ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #13 : รอยอดีต

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ย. 49


     
          หลังจากต้องพบเจอแต่สภาพทิวทัศน์อันแห้งแล้งของทะเลทราย ซึ่งตอนนี้เป็นฤดูร้อนถึงร้อนโคตรๆ  ชายหนุ่มจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้กลับมาเหยียบแพนโทเนียอีกครั้ง  
     
         เจ้าตัวหยัดกายบิดไล่ตัวขี้เกียจทั้งหลายแหล่ที่เข้ามาเกาะติดอยู่หลายวัน ก่อนจะเริ่มออกเดินไปตามทางเดินเล็กๆในสวนกว้างซึ่งค่อนข้างสลับซับซ้อนเอาการ  ยามนี้เป็นฤดูที่แพนเทียเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณแข่งกันผลิบานสะพรั่ง  ชายหนุ่มทอดน่องชมสวนท่ามกลางอากาศอุ่นติดจะร้อน
     
         “อ้าว ตรงนี้ข้าผ่านแล้วนี่”  เจ้าตัวเกาหัวพลางวาดมือ แผนที่อันเก่งปรากฏขึ้นจากอากาศว่างตรงหน้า  “ดีนะเนี่ยที่ลงมนตร์ไว้ ข้านี่ฉลาดจริงๆ”  จัดการชมตัวเองเสร็จสรรพ  แผ่นหนังในมือนอกจากจะเป็นเครื่องหมายบอกสถานที่ต่างๆแล้ว ยังมีจุดเล็กๆแทนตัวเขาขยับไปมาอีกด้วย  
     
         “อืม…ต้องเดินไปทางนั้นสินะ  แล้วก็เลี้ยวซ้ายสามครั้ง  ขวาอีกสองครั้ง”
     
         แปะ  แปะๆๆๆ
     
         “เฮ้ย ตกลงมาได้ยังไง”  
     
         “พยากรณ์อากาศเมื่อเช้าไม่ได้บอกนี่นาว่าฝนจะตก”  เวนตุสทำหน้ายุ่ง ที่จู่ๆอากาศเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเมื่อครู่ซึ่งเคยสดใสแดดอ่อนๆกลายเป็นเมฆฝนเกลื่อนฟ้าแทน  เล่นเอาชายหนุ่มต้องรีบเก็บแผนที่แล้ววิ่งหาที่หลบแทบไม่ทัน
     
         “เปียกหมดแล้ว ทำไงดี”  เวนตุสโอดครวญกับตัวเอง  “อ้าว!!ไม่ทันขาดคำ”  เขาลูบหน้าลูบตาเป็นการใหญ่เนื่องมาจากสีน้ำตาลซึ่งทำขึ้นด้วยสมุนไพรที่ราดใส่หัวเขาโดยบังเอิญ  และเกาะติดแน่นอยู่อย่างนั้นได้ฤกษ์หลุดออก โชคดีเหมือนกันที่มาหลุดเอาตอนอยู่ในพระราชวัง  ขืนให้เขาเดินไปเดินมาทั้งๆที่สีผมแท้จริงนั้นเด่นราวสัญญาณไฟของลานลงมังกรอย่างนี้ มีหวังถูกอัปเปหิให้เข้าป่าแหงๆ
     
         “สีแปร๊ดเลย”  ชายหนุ่มเบ้หน้า  “เสื้อผ้าก็เปียกโชกไปหมด  สงสัยตรงนั้นจะมีที่หลบฝน” เขาว่าพลางมุ่งหน้าตรงไปตามทิศทางนั้น    
     
         เสียงหวานเสนาะจากฮาร์มอนิคกาแทรกผ่านตามสายฝนซึ่งเทลงมาเรื่อยๆ  เสียงใสนั้นร่าเริงราวความ  ปีติแห่งพิรุณอันนำพาความชุ่มฉ่ำสู่พื้นดิน หล่อเลี้ยงต้นไม้ดอกไม้ให้เติบโตงดงาม
     
         ชายหนุ่มวิ่งตามเสียงนั้นไปโดยไม่รู้ตัวจนโผล่พ้นพุ่มไฮเดรนเยียมาปะกับซุ้มทางเดินกว้าง  เวนตุสสะบัดศรีษะไล่น้ำฝนพลางก้มหน้าก้มตาบิดน้ำออกจากเสื้อผ้าเป็นการใหญ่ จนไม่ได้สังเกตว่ามีบางคนกำลังเดินตรงมาทางเขา
     
         ร่างระหงในอาภรณ์ผ้าบางเบาสีอ่อนยาวระพื้น รับกับผมสีทองอ่อนมุ่นเป็นมวยไว้อย่างง่ายๆ นางชะงักเล็กน้อยเมื่อพบว่ามีชายหนุ่มแปลกหน้ามายืนหันรีหันขวางอยู่  เสียงเพลงหยุดลงแล้วหลงเหลือเพียงเสียงฝนพรำแผ่วเบารอบกาย
     
         ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวพอดี เขาหยุดนิ่งคล้ายต้องมนต์ก่อนจะรีบบอก  “ข้าหลงทางมาน่ะ” เวนตุสเกาท้ายทอยแก้เก้อ  ครั้นเห็นอีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาแปลกจึงเริ่มตระหนักได้  “ข้า….ขอหลบฝนแป๊ปเดียว  พอฝนซาก็ไปแล้ว”  เจ้าตัวเริ่มเกิดอาการทำอะไรไม่ถูก  ไม่ใช่ว่าไม่เคยโดนใครจ้อง แต่กับคนตรงหน้ามันรู้สึกแปลกๆอย่างไรชอบกล   
     
         ท่าทางหญิงสาวเหมือนจะรู้สึกตัวว่าจ้องเขาอยู่นานแล้วจึงเบือนหน้าไปทางอื่น  ฝนคงตกอีกนานแม่หญิง  “ข้ามีนามว่าเวนตุส  ทำงานอยู่ที่สถาบันวิจัย”  ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างเป็นมิตรพลางเอนตัวพิงเสาต้นข้างกาย  “ข้า….ลีเมย์”  นางกล่าวตอบ   “ท่านคือคนที่บรรเลงเพลงเมื่อครู่หรือ”  ชายหนุ่มเหลือบเห็นฮาร์มอนิคกาในมือหญิงสาว  “ข้าฟังแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสายฝนไปด้วยเลย”   
     
         ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองตามหยดน้ำที่ตกลงมา  ลีเมย์เดินมาหยุดอยู่ข้างเขา  เสียงหวานใสดังขึ้น ครานี้กลับพรรณนาถึงบุปผาซึ่งคลี่กลีบบานรับแสงแห่งอาทิตย์  บทเพลงเป็นท่วงทำนองที่ค่อนข้างแปลกหูชายหนุ่มเอาการ   ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังฮัมตามเบาๆตามอย่างรื่นเริง 
     
         ทั้งสองพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆมากมาย เวนตุสเล่าถึงเรื่องการเดินทางของตนที่ผ่านดินแดนต่างๆขึ้นเหนือล่องใต้  ทั้งเรื่องราวของทวีปอันห่างไกล  นิทานแปลกๆที่เล่าขานกันในหมู่เกาะพรีดีอาซึ่งอยู่เลยชายฝั่งของแพนเทียออกไปในทะเลแสงดาว
     
         ฮัดชิ้ว  ฮัดชิ้ว…เฮ้ย!! ฮัดชิ้วววว
     
         เวนตุสจามถี่หลายครั้งติดกัน  เนื่องจากความชื้นของอากาศและเสื้อผ้าที่บิดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมแห้งสักที  ครั้งจะใช้มนตราก็ดูเอิกเริกไปหน่อย กลัวว่าอีกฝ่ายที่ไม่เคยเห็นพ่อมดจะตกใจ
     
         “องค์หญิง”  เสียงจากหญิงสาวสองคนซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาทั้งคู่ด้วยท่าทางเร่งรีบ  “นั่นใครหรือเพคะ  ดูท่าทางเหมือนคนต่างบ้านต่างเมือง”  หนึ่งในนั้นพูดขึ้น  “สหายข้าเอง เขาเป็นคนของเสด็จพ่อ”  ลีเมย์เอ่ยถึงคนที่ตอนนี้ยืนแข็งทื่อเป็นรูปปั้นไปเรียบร้อยแล้ว  
      
         นางกำนัลทั้งสองจ้องเขาไม่วางตา จนเธอต้องไล่ให้ไปหาพี่เลี้ยงของตน  “ท่านเชิญมากับข้า”  หญิงสาวผายมือไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของตำหนัก  “ข้าจะให้คนเตรียมชุดใหม่ให้ท่าน เดี๋ยวจะไม่สบาย”  ชายหนุ่มได้สติรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน เขาเสกไฟเย็นขึ้นตรงหน้า แล้วดีดนิ้วเปาะหนึ่ง  ลูกไฟนั้นระเบิดออกคล้ายพลุหลากสีก่อนจะซึมหายเข้าไปตามเสื้อผ้าส่วนที่ยังเปียกชื้นของเขาจนแห้งหมด
     
         ลีเมย์มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจปนแปลกใจ  “หม่อมฉันเป็นพ่อมด”  เขายิ้มให้พร้อมร่ายมนตร์อีกครั้ง  พลันดอกไม้หลากสีปรากฏขึ้นจากอากาศว่างเปล่ารอบกายเจ้าหญิง  ดอกไม้เหล่านั้นคลี่กลีบบานสลับกับร่วงโรย
     
         “สวยจัง”  เจ้าหญิงหัวเราะอย่างร่าเริง  สายฝนภายนอกขาดเม็ดลงแล้ว  เวนตุสค้อมกายลงคำนับเป็นเชิงอำลา  “ฝนหยุดแล้ว หม่อมฉันขอลา”  เจ้าตัวว่าพลางถอยออกมา  “หวังว่าเราคงได้พบกันอีก”  เจ้าหญิงตรัสตอบเช่นนั้น
     
         และหลังจากเขากลับมาเหยียบสถาบันวิจัย บรรดาผู้ใช้เวททั้งหลายพากันจ้องเขาเขม็งจนลูกตาแทบหลุดออกมานอกเบ้า  ชายหนุ่มได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆให้คนโน้นทีคนนี้ที แล้วลูบผมตนเอง  
     
         “จริงๆแล้วผมข้ามันสีนี้ล่ะ  แต่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อเลยกลายเป็นสีน้ำตาลนั่น”  คือคำอธิบายสั้นๆจากปากเจ้าตัว  ซึ่งผมสีน้ำเงินเปลี่ยนให้ใบหน้าหมดจดดูขี้เล่นนั้น คล้ายเย็นชาขึ้นเหมือนน้ำแข็งขึ้นมาทันตา
                     
                                     ******************
     
         แว่วเสียงดนตรีดังอย่างรื่นเริงของงานเทศกาลฤดูร้อนดังมาจากภายนอกรั้วของสถาบันวิจัย  ในเมืองนั้นมีการตั้งโต๊ะยาวตั้งแต่หน้าพระราชวังไปจนถึงจตุรัสดวงดาวกลางเมือง ซึ่งต่างคนต่างนำอาหารของตนออกมาวาง ยิ่งนับรวมไปกับอาหารที่องค์ราชาพระราชทานมาให้แล้วจึงแทบล้นโต๊ะเลยทีเดียว  
     
         เมื่อตอนหัวค่ำบรรดาผู้ใช้เวทพากันชวนเขาออกไปเดินเล่นเปิดหูเปิดตาในเมือง แต่ด้วยความเหนื่อยปนขี้เกียจเขาจึงขอตัวนอนเล่นในสถาบันรอกินของฝากที่พวกนั้นติดไม้ติดมือมาให้ดีกว่า  
     
         พระจันทร์ดวงกลมทอแสงนวลขึ้นเหนือฟากฟ้า  กลิ่นอาหารหลายชนิดผสมปนเปกันจนชายหนุ่มชะโงกหน้าออกไปดูพร้อมทำจมูกฟุดฟิดๆกับกลิ่นชวนน้ำลายสอนั่น  เขาพลิกตำราในมือไปมาอย่างไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านมันให้จบในเร็วๆนี้
     
         และหลังจากนอนคิดอะไรไปคิดอะไรมาหลายตลบก็เกิดอารมณ์อยากเดินเล่นเสียอย่างนั้น  ชายหนุ่มเลยคว้าเสื้อคลุมตัวเก่งติดมือออกมาตามความเคยชิน  
     
         ยอดสีเงินของพระราชวังจับแสงไฟหลากสีที่ส่องมาจากตัวเมืองจนดูสวยอย่างน่าประหลาด  ตัวพระราชวังเองก็พราวระยับไปด้วยดวงไฟมากมาย  พ่อมดหนุ่มเล็งต้นไม้ใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในสวนข้างตัวสถาบันเป็นจุดหมาย  เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็ขึ้นมานั่งปร๋ออยู่บนยอดไม้อย่างสบาย 
     
         จากบนนี้นั้นสูงพอที่จะมองเห็นไปถึงในตัวเมืองได้อย่างสบายๆ  ชายหนุ่มวาดมือเล็กน้อย  ปรากฏกล้องส่องทางไกลยี่ห้อแพนเทียขนานแท้ขึ้น  “ชัดเหมือนกันนะ”  เวนตุสว่าพร้อมปรับกล้องที่ตอนนี้กำลังมองขบวนแห่และการเต้นรำตรงจตุรัสดวงดาว  พลางฮัมเพลงคลอ
     
         “อ๊ะ!!….เหวอ”
     
         เวนตุสร้องลั่นพร้อมกับที่ตัวเองซึ่งนั่งอิงอยู่กับคบไม้เสียหลักร่วงหวืดลงมา  ถึงจะกลับลำทันแต่ก็ลงพื้นด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสวยนัก  เขาลุกขึ้นมายืนโซเซพลางนึกแช่งนกตัวต้นเหตุซึ่งบินพรวดพราดออกมาชนจนเขาตกลงมา  มือของใครบางคนยื่นมาช่วยพยุงชายหนุ่มไว้  “ขอบคุณครับ”  เจ้าตัวเอามืออีกข้างยันต้นไม้ไว้  
     
         “อ้าว….เอ๋”  
     
         เวนตุสเกิดอาการติดอ่างชั่วขณะเมื่อหันไปพบว่าอีกฝ่ายคือเจ้าหญิงลีเมย์ที่เขาพบเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง  ครั้นเห็นหน้าชายหนุ่มเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามเธอจึงเอ่ยเสียงเบา “ข้าเพิ่งกลับมาจากในเมือง  อยู่แต่ที่ตำหนักมันเบื่อ  เลยแอบออกมาเดินเล่น”
     
         “หม่อมฉัน….หม่อมฉัน …เอ่อคือ ต้องคำนับก่อนสิ” ชายหนุ่มเริ่มสับสนกับลำดับในสมองตนเอง “ไม่ต้องหรอก  พูดกันแบบธรรมดาเหมือนเมื่อวันก่อนนั่นล่ะ” เจ้าหญิงบอก  
     
         “ไม่ได้พะยะค่ะ เดี๋ยวจะเป็นการหลู่เกียรติพระองค์”  
     
         “ข้าสั่ง!!”
     
         “เอ้อ…พะยะค่ะ” ว่าแล้วชายหนุ่มจึงก้มศรีษะคำนับ  “บอกว่าไม่ต้องไง”  เสียงหวานว่า  “ครับๆ”  เวนตุสรับคำแล้วเปลี่ยนกลับไปพูดแบบธรรมดาตามเดิม  
     
         “เมืองสวยดีนะ”  ลีเมย์ว่าพลางทอดสายตามองทิวทัศน์เบื้องหน้า  “ถ้าอยู่บนที่ที่สูงกว่านี้คงเห็นทั่วเมืองแน่เลย”  ทำให้ชายหนุ่มเกิดความคิดดีๆขึ้นมาได้ เขาพึมพำถ้อยคำสองสามประโยคด้วยเสียงเบา  แล้วร่างของทั้งสองก็หายวับไปจากตรงนั้นในทันที
     
         “เอ๊ะ!!”  ลีเมย์อุทานด้วยความประหลาดใจ เมื่อจู่ๆตนเองซึ่งกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ดีๆกลับมาโผล่บนหลังคาแถวยอดพระราชวังไปได้  ครั้นเหลือบสายตาไปข้างกายพบว่าตัวต้นเหตุกำลังยืนอมยิ้มรอดูปฏิกิริยาอยู่  “เจ้านี่นะ” จะว่าก็ว่าไม่ได้เต็มปากนัก  พ่อมดหนุ่มเองก็ทำท่าลอยหน้าลอยตาอย่างไม่เดือดร้อนอะไรนัก
     
         “ทอด…เอ้อ ดูสิ”  เขาบอกพร้อมนั่งพิงกำแพงด้านหลัง  ลีเมย์มองผ่านกำแพงเตี้ยๆเบื้องหน้าลงสู่ตัวเมืองแพนโทเนียที่ส่องแสงวิบวับคล้ายดาวในคืนเดือนมืดด้วยโคมไฟในฤดูร้อนนับร้อยดวง  สายลมพัดพาเอาเสียงดนตรีซึ่งบรรเลงเพลงเต้นรำพื้นเมืองดังขึ้นมาเพียงแผ่วเบา  
     
         “สวยไหม?”  เวนตุสยิ้มให้เมื่อหญิงสาวทรุดกายนั่งข้างๆเขา  “อืม”  อีกฝ่ายรับคำ  “สวยมากเลยล่ะ  มองจากบนนี้แล้วแพนโทเนียนี่เหมือนภาพฝันทีเดียว”  ชายหนุ่มพยักหน้ารับ  “นั่นสิ  สวยขนาดนี้เชียว”  
     
         “แล้วบ้านเจ้าล่ะ  เป็นแบบนี้หรือไม่?”
     
         เวนตุสหันมายิ้ม  “ที่บ้านของข้ายามมีเทศกาลฉลองฤดูหนาวนั้น  ทั่วเมืองจะถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวมากมายที่สะท้อนแสงจนเป็นสีเงิน  ตกกลางคืนแต่ละบ้านจะแขวนตะเกียงใส่ลูกไฟสีอมฟ้าไว้คอยนำทางเหล่าภูตหิมะ  และทุกๆคนจะถือตะเกียงอีกคนละดวงแล้วไปรวมตัวกันที่ลานกว้างของเมืองเพื่อขอพรจากเทพผู้ดูแล”
     
         หญิงสาวข้างกายพยายามนึกภาพตามที่ว่า  พ่อมดหนุ่มหัวเราะ ในมือเขาเป็นภาพมายาขนาดเล็กของเมืองๆหนึ่ง  เขาใช้สองมือประคองมันไว้ ลีเมย์ขยับเข้ามาใกล้เพื่อดูภาพให้ชัด  อาคารบ้านเรือนรูปร่างแปลกตาอย่างเมืองที่มีแต่หน้าหนาวเต็มไปด้วยหิมะ แลคล้ายเค้กซึ่งถูกโรยด้วยไอซิ่งจนหนา  ภาพค่อยเปลี่ยนไปเป็นเวลาค่ำคืน แสงตะเกียงมากมายราวหิ่งห้อยหน้าร้อน  ก่อนที่จะดับวูบลง  
     
         “ที่บ้านเจ้างามเหลือเกิน”  ลีเมย์เอ่ย  “ได้ยินมาว่าเจ้าออกเดินทางมาตั้งนานแล้ว ไม่กลับไปเยี่ยมบ้างหรือ?”  เวนตุสนิ่งเงียบปล่อยให้เสียงของสายลมแทรกเข้ามาแทนคำตอบ  ใบหน้าเขาถูกซ่อนอยู่ในเงามืดของยอดพระราชวังทำให้ลีเมย์ไม่อาจรู้ได้ว่าเวลานี้เขากำลังคิดอะไรอยู่  
     
         “ข้าขอโทษ”  เธอกล่าวเสียงเบา  “ไม่เป็นไรหรอก  ยังไงข้าก็กลับไปที่นั่นไม่ได้อีกแล้ว”  ชายหนุ่มบอกพร้อมยื่นจานอาหารในมือให้ลีเมย์   “เจ้าไปเอามาจากไหน”  เห็นอยู่ชัดๆว่าเมื่อครู่มือของพ่อมดยังว่างเปล่าอยู่เลย  
     
         “น้ำอะไรเนี่ย”  ชายหนุ่มเบ้หน้าเมื่อรสชาติของน้ำสีแดงจากแก้วในมืออมเปรี้ยวชวนเสียวฟันอย่างบอกไม่ถูก  “นั่นมันน้ำแกลเบอรี่หมัก”  หญิงสาวหันมาเห็นเข้า  “หืม เข้มข้นเชียว เขาต้องผสมกับน้ำเปล่าให้เจือจางก่อน” เธอรับแก้วมาดูแล้วหัวเราะเมื่อคนข้างตัวทำหน้าแปลกๆ 
     
         “งั้นเปลี่ยนก็ได้”  เขาว่าแล้วดึงแก้วใส่เครื่องดื่มอีกชนิดออกมาจากอากาศว่างๆ  เจ้าหญิงประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้  “จริงสิ เวนตุสเป็นพ่อมดนี่นา”

                          **************************
     
         แม้ในฤดูร้อนลมยามดึกก็ค่อนข้างเย็นเอาการ  ชายหนุ่มหยิบเสื้อคลุมหนาของตนห่มให้หญิงสาวด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่สบาย  “ขอบใจจ๊ะ”  ลีเมย์ยิ้มให้  
     
         แสงไฟในเมืองยังคงพราวระยับดูมีชีวิตชีวาเช่นเดิม  “นี่ก็ดึกแล้วข้าว่าเรากลับลงไปเถอะ” หญิงสาวพยักหน้า แล้วทั้งสองก็กลับลงมายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ณ จุดเดิม  ชายหนุ่มเดินไปส่งเจ้าหญิงจนถึงหน้าประตูบานใหญ่ของพระราชวัง  
     
         “ราตรีสวัสดิ์”  
     
          เจ้าหญิงกล่าวลาแล้วเดินเข้าไป  ชายหนุ่มเดินเอื่อยอย่างไม่เร่งรีบนักกลับสถาบัน  กลับไปเยี่ยมบ้าน  เขานึกถึงคำพูดนั้น  “ท่านแม่จะยังสบายดีไหมนะ  จะคิดถึงข้าบ้างหรือเปล่า”  ภาพมายาเมื่อครู่ปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง  “ป่านนี้ที่นั่นก็อุ่นขึ้นแล้วสินะ  ดอกไม้คงบานเต็มไปหมดเหมือนที่นี่”    
     
         “แต่ข้า…..ไม่อาจกลับไปเหยียบดินแดนแห่งนั้นได้อีกแล้ว”  ชายหนุ่มยิ้มเศร้ากับตัวเอง  เสียงกระดิ่งลมดังมาจากที่ไหนสักแห่ง  
     
         กรุ๊งกริ๊ง  กรุ๊งกริ๊ง
     
         เสียงนั้นฟังแล้วชวนให้รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก  ขณะที่ภาพมายาจางหายพร้อมสายลมแรง 

                                 *********************
     
          เช้านี้แอนโทนี่แวะมาเยี่ยมเยียนเขาถึงในตัวสถาบัน  “ท่านมาหาข้ามีธุระอะไรหรือ  มาแต่เช้าเชียว”  เวนตุสเอ่ยถามและเมื่อเห็นชายหนุ่มเป็นอีกรายที่จ้องผมเขาด้วยความสงสัยก็ถอนหายใจ  แล้วเริ่มขุดเอาคำอธิบายที่จำจนขึ้นใจมาพูดซ้ำเป็นรอบที่หนึ่งร้อย  
     
         “ก็สวยดี เหมาะกับสีตาเจ้านี่”  ชายหนุ่มว่าอย่างนั้น  “เมื่อคืนกองคาราวานของอายันเข้ามาถึงเมืองหน้าด่านของเรา”  เวนตุสยิ้มด้วยความดีใจ  “มากันแล้วหรือครับ  แล้วจะเข้ามาถึงแพนโทเนียหรือเปล่า”  เขารีบยิงคำถามต่อ  “อันนี้ข้าไม่แน่ใจ  คงต้องรอพวกนั้นส่งสาสน์รายงานมาอีกที”  ดูเหมือนแอนโทนี่จะนึกถึงธุระอีกเรื่องขึ้นมาได้  
     
         “จริงสิ  เดี๋ยวองค์ชายจะเสด็จมา  ได้ข่าวว่าอยากพบเจ้าด้วย”  ชายหนุ่มแจ้ง  “พบข้า?…….”  เวนตุสกำลังจะถามอะไรต่อแต่แอนโทนี่ตัดบทเสียก่อน  “องค์ชายมาถึงเจ้าก็รู้เอง ข้าต้องไปเข้าเฝ้าองค์ราชาก่อน”  ชายหนุ่มรีบเดินจากไปปล่อยให้พ่อมดยืนทำหน้างงอยู่ตรงนั้นจนสัญญาณการเสด็จดังขึ้น
     
         เจ้าชายองค์น้องทรงมีอัธยาศัยคล้ายคลึงกับเจ้าหญิงผู้พี่ยิ่งนัก  ทั้งยังให้ความสนใจไต่ถามเกี่ยวกับ สิ่งประดิษฐ์ และการค้นคว้าวิจัยที่ชายหนุ่มกำลังดำเนินการอยู่  ด้วยเหตุนี้เองทั้งสองจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว 

                               **************************
     
         ฤดูร้อนผ่านเลยไป  ใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีอมเหลืองส้มก่อนจะปลิดปลิวจากกิ่งก้านลงสู่พื้นดินเป็นสัญญาณว่าฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะย่างกรายเข้ามาแล้ว  
     
         “สวัสดีจ๊ะทุกๆคน”  เสียงหวานดังผ่านประตูห้องทำงานเข้ามา  เวนตุสละมือจากเอกสารแล้วมองหาต้นเสียงที่วันนี้อยู่ในชุดกระโปรงยาวอย่างเรียบง่ายคล้ายหญิงสาวทั่วๆไป  ผมสีทองถักเป็นเปียเดี่ยวอยู่กลางหลังพร้อมหอบหิ้วตะกร้าใบใหญ่  ตามมาด้วยเจ้าชายผู้น้องที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าป่านคอตั้งกับกางเกงขายาวสีดำที่ดูเปรอะเหมือนเพิ่งไปคลุกฝุ่นยังไงยังงั้น  
     
         เด็กหนุ่มเดินเข้ามาพลิกหนังสือหลายเล่มในกอใหญ่ของพ่อมดอย่างสนใจ  “ข้าเพิ่งไปเดินเล่นในเมืองมา”  เจ้าหญิงเริ่มต้นเล่าให้ชายหนุ่มฟัง  “เจ้าก็เอาแต่ทำงานอยู่ในสถาบันไม่ยอมเข้าเมืองกับข้าบ้าง”   เขาจึงหันมายิ้มเจื่อนๆให้ พลางคิดในใจ  เข้าเมืองครั้งก่อนข้ายังโดนมองจนแทบจะกร่อนอยู่แล้ว  ขืนไปอีกทีมีหวังละลายกลายเป็นวุ้นรอให้คนมาตักกลับแน่ๆ
     
         “ท่านเรฟสบายดีหรือคะ?”  หญิงสาวเอ่ยถามหัวหน้าผู้ใช้เวทพลางส่งตะกร้าในมือซึ่งเต็มไปด้วยผลไม้หลากชนิด   เห็นพวกท่านทำงานหนักกันข้าเลยเอามาฝาก  
     
         “ขอบพระทัยที่อุตส่าห์พระราชทานของอร่อยๆมาให้พวกกระหม่อม”
     
         ตะกร้าใบนั้นถูกส่งเวียนๆกันจนทั่วห้องในเวลาอันรวดเร็ว  ไม่ทันที่เรฟจะพูดจบของก็หมดเกลี้ยงเหลือแต่ตะกร้าคลุมผ้าเปล่าๆวางอยู่ที่เดิม  
     
         “แล้วคุกกี้ของข้าล่ะ?” นางหันไปถามเอากับน้องชาย  “ก็อยู่ตรงโต๊ะในสวนข้างนอกโน่น  ข้าขี้เกียจหอบเข้ามานี่นา”  ลาร์คทำตาแป๋วท่าทางใสซื่อ  “ข้าไปกับท่านด้วย”  เวนตุสร้องบอกเมื่อเจ้าหญิงทำท่าจะก้าวออกไป  ภายในห้องบรรดาผู้ใช้เวททั้งหลายซุบซิบกันแล้วมองตามออกไปเหมือนรู้ทัน  
     
         “วันนี้ข้าไปเรียนทำขนมกับคุณยายแอนด์ในร้านเบเกอรี่มาด้วยล่ะ”  เสียงหวานเจื้อยแจ้วคล้ายนกตัวน้อยร้งเพลง  “แล้วยังไปช่วยป้าเจเน็ตเลือกผัก  ไปเยี่ยมลุงจอร์จ  ไปเก็บผลไม้กับพวกเด็กๆ สนุกมากเลย”   
     
         “ทำคุกกี้น่ะเหรอ”  ชายหนุ่มถามเมื่อเลิกผ้าคลุมตะกร้าออกดู  “คุกกี้ช็อกโกแลตจ๊ะ”  หญิงสาวบอก  “ฝึกทำมาตั้งนาน ครั้งนี้ครั้งแรกเลยนะที่อบออกมาแล้วไม่ไหม้   เลยเอามาให้เจ้าลองชิม”  ลีเมย์จัดขนมสีออกเกรียมๆใส่จานเล็กในตะกร้าส่งให้ชายหนุ่มกับน้องชายของตน  
     
         “เอ้อ  ข้าเพิ่งนึกได้ว่าต้องเอาหนังสือไปคืนท่านอาลักษณ์แล้ว  ขืนช้าจะโดนสารานุกรมทุบหัว”  เจ้าชายรีบบอก  “ฝากดูแลพี่ข้าดีๆด้วยล่ะ”   อีกฝ่ายตั้งท่าจะวิ่งออกไปแต่ชะงักหันกลับมาป้องปากพูดด้วยเสียงเบา  “ข้าว่าท่านน่าจะหาน้ำเตรียมไว้เผื่อสักเหยือกสองเหยือกก่อนกินไอ้นั่นนะ”  แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาคว้าคุกกี้ชิ้นโตเข้าปาก
     แค๊กกกก  แค๊ก  
     
         “ทำไมมันฝืดคออย่างนี้  แถมยังขมปี๋เหมือนใส่เมล็ดกาแฟไหม้มากกว่าช็อกโกแลต”  ลีเมย์ส่งแก้วน้ำให้พลางถามเขาด้วยรอยยิ้ม  “อร่อยไหม”  ชายหนุ่มจำใจพยักหน้า  “งั้นทานให้หมดเลยนะ”  เธอบอกด้วยท่าทางดีใจ  ข้ารู้แล้วว่าทำไมพวกนั้นได้ยินคำว่าคุกกี้ถึงหน้าซีดไปตามๆกัน  ไม่ยอมเตือนบ้างเลยนะ    

                                  ***********************
     
         “องค์ราชา หม่อมฉันคิดว่าเจ้าหญิงลีเมย์ซึ่งเป็นรัชทายาทนั้น…….”
     
         “เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว”  ราชาซาร์เรสตรัสขัดคำกราบทูลของเสนาบดีคนสนิท  “ข้าคิดว่าให้นางเลือกผู้ที่รักนางจริงจะเหมาะสมกว่า”
     
         “แต่บุตรของท่านเสนาบดีฝ่ายทหารนั้นเก่งกล้า ชาญฉลาด  ทั้งยังเป็นการเชื่อมสัมพันธภาพระหว่างเรากับแผ่นดินใต้ให้แน่นแฟ้น  เมื่อเราครอบครองคาบสมุทรซีเนียไว้ได้เราก็จะสร้างกองเรืออันยิ่งใหญ่  แพนเทียจะเป็นใหญ่ในดินแดนนี้”  นัยน์ตาสีน้ำตาลของชายวัยกลางคนเป็นประกายวับ  “เอาเถิด เรื่องนี้ข้าจะลองคิดดู  เรามาเล่นหมากรุกกันสักตาจะดีกว่า”  องค์ราชาตรัสเป็นเชิงจบการสนทนา  
     
         ครั้นเห็นว่าองค์ราชาทรงทีท่าทีรีรอและไม่ทรงตัดสินพระทัยอันใด  โรอากซึ่งมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้แพนเทียขึ้นเป็นใหญ่ในแถบฟินน์เดนจึงได้รวมตัวกับเหล่าขุนนางกลุ่มหนึ่งและคิดจะล้มล้างราชบัลลังก์  พวกเขาสร้างกล่องดนตรีซึ่งสลักเสลาขึ้นอย่างงดงามกล่องหนึ่ง ภายในกล่องนี้บรรจุปีศาจที่ชั่วร้ายเอาไว้  
     
         “อ้าว…….ท่านโรอาก”  เจ้าชายลาร์คทักอย่างคุ้นเคย  “นั่นกล่องอะไรหรือ”  เด็กหนุ่มถามเมื่อเห็นกล่องลวดลายงดงามในมืออีกฝ่าย  “กล่องเครื่องหอมพะยะค่ะ  หม่อมฉันเพิ่งได้มันมาจากพ่อค้าคนหนึ่ง  เห็นว่าเป็นของหายากเลยจะนำไปถวายองค์ราชา”  
     
         “เช่นนั้นท่านไปพร้อมๆกับข้าเลยไหม  ท่านพ่อกับท่านพี่อยู่ที่ห้องอักษร”  เจ้าชายเอ่ยชวน  “มิได้พะยะค่ะ หม่อมฉันมีธุระต้องออกไปยังเมืองหน้าด่าน จึงอยากฝากให้เจ้าชายนำไปถวายแทนหม่อมฉัน”  ชายวัยกลางคนกล่าว  “ได้สิ” ลาร์คยื่นมือไปรับกล่องไม้ขนาดเล็กมาถือไว้  “ท่านเองก็ไปดีมาดีนะ”  
     
         “อีกไม่นานหรอก ปีศาจซึ่งถือกำเนิดจากโลหิตแห่งข้าจะทำให้ข้าสมหวัง  พวกเจ้าจะกลายเป็นฝุ่นผงเล็กๆบนหน้าประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่นับจากนี้”  ชายวัยกลางคนมองตามหลังเด็กหนุ่มที่หายลับไปในอุทยานด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ 

                         *********************

         “ข้าว่าท่านพ่อกับท่านพี่น่าจะชอบมันนะ”  เจ้าชายหนุ่มนึกในใจพลางรีบสาวเท้าผ่านอุทยานหลวงเพื่อให้ไปถึงห้องอักษรซึ่งตั้งอยู่ติดกันโดยเร็ว   
     
         ด้วยความรีบร้อนนี้เองทำให้เจ้าชายลาร์คสะดุดล้มลงในอุทยาน  ทันใดนั้นฝากล่องดนตรีซึ่งลงกลอนไว้ก็เปิดออก  ควันสีดำน่าหวาดหวั่นพวยพุ่งออกมา  หมอกควันเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นกลุ่มหนาทึบแล้วพุ่งเข้าใส่เจ้าชาย  
     
         “ไม่………..”  เสียงร้องซึ่งเวนตุสจำได้ว่าเป็นเสียงของเจ้าชายลาร์คดังขึ้น  ชายหนุ่มรีบวิ่งตรงไปยังต้นเสียงพร้อมทหารยามหลายคน  ทันทีที่โผล่พ้นพุ่มไม้ เบื้องหน้าชายหนุ่มคือเงาดำสายใหญ่  ไม่เป็นรูปเป็นร่างลอยอ้อยอิ่งเหนือร่างของเจ้าชายซึ่งนอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่บนพรมหญ้า  กลิ่นอายชั่วร้ายแผ่กระจายไปทั่ว
     
          ชายหนุ่มตัดสินใจทุ่มพลังทั้งหมดเข้าใส่ตัวปีศาจเพียงเพื่อยับยั้งไม่ให้มันทำอันตรายผู้ใด  แสงสีสว่างสาดออกจากมือทั้งสองปะทะเข้ากับรังสีที่เงาดำนั้นแผ่ออกมาต้านไว้แต่ก็เพียงชั่วครู่  แสงสีขาวนั้นชำแรกผ่านเข้าไป เงาดำไหวระริกเพียงชั่วครู่ก่อนจะจางหายไปกับธาตุอากาศ  
     
         เวนตุสรีบวิ่งตรงเข้าไปหาร่างบนพื้นหญ้า  พลันเงาที่สูญสลายไปเมื่อครู่กลับมารวมตัวกันใหม่แล้วพุ่งเข้าใส่ร่างเขา  สายสีดำซึมวาบหายเข้าไปในตัวชายหนุ่ม ก่อนที่สำนึกสุดท้ายจะดับวูบลง เวนตุสรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดผลักร่างของเจ้าชายลาร์คจนกระเด็นไปอยู่ข้างพุ่มไม้ 
     
         “กรร…….”
     
         ร่างของเวนตุสคล้ายมีเงาสีดำทับซ้อนอยู่อีกชั้น นัยน์ตาสีอมม่วงงามไร้แวว  เขาลุกขึ้นช้าๆก่อนจะเดินย่างสามขุมมาหาพวกทหารซึ่งรายรอบอยู่  “ท่านเวนตุส”  หนึ่งในนั้นพยายามเรียก
     
         อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!
     
         เส้นไหมสีเงินพุ่งออกมาจากอากาศทุกทิศทุกทางเข้าเสียบทะลุร่างเหยื่อเคราะห์ร้ายหลายราย  เลือดสีสดสาดกระจายเต็มพื้นทางเดิน  ยังไม่ทันที่จะขยับตัวหนีปรากฏลูกไฟสีขาวจ้าในมือพ่อมด 
     
         พรึบ!!!
     
         เปลวไฟเหล่านั้นลุกโชนท่วมร่างผู้ที่เหลือต่อๆกันไปทีละรายจนมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าถ่าน  บางคนที่เคราะห์ดีไม่ตายได้แต่นอนกุมแผลพุพองพลางร้องโอดโอยโดยไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเหลือ  อุทยานหลวงที่เคยงดงามกลับเต็มไปด้วยเลือดและกรีดร้องอย่างทรมาน  ผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่พากันวิ่งหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต  เสียงกลองสัญญาณระดมพลดังกึกก้องไปทั่วทั้งพระราชวัง  
     
         “องค์ราชา!!”  ทหารรักษาพระองค์กระหืดกระหอบเข้ามายังห้องอักษร  “ท่านพ่อมดถูกปีศาจร้ายครอบงำกำลังอาละวาดอยู่ในอุทยานหลวง  พวกเรายังช่วยเจ้าชายออกมาไม่ได้….”  เสียงรายงานยังไม่จบดีราชาซาร์เรสคว้าดาบยาวคู่ใจตรงลงไปในอุทยานทันที  ฝ่ายเจ้าหญิงลีเมย์ด้วยความเป็นห่วงน้องชายทำให้พระองค์ไม่ยอมฟังคำทัดท้านของเหล่านางกำนัลและพี่เลี้ยงเสด็จออกมาจนถึงที่เกิดเหตุ 
     
         เหล่าทหารที่ถูกเรียกมาพร้อมกับบรรดาผู้ใช้เวทพากันกระจายกำลังล้อมรอบสนามบริเวณที่ปีศาจอาละวาดตามบัญชาขององค์ราชา เรฟซึ่งเป็นหัวหน้าพยายามคิดหาวิธีหยุดยั้งปีศาจตนนี้  ก่อนที่มันจะดึงพลังทั้งหมดของพ่อมดออกมาใช้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นคงไม่อาจมีใครต้านทานเอาไว้ได้
     
         “ลาร์ค….”  เสียงหวานเรียกหาผู้เป็นน้องชายซึ่งยังไม่มีใครนำตัวออกมาได้  “อย่าเข้าไปพะยะค่ะ องค์หญิง  มันอันตราย”  พวกทหารรั้งตัวหญิงเอาไว้ไม่ยอมให้พระองค์เข้าใกล้ไปมากกว่านี้  เวนตุสซึ่งดูราวกับตุ๊กตาหุ่นยืนนิ่งอยู่กลางวงล้อมไฟสว่างไสวโดยมีผู้ใช้เวทสี่คนตั้งเขตแดนอยู่  
     
         เขาคล้ายรับรู้การมาถึงขององค์ราชาและเจ้าหญิง  คลื่นพลังแผ่เข้าปะทะวงล้อมที่กักกันตนเองอยู่ก่อนจะมาถึงตัวผู้ใช้เวททั้งสี่  
     
          ตูม!!! 
     
         เสียงระเบิดดังกึกก้องอุทยานพร้อมพัดพาเอาร่างของผู้ใช้เวทปลิวไปกระแทกต้นไม้ เงาดำที่ซ้อนทับอยู่นั้นไหวระริก  ประกายกลับคืนสู่ดวงตาพ่อมดหนุ่มเพียงพริบตาทำให้การเคลื่อนไหวหยุดชะงักลง 
     
         เหล่าทหารอาศัยจังหวะนี้กึ่งพยุกกึ่งลากเจ้าชายลาร์คออกมาจากที่เกิดเหตุ  “ลาร์ค”  เจ้าหญิงรับร่างของน้องชายเอาไว้ เธอคล้ายเห็นดวงจิตของชายหนุ่มเป็นเงาราง
     
         “หนีไปลีเมย์  หนีไปซะ” 
     
         เวนตุสนั้นตะโกนสุดเสียง ทว่าเจ้าหญิงไม่อาจได้ยินถ้อยคำอันใด  ดวงจิตที่เป็นเงาบางๆเริ่มสั่นไหวและพร่าเลือนลงดังภาพลวงตาในทะเลทราย  
     
         อ๊าก!!!!
     
         ร่างสีดำน่าหวาดหวั่นหันไปทางกลุ่มทหารที่องค์ราชาทรงยืนบัญชาการอยู่  ทว่ามันหยุดชะงักคล้ายเกิดการต่อต้านระหว่างจิตสำนึกของเวนตุสกับปีศาจ  ก่อนที่ดาบด้ามยาวสีเงินปรากฏขึ้นในมือของชายหนุ่ม  
     
         เคร้ง
     
         เสียงอาวุธตกลงพื้น  เหล่าทหารที่รายรอบองค์ราชายกมือของตนขึ้นดูด้วยความประหลาดใจ  หมอกสีดำที่แผ่ฟุ้งค่อยๆกัดกินจนร่างกายหายไปทีละส่วน  ไล่ตั้งแต่ขาและแขนขึ้นมาจนหมดสิ้น  พวกที่ยังเหลืออยู่รีบกรูกันเข้ามาปะทะไม่ให้ปีศาจเข้าใกล้องค์ราชาไปมากกว่านี้  แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
     
         เมื่อมือดำนั้นกลับหันดาบแทงกลับสู่ตัว  ทันทีที่ดาบนั้นถูกกระชากออก เลือดสีแดงของพ่อมดหลั่งไหลออกมาคล้ายสายธาร  
     
         สวบ
     
         เหล่าทหารพุ่งหอกดาบเข้าเสียบร่างของพ่อมดที่ยังคงมีสีหน้าเฉย  มันระเบิดพลังเวทใส่ผู้ที่ล้อมรอบ  จนเศษเนื้อมากมายกระจัดกระจายเกลื่อน  กลิ่นค้าวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณกว้าง เสียงผู้บาดเจ็บร้องระงม ขณะที่ปีศาจค่อยๆเดินเข้าไปหาองค์ราชาอย่างไม่ใส่ใจร่างที่เป็นฐานพลัง  ผู้ใช้เวทหลายคนตรงเข้าขวางแต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ร่างกายก็สลายไปเช่นเดียวกับพวกทหารก่อนหน้านี้
     
         “เสด็จพ่อ……  ไม่…….”
     
         เจ้าหญิงลีเมย์โผเข้ากอดร่างสีดำนั้นพร้อมกับที่ดาบในมือถูกเสือกเข้าใส่ร่างบาง  เลือดในอกไหลย้อนขึ้นมาทะลักออกทางปากปนเปไปกับเลือดของพ่อมดหนุ่มย้อมให้ฉลองพระองค์สีอ่อนกลายเป็นสีแดงฉาน  เงาดำที่ล้อมรอบกายชายหนุ่มค่อยๆจางไปคล้ายต้องลมแรง  
     
         เวนตุสยื่นมือออกมาประคองร่างบางที่ซวนเซโดยอัตโนมัติ  หากแต่นัยน์ตาสีม่วงงามยังคงว่างเปล่าไร้แววอันใด  เจ้าหญิงยิ้มขณะไล่มือไปตามใบหน้าอีกฝ่าย  หยาดน้ำตาที่เกาะพราวบนแพขนตาหนาหยดลงมาต้องมือชายหนุ่ม
     
         ทั้งๆที่ทุกอย่างดูว่างเปล่า แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกอาลัยกับคนตรงหน้าที่กำลังจะจากไปนัก  ทำไมรอยยิ้มนั่นเห็นแล้วถึงปวดใจอย่างบอกไม่ถูก   ชายหนุ่มเพียงกอดร่างบางนั้นไว้ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้  ภาพต่างๆวาบเข้ามาในความว่างเปล่าเป็นระยะๆ จนเขารู้สึกปวดแปล๊บในหัว  
     
         พ่อมดทรุดลงพร้อมร่างของเจ้าหญิงในอ้อมแขน  ผู้คนที่ล้อมรอบละล้าละลังคล้ายไม่แน่ใจ   สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนภาพทุกอย่างจะดับวูบไปคือรอยยิ้มเศร้าของนางผู้เป็นที่รัก

                          ***********************
     
         ยอดหอระฆังยามอาทิตย์อัสดง  ฝูงนกกาพากันบินกลับรังแลเห็นเป็นเงาดำตัดฟ้าสีอมส้ม  “ที่ขอบฟ้านั้น…..แผ่นดินจะได้พบกับแผ่นฟ้าอีกครั้งใช่ไหม”  เจ้าหญิงตรัสถาม  “แน่นอน”  แววตาของชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่เคียงข้างฉายประกายอ่อนโยนพร้อมกุมมือเรียวให้กระชับแน่น
     
         “สักวันข้าจะพาเจ้าไปที่นั่น”  ลีเมย์ทอดสายตาตามคำของคนข้างตัวออกไปไกล  “ไม่ว่าจะเป็นที่ใด ขอเพียงมีเจ้าอยู่เคียงข้างข้า” เวนตุสรั้งร่างบางมากอดไว้อย่างทะนุถนอม  เขาซุกหน้าลงกับเรือนผมยาวละเอียดสีทองอ่อน  สูดกลิ่นหอมของดอกไม้ยามฤดูร้อน คล้ายจะตราเอาไว้ในความทรงจำ  “เพียงมีเจ้า…..”

    -----------------------------------------
    หวัดดีค่ะ  สบายดีกันรึเปล่า
    ถูกรายงานกองทับถมเหมือนเราบ้างไหม? T-T รู้สึกว่าหมู่นี้รายงานทั้งหลายแหล่ที่จารย์สั่งค้างไว้มันถึงกำหนดส่งพร้อมๆกัน(ปาดเหงื่อ)  
      รู้สึกว่าช่วนนี้อากาศมันร้อนๆอ่ะ ตอนเช้าเห็นเมฆมาท่วมฟ้า สุดท้ายตอนเข้าแถวเจอแต่แดดเปรี้ยงๆT-T  หวิดกลายเป็นกุ้งเผาแล้วเรา(แอบบ่นเล็กๆ)                 
       และแล้วก็.......ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและเม้นท์เจ้าค่ะ


          

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×