คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : หิมะสีขาว
“ปีศาจนั่น เท่าที่ข้าพอจะรู้คือมันถือกำเนิดมาจากวิทยาการของต่างอาณาจักร มันจะสิงสถิตและดึงเอาชีวิตของฐานพลังออกมาใช้ ไม่มีทางใดที่พอจะแก้ไขได้ เขา
ไม่มีทางรอด”
กระแสเสียงราวทอดถอนใจต่อชะตากรรมของผู้ที่อยู่ในห้องพักนั้น
“อ้อ เวนตุสฟื้นแล้วหรือ ดื่มยาก่อนสิ” เสียงผู้ใช้เวทในชุดดำคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะถือถ้วยยาเดินเข้ามาหา “ท่านเวนตุส” ชายผู้นั้นเรียกซ้ำเมื่อเจ้าของชื่อยังนั่งนิ่งคล้ายไม่สนใจอะไร มีเพียงนัยน์ตาสีอมม่วงที่กวาดราวมองหาคนคุ้นเคย
“เจ้า
.เป็นใคร?”
“ข้าเฟรดไงล่ะ”
“งั้น
ข้าเป็นใคร?”
เจอคำถามแบบนี้เข้าไปเฟรดถึงกับอึ้งพูดไม่ออกอยู่หลายนาที แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าไม่สนใจจะเอาคำตอบอะไร พอดีกับที่เสียงใครบางคนเรียกหาเขาจากด้านนอกห้องพัก
“เฟรด เจ้ามัวทำอะไรอยู่” ชายหนุ่มรีบวางถ้วยยาแล้วเดินไปหาต้นเสียงทันที ครั้นเห็นว่าเป็นท่านเรฟหัวหน้าผู้ใช้เวทซึ่งเวลานี้อยู่ในชุดสีดำแบบเดียวกับเขาก็ตรงเข้าไปลากมือให้พ้นรัศมีการได้ยินก่อนเอ่ยเสียงเบา “มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ ทำไมเวนตุสจำอะไรไม่ได้เลย” ทำเอาชายวัยกลางคนพลอยมีสีหน้าเคร่งเครียดไปด้วย “งั้นหรือ? คงหมดหนทางแล้วสินะ” เรฟพึมพำกับตนเอง “เฟรดยังไงข้าฝากเวนตุสด้วยแล้วกัน” เขาสั่งก่อนจะรีบสาวเท้าจากไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล
พ่อมดยังคงอยู่ในท่านั่งและกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งบัดนี้ทิวทัศน์ภายนอกถูกระบายด้วยสีอมส้มแดงไล่กันไปราวฝีแปรงของจิตกรเอก
“นอนพักเถอะ เจ้ายังไม่หายดีนะ” เขาเตือนด้วยความเป็นห่วง แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้า “ข้ารู้สึกเหมือนว่าได้เสียสิ่งสำคัญไป” คำพูดนี้ทำให้เฟรดรีบหลุบสายตาลงต่ำในทันที “สิ่งสำคัญที่เป็นชีวิต เป็นหัวใจของข้า” นัยน์ตาคู่งามฉายแววเจ็บปวดรวดร้าวจนน่าใจหาย ผู้ใช้เวททำได้เพียงยิ้มให้ชายหนุ่มเป็นการปลอบใจก่อนจะเดินออกไป
จนใกล้เวลาอาหารเย็นนั่นแหละ เขาจึงจัดแจงแบกถาดอาหารเข้ามาให้ชายหนุ่มถึงในห้องพัก พ่อมดหนุ่มทรงตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะเบ้หน้า เนื่องจากแผลฉกรรจ์หลายแห่งบริเวณลำตัวยังไม่สมานดีนัก
แค๊กๆๆๆ เสียงเวนตุสไออย่างหนัก เมื่อเฟรดที่กำลังหยิบของในตู้หันกลับมาเห็นภาพตรงหน้าก็ตะโกนเสียงลั่น “เวนตุส เฮ้ย ใครที่อยู่ข้างนอกไปตามหมอมาเร็ว” ก่อนจะฉวยผ้าขนหนูพร้อมอ่างน้ำติดไม้ติดมือมาด้วย ของเหลวสีแดงไหลลงมาตามร่องนิ้วของชายหนุ่ม แล้วหยดบนผ้าห่มสีขาวจนเปื้อนเป็นด่างๆดวงๆ
ริมฝีปากเป็นรอยแดงจากคราบเลือดที่ติดค้างอยู่ “ผ้าห่มเลอะหมดแล้ว เดี๋ยวข้าเปลี่ยนให้” ผู้ใช้เวทว่าพลางบิดผ้าโยนลงอ่างน้ำข้างตัวก่อนจะลุกไปหยิบผืนใหม่มายื่นให้ ชายหนุ่มยิ้มเป็นการขอบคุณ
“ข้า
อยากตามหาสิ่งสำคัญที่หายไป” เฟรดแตะบ่าชายหนุ่มเป็นเชิงให้กำลังใจ “ข้าเชื่อว่าท่านจะได้พบสิ่งนั้นแน่นอน” ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่ผู้ใช้เวทกลับรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เรื่องนี้คงจะไม่มีวันเป็นจริงได้
ตลอดไป
เสียงนกร้องรับอรุณข้างหน้าต่างดังเจื้อยแจ้วปลุกชายหนุ่ม แดดอ่อนๆสาดแสงผ่านเข้ามาส่องให้ ห้องพักอบอุ่น นายแพทย์ชราเดินเข้ามาพร้อมผู้ช่วยและหัวหน้าผู้ใช้เวท “เป็นยังไงบ้าง” คำทักทายด้วยความเป็นห่วงจากปากเรฟ ชายหนุ่มหันมามองด้วยสายตาว่างเปล่า แต่ก็ยอมให้ตรวจอาการโดยดี
นายแพทย์ผู้นั้นถึงกับส่ายหน้าเมื่อการตรวจเสร็จสิ้น เรฟซักถามอาการด้วยเสียงเบาๆแล้วทำหน้าเครียด สลับกับหันมามองคนบนเตียงเป็นระยะ ก่อนจะส่งยาให้เฟรดแล้วเดินออกไปพร้อมๆกัน
อาการของพ่อมดไม่ชวนให้ไว้ใจเอาเสียเลย ถึงจะดูดีขึ้นมามากจนเกือบร้อยเปอร์เซ็นแล้วเมื่อเทียบกับบาดแผลฉกรรจ์ที่ได้รับแต่ก็ทำให้ผู้ใช้เวทนึกถึงเปลวเทียนอย่างบอกไม่ถูก เปลวเทียนที่ใกล้ดับแสงมักลุกเริงแรงก่อนจะวูบหายไปในอนธการแห่งชีวิต
มีคนมากหน้าหลายตาปลีกเวลาแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนชายหนุ่มเกือบตลอดทั้งวัน ส่วนด้านงานพิธีในพระราชวังก็วุ่นวายเอาการ แว่วเสียงดนตรีประโคมเศร้าสร้อยดังมาเป็นระยะๆ
จนเย็นย่ำลง เฟรดเดินเข้ามาพร้อมน้ำอุ่นเหยือกใหม่และถ้วยยาเช่นเคย แต่เขาแทบจะโยนของทั้งสองอย่างลงกับพื้นเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า
“เจ้าเป็นอะไรไป” ชายหนุ่มถลาเข้ามาหาคนที่นั่งพิงอยู่ตรงหัวเตียง ใบหน้าที่เห็นในแสงสลัวดูซีดเซียวอย่างน่ากลัว แต่ก็สงบนิ่งจนแลคล้ายประติมากรรมแกะสลัก เจ้าของชื่อหันมามองเขาซึ่งกำลังจะวิ่งออกไปเรียกหมออีกรอบ “ไม่มีประโยชน์หรอก” เสียงแผ่วเบาของเวนตุสดังขัดจังหวะ ผู้ใช้เวทหันกลับมามองด้วยความแปลกใจ
แสงสีอมส้มอมแดงของพระอาทิตย์ยามเย็นสาดผ่านบานกระจกเข้ามากระทบใบหน้าที่ดูสวยราวมีความสุข
เลือดค่อยๆหยดลงมาจากมุมปากของชายหนุ่ม ผู้ใช้เวทปิดประตูปังแล้ววิ่งกลับไปหาเขาอย่างรวดเร็ว “เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ” พ่อมดยิ้มเรียบๆ “ข้า
...คงไม่มีโอกาสได้ตามหาสิ่งสำคัญแล้วสิ” เฟรดส่ายหน้า “งานวิจัยของเจ้ายังไม่เสร็จเลย เจ้าเองก็ฝันไว้ไม่ใช่หรือว่าจะช่วยเหลือผู้คนมากมายด้วยสิ่งที่เจ้าคิดขึ้นนี้ อย่าทิ้งมันไปนะ อย่าทิ้งมัน”
“รู้สึกว่า
..ข้าจะผิดสัญญาอีกแล้วหรือนี่ แย่จริงๆ” เจ้าตัวถอนใจ ยิ่งพูดเลือดยิ่งพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากซีดเซียว ทุกสิ่งรอบกายของเขาพร่าเลือนราวความฝัน “พระอาทิตย์ข้างนอกนั่น
..สวยจัง” พ่อมดคล้ายแว่วเสียงเพลงหวานกังวานเศร้า
ก่อนเคยสัญญา ฤามิใช่
จักอยู่เคียงกันไป ใยห่างหาย
จักคำนึงทุกครา ใยเสื่อมคลาย
ฤาคล้ายสิ้นภพ สิ้นผูกพัน
ดวงตาสีอัญชันเข้มมีแววหวนหาอาลัย ก่อนที่เจ้าตัวจะปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า นัยน์ตาคู่สวยดับแสงลง
..ตลอดกาล
***********************
“เรื่องราวในบันทึกได้หมดลงแต่เพียงเท่านี้” เวสสรุปก่อนจะปิดหนังสือเล่มบางลง ทั้งห้องประชุมมีแต่ความเงียบ และเงียบ ชนิดที่ว่าหากใครกลืนน้ำลายสักเอื๊อกคงได้ยินกันถ้วนหน้าเป็นแน่ ชายหนุ่มหันไปมองแรนดัลซึ่งต้องมารับบทเป็นผู้นำเหมือนเคย
คราวนี้ผู้ใช้เวทยืนทำหน้าที่ตัวตรงอยู่บนโพเดียมซึ่งทางฝ่ายสถานที่ยกเข้ามาเปลี่ยนให้แทนยกพื้น ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้ากับเขาเป็นสัญญาณ
ผู้ใช้เวทจึงพึมพำเบาๆ หนังสือในมือค่อยๆจางเป็นละอองแสงเล็ก ก่อนจะพุ่งเป็นสายยาวตรงไปหาชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว
แรนดัลพลิกหนังสือเล่มดังกล่าวไปมาคล้ายตรวจสอบอะไรบางอย่าง บรรดาผู้ใช้เวททั้งหลายที่เงียบเป็นเป่าสากเมื่อครู่เริ่มเคลื่อนไหว มีเสียงพูดคุยซุบซิบเบาๆดังหึ่งๆอยู่ทั่วห้อง หลายรายพากันรือค้นกองเอกสารที่รวบรวมมาได้จับตั้งๆเรียงกันบนโต๊ะจนดูเหมือนมีกอเห็ดผุดปุ๋งๆขึ้นมารอบห้องในพริบตา
หลายเสียงดังมาจากรอบด้านโดยที่ผู้เป็นหัวหน้ายังไม่ทันจะพูดอะไรได้แต่ทำปากพะงาบๆเหมือนเมื่อต้นการประชุม กว่าสรรพเสียงทั้งหลายจะสงบลงได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียว แรนดัลไปได้ค้อนมาจากที่ไหนก็ไม่รู้มาเคาะเปรี้ยงๆเรียกความสนใจทั้งหมดกลับมาที่ตัวเอง
“ที่เจ้าพูดมานั้นล้วนเป็นข้อมูลอันมีค่ายิ่ง หากสิ่งที่ถูกบันทึกไว้เหล่านี้เป็นเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์จริง” เขาประสานมือไว้หลวมๆ “ย่อมเกี่ยวพันถึงต้นเหตุของสิ่งต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้เป็นแน่”
อดีตทั้งมวลซึ่งโยงใยกับปัจจุบัน สิ่งที่ถูกเก็บซ่อนไว้ให้พ้นจากสายตาผู้คนมานานนับร้อยๆปี สายใยบางเบาแห่งความผูกพันถักทอเชื่อมผ่านคนทั้งสองที่กระแสธารแห่งกาลเวลามิอาจทำลายลง สิ่งใดคือความจริง?
“ข้าคิดว่าเราน่าจะลองค้นหาเอกสารอ้างอิงถึงเรื่องนี้ดู” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นมา พร้อมๆกับที่กลุ่มผู้ใช้เวทซึ่งมีตำราท่วมโต๊ะส่งเสียงระงมขึ้นจนเกือบจะเป็นเสียงเดียวกัน
“เอ่อ
ของข้ามีอะไรคล้ายๆอย่างนั้นด้วย”
“เอกสารส่วนของข้าก็มีนะ”
“เจอด้วยคนอ่ะ ชัดแจ๋วเลย”
ในที่สุดผู้ใช้เวทหนุ่มคนหนึ่งลุกขึ้นพร้อมบันทึกเป็นหอบในอ้อมแขน เขาจัดการส่งหนังสือพวกนั้นไปถล่มทับแรนดัลบนโพเดียมตามด้วยหนังสืออีกหลายขนาดของผู้ใช้เวทจากที่ต่างๆจนคนบนนั้นจมกอง พร้อมเสียงอธิบายให้ทุกคนได้ฟังกันถ้วนหน้า
“บันทึกพวกนี้ข้าไปได้มาจากหุบเขาสายหมอก มีหลายหน้าถูกฉีกทำลาย และสองในสิบเล่มกล่าวถึงปัญหาด้านการเมืองที่ค่อนข้างรุนแรง การสิ้นพระชนม์แบบมีเงื่อนงำของเจ้าหญิงลีเมย์ รวมไปถึงอำนาจของขุนนางที่แตกเป็นหลายฝ่ายในราชสำนัก”
และหลังจากที่แรนดัลขุดตัวเองออกมาจากกองบันทึกได้สำเร็จ ชายวัยกลางคนก็เริ่มพูดบ้าง “จากที่ข้าเคยรู้และคาดว่าพวกเจ้าหลายๆคนก็รู้ แต่อาจไม่ค่อยใส่ใจนักเพราะมันเป็นเพียงเศษเสี้ยวในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่นี้”
หลายคนเริ่มขยับตัวอย่างตั้งใจฟังพลางคิดตามที่คนหน้าห้องเอ่ยอ้าง “ช่วงเวลาราวปีที่44 ถึง ปีที่ 52 ของรัชกาลซาร์เรส เหล่าเสนาบดีคนสนิทกว่าครึ่งขององค์ราชามาจากสามหัวเมืองทางใต้ ซึ่งช่วงเวลานั้นยังไม่รวมกันเป็นปึกแผ่นเช่นทุกวันนี้ แพนเทียยังคงมีแค่อาณาจักรเล็กจ้อยทางเหนือ ดูเหมือนตอนนั้นมีข้อตกลงที่จะให้รัชทายาทองค์โตผู้มีสิทธิ์เต็มในการขึ้นครองราชย์อภิเษกด้วยมติความเห็นของเหล่าเสนาบดีทั้งปวง แน่นอนว่าเมื่อเจ้าหญิงรักกับพ่อมดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกราชอาณาจักร ทั้งยังไม่ยอมคล้อยตามความเห็นของตนจึงเกิดเป็นความขัดแย้งขึ้นมา
การที่ในบันทึกนั้นกล่าวถึงเหตุการลอบสังหารไว้คงเป็นเรื่องนี้แน่ๆ เวลานั้นแพนเทียเองก็เพิ่งเริ่มสถาปนาอาณาจักร การปกครองกองกำลังต่างๆยังอ่อนด้อยอยู่มาก จึงทำให้การล้มล้างราชบัลลังก์มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย
และการที่องค์ราชาทรงทำลายบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนหมด อาจต้องการรักษาความสงบของบ้านเมืองเอาไว้ ด้วยเหตุนี้จึงปิดบังเรื่องราวต่างๆเอาไว้จากสายตาประชาชน เนื่องเพราะเจ้าหญิงลีเมย์นั้นเป็นที่รักใคร่ของทั้งคนในแพนเทียและสามหัวเมืองใต้ ส่วนโรอากก็เป็นถึงเสนาบดีคนสนิทที่มีผู้สนับสนุนอยู่พอตัว หากเรื่องที่ว่านี้หลุดรอดออกไป ผู้ที่เข้าข้างคนทั้งสองอาจสู้รบกันจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง ซึ่งข้าคงไม่อาจเอ่ยถึงผลลัพธ์อันเลวร้ายที่จะตามมาได้”
“ท่านคะ รู้สึกว่าเสนาบดีโรอากกับพวกนั้นจะเสียชีวิตหลังเกิดเรื่องนี้ไม่นาน” หญิงสาวร่างบางลุกขึ้นเอ่ยบ้าง ผู้ใช้เวทแทบทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยแทบจะพร้อมกัน
“ข้าว่าคงเป็นไข้โป้งละมั้ง” เวสแอบหันมากระซิบคลายเครียดกับมาร์คัส “ข้าก็คิดเหมือนเจ้านั่นล่ะ" อีกฝ่ายตอบกลั้วหัวเราะ ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูเป็นซึ่งพวกเขานับได้ว่าเป็นรอบที่ 10 ของวันแล้ว พาเอาเสียงระฆังเย็นตามเข้ามาด้วย ดูเหมือนว่าฝ่ายรับผิดชอบสถานที่จะเริ่มสงสัยว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะเลิกประชุมเสียที
ถึงจะไม่มีป้ายเขียนบอกเวลาปิดใช้ แต่การทำความสะอาดห้องประชุมขนาดใหญ่โตนี้กินเวลาและแรงงานไม่ใช่เล่น ยิ่งเลิกช้าเท่าใดพวกฝ่ายสถานที่ต้องทดเวลาทำงานเพิ่มเข้าไป ไหนตอนเช้าจะต้องตื่นแต่ไก่โห่มาเตรียมห้องก่อนเริ่มประชุมอีกต่างหาก ช่างเป็นงานที่เสียสละจริงๆ
แรนดัลรีบหลบตาแล้วสรุปโดยเร็ว “ข้าขอให้ทุกคนที่มีเอกสารเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คัดลอกแล้วส่งมาให้ถึงมือข้าก่อนเที่ยงพรุ่งนี้ อย่าได้คิดอู้เด็ดขาด” ว่าแล้วชายวัยกลางคนก็กวาดสายตาส่งคำขู่ไปจนทั่วถึงกัน “ใครมีอะไรจะคัดค้านอีกหรือไม่”
เมื่อไม่มีใครกล่าวอะไรทั้งสิ้น “เช่นนั้นอีกสามวันนับจากนี้ขอให้มาเจอกันที่นี่ เราจะเริ่มการประชุมพร้อมระฆังเช้า และขอให้ทุกคนสนุกกับวันคริสต์มาส” หัวหน้าผู้ใช้เวทจบการประชุมลง
บรรดาผู้ใช้เวททั้งหลายรีบกรูกันออกไปสูดอากาศอันสดชื่นนอกห้องอย่างรวดเร็ว หลังจากนั่งอุดอู้มาเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ กลุ่มของมาร์คัสอันประกอบด้วยผู้ใช้เวทจำนวนห้าถึงหกคนเป็นพวกสุดท้ายที่เดินออกไปจากห้องประชุม
**********************
ตอนนี้เป็นเวลาช่วงหัวค่ำ ตามถนนสายใหญ่ๆของแพนโทเนียเริ่มมีร้านร่วงมาตั้งขายของมากมายด้วยอีกเพียงวันเดียวจะถึงวันศริสต์มาสซึ่งถือเป็นวันศักดิ์สิทธิ์อีกวันหนึ่งในรอบปี ซึ่งเป็นวันที่เหล่านางฟ้าจะแวะเวียนไปตามแต่ละบ้านเพื่อประสาทพรอันดีงามต่างๆแด่เหล่ามนุษย์ทั้งหลายในคืนวันนี้เอง
กลุ่มของมาร์คัสแยกย้ายกันไปเดินเที่ยวตามจุดต่างๆของเมืองหลวง พวกเขาค่อนข้างสบายเนื่องมาจากได้คัดลอกบันทึกและอ้างอิงทั้งหลายแหล่ส่งไปก่อนแล้ว จึงมีโอกาสพักผ่อนเต็มอิ่มในสามวันซึ่งถือเป็นวันหยุดประจำอาณาจักร
เวสแยกไปกับราดีสและโชวี่ ดูเหมือนว่าเมอร์สจะโดนเพื่อนที่ทำงานอยู่ในแพนโทเนียพาตัวออกไป ส่วนไดแอซถูกมาร์คัสกึ่งจูงกึ่งลากให้มาด้วยกัน
“วันนี้แพนโทเนียปิดถนนจัดงานกันทั้งเมืองเชียวล่ะ” ผู้ใช้เวทเริ่มสาธยาย “ข้าว่าพวกเราเดินไปเรื่อยๆดีกว่า ถนนนี้เป็นถนนสายหลักที่วกไปวนมาจนทั่วเมือง เราจะได้เดินเล่นจนรอบเลยไงล่ะ” ชายหนุ่มว่า ครั้นเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอย่างเห็นด้วยจึงเริ่มออกเดิน
ทั้งคู่ก้าวบนพื้นพรมสีขาวอย่างเงียบๆไปตามถนนสายกว้าง ไดแอซที่เคยกระดี๊กระด๊ากับเรื่องต่างๆรอบตัวกลับนิ่งเงียบจนน่าแปลกใจ มาร์คัสถึงกับมุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” เด็กหนุ่มส่ายหน้า ครั้นเห็นของกินที่ชายหนุ่มแวะซื้อเมื่อครู่ก็ออกอาการร่าเริงขึ้นมาทันตาเห็น
มันบดร้อนๆควันฉุยราดเนยสีเหลืองอ่อนชวนน้ำลายสอถูกยื่นมาตรงหน้าของเด็กหนุ่มซึ่งกำลังสวาปามทุกอย่างที่ผ่านหูผ่านตา เจ้าตัวรับมันมาด้วยความยินดี ไออุ่นจากถ้วยทำให้มือเย็นเฉียบเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง พวกเขาเดินเรื่อยๆปล่อยให้สรรพเสียงรอบกายไหลผ่านไปอย่างสบายๆ ทุกคนรอบกายล้วนมีใบหน้ายิ้มแย้มแสดงความยินดีกับเทศกาลที่ใกล้จะมาถึง
เสียงหัวเราะใสเสนาะของเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่วิ่งไล่กันผ่านพวกเขาไป ชายหนุ่มอดอมยิ้มกับภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้ แม้แต่ไดแอซเองก็ยังหันมองตามไป
ปุยสีขาวตกกระทบไหล่และแก้มของเขา เด็กหนุ่มละสายตาจากถ้วยมันแล้วแหงนเงยขึ้นมองฟ้าซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท “หิมะตกอีกแล้วเหรอ” เจ้าตัวพึมพำเบาๆ “นั่นหมายความว่าขบวนนางฟ้ากำลังมาแล้ว” มาร์คัสที่บังเอิญได้ยินพูดขึ้น เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปรับเกล็ดบางๆนั้น
เขาหัวเราะเบาๆแล้วหันไปพูดกับผู้ใช้เวท “หนาวขึ้นนะ” อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้นอีก เด็กหนุ่มอังมือกับลมหายใจที่ออกมาเป็นควันสีขาว
แว่วเสียงคล้ายเพลงกล่อมของชาวเหนือลอยลมออกมาจากบ้านหน้าต่างร้านที่พวกเขากำลังเดินผ่านไป ท่วงทำนองหวานระคนเศร้า ร้อยเรียงด้วยถ้อยคำภาษาถิ่นแปลกหูที่เขาไม่รู้ความหมาย ครั้นเห็นเด็กหนุ่มหยุดเดินมาร์คัสจึงลองเงี่ยหูฟังบ้าง “เพลงต้อนรับวันคริสต์มาสน่ะไดแอซ” ชายหนุ่มบอก เมื่อเห็นอีกฝ่ายหันมาด้วยท่าทีสนใจเขาจึงเริ่มแปลให้ฟังด้วยเจ้าตัวพอรู้ภาษาเหนือเป็นทุนเดินอยู่แล้ว
“แว่วระฆังเงินท่ามกลางอากาศหนาว เหล่าคนเลี้ยงแกะยินเสียงเพลงแห่งความสุข ดาราสีทองฉายส่องเหนือฟากฟ้า เช่นนั้นจงหลับเถิดองค์ราชันย์น้อย”
“ฟังแล้วเพราะจังนะครับ” ไดแอซเอ่ยเสียงเบา “ อืม เพลงแบบนี้มีอีกเป็นสิบเพลงเชียวล่ะ ข้าเคยร้องตอนมาฝึกงานที่นี่ด้วย” มาร์คัสเล่าความหลังครั้งก่อนให้เด็กหนุ่มฟัง “รู้สึกดีใจจังที่ข้าไม่ต้องทนฟังเสียงหอน
เอ๊ย เสียงร้องเพลงของหมอนั่น” เจ้าตัวพึมพำเบาๆพร้อมท่าทางโล่งอกพอไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน
“เจ้าว่าอะไรนะ” นั่นยังอุตส่าห์หูดีอีกแน่ะ ไดแอซเลยทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พระจันทร์ดวงกลมโตขยายขนาดเคลื่อนขึ้นมาประทับยอดเหนือหอคอยสูง แสงนวลจับกับหลังคาพระราชวังซึ่งปกคลุมด้วยหิมะจนกลายเป็นสีเงินยวงดูสวยงามเพ้อฝันจนแทบถอนใจออกมา
เด็กหนุ่มเหม่อมองภาพซึ่งดูเหนือจินตนาการเบื้องหน้า มาร์คัสเองก็เป็นเช่นเดียวกันจน
..
ร่างบางในชุดขาวก็ผ่านแวบเข้ามาในหางตา ชายหนุ่มหันควับก่อนจะลากเขาซึ่งยังยืนงงอยู่กับที่เหมือนวงจรสะดุดตอนไฟตกให้ตามมาด้วยกัน เด็กหนุ่มทำปากพะงาบๆเป็นปลาทองคล้ายจะเอ่ยคำถาม แต่ชายหนุ่มซึ่งตอนนี้มุ่งหน้าตามร่างอ้อนแอ้นที่เห็นเพียงหลังอยู่ไวๆกลางฝูงชนอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่สนใจอะไรรอบตัวทั้งสิ้น คาดว่าต่อให้โลกถล่มลงมารายนั้นก็คงไม่ใส่ใจเป็นแน่
พวกเขาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เวียนไปเวียนมาอยู่หลายตลบจนมาหยุดยังสวนฤดูหนาวเล็กๆเชิงเนินพระราชวังอย่างไม่รู้ตัว ร่างบางหยุดชะงักลงแล้วหันกลับมาประจันหน้ากับคนทั้งสอง หญิงสาวปัดหมวกฮู้ดขนสัตว์ที่คลุมบังหน้าให้ตกลง เล่นเอาผู้ใช้เวทกับเด็กหนุ่มอ้าปากค้างไปตามๆกัน เมื่อตั้งสติได้ต่างฝ่ายต่างขยี้ตาแข่งกันเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น
มาร์คัสนึกไปถึงหญิงสาวที่เขาเคยพบเมื่อวันรับเหมันต์ และที่ตลาดเช้าของซามานน่า
ฝ่ายไดแอซสัมผัสถึงกระแสอะไรบางอย่างที่ติดตัวเธอมา กระแสนั้นเจือปนไปด้วยความเศร้า ความผูกพันและความห่วงหาถึงใครบางคน ที่อาจไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว
เด็กหนุ่มมองคนตรงหน้าด้วยสายตาแสดงความสงสัยอย่างเปิดเผย หญิงสาวมีผมสีทองอ่อน และเค้าหน้าเหมือนคนในความฝันของเขา แผกกันก็แต่นัยน์ตาที่ออกสีเขียวมรกตลึกมิใช่สีดำ เจ้าตัวหันไปสะกิดคนข้างๆซึ่งตอนนี้นอกจากยืนตัวแข็งแบบสโนว์แมนแล้วยังมีสีหน้าแปลกๆอีกต่างหาก
“ข้าต้องขออภัยด้วยที่ให้พวกท่านลำบากเดินมาถึงที่นี่” น้ำเสียงใสเช่นสายพิณของอีกฝ่ายส่อแววลำบากใจ “ไม่
ไม่เป็นไร” มาร์คัสรีบตอบแต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรเด็กหนุ่มก็ชิงขัดขึ้นเสียก่อน “ท่านเป็นใคร? ต้องการสิ่งใดจากพวกเรากันแน่ ”
หญิงสาวมองเด็กหนุ่ม “สมแล้วที่ท่านผู้นั้นกล่าวไว้” เธอเอ่ยเสียงเบาก่อนจะเชิดหน้าขึ้น “ข้ามีนามว่าอาซาเลีย ” ไดแอซจ้องตอบกลับเมื่อได้ยินความนัยนั้น “ข้า
.มาร์คัส ส่วนนี่ไดแอซ” ผู้ใช้เวทที่ยืนฟังอยู่เห็นท่าไม่ดีเลยรีบแนะนำตัว
“มีผู้ไหว้วานข้าให้มาขอความช่วยเหลือจากพวกท่าน” หญิงสาวเอ่ยปาก “มีเพียงพวกท่านที่สามารถช่วยเหลือผู้นั้นได้”
“ผู้นั้น”
ไดแอซนึกไปถึงหญิงสาวในชุดขาวที่ได้พบเมื่อวันก่อน เขารู้สึกเหมือนว่าเวลารอบตัวหยุดเดินไปชั่วขณะ และค่อยๆวิ่งถอยกลับไปจนถึงภาพทุ่งดอกไม้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ใบหน้าของหญิงสาวที่เขาไม่อาจมองเห็นนั้น เวลานี้กระจ่างชัดราวเมฆหมอกที่เคยกำบังสายตาถูกพัดหาย ริมฝีปากสีชมพูดุจกลีบผกาเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ “ท่าน
.เหมือนเขานัก เหมือน
.เหลือเกิน”
“เหมือน
.ใคร?” เด็กหนุ่มพึมพำออกมาเบาๆ มือหนาของมาร์คัสยื่นมาเขย่าตัวเขาเมื่อเห็นยืนนิ่งไป “อ้าว” เสียงบุคคลที่สี่ดังขึ้นจากด้านหลัง “มอเดรส” น้ำเสียงของผู้ใช้เวทแสดงความประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นลูกพี่ลูกน้องตัวแสบมายืนยิ้มเผล่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เลยรีบชี้แจงแถลงไข
“เจ้าอย่าลืมสิ ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมหน้าหนาวของวิทยาลัยนะ พวกคนแก่ เอ้อ..จอมปราชญ์เลยถีบส่งคณาจารย์ทั้งหลายขึ้นมาร่วมประชุมยังไงล่ะ”
มาร์คัสพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ มอเดรสเลยรีบออกปากชวนทุกคน “พวกเราไปหาอะไรกินกันในเมืองดีกว่า ข้าคิดถึงคาเฟ่ลาเต้ที่อยู่ตรงจตุรัสดวงดาวอ่ะ” และดูเหมือนชายหนุ่มจะรู้จักอาซาเลียเป็นอย่างดี มาร์คัสจึงส่งสายตาคาดคั้นเอาคำตอบแต่อีกฝ่ายกลับหันไปลากแขนไดแอซเดินไปดื้อๆ “พวกเราก็ไปกันเถอะ” ผู้ใช้เวทหันไปบอกกับหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่
“อ๊ะ!!!”
อาซาเลียซึ่งกำลังจะก้าวเดินเหยียบลงบนหินก้อนใหญ่ที่บังเอิญถูกปุยหิมะฝังกลบเอาไว้ทำให้เสียหลักเซถลาไปข้างหน้า ดีแต่มาร์คัสหันกลับมารับร่างบางไว้ได้อย่างทันท่วงที ไม่อย่างนั้นอาซาเลียคงได้ทำการทดลองวิทยาศาสตร์เรื่องแรงโน้มถ่วงโลกเป็นแน่
ผิวหน้าขาวๆของหญิงสาวซับสีเลือดเรื่อๆทันตาเห็น และพยายามยันตัวลุกจากอ้อมแขนของชายหนุ่ม ฝ่ายมาร์คัสเมื่อรู้ว่าเขากำลังกอดร่างบางอยู่จึงรีบก้มหน้างุดๆแล้วพยุงให้เธอยืนขึ้น อาซาเลียกล่าวขอบคุณผู้ใช้เวทหนุ่มเสียงเบา เจ้าตัวเองก็เสหันหน้าซึ่งเริ่มมีเค้าเริ่มจะแดงกับเขาด้วยไปทางอื่นเสีย
“พวกท่านสองคนชักช้าจริง” ไดแอซที่ล่วงหน้าไปหันกลับมาตะโกนเรียก “ระวังด้วยล่ะ” เสียงเตือนดังมาจากชายหนุ่ม หญิงสาวหันมายิ้มให้ก่อนจะออกเดินไปพร้อมๆ
ท่ามกลางปุยหิมะซึ่งกำลังเริงระบำล้อแสงดาวอยู่ในสายลมหนาว ความอบอุ่นอ่อนโยนที่ค่อยๆถือกำเนิดขึ้นจากหัวใจทั้งสองดวง บางสิ่งบางอย่างซึ่งงดงามใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
-----------------------------------
หวัดดีค่าทุกท่าน อัพตอนใหม่แล้วค่ะ
ช่วงนี้ก็ใกล้ๆคริสต์มาสแล้ว เลยลากเพลงแครอลมาแปลเพลงนึง(แอบมั่ว แอบเนียนมากถึงมากที่สุด555+)
เพลงที่ใส่คือ The Little Road To Bethlehem
Acroos the air the silver sheep bell rang
the shepherd heard home sweet Mary sang
your star of gold, your star of gold
is shining in the sky
so sleep my little king sing lullaby
ชอบมากๆเลย ที่ห้องเคยเลือกร้องประกวดด้วย เป็นเพลงฟังแล้วทำนองมันเศร้าๆอ่ะ (หรือว่าเศร้าเพราะเราเสียงไม่ถึงหว่า อันนี้ไม่แน่ใจ)
ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือต้องมาสอบปลายภาคตรงกับวันคริสต์มาสอ่ะ เฮ้อ ทั้งๆที่ยังอยากดูการ์ตูนคริสต์มาสตอนเช้ามากกว่าอ่านหนังสือเป็นไหนๆ
แต่แต่งๆไปชักอยากเล่นหิมะของจริงนะ อืม จำได้ว่าเคยเห็นรูปถ่ายของเกล็ดหิมะบนกล้องจุลทรรศน์หรืออะไรทำนองนั้นด้วย สวยมากๆเลย(ชอบ^-^)
พล่ามซะยาวยืดเลยอ่ะ ยังไงใกล้ปีใหม่แล้วก็รักษาตัวด้วยนะคะทุกท่าน
ขอบคุณที่ช่วยเข้ามาอ่าน+เม้นท์เจ้าค่ะ
ความคิดเห็น