อมเลือด ห่างไปหน่อยเป็นลูกตากลมดิกกลิ้งโคโร่อยู่ พร้อมกลิ่นคาวผสมกับกลิ่นเน่าเหม็นเหมือนใครเอาซากสัตว์ตายสัก 20 ตัวมาสุมกันตรงหน้า
วงเวทย์หลากสีค่อยกลายเป็นละอองแสงเล็กเท่าหิ่งห้อยก่อนจะพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้าเบื้องบนจนหมดสิ้น เด็กหนุ่มกระอักเลือดออกมาเปื้อนเสื้อขาวเป็นวงกว้างก่อนจะทรุดลงนอนแน่นิ่งไปกับพื้น
กลุ่มของเวสวิ่งรี่เข้าไปหาร่างขาวซีดบนพื้น ขณะที่ผู้ใช้เวทคนอื่นเริ่มกั้นเขตเพื่อทำการตรวจสอบหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ แต่ยังไม่ทันที่จะเข้าไปแตะต้องอะไร เศษเนื้อและไอปีศาจสีดำก็พากันสลายเป็นธาตุอากาศไปเสียก่อนยังความแปลกใจแก่พวกเขาเป็นอันมาก
มาร์คัสช้อนร่างของเด็กหนุ่มขึ้นจากพื้นส่งต่อให้หน่วยแพทย์สนามซึ่งเพิ่งมาถึงและตรงเข้าปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็ว แล้วหันกลับไปรวมกลุ่มวิเคราะห์เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบรรดาเพื่อนๆทั้งหลาย ขณะที่เหล่าพาลาดินกำลังวุ่นวายกับการกระจายกำลังรักษาความปลอดภัยตามคำสั่งของผู้เป็นหัวหน้า เขตเวทคุ้มครองเมืองค่อยจางหายไปพร้อมๆกับหิมะขาวตกลงมา
*********************
“อีกแล้ว” ไดแอซนึกในใจเมื่อเจ้าตัวลืมตาตื่นมาพบกับความมืดมิดอันคุ้นตาห้อมล้อมรอบกาย เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างปลงตกด้วยหันไปทางใดก็ไม่รู้ทิศ เขาค่อยๆทรงตัวลุกขึ้นนั่งในท่ากอดเข่า จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่หางตาของเขาค่อยเหลือบไปเห็นจุดแสงเล็กเท่าปลายเข็มหมุด
เด็กหนุ่มตัดสินใจลุกพรวดขึ้นแล้วออกวิ่งฝ่าความมืดไปในทิศทางนั้นทันที
แฮ่ก ๆๆ
นัยน์ตาสีฟ้าหม่นมองแสงนั้นอย่างความสงสัย ด้วยวิ่งตามมาก็ตั้งนานแต่ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใกล้สักที ราวกับย่ำอยู่กับที่ก็ไม่ปาน เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสูดหายใจลึกยาวก่อนออกวิ่งต่ออีกครั้ง
“อ๊ะ”
เขาชะงักเท้าเมื่อรู้สึกว่ามีใครบางคนเดินตัดผ่านหน้าไป ฉับพลันช่องแสงขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วทั้งยังส่องสว่างบาดตาจนเขาต้องยกมือขึ้นบังรัศมีอันเจิดจ้านั้น
ซ่า ซ่า
เสียงคลื่นซัดสาดเข้าสู่หาดทรายดังกระทบหูเขา สีฟ้าครามสดใสของผืนฟ้าจรดทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลแผ่ขยายเข้าแทนที่ความมืดซึ่งห่อหุ้มรอบกายของเขา เด็กหนุ่มกวาดตามองความเปลี่ยนแปลงรอบด้านอย่างประหลาดใจ เงาร่างในชุดคลุมสีดำตัดผ่านหน้าเขาไป
“ใคร?”
เขาวิ่งตามแต่ดูเหมือนว่าระยะทางจะยิ่งทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“รอด้วย”
ไดแอซตะโกนขณะที่คนเดินนำยังคงก้าวต่อคล้ายไม่ได้ยินเสียงอันใด ภาพทะเลกว้างค่อยๆกลายเป็นเส้นสีต่างๆพุ่งผ่านตัวเขาไป ทันใดนั้นทัศนียภาพรอบกายเริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ครานี้กลับเป็นทุ่งหิมะกว้างใหญ่ห้อมล้อมบ้านเมืองอันตระการตาเอาไว้ หัวใจเขาเริ่มเต้นรัวคล้ายได้พบสิ่งเคยคุ้น เด็กหนุ่มทบทวนเรื่องราวต่างในสมองพลางเค้นเอาความทรงจำส่วนลึกออกมา หากนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกเสียที
“นึกสิ นึกให้ออก เราเคยเห็นมันที่ไหน”
“นึก..............”
โอ๊ย
เด็กหนุ่มกุมศีรษะตัวเองด้วยความเจ็บปวดราวถูกเข็มแหลมนับร้อยๆเล่มทิ่มแทง เขาทรุดร่างลงกับพื้นภาพต่างๆเริ่มหมุนวนเข้าเป็นวงกลมก่อนจะกลับคืนสู่ความมืดดำเช่นเดิม ทิ้งเพียงคำถามไว้ให้กับเด็กหนุ่ม
ที่ไหน?
“ทำไมถึงจำไม่ได้ ทำไม”
เจ้าตะโกนออกมาด้วยความคับแค้นใจ เสียงสะท้อนก้องก่อนจะค่อยๆถูกความเงียบกลืนหายไป พร้อมร่างของเขาดิ่งลงสู่ห้วงเหวแห่งความมืดอันไม่มีที่สิ้นสุด
“ดูนั่น”
แสงนวลตาแลเห็นอยู่ลิบๆ เสียงหวานเสนาะโสตกระซิบแผ่วเบาแทรกผ่านอากาศรอบกายเข้ามาล่องลอยอยู่ท่ามกลางสายลมหวีดหวิวบาดผิว
ใครคนหนึ่งกำลังเรียกหาเขา
“ไดแอซ ไดแอซ”
----------------------------------------------------------------------
เอ้อ คือว่ามันแวบหายอีกแล้ว แย่จริงๆ แก้จนเรียบร้อยแล้วค่ะ
ความคิดเห็น