ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #16 : จากดอกไม้สีเลือด

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 50


                   
          วันนี้ท้องฟ้าเปิดจนเห็นไปถึงสีฟ้าใสเบื้องบน  แดดอ่อนๆยามเช้าสาดแสงจับเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาจนเห็นเป็นประกายวิบวับเหมือนกากเพชร

                   
          "อาซาเลีย"  มาร์คัสมองหญิงสาวที่วันนี้อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีครีมอ่อนทับด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์อย่างดี  ซึ่งมาปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขาอย่างเงียบเชียบ  "เมื่อวานมอเดรสคงแจ้งแก่พวกท่านแล้ว"  พวกเขาพยักหน้ารับพร้อมๆกันอย่างไม่ได้นัดหมาย  "เช่นนั้นเชิญตามข้ามา"  ไดแอซเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัยว่าจะไปทีใด เขาหันไปหามาร์คัสเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงออกเดินไปด้วยกันแต่โดยดี

                   
           
    ร่างบางนำพวกเขาออกจากที่พักฝ่าผ่านฝูงชนจอแจของยามเช้าเข้าเขตเมืองฝั่งทิศใต้อันเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญสองแห่งคือหอระฆังสูงกับมหาวิหารพาราเทีย ซึ่งจัดว่าเป็นที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบเอาการเมื่อเทียบกับฝั่งอื่นๆของเมือง    

                   
          เกล็ดบางเบาพลิ้วไหวแลคล้ายเต้นระบำอยู่บนอากาศรอบกาย  คนทั้งสองเดินนำหน้าเด็กหนุ่มไปเงียบๆ  ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าเคียงกันบนพรมขาวที่อีกไม่นานจะถูกฝังกลบสิ้น

                  
         
    ไดแอซตวัดผ้าพันคอหนาสีทึมเทาทบรอบคอและใบหน้าอีกตลบเมื่อลมหนาวชวนขนลุกพัดกรรโชกแรง เจ้าตัวครุ่นคิดถึงถ้อยคำเมื่อวันก่อนพลางถอนใจเบาๆ 
    "จะมีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไป หิมะที่ไม่มีวันละลายชั่วกัลป์   นิรันดร์อันยาวนานฤาฝืนชะตาสวรรค์"  คำพูดด้วยเสียงเสนาะใสของใครบางคนแว่วมาจากที่ไกลแสนไกลในภวังค์ความคิด

                   
          "ใคร?  ที่ไหน?"

                   
          
    เด็กหนุ่มตั้งคำถาม ทว่าหัวใจในอกเขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันราวถูกจารจำไว้ลึกลงไป

                   
         
    "ไดแอซ"

                   
          
    เสียงมาร์คัสที่หันกลับมาตะโกนเรียกเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดเดินไปเสียเฉยๆ  เจ้าของชื่อจึงได้รู้สึกตัวแล้วสาวเท้าเข้าไปหาคนทั้งสองที่บัดนี้หยุดยืนอยู่ข้างม้านั่งในสวนฤดูหนาวขนาดย่อมซึ่งตั้งอิงแอบอยู่ข้างหอระฆัง

                   
         
    อาทิตย์ทอแสงซีดจางลงมาเป็นลำๆต้องตัวหอสูง  สนสีเขียวต้นเรียวระหงเคียงกับไม้ใหญ่เปลือกดำที่ยื่นกิ่งก้านไร้ใบสูงราวกำลังยกมือโบกให้ท้องฟ้าเบื้องบนอย่างเดียวดาย

                   
           
    อาซาเลียหันมองซ้ายมองขวาราวจะสำรวจว่ารอบข้างมีผู้คนอยู่บ้างหรือไม่  เด็กหนุ่มแอบมองแล้วหันกลับมาเบ้ปาก  ยังดีที่ผ้าพันคอหนาบดบังใบหน้าไว้กว่าครึ่งอีกฝ่ายจึงไม่ได้ยินเสียงพึมพำของเขา 
    "ยังจะมองอีก  อากาศออกจะหนาวทารุณแบบนี้  ใคร๊เขาจะออกมานั่งชมสวนไม่ทราบ  ทีแรกก็นึกว่าจะพาไปคุยแถวร้านอาหาร  อุตส่าห์เล็งๆไว้ตั้งหลาย ดันผ่ามานั่งกลางสวนนี่ เดี๋ยวสักพักเถอะคงแข็งเป็นหุ่นกันหมดแน่"  คิดพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างๆแล้วเผลอเอนไปพิงที่เท้าแขนเหล็กทำเอาสะดุ้งเฮือก  เด็กหนุ่มเอียงหูไปฟังที่คนทั้งสองคุยกันด้านหน้า 

                   
           เสียงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเบาๆของหญิงสาวซึ่งแทบจะลอยไปกับสายลมนั่นกลับฟังชัดเจนราวเจ้าตัวมาพูดกรอกหูเขาอยู่ก็ไม่ปาน


    *********************************

                    
           เพล้ง

                   
          เสียงถ้วยชากระเบื้องเคลือบชั้นดีที่บางใสพอๆกับเปลือกไข่หลุดจากมือเรียวตกแตกกระจายอยู่เต็มพื้น  ดวงหน้าใสซีดเผือดขณะที่ร่างบางก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว  หญิงสาวสะดุดชายกระโปรงยาวเซล้มลงกับพื้น  นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้าง  ริมฝีปากบางเผยอหากไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาด้วยเจ้าของกำลังตกอยู่ในความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่สุด

                   
          ม่านบางเบาที่กั้นตามหน้าต่างและประตูพากันพลิ้วสะบัดอย่างแรง  ด้วยบัดนี้กลางห้องเกิดพายุหมุนขนาดย่อมพัดพาจนข้าวของปลิวกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง  ราวสิบนาทีจึงสงบลง เหลือเพียงสายลมอุ่นโบกโบยเข้ามาอย่างแผ่วเบา

                   
           ครั้นพายุปริศนาจางหายไปปรากฏร่างโปร่งบางของหญิงสาวผู้หนึ่งขึ้นมาแทน  อาภรณ์สีขาวสะอาดตาราวเปล่งประกายออกมาจากเนื้อผ้าลากยาวไปกับพื้นอย่างสตรีสูงศักดิ์  ผมสีทองอ่อนที่ยาวถึงเอวนั้นทิ้งตัวเคลียไปกับลำคอระหง  เครื่องประดับเงินวาวพันเกลียวตามเส้นผมสลวย

                   
          ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ  ใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นละม้ายเธอยิ่งนัก แผกกันก็เพียงสีตาเท่านั้น  นัยน์ตา

    ดำดุจนิลเนื้อดีฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนยามทอดมองมา  ดวงหน้าทั้งอ่อนหวานทั้งงามสง่าคล้ายรูปปั้นเทพธิดา

                   
          หญิงสาวก้มลงต่ำ  ปอยผมสีทองอ่อนตกลงมาปรกใบหน้า มือขาวบางกำชายผ้าแน่นจนเกิดรอยยับวงใหญ่  ข้าเพียงอยากขอให้เจ้าช่วย  น้ำเสียงอ่อนหวานคล้ายฝนประพรมลงในหัวใจของผู้ฟังชุ่มเย็นอย่างน่าประหลาด
      ทำให้อาซาเลียคลายความหวาดกลัวลง

                   
          ครั้นหญิงสาวค่อยกล้าเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายจึงได้เห็นว่ามีดอกไม้ดอกน้อยประดับอยู่บนรัดเกล้าสีเงินเหนือหน้าผาก  ดอกไม้นั้นเป็นสีแดงฉานดุจชโลมด้วยหยดเลือด   อาซาเลียนิ่งไปชั่วขณะ  ตำนานเก่าแก่ของแพนเทียที่เธอเคยร่ำเรียนแวบผ่านเข้ามาในหัว 
    "เจ้าหญิงลีเมย์"   หญิงสาวพึมพำเบาๆ ก่อนจะรีบทรงตัวลุกขึ้นยืนช้าๆหากยังซวนเล็กน้อย แต่แข็งใจยืนให้มั่น

                   
           ลีเมย์ทอดสายตามองอาซาเลีย  ดวงตาดำงามแฝงแววเศร้าสร้อย 
    "ขอให้เจ้าช่วยข้"  ลีเมย์ย้ำคำเดิม  "เวลาของข้าเหลืออีกไม่มากแล้ว"  หญิงสาวแม้ยังไม่เข้าใจชัดหากสัมผัสได้ถึงความอาวรณ์ในดวงจิตนั้น 

                   
           
    "เพคะ "

                   
          "แต่เหตุใดหม่อมฉันถึง........"

                   
           "เพราะเจ้าละม้ายข้าอย่างไรล่ะ"  รอยแย้มสรวลปรากฏขึ้นบนพระพักตร์จากถ้อยคำเย้า "หรือมิใช่"  อาซาเลียมองร่างโปร่งตรงหน้าแล้วราวกับส่องกระจกก็ไม่ปาน 

                   
           
    หากนัยน์คู่โตยังคงฉายแววสงสัยไม่จางไป 
    "เจ้าสัมผัสถึงข้าได้ เช่นเดียวกับหญิงเฟลิเซีย"  ทรงขานนามอย่างเอ็นดู    "เจ้าหญิงเฟลิเซียหรือเพคะ  หม่อมฉันได้ข่าวว่าทรงประชวร"  เจ้าหญิงพยักหน้า  "เมื่อพันธนาการคลายออก  นางซึ่งมีสัมผัสถึงข้าจึงได้รับผลกระทบจนล้มป่วยลง  แต่อีกไม่นานก็จะหายดี"

                   
          "เช่นนั้นเจ้าหญิงเฟลิเซียทรงทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว?"  ลีเมย์พยักหน้าแทนคำตอบ  "หม่อมฉันจะช่วยพระองค์อย่างสุดความสามารถเพคะ"  หญิงสาวยอบกายลง


    **********************

                   
          ฉับพลันกระแสแห่งความโศกเศร้าจากที่ใดสักแห่งถาโถมเข้าใส่เด็กหนุ่ม  พร้อมความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้าสู่หัวใจ

                   
          ท่ามกลางหิมะอันหนาวเยือก

                   
          หัวใจของเด็กหนุ่มกลับเย็นเยียบยิ่งกว่า

                   
         
    ไดแอซหลุบตาลงต่ำซ่อนพรายน้ำที่ไหววับไว้  มาร์คัสซึ่งยืนอยู่ข้างๆกันกำลังเอ่ยถามถึงเรื่องประหลาดที่ตนพบ  หญิงสาวหันมาทางเด็กหนุ่มก่อนเอ่ยเบาๆ
    " จดหมายที่ข้าเคยส่งให้  เป็นสื่อนำพาเจ้าหญิงลีเมย์สามารถไปพบพวกเจ้าในความฝัน" 

                   
          ลมพัดหวีดหวิวผ่านมาวูบหนึ่ง  ร่างบางของหญิงสาวที่พวกเขาเอ่ยถึงเมื่อครู่ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา  ชุดขาวสะอาดตาราวก่อกำเนิดขึ้นจากหิมะอันไร้มลทิน  เหนือหน้าผากประดับด้วยดอกไม้แห่งตำนาน โปร่งใสราวกระจก  คล้ายม่านหมอกที่เมื่อต้องลมแรงอาจจางหาย

                   
          เด็กหนุ่มหันไปกระตุกแขนเสื้อผู้ใช้เวท  ฝ่ายนั้นหันมาพร้อมเครื่องหมายคำถามตัวโตบนใบหน้า ไดแอซจึงเบือนสายตาไปทางหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่

                   
         
    ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อภาพตรงหน้าไหววับราวต้องไอร้อน  เขาหลับตาลงแล้วตั้งจิตมั่นก่อนจะเพ่งมองอีกครั้ง  ภาพนั้นปรากฏชัดแต่ก็เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับผงะเล็กน้อย  ครั้นตั้งสติได้ก็หันมองสลับไปสลับมาระหว่างคนทั้งสองดูที่เผินๆแล้วคล้ายคลึงยิ่ง   ลีเมย์ยิ้มให้กับทั้งคู่ก่อนจะเล่าเรื่องราวให้พวกเขาฟัง

                   
          "เหตุการณ์ต่างๆ...พวกท่านคงทราบดี   เลือดของข้าหยดลงต้องดอกไม้ขาว"   มือเรียวแตะวัตถุเหนือหน้าผาก   "หลังจากนั้นไม่นานในแพนโทเนียเกิดพายุหิมะหนัก  แต่ดอกไม้กลับยืดหยัดอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บได้อย่างน่าประหลาด  เสด็จแม่จึงมีรับสั่งให้นำมันไปไว้ในห้องลับที่พระตำหนักเหมันต์"  นัยน์ตาราวนิลน้ำงามหม่นแสงลง 

                   
          ทั้งๆที่อยู่หน้าพระพักตร์........ 

                   
          แต่กลับไม่สามารถซับอัสสุชลที่รินไหล 

                   
          ไม่สามารถทูลถ้อยปลอบพระทัย

                   
          
    เพียงฝากสายลมให้โอบกอดพระมารดาไว้ 

                   
           
    ทำได้.......เพียงเท่านี้   

                   
           ดอกไม้นั้นเป็นเครื่องร้อยรัดตัวข้ากับโลกใบนี้ไว้  หากก็เป็นดั่งพันธนาการที่กักขังมิให้ล่วงล้ำออกจากห้องนั้นไป
    "   กระแสรับสั่งราวถอดถอนใจ  "ทุกสิ่งหยุดสิ้น  เวลาไม่ดำเนินต่อ  สรรพสิ่งเคลื่อนที่ผ่านไปอย่างพร่าเลือน"   น้ำเสียงหวานแฝงแววอาดูรยามเอื้อนเอ่ยถึงเรื่องราวหนหลัง  "เมื่อไม่อาจทำสิ่งใด จึงทำได้เพียงเฝ้ารอ"                  
           "วันหนึ่งพันธนาการนั้นได้คลายตัวออก  ด้วยเหตุอันใดก็สุดแต่ข้าจะรู้ได้  หากไม่มีผู้ใดรู้สึกถึงการคงอยู่ของข้า.......แม้ในความฝัน  นอกจากหญิงเฟลิเซีย......ธิดาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน  แต่นางล้มป่วยลงเสียก่อน  ข้าจึงมาพบอาซาเลียซึ่งสามารถมองเห็น  หากนางไม่มีพลังเพียงพอ"

                   
           
    "จึงต้องเป็นพวกกระหม่อม"  ไดแอซพึมพำเบาๆ  "แล้วเหตุใดเล่า?  เหตุใดจึงต้องเป็นพวกกระหม่อม  ผู้ใช้เวทกับเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง"                 

                   
          "
    พวกท่านตอบรับต่อเสียงเรียกขานของข้า  ข้อความที่ถูกส่งออกไปท่ามกลางผู้คนมากมาย  คล้ายเรือซึ่งประดิษฐ์ด้วยกระดาษ  ล่องลอยเคว้งคว้างไร้ทิศทาง  ไม่ทราบว่าจะถึงที่หมายหรือไม่?  เมื่อใด? ข้าเพียงอยากหาผู้ที่สามารถช่วยข้าได้"

                   
          "
    เพราะข้าไม่อาจสัมผัสตัวตนของเขาได้  แม้จะรู้ว่าเขายังคงอยู่.....ที่ใดสักแห่ง"  นัยน์ตาคู่สวยหม่นลงอีกครา 

                   
          "
    ท่านจะยังจดจำข้าได้อีกไหม?"

                   
          คนที่อยากพบเหลือเกิน.........แม้เพียงเสี้ยวนาที  ก่อนเวลาอันน้อยนิดจะหมดลง  และดวงวิญญาณนี้จำต้องดับสลายไปตามวัฏจักรของโลก  ท่ามกลางกระแสธารแห่งกาลเวลาอย่างไม่อาจฝืน      

                      
          ไดแอซนิ่งมองหญิงสาวทั้งสองตรงหน้าด้วยดวงตาสีฟ้าหม่น  ฝ่ายมาร์คัสกำลังลำดับสิ่งที่เพิ่งได้ฟัง  เรื่องราวดูคล้ายความฝันในคืนฤดูร้อน  ทว่าคือความจริง     

                   
          สายใยวิญญาณยาวบางของร่างอันโปร่งที่ยึดโยงกับดอกไม้แห่งตำนานซึ่งเป็นตัวแทนของความห่วงหาอาลัย  ความเศร้า  และความไม่สมหวังกลับกลายเป็นการรอคอยอันเนิ่นนานข้ามผ่านกาลเวลา  

                   
          "กระหม่อมจะช่วยพระองค์"   ผู้ใช้เวทให้คำมั่นพร้อมหันไปหาเด็กหนุ่ม  เจ้าตัวพยักหน้ารับงึกๆพร้อมรอยยิ้มจริงใจ  "ทรงอย่ากังวลไปเลย  กระหม่อมเชื่อว่าจะต้องได้พบเขาอย่างแน่นอน"

                   
          "เฮ้  พวกเจ้าน่ะ"

                   
          ยังไม่ทันที่มาร์คัสจะซักถามรายละเอียดอะไร เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน  เรียกให้คนทั้งหมดหันไปมองพร้อมกัน  ร่างในชุดกันหนาวหนาวิ่งทั่กๆลุยกองหิมะเข้ามาหาพวกเขา  เมื่อหันกลับมาอีกครั้งปรากฏว่าเจ้าหญิงลีเมย์นั้นได้หายตัวไปเสียแล้ว

                     
          "ว่ายังไง"  เจ้าตัวถามปนหอบนิดๆจากการวิ่งระยะไกล แต่ยังไม่ทันจะได้รับคำตอบอะไรมอเดรสก็รีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว  "คุณหนูอาซาเลีย  พวกนั้นตามหาท่านกันให้วุ่นแล้วล่ะ รีบกลับเถอะ"  เจ้าตัวไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบคว้าข้อมือหญิงสาวแล้วออกวิ่ง  ปล่อยให้มาร์คัสผู้กำลังจะพูดอะไรอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

                   
           ไดแอซมองตามหลังสองร่างจนลับมุมตึก  ก่อนจะเบือนสายตาทางชายหนุ่ม  เด็กหนุ่มส่ายศีรษะน้อยๆก่อนจะสะกิดแขนคนข้างตัว 
    "น้ำลายยืดแล้วมาร์คัส"  อีกฝ่ายถึงค่อยหุบปากลง  "พวกเขาไปกันแล้ว พวกเราเองก็กลับเถอะ"  ว่าพลางเจ้าตัวก็ออกเดิน

                   
          "เดี๋ยว"  ไม่ว่าเปล่ามือคว้าคอเสื้อกับผ้าพันคอของอีกฝ่ายก่อนจะลากกลับมา  "เง้อ...."  ผ้าพันคอของเด็กหนุ่มรั้งตึงทำให้เจ้าตัวย่ำเท้าอยู่กับที่พร้อมทำท่าตะกุยอากาศข้างหน้า  สักครู่นึกขึ้นได้จึงหยุดแล้วถอยหลังกลับมาสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่หลายครั้ง

                   
          
    "จะฆ่าข้าหรือไง"

                   
          ไดแอซหันกลับมาโวยใส่  "ก็พวกเราเหลือเวลาตั้งเยอะนี่นา ลองไปหาร่องรอยหน่อยเป็นไร"  ชายหนุ่มแจกแจง  "ถึงพระอาการของเจ้าหญิงเฟลิเซียจะเกิดจากเวทจึงตรวจไม่พบ  แต่อีกไม่นานก็จะดีขึ้นเอง  แต่เจ้าหญิงลีเมย์  อีกไม่นานก็คง................"

                   
          "งั้นพวกเราก็ต้องรีบกันหน่อย"  เด็กหนุ่มแทรกขึ้น  มาร์คัสจึงออกเดินนำหน้าไป  เจ้าตัวเดินตามก่อนทำท่าเหมือนจะนึกอะไรได้  "แล้ว.........พวกเราจะไปไหนเหรอ ?" ทำเอาชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจเฮือก  "ไปตลาดมั้ง  ถามมาได้  ก็เรื่องมันเกิดแถวๆไหนเราก็ต้องไปแถวนั้นสิ"  คนเด็กกว่ามีท่าทีเข้าใจ

                   
          "พระราชวังใช่ไหม"

                   
          "ได้ความฉลาดจากข้าไปบ้างแล้วนี่"  มาร์คัสว่าพร้อมหัวเราะ หึหึ  "คนมันฉลาดตั้งแต่เกิดแล้ว"  พูดพร้อมทำท่ายืดเต็มที่ เรียกเสียงหัวเราะจากคนตัวสูงได้มากทีเดียว


    *********************

                   
          "รั้ววังนี่มันสูงจริงๆนะ"  ไดแอซพึมพำ  เมื่อบัดนี้ทั้งสองมาเดินเลาะเลียบติดรั้วสูงโปร่งด้านหนึ่งของพระราชวังใหญ่ 

                   
          "จับกระแสอะไรได้บ้างไหม"  ผู้ใช้เวทหันมาถามเด็กหนุ่ม " แปลก"  เจ้าตัวพึมพำเบาๆ  "อะไรนะ"  มาร์คัสเอียงหูเข้าไปหวังฟังให้ชัด  "ไม่มีอะไรหรอก"  เขารีบปฏิเสธ 

                   
          
    "พวกเจ้า"

                   
          เสียงห้าวดังมาจากทางด้านหลัง
    "เอ่อ.....". มาร์คัสค่อยๆสะกิดเรียกเด็กหนุ่มให้หันไป  "อะไรอีกล่ะ"  คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ตวัดเสียง  "ก็......ทหารอ่ะ"   ผู้ใช้เวทบอกเสียงอ่อยๆ 

                   
         "อะไรนะ"   เจ้าตัวเบิกตากว้างเท่าไข่หานยักษ์แล้วหันไปมองบ้าง จึงเห็นภาพของทหารรักษาวังหมู่หนึ่งกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาทางพวกเขา  "แล้วทีนี้จะทำไงดี"   เขาหันไปขอความเห็นร่างสูง  "โกยเหอะ"  สิ้นคำต่างฝ่ายต่างวิ่งกระเจิงกันไปอย่างไม่คิดชีวิต 

                   
          แฮ่กๆ

                   
          หลังวิ่งไปสักพัก ไดแอซหยุดพิงรั้วหอบหายใจก่อนจะยืดตัวขึ้นมองรอบกาย 
    "มาร์....... " คำเรียกชื่ออีกคนถูกกลืนลงไปในลำคอ  เมื่อเจ้าของชื่อไม่ได้วิ่งตามมาเขามาด้วย  "แล้ว........ข้ามาอยู่ที่ไหนละเนี่ย"  เจ้าตัวยกมือกุมขมับ  พลางพยายามมองหาสิ่งที่เจ้าตัวคุ้นเคย

                   
          "ไม่มี"

                   
           
    รอบกายเขานอกจากรั้ววังแล้วก็มีเพียงต้นสนนับสิบๆต้นกับสวนฤดูหนาวและตุ๊กตาหิมะอีกสองสามตัว  ครั้นจะไปถามเอากับพวกมันคงไม่ได้ความ  ไดแอซถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างปลงตก  แล้วจึงตัดสินใจคลำทางเรื่อยๆหวังไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า

                   
          มิ้ง  มิ้ง

                   
          เสียงกระดิ่งลมดังมากระทบหูเด็กหนุ่ม 
    "กระดิ่งลม  งั้นก็คงมีบ้านคนอยู่ใกล้ๆเป็นแน่"  คิดพลางสาวเท้าไปตามต้นเสียง  ดวงตาสีฟ้าหม่นฉายแววเจ็บใจ

                   
          "ใคร๊  ใครดันเอากระดิ่งลมมาแขวนไว้บนต้นไม้  ไอ้เราก็อุตส่าห์นึกว่าเป็นบ้านคนที่ไหนได้  ดันหลงหนักกว่าเก่าซะนี่"  เจ้าตัวพึมพำพร้อมเอนตัวพิงต้นไม้เป็นเชิงว่าจะรอมันอยู่ตรงนี้ล่ะ  ต้องมีใครสักคนผ่านมาแน่ๆ  แต่ดูสภาพการณ์แล้ว  เด็กหนุ่มคิดว่าเขาคงกลายเป็นตุ๊กตาไปก่อนคนมาพบเป็นแน่แท้ 

                   
          "เจ้า?"

                   
         
    เสียงหวานใสของเด็กสาวดังขึ้นข้างตัวเขา  
    "เย่ย"   ไดแอซกระโดดถอยหลังออกห่างต้นเสียงนั้นทันที  แต่บังเอิญโชคร้ายสะดุดเข้ากับรากไม้อันโต เลยล้มลงก้นจ้ำเบ้าลงไปโอดโอยอยู่กับพื้น

                   
          "คิกๆ"

                   
         
    เสียงใสหัวเราะเบาๆ
     "เป็นอะไรมากหรือเปล่า"  เด็กสาวผู้นั้นย้ายมายืนอยู่บนรากไม้ตัวต้นเหตุ  เธอก้มลงมองเขาแล้วยื่นมือมาช่วยดึงให้ลุกขึ้นจากพื้น

                   
          
    ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักที่ดูซีดเซียวเล็กน้อยกับผิวขาวราวหิมะ  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเช่นเดียวกับผมยาวซึ่งถูกรวบไว้ครึ่งศีรษะอย่างง่ายๆ  ริมฝีปากสีชมพูได้รูปเผยอยิ้มอย่างเป็นมิตร  ชุดคลุมกันหนาวยาวระพื้นยามเจ้าตัวค้อมกายลงมา  ภาพตรงหน้าชวนให้หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย 

                   
          "อ่า  ไม่เป็นอะไรมากหรอก"  ไดแอซรีบลุกอย่างรวดเร็ว  "ว่าแต่......ที่นี่มันที่ไหนเหรอ"  เจ้าตัวถามพลางเกาหัวแกรกๆ  "พอดีข้าเดินหลงเข้ามาน่ะ"  เด็กสาวยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยคำตอบชวนตะลึง  "อุทยานหลวงในเขตพระราชวัง"

                    
           "ง่า...แบบว่า....คือว่า..."  เขาเกิดอาการติดอ่างกะทันหัน  "เอาเถอะๆ  เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าออกไปเองแล้วกัน"  เธอบอกก่อนจะเดินนำเด็กหนุ่มไป 

                   
          "เจ้าชื่ออะไรล่ะ"  เด็กสาวหันหน้ามาหา  "ไดแอซ  แล้วเจ้าล่ะ"  เด็กหนุ่มถามกลับบ้าง  "ข้า...เฟลิเซีย" ชื่อนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดเหมือนเพิ่งได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง  ใครสักคน  "เฟลิเซีย  เฟลิเซีย" เขาทวนชื่อนี้ซ้ำไปซ้ำมาในใจ  "คุ้นมาก  เหมือน......ใครนะ"     

                     
          "เจ้าหญิงเฟลิเซีย"

                   
          ประโยคหลังรู้สึกจะคิดดังไปหน่อยเลยได้ยินชัดทั่วกัน  เจ้าของนามที่ถูกตะโกนเรียกลั่นทุ่งหันมาหัวเราะเบาๆ  เล่นเอาเด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกทีเดียว

                   
          "กระหม่อม...กระหม่อมขออภัย...เอ้ย พระราชทานอภัย"  เจ้าตัวพยายามเอ่ยคำขอโทษแบบผิดๆถูกๆ จนเฟลิเซียต้องบอกให้หยุดพูด  นี่หากนางพระกำนัลหรือแม่นมมาได้ยินเข้าคงลมจับไปเลยทีเดียว

                   
          "เจ้าเป็นผู้ใช้เวทหรือ"  เด็กสาวชะลอฝีเท้าลงมาเดินเคียงกันถาม  "ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์อะไรหรอก  พูดกันธรรมดานี่ล่ะ"  คำดักของอีกฝ่ายทำให้ไดแอซได้แต่ส่งยิ้มแหยๆไปให้  "เปล่าหรอก  กระ...ข้าเป็นคนติดตามผู้ใช้เวทเฉยๆ"  

                   
          "แล้วทำไมหลงเข้ามาถึงในนี้ได้"  อีกฝ่ายสงสัย  "คือว่า .... ข้ากับมาร์คัสที่เป็นผู้ใช้เวทมาหาร่องรอยของ....ของเจ้าหญิงลีเมย์  แถวๆรั้ววัง" 

                   
          "พวกเจ้าก็สัมผัสได้เช่นกันหรือ"  ร่างบางถามอย่างสนใจ   เด็กหนุ่มจึงพยักหน้ารับพร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง  "พวกเจ้านี่ก็จริงๆเชียว มาด้อมๆมองๆแถวรั้ววัง ถูกพวกทหารจับเอาจะว่ายังไง"  ไดแอซเอียงคอเล็กน้อย  "ก็...ไม่รู้เหมือนกันแฮะ"

                   
          หลังได้ฟังคำบอกเล่าพร้อมอธิบายเรื่องแผนที่ของพระราชวังทำให้ไดแอซอดทึ่งไม่ได้ 
    "นี่เราวิ่งได้เร็วทำลายสถิติโลกขนาดนี้เชียวเหรอ " เจ้าตัวนึกหลังเฟลิเซียบอกระยะทางจากรั้วถึงเขตอุทยานหลวงที่ต้องผ่านประตูลับบานน้อยเข้ามา  เขานึกภาพตัวเองวิ่งฝ่าอะไรพวกนั้นไม่ใคร่ออกเท่าใดนัก 

                   
           
    "ส่วนเรื่องของเจ้าหญิงลีเมย์  ข้าขอเชิญเจ้าไปคุยกันที่ตำหนักจะดีกว่า"  เฟลิเซียกล่าวแล้วเดินลิ่วๆไป  ฝ่ายไดแอซเห็นว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องอยากพูดเป็นแน่  อีกอย่างหลงเข้ามาในเขตพระราชวังอย่างนี้ด้วยแล้วเขาไม่อยากเดินเปะปะ  มันรู้สึกเสียวๆตรงช่วงคอยังไงชอบกล 

                   
          "รอข้าด้วยสิ"  เจ้าตัวตะโกนแต่ก็ยังพยายามหรี่เสียงให้เบาที่สุดเมื่อร่างบางในชุดสีอ่อนหายลับไปเสียแล้ว   
          กระแสธารแห่งกลางเวลาพัดพาพวกเขามาพบกันแล้ว 
    ---------------------------------
    หวัดดีหลังปีใหม่ค่ะ 
      โครงงานเสร็จเรียบร้อยแล้วละค่ะ  แหะๆ  ยายนี่พอปีใหม่ก็เริ่มอู้เลยเนอะ  ช่วงนี้อากาศมันเปลี่ยนบ่อยๆยังไงก็รักษาสุขภาพกันมากๆนะคะ
      ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและเม้นท์ค่ะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×