คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : จากดอกไม้สีเลือด
วันนี้ท้องฟ้าเปิดจนเห็นไปถึงสีฟ้าใสเบื้องบน แดดอ่อนๆยามเช้าสาดแสงจับเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาจนเห็นเป็นประกายวิบวับเหมือนกากเพชร
"อาซาเลีย" มาร์คัสมองหญิงสาวที่วันนี้อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีครีมอ่อนทับด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์อย่างดี ซึ่งมาปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขาอย่างเงียบเชียบ "เมื่อวานมอเดรสคงแจ้งแก่พวกท่านแล้ว" พวกเขาพยักหน้ารับพร้อมๆกันอย่างไม่ได้นัดหมาย "เช่นนั้นเชิญตามข้ามา" ไดแอซเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัยว่าจะไปทีใด เขาหันไปหามาร์คัสเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงออกเดินไปด้วยกันแต่โดยดี
ร่างบางนำพวกเขาออกจากที่พักฝ่าผ่านฝูงชนจอแจของยามเช้าเข้าเขตเมืองฝั่งทิศใต้อันเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญสองแห่งคือหอระฆังสูงกับมหาวิหารพาราเทีย ซึ่งจัดว่าเป็นที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบเอาการเมื่อเทียบกับฝั่งอื่นๆของเมือง
เกล็ดบางเบาพลิ้วไหวแลคล้ายเต้นระบำอยู่บนอากาศรอบกาย คนทั้งสองเดินนำหน้าเด็กหนุ่มไปเงียบๆ ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าเคียงกันบนพรมขาวที่อีกไม่นานจะถูกฝังกลบสิ้น
ไดแอซตวัดผ้าพันคอหนาสีทึมเทาทบรอบคอและใบหน้าอีกตลบเมื่อลมหนาวชวนขนลุกพัดกรรโชกแรง เจ้าตัวครุ่นคิดถึงถ้อยคำเมื่อวันก่อนพลางถอนใจเบาๆ "จะมีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไป หิมะที่ไม่มีวันละลายชั่วกัลป์ นิรันดร์อันยาวนานฤาฝืนชะตาสวรรค์" คำพูดด้วยเสียงเสนาะใสของใครบางคนแว่วมาจากที่ไกลแสนไกลในภวังค์ความคิด
"ใคร? ที่ไหน?"
เด็กหนุ่มตั้งคำถาม ทว่าหัวใจในอกเขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันราวถูกจารจำไว้ลึกลงไป
"ไดแอซ"
เสียงมาร์คัสที่หันกลับมาตะโกนเรียกเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดเดินไปเสียเฉยๆ เจ้าของชื่อจึงได้รู้สึกตัวแล้วสาวเท้าเข้าไปหาคนทั้งสองที่บัดนี้หยุดยืนอยู่ข้างม้านั่งในสวนฤดูหนาวขนาดย่อมซึ่งตั้งอิงแอบอยู่ข้างหอระฆัง
อาทิตย์ทอแสงซีดจางลงมาเป็นลำๆต้องตัวหอสูง สนสีเขียวต้นเรียวระหงเคียงกับไม้ใหญ่เปลือกดำที่ยื่นกิ่งก้านไร้ใบสูงราวกำลังยกมือโบกให้ท้องฟ้าเบื้องบนอย่างเดียวดาย
อาซาเลียหันมองซ้ายมองขวาราวจะสำรวจว่ารอบข้างมีผู้คนอยู่บ้างหรือไม่ เด็กหนุ่มแอบมองแล้วหันกลับมาเบ้ปาก ยังดีที่ผ้าพันคอหนาบดบังใบหน้าไว้กว่าครึ่งอีกฝ่ายจึงไม่ได้ยินเสียงพึมพำของเขา "ยังจะมองอีก อากาศออกจะหนาวทารุณแบบนี้ ใคร๊เขาจะออกมานั่งชมสวนไม่ทราบ ทีแรกก็นึกว่าจะพาไปคุยแถวร้านอาหาร อุตส่าห์เล็งๆไว้ตั้งหลาย ดันผ่ามานั่งกลางสวนนี่ เดี๋ยวสักพักเถอะคงแข็งเป็นหุ่นกันหมดแน่" คิดพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างๆแล้วเผลอเอนไปพิงที่เท้าแขนเหล็กทำเอาสะดุ้งเฮือก เด็กหนุ่มเอียงหูไปฟังที่คนทั้งสองคุยกันด้านหน้า
เสียงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเบาๆของหญิงสาวซึ่งแทบจะลอยไปกับสายลมนั่นกลับฟังชัดเจนราวเจ้าตัวมาพูดกรอกหูเขาอยู่ก็ไม่ปาน
*********************************
เพล้ง
เสียงถ้วยชากระเบื้องเคลือบชั้นดีที่บางใสพอๆกับเปลือกไข่หลุดจากมือเรียวตกแตกกระจายอยู่เต็มพื้น ดวงหน้าใสซีดเผือดขณะที่ร่างบางก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว หญิงสาวสะดุดชายกระโปรงยาวเซล้มลงกับพื้น นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้าง ริมฝีปากบางเผยอหากไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาด้วยเจ้าของกำลังตกอยู่ในความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่สุด
ม่านบางเบาที่กั้นตามหน้าต่างและประตูพากันพลิ้วสะบัดอย่างแรง ด้วยบัดนี้กลางห้องเกิดพายุหมุนขนาดย่อมพัดพาจนข้าวของปลิวกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ราวสิบนาทีจึงสงบลง เหลือเพียงสายลมอุ่นโบกโบยเข้ามาอย่างแผ่วเบา
ครั้นพายุปริศนาจางหายไปปรากฏร่างโปร่งบางของหญิงสาวผู้หนึ่งขึ้นมาแทน อาภรณ์สีขาวสะอาดตาราวเปล่งประกายออกมาจากเนื้อผ้าลากยาวไปกับพื้นอย่างสตรีสูงศักดิ์ ผมสีทองอ่อนที่ยาวถึงเอวนั้นทิ้งตัวเคลียไปกับลำคอระหง เครื่องประดับเงินวาวพันเกลียวตามเส้นผมสลวย
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นละม้ายเธอยิ่งนัก แผกกันก็เพียงสีตาเท่านั้น นัยน์ตา
ดำดุจนิลเนื้อดีฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนยามทอดมองมา ดวงหน้าทั้งอ่อนหวานทั้งงามสง่าคล้ายรูปปั้นเทพธิดา
หญิงสาวก้มลงต่ำ ปอยผมสีทองอ่อนตกลงมาปรกใบหน้า มือขาวบางกำชายผ้าแน่นจนเกิดรอยยับวงใหญ่ ข้าเพียงอยากขอให้เจ้าช่วย น้ำเสียงอ่อนหวานคล้ายฝนประพรมลงในหัวใจของผู้ฟังชุ่มเย็นอย่างน่าประหลาด ทำให้อาซาเลียคลายความหวาดกลัวลง
ครั้นหญิงสาวค่อยกล้าเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายจึงได้เห็นว่ามีดอกไม้ดอกน้อยประดับอยู่บนรัดเกล้าสีเงินเหนือหน้าผาก ดอกไม้นั้นเป็นสีแดงฉานดุจชโลมด้วยหยดเลือด อาซาเลียนิ่งไปชั่วขณะ ตำนานเก่าแก่ของแพนเทียที่เธอเคยร่ำเรียนแวบผ่านเข้ามาในหัว "เจ้าหญิงลีเมย์" หญิงสาวพึมพำเบาๆ ก่อนจะรีบทรงตัวลุกขึ้นยืนช้าๆหากยังซวนเล็กน้อย แต่แข็งใจยืนให้มั่น
ลีเมย์ทอดสายตามองอาซาเลีย ดวงตาดำงามแฝงแววเศร้าสร้อย "ขอให้เจ้าช่วยข้"า ลีเมย์ย้ำคำเดิม "เวลาของข้าเหลืออีกไม่มากแล้ว" หญิงสาวแม้ยังไม่เข้าใจชัดหากสัมผัสได้ถึงความอาวรณ์ในดวงจิตนั้น
"เพคะ "
"แต่เหตุใดหม่อมฉันถึง........"
"เพราะเจ้าละม้ายข้าอย่างไรล่ะ" รอยแย้มสรวลปรากฏขึ้นบนพระพักตร์จากถ้อยคำเย้า "หรือมิใช่" อาซาเลียมองร่างโปร่งตรงหน้าแล้วราวกับส่องกระจกก็ไม่ปาน
หากนัยน์คู่โตยังคงฉายแววสงสัยไม่จางไป "เจ้าสัมผัสถึงข้าได้ เช่นเดียวกับหญิงเฟลิเซีย" ทรงขานนามอย่างเอ็นดู "เจ้าหญิงเฟลิเซียหรือเพคะ หม่อมฉันได้ข่าวว่าทรงประชวร" เจ้าหญิงพยักหน้า "เมื่อพันธนาการคลายออก นางซึ่งมีสัมผัสถึงข้าจึงได้รับผลกระทบจนล้มป่วยลง แต่อีกไม่นานก็จะหายดี"
"เช่นนั้นเจ้าหญิงเฟลิเซียทรงทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว?" ลีเมย์พยักหน้าแทนคำตอบ "หม่อมฉันจะช่วยพระองค์อย่างสุดความสามารถเพคะ" หญิงสาวยอบกายลง
**********************
ฉับพลันกระแสแห่งความโศกเศร้าจากที่ใดสักแห่งถาโถมเข้าใส่เด็กหนุ่ม พร้อมความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้าสู่หัวใจ
ท่ามกลางหิมะอันหนาวเยือก
หัวใจของเด็กหนุ่มกลับเย็นเยียบยิ่งกว่า
ไดแอซหลุบตาลงต่ำซ่อนพรายน้ำที่ไหววับไว้ มาร์คัสซึ่งยืนอยู่ข้างๆกันกำลังเอ่ยถามถึงเรื่องประหลาดที่ตนพบ หญิงสาวหันมาทางเด็กหนุ่มก่อนเอ่ยเบาๆ " จดหมายที่ข้าเคยส่งให้ เป็นสื่อนำพาเจ้าหญิงลีเมย์สามารถไปพบพวกเจ้าในความฝัน"
ลมพัดหวีดหวิวผ่านมาวูบหนึ่ง ร่างบางของหญิงสาวที่พวกเขาเอ่ยถึงเมื่อครู่ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา ชุดขาวสะอาดตาราวก่อกำเนิดขึ้นจากหิมะอันไร้มลทิน เหนือหน้าผากประดับด้วยดอกไม้แห่งตำนาน โปร่งใสราวกระจก คล้ายม่านหมอกที่เมื่อต้องลมแรงอาจจางหาย
เด็กหนุ่มหันไปกระตุกแขนเสื้อผู้ใช้เวท ฝ่ายนั้นหันมาพร้อมเครื่องหมายคำถามตัวโตบนใบหน้า ไดแอซจึงเบือนสายตาไปทางหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่
ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อภาพตรงหน้าไหววับราวต้องไอร้อน เขาหลับตาลงแล้วตั้งจิตมั่นก่อนจะเพ่งมองอีกครั้ง ภาพนั้นปรากฏชัดแต่ก็เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับผงะเล็กน้อย ครั้นตั้งสติได้ก็หันมองสลับไปสลับมาระหว่างคนทั้งสองดูที่เผินๆแล้วคล้ายคลึงยิ่ง ลีเมย์ยิ้มให้กับทั้งคู่ก่อนจะเล่าเรื่องราวให้พวกเขาฟัง
"เหตุการณ์ต่างๆ...พวกท่านคงทราบดี เลือดของข้าหยดลงต้องดอกไม้ขาว" มือเรียวแตะวัตถุเหนือหน้าผาก "หลังจากนั้นไม่นานในแพนโทเนียเกิดพายุหิมะหนัก แต่ดอกไม้กลับยืดหยัดอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บได้อย่างน่าประหลาด เสด็จแม่จึงมีรับสั่งให้นำมันไปไว้ในห้องลับที่พระตำหนักเหมันต์" นัยน์ตาราวนิลน้ำงามหม่นแสงลง
ทั้งๆที่อยู่หน้าพระพักตร์........
แต่กลับไม่สามารถซับอัสสุชลที่รินไหล
ไม่สามารถทูลถ้อยปลอบพระทัย
เพียงฝากสายลมให้โอบกอดพระมารดาไว้
ทำได้.......เพียงเท่านี้
ดอกไม้นั้นเป็นเครื่องร้อยรัดตัวข้ากับโลกใบนี้ไว้ หากก็เป็นดั่งพันธนาการที่กักขังมิให้ล่วงล้ำออกจากห้องนั้นไป" กระแสรับสั่งราวถอดถอนใจ "ทุกสิ่งหยุดสิ้น เวลาไม่ดำเนินต่อ สรรพสิ่งเคลื่อนที่ผ่านไปอย่างพร่าเลือน" น้ำเสียงหวานแฝงแววอาดูรยามเอื้อนเอ่ยถึงเรื่องราวหนหลัง "เมื่อไม่อาจทำสิ่งใด จึงทำได้เพียงเฝ้ารอ"
"วันหนึ่งพันธนาการนั้นได้คลายตัวออก ด้วยเหตุอันใดก็สุดแต่ข้าจะรู้ได้ หากไม่มีผู้ใดรู้สึกถึงการคงอยู่ของข้า.......แม้ในความฝัน นอกจากหญิงเฟลิเซีย......ธิดาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน แต่นางล้มป่วยลงเสียก่อน ข้าจึงมาพบอาซาเลียซึ่งสามารถมองเห็น หากนางไม่มีพลังเพียงพอ"
"จึงต้องเป็นพวกกระหม่อม" ไดแอซพึมพำเบาๆ "แล้วเหตุใดเล่า? เหตุใดจึงต้องเป็นพวกกระหม่อม ผู้ใช้เวทกับเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง"
"พวกท่านตอบรับต่อเสียงเรียกขานของข้า ข้อความที่ถูกส่งออกไปท่ามกลางผู้คนมากมาย คล้ายเรือซึ่งประดิษฐ์ด้วยกระดาษ ล่องลอยเคว้งคว้างไร้ทิศทาง ไม่ทราบว่าจะถึงที่หมายหรือไม่? เมื่อใด? ข้าเพียงอยากหาผู้ที่สามารถช่วยข้าได้"
"เพราะข้าไม่อาจสัมผัสตัวตนของเขาได้ แม้จะรู้ว่าเขายังคงอยู่.....ที่ใดสักแห่ง" นัยน์ตาคู่สวยหม่นลงอีกครา
"ท่านจะยังจดจำข้าได้อีกไหม?"
คนที่อยากพบเหลือเกิน.........แม้เพียงเสี้ยวนาที ก่อนเวลาอันน้อยนิดจะหมดลง และดวงวิญญาณนี้จำต้องดับสลายไปตามวัฏจักรของโลก ท่ามกลางกระแสธารแห่งกาลเวลาอย่างไม่อาจฝืน
ไดแอซนิ่งมองหญิงสาวทั้งสองตรงหน้าด้วยดวงตาสีฟ้าหม่น ฝ่ายมาร์คัสกำลังลำดับสิ่งที่เพิ่งได้ฟัง เรื่องราวดูคล้ายความฝันในคืนฤดูร้อน ทว่าคือความจริง
สายใยวิญญาณยาวบางของร่างอันโปร่งที่ยึดโยงกับดอกไม้แห่งตำนานซึ่งเป็นตัวแทนของความห่วงหาอาลัย ความเศร้า และความไม่สมหวังกลับกลายเป็นการรอคอยอันเนิ่นนานข้ามผ่านกาลเวลา
"กระหม่อมจะช่วยพระองค์" ผู้ใช้เวทให้คำมั่นพร้อมหันไปหาเด็กหนุ่ม เจ้าตัวพยักหน้ารับงึกๆพร้อมรอยยิ้มจริงใจ "ทรงอย่ากังวลไปเลย กระหม่อมเชื่อว่าจะต้องได้พบเขาอย่างแน่นอน"
"เฮ้ พวกเจ้าน่ะ"
ยังไม่ทันที่มาร์คัสจะซักถามรายละเอียดอะไร เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน เรียกให้คนทั้งหมดหันไปมองพร้อมกัน ร่างในชุดกันหนาวหนาวิ่งทั่กๆลุยกองหิมะเข้ามาหาพวกเขา เมื่อหันกลับมาอีกครั้งปรากฏว่าเจ้าหญิงลีเมย์นั้นได้หายตัวไปเสียแล้ว
"ว่ายังไง" เจ้าตัวถามปนหอบนิดๆจากการวิ่งระยะไกล แต่ยังไม่ทันจะได้รับคำตอบอะไรมอเดรสก็รีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว "คุณหนูอาซาเลีย พวกนั้นตามหาท่านกันให้วุ่นแล้วล่ะ รีบกลับเถอะ" เจ้าตัวไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบคว้าข้อมือหญิงสาวแล้วออกวิ่ง ปล่อยให้มาร์คัสผู้กำลังจะพูดอะไรอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น
ไดแอซมองตามหลังสองร่างจนลับมุมตึก ก่อนจะเบือนสายตาทางชายหนุ่ม เด็กหนุ่มส่ายศีรษะน้อยๆก่อนจะสะกิดแขนคนข้างตัว "น้ำลายยืดแล้วมาร์คัส" อีกฝ่ายถึงค่อยหุบปากลง "พวกเขาไปกันแล้ว พวกเราเองก็กลับเถอะ" ว่าพลางเจ้าตัวก็ออกเดิน
"เดี๋ยว" ไม่ว่าเปล่ามือคว้าคอเสื้อกับผ้าพันคอของอีกฝ่ายก่อนจะลากกลับมา "เง้อ...." ผ้าพันคอของเด็กหนุ่มรั้งตึงทำให้เจ้าตัวย่ำเท้าอยู่กับที่พร้อมทำท่าตะกุยอากาศข้างหน้า สักครู่นึกขึ้นได้จึงหยุดแล้วถอยหลังกลับมาสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่หลายครั้ง
"จะฆ่าข้าหรือไง"
ไดแอซหันกลับมาโวยใส่ "ก็พวกเราเหลือเวลาตั้งเยอะนี่นา ลองไปหาร่องรอยหน่อยเป็นไร" ชายหนุ่มแจกแจง "ถึงพระอาการของเจ้าหญิงเฟลิเซียจะเกิดจากเวทจึงตรวจไม่พบ แต่อีกไม่นานก็จะดีขึ้นเอง แต่เจ้าหญิงลีเมย์ อีกไม่นานก็คง................"
"งั้นพวกเราก็ต้องรีบกันหน่อย" เด็กหนุ่มแทรกขึ้น มาร์คัสจึงออกเดินนำหน้าไป เจ้าตัวเดินตามก่อนทำท่าเหมือนจะนึกอะไรได้ "แล้ว.........พวกเราจะไปไหนเหรอ ?" ทำเอาชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจเฮือก "ไปตลาดมั้ง ถามมาได้ ก็เรื่องมันเกิดแถวๆไหนเราก็ต้องไปแถวนั้นสิ" คนเด็กกว่ามีท่าทีเข้าใจ
"พระราชวังใช่ไหม"
"ได้ความฉลาดจากข้าไปบ้างแล้วนี่" มาร์คัสว่าพร้อมหัวเราะ หึหึ "คนมันฉลาดตั้งแต่เกิดแล้ว" พูดพร้อมทำท่ายืดเต็มที่ เรียกเสียงหัวเราะจากคนตัวสูงได้มากทีเดียว
*********************
"รั้ววังนี่มันสูงจริงๆนะ" ไดแอซพึมพำ เมื่อบัดนี้ทั้งสองมาเดินเลาะเลียบติดรั้วสูงโปร่งด้านหนึ่งของพระราชวังใหญ่
"จับกระแสอะไรได้บ้างไหม" ผู้ใช้เวทหันมาถามเด็กหนุ่ม " แปลก" เจ้าตัวพึมพำเบาๆ "อะไรนะ" มาร์คัสเอียงหูเข้าไปหวังฟังให้ชัด "ไม่มีอะไรหรอก" เขารีบปฏิเสธ
"พวกเจ้า"
เสียงห้าวดังมาจากทางด้านหลัง "เอ่อ.....". มาร์คัสค่อยๆสะกิดเรียกเด็กหนุ่มให้หันไป "อะไรอีกล่ะ" คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ตวัดเสียง "ก็......ทหารอ่ะ" ผู้ใช้เวทบอกเสียงอ่อยๆ
"อะไรนะ" เจ้าตัวเบิกตากว้างเท่าไข่หานยักษ์แล้วหันไปมองบ้าง จึงเห็นภาพของทหารรักษาวังหมู่หนึ่งกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาทางพวกเขา "แล้วทีนี้จะทำไงดี" เขาหันไปขอความเห็นร่างสูง "โกยเหอะ" สิ้นคำต่างฝ่ายต่างวิ่งกระเจิงกันไปอย่างไม่คิดชีวิต
แฮ่กๆ
หลังวิ่งไปสักพัก ไดแอซหยุดพิงรั้วหอบหายใจก่อนจะยืดตัวขึ้นมองรอบกาย "มาร์....... " คำเรียกชื่ออีกคนถูกกลืนลงไปในลำคอ เมื่อเจ้าของชื่อไม่ได้วิ่งตามมาเขามาด้วย "แล้ว........ข้ามาอยู่ที่ไหนละเนี่ย" เจ้าตัวยกมือกุมขมับ พลางพยายามมองหาสิ่งที่เจ้าตัวคุ้นเคย
"ไม่มี"
รอบกายเขานอกจากรั้ววังแล้วก็มีเพียงต้นสนนับสิบๆต้นกับสวนฤดูหนาวและตุ๊กตาหิมะอีกสองสามตัว ครั้นจะไปถามเอากับพวกมันคงไม่ได้ความ ไดแอซถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างปลงตก แล้วจึงตัดสินใจคลำทางเรื่อยๆหวังไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า
มิ้ง มิ้ง
เสียงกระดิ่งลมดังมากระทบหูเด็กหนุ่ม "กระดิ่งลม งั้นก็คงมีบ้านคนอยู่ใกล้ๆเป็นแน่" คิดพลางสาวเท้าไปตามต้นเสียง ดวงตาสีฟ้าหม่นฉายแววเจ็บใจ
"ใคร๊ ใครดันเอากระดิ่งลมมาแขวนไว้บนต้นไม้ ไอ้เราก็อุตส่าห์นึกว่าเป็นบ้านคนที่ไหนได้ ดันหลงหนักกว่าเก่าซะนี่" เจ้าตัวพึมพำพร้อมเอนตัวพิงต้นไม้เป็นเชิงว่าจะรอมันอยู่ตรงนี้ล่ะ ต้องมีใครสักคนผ่านมาแน่ๆ แต่ดูสภาพการณ์แล้ว เด็กหนุ่มคิดว่าเขาคงกลายเป็นตุ๊กตาไปก่อนคนมาพบเป็นแน่แท้
"เจ้า?"
เสียงหวานใสของเด็กสาวดังขึ้นข้างตัวเขา "เย่ย" ไดแอซกระโดดถอยหลังออกห่างต้นเสียงนั้นทันที แต่บังเอิญโชคร้ายสะดุดเข้ากับรากไม้อันโต เลยล้มลงก้นจ้ำเบ้าลงไปโอดโอยอยู่กับพื้น
"คิกๆ"
เสียงใสหัวเราะเบาๆ "เป็นอะไรมากหรือเปล่า" เด็กสาวผู้นั้นย้ายมายืนอยู่บนรากไม้ตัวต้นเหตุ เธอก้มลงมองเขาแล้วยื่นมือมาช่วยดึงให้ลุกขึ้นจากพื้น
ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักที่ดูซีดเซียวเล็กน้อยกับผิวขาวราวหิมะ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเช่นเดียวกับผมยาวซึ่งถูกรวบไว้ครึ่งศีรษะอย่างง่ายๆ ริมฝีปากสีชมพูได้รูปเผยอยิ้มอย่างเป็นมิตร ชุดคลุมกันหนาวยาวระพื้นยามเจ้าตัวค้อมกายลงมา ภาพตรงหน้าชวนให้หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย
"อ่า ไม่เป็นอะไรมากหรอก" ไดแอซรีบลุกอย่างรวดเร็ว "ว่าแต่......ที่นี่มันที่ไหนเหรอ" เจ้าตัวถามพลางเกาหัวแกรกๆ "พอดีข้าเดินหลงเข้ามาน่ะ" เด็กสาวยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยคำตอบชวนตะลึง "อุทยานหลวงในเขตพระราชวัง"
"ง่า...แบบว่า....คือว่า..." เขาเกิดอาการติดอ่างกะทันหัน "เอาเถอะๆ เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าออกไปเองแล้วกัน" เธอบอกก่อนจะเดินนำเด็กหนุ่มไป
"เจ้าชื่ออะไรล่ะ" เด็กสาวหันหน้ามาหา "ไดแอซ แล้วเจ้าล่ะ" เด็กหนุ่มถามกลับบ้าง "ข้า...เฟลิเซีย" ชื่อนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดเหมือนเพิ่งได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง ใครสักคน "เฟลิเซีย เฟลิเซีย" เขาทวนชื่อนี้ซ้ำไปซ้ำมาในใจ "คุ้นมาก เหมือน......ใครนะ"
"เจ้าหญิงเฟลิเซีย"
ประโยคหลังรู้สึกจะคิดดังไปหน่อยเลยได้ยินชัดทั่วกัน เจ้าของนามที่ถูกตะโกนเรียกลั่นทุ่งหันมาหัวเราะเบาๆ เล่นเอาเด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกทีเดียว
"กระหม่อม...กระหม่อมขออภัย...เอ้ย พระราชทานอภัย" เจ้าตัวพยายามเอ่ยคำขอโทษแบบผิดๆถูกๆ จนเฟลิเซียต้องบอกให้หยุดพูด นี่หากนางพระกำนัลหรือแม่นมมาได้ยินเข้าคงลมจับไปเลยทีเดียว
"เจ้าเป็นผู้ใช้เวทหรือ" เด็กสาวชะลอฝีเท้าลงมาเดินเคียงกันถาม "ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์อะไรหรอก พูดกันธรรมดานี่ล่ะ" คำดักของอีกฝ่ายทำให้ไดแอซได้แต่ส่งยิ้มแหยๆไปให้ "เปล่าหรอก กระ...ข้าเป็นคนติดตามผู้ใช้เวทเฉยๆ"
"แล้วทำไมหลงเข้ามาถึงในนี้ได้" อีกฝ่ายสงสัย "คือว่า .... ข้ากับมาร์คัสที่เป็นผู้ใช้เวทมาหาร่องรอยของ....ของเจ้าหญิงลีเมย์ แถวๆรั้ววัง"
"พวกเจ้าก็สัมผัสได้เช่นกันหรือ" ร่างบางถามอย่างสนใจ เด็กหนุ่มจึงพยักหน้ารับพร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง "พวกเจ้านี่ก็จริงๆเชียว มาด้อมๆมองๆแถวรั้ววัง ถูกพวกทหารจับเอาจะว่ายังไง" ไดแอซเอียงคอเล็กน้อย "ก็...ไม่รู้เหมือนกันแฮะ"
หลังได้ฟังคำบอกเล่าพร้อมอธิบายเรื่องแผนที่ของพระราชวังทำให้ไดแอซอดทึ่งไม่ได้ "นี่เราวิ่งได้เร็วทำลายสถิติโลกขนาดนี้เชียวเหรอ " เจ้าตัวนึกหลังเฟลิเซียบอกระยะทางจากรั้วถึงเขตอุทยานหลวงที่ต้องผ่านประตูลับบานน้อยเข้ามา เขานึกภาพตัวเองวิ่งฝ่าอะไรพวกนั้นไม่ใคร่ออกเท่าใดนัก
"ส่วนเรื่องของเจ้าหญิงลีเมย์ ข้าขอเชิญเจ้าไปคุยกันที่ตำหนักจะดีกว่า" เฟลิเซียกล่าวแล้วเดินลิ่วๆไป ฝ่ายไดแอซเห็นว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องอยากพูดเป็นแน่ อีกอย่างหลงเข้ามาในเขตพระราชวังอย่างนี้ด้วยแล้วเขาไม่อยากเดินเปะปะ มันรู้สึกเสียวๆตรงช่วงคอยังไงชอบกล
"รอข้าด้วยสิ" เจ้าตัวตะโกนแต่ก็ยังพยายามหรี่เสียงให้เบาที่สุดเมื่อร่างบางในชุดสีอ่อนหายลับไปเสียแล้ว
กระแสธารแห่งกลางเวลาพัดพาพวกเขามาพบกันแล้ว
---------------------------------
หวัดดีหลังปีใหม่ค่ะ
โครงงานเสร็จเรียบร้อยแล้วละค่ะ แหะๆ ยายนี่พอปีใหม่ก็เริ่มอู้เลยเนอะ ช่วงนี้อากาศมันเปลี่ยนบ่อยๆยังไงก็รักษาสุขภาพกันมากๆนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและเม้นท์ค่ะ
ความคิดเห็น