คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : รอยอดีต
หลังจากต้องพบเจอแต่สภาพทิวทัศน์อันแห้งแล้งของทะเลทราย ซึ่งตอนนี้เป็นฤดูร้อนถึงร้อนโคตรๆ ชายหนุ่มจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้กลับมาเหยียบแพนโทเนียอีกครั้ง
เจ้าตัวหยัดกายบิดไล่ตัวขี้เกียจทั้งหลายแหล่ที่เข้ามาเกาะติดอยู่หลายวัน ก่อนจะเริ่มออกเดินไปตามทางเดินเล็กๆในสวนกว้างซึ่งค่อนข้างสลับซับซ้อนเอาการ ยามนี้เป็นฤดูที่แพนเทียเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณแข่งกันผลิบานสะพรั่ง ชายหนุ่มทอดน่องชมสวนท่ามกลางอากาศอุ่นติดจะร้อน
“อ้าว ตรงนี้ข้าผ่านแล้วนี่” เจ้าตัวเกาหัวพลางวาดมือ แผนที่อันเก่งปรากฏขึ้นจากอากาศว่างตรงหน้า “ดีนะเนี่ยที่ลงมนตร์ไว้ ข้านี่ฉลาดจริงๆ” จัดการชมตัวเองเสร็จสรรพ แผ่นหนังในมือนอกจากจะเป็นเครื่องหมายบอกสถานที่ต่างๆแล้ว ยังมีจุดเล็กๆแทนตัวเขาขยับไปมาอีกด้วย
“อืม
ต้องเดินไปทางนั้นสินะ แล้วก็เลี้ยวซ้ายสามครั้ง ขวาอีกสองครั้ง”
แปะ แปะๆๆๆ
“เฮ้ย ตกลงมาได้ยังไง”
“พยากรณ์อากาศเมื่อเช้าไม่ได้บอกนี่นาว่าฝนจะตก” เวนตุสทำหน้ายุ่ง ที่จู่ๆอากาศเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเมื่อครู่ซึ่งเคยสดใสแดดอ่อนๆกลายเป็นเมฆฝนเกลื่อนฟ้าแทน เล่นเอาชายหนุ่มต้องรีบเก็บแผนที่แล้ววิ่งหาที่หลบแทบไม่ทัน
“เปียกหมดแล้ว ทำไงดี” เวนตุสโอดครวญกับตัวเอง “อ้าว!!ไม่ทันขาดคำ” เขาลูบหน้าลูบตาเป็นการใหญ่เนื่องมาจากสีน้ำตาลซึ่งทำขึ้นด้วยสมุนไพรที่ราดใส่หัวเขาโดยบังเอิญ และเกาะติดแน่นอยู่อย่างนั้นได้ฤกษ์หลุดออก โชคดีเหมือนกันที่มาหลุดเอาตอนอยู่ในพระราชวัง ขืนให้เขาเดินไปเดินมาทั้งๆที่สีผมแท้จริงนั้นเด่นราวสัญญาณไฟของลานลงมังกรอย่างนี้ มีหวังถูกอัปเปหิให้เข้าป่าแหงๆ
“สีแปร๊ดเลย” ชายหนุ่มเบ้หน้า “เสื้อผ้าก็เปียกโชกไปหมด สงสัยตรงนั้นจะมีที่หลบฝน” เขาว่าพลางมุ่งหน้าตรงไปตามทิศทางนั้น
เสียงหวานเสนาะจากฮาร์มอนิคกาแทรกผ่านตามสายฝนซึ่งเทลงมาเรื่อยๆ เสียงใสนั้นร่าเริงราวความ ปีติแห่งพิรุณอันนำพาความชุ่มฉ่ำสู่พื้นดิน หล่อเลี้ยงต้นไม้ดอกไม้ให้เติบโตงดงาม
ชายหนุ่มวิ่งตามเสียงนั้นไปโดยไม่รู้ตัวจนโผล่พ้นพุ่มไฮเดรนเยียมาปะกับซุ้มทางเดินกว้าง เวนตุสสะบัดศรีษะไล่น้ำฝนพลางก้มหน้าก้มตาบิดน้ำออกจากเสื้อผ้าเป็นการใหญ่ จนไม่ได้สังเกตว่ามีบางคนกำลังเดินตรงมาทางเขา
ร่างระหงในอาภรณ์ผ้าบางเบาสีอ่อนยาวระพื้น รับกับผมสีทองอ่อนมุ่นเป็นมวยไว้อย่างง่ายๆ นางชะงักเล็กน้อยเมื่อพบว่ามีชายหนุ่มแปลกหน้ามายืนหันรีหันขวางอยู่ เสียงเพลงหยุดลงแล้วหลงเหลือเพียงเสียงฝนพรำแผ่วเบารอบกาย
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวพอดี เขาหยุดนิ่งคล้ายต้องมนต์ก่อนจะรีบบอก “ข้าหลงทางมาน่ะ” เวนตุสเกาท้ายทอยแก้เก้อ ครั้นเห็นอีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาแปลกจึงเริ่มตระหนักได้ “ข้า
.ขอหลบฝนแป๊ปเดียว พอฝนซาก็ไปแล้ว” เจ้าตัวเริ่มเกิดอาการทำอะไรไม่ถูก ไม่ใช่ว่าไม่เคยโดนใครจ้อง แต่กับคนตรงหน้ามันรู้สึกแปลกๆอย่างไรชอบกล
ท่าทางหญิงสาวเหมือนจะรู้สึกตัวว่าจ้องเขาอยู่นานแล้วจึงเบือนหน้าไปทางอื่น ฝนคงตกอีกนานแม่หญิง “ข้ามีนามว่าเวนตุส ทำงานอยู่ที่สถาบันวิจัย” ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างเป็นมิตรพลางเอนตัวพิงเสาต้นข้างกาย “ข้า
.ลีเมย์” นางกล่าวตอบ “ท่านคือคนที่บรรเลงเพลงเมื่อครู่หรือ” ชายหนุ่มเหลือบเห็นฮาร์มอนิคกาในมือหญิงสาว “ข้าฟังแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสายฝนไปด้วยเลย”
ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองตามหยดน้ำที่ตกลงมา ลีเมย์เดินมาหยุดอยู่ข้างเขา เสียงหวานใสดังขึ้น ครานี้กลับพรรณนาถึงบุปผาซึ่งคลี่กลีบบานรับแสงแห่งอาทิตย์ บทเพลงเป็นท่วงทำนองที่ค่อนข้างแปลกหูชายหนุ่มเอาการ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังฮัมตามเบาๆตามอย่างรื่นเริง
ทั้งสองพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆมากมาย เวนตุสเล่าถึงเรื่องการเดินทางของตนที่ผ่านดินแดนต่างๆขึ้นเหนือล่องใต้ ทั้งเรื่องราวของทวีปอันห่างไกล นิทานแปลกๆที่เล่าขานกันในหมู่เกาะพรีดีอาซึ่งอยู่เลยชายฝั่งของแพนเทียออกไปในทะเลแสงดาว
ฮัดชิ้ว ฮัดชิ้ว
เฮ้ย!! ฮัดชิ้วววว
เวนตุสจามถี่หลายครั้งติดกัน เนื่องจากความชื้นของอากาศและเสื้อผ้าที่บิดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมแห้งสักที ครั้งจะใช้มนตราก็ดูเอิกเริกไปหน่อย กลัวว่าอีกฝ่ายที่ไม่เคยเห็นพ่อมดจะตกใจ
“องค์หญิง” เสียงจากหญิงสาวสองคนซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาทั้งคู่ด้วยท่าทางเร่งรีบ “นั่นใครหรือเพคะ ดูท่าทางเหมือนคนต่างบ้านต่างเมือง” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น “สหายข้าเอง เขาเป็นคนของเสด็จพ่อ” ลีเมย์เอ่ยถึงคนที่ตอนนี้ยืนแข็งทื่อเป็นรูปปั้นไปเรียบร้อยแล้ว
นางกำนัลทั้งสองจ้องเขาไม่วางตา จนเธอต้องไล่ให้ไปหาพี่เลี้ยงของตน “ท่านเชิญมากับข้า” หญิงสาวผายมือไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของตำหนัก “ข้าจะให้คนเตรียมชุดใหม่ให้ท่าน เดี๋ยวจะไม่สบาย” ชายหนุ่มได้สติรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน เขาเสกไฟเย็นขึ้นตรงหน้า แล้วดีดนิ้วเปาะหนึ่ง ลูกไฟนั้นระเบิดออกคล้ายพลุหลากสีก่อนจะซึมหายเข้าไปตามเสื้อผ้าส่วนที่ยังเปียกชื้นของเขาจนแห้งหมด
ลีเมย์มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจปนแปลกใจ “หม่อมฉันเป็นพ่อมด” เขายิ้มให้พร้อมร่ายมนตร์อีกครั้ง พลันดอกไม้หลากสีปรากฏขึ้นจากอากาศว่างเปล่ารอบกายเจ้าหญิง ดอกไม้เหล่านั้นคลี่กลีบบานสลับกับร่วงโรย
“สวยจัง” เจ้าหญิงหัวเราะอย่างร่าเริง สายฝนภายนอกขาดเม็ดลงแล้ว เวนตุสค้อมกายลงคำนับเป็นเชิงอำลา “ฝนหยุดแล้ว หม่อมฉันขอลา” เจ้าตัวว่าพลางถอยออกมา “หวังว่าเราคงได้พบกันอีก” เจ้าหญิงตรัสตอบเช่นนั้น
และหลังจากเขากลับมาเหยียบสถาบันวิจัย บรรดาผู้ใช้เวททั้งหลายพากันจ้องเขาเขม็งจนลูกตาแทบหลุดออกมานอกเบ้า ชายหนุ่มได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆให้คนโน้นทีคนนี้ที แล้วลูบผมตนเอง
“จริงๆแล้วผมข้ามันสีนี้ล่ะ แต่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อเลยกลายเป็นสีน้ำตาลนั่น” คือคำอธิบายสั้นๆจากปากเจ้าตัว ซึ่งผมสีน้ำเงินเปลี่ยนให้ใบหน้าหมดจดดูขี้เล่นนั้น คล้ายเย็นชาขึ้นเหมือนน้ำแข็งขึ้นมาทันตา
******************
แว่วเสียงดนตรีดังอย่างรื่นเริงของงานเทศกาลฤดูร้อนดังมาจากภายนอกรั้วของสถาบันวิจัย ในเมืองนั้นมีการตั้งโต๊ะยาวตั้งแต่หน้าพระราชวังไปจนถึงจตุรัสดวงดาวกลางเมือง ซึ่งต่างคนต่างนำอาหารของตนออกมาวาง ยิ่งนับรวมไปกับอาหารที่องค์ราชาพระราชทานมาให้แล้วจึงแทบล้นโต๊ะเลยทีเดียว
เมื่อตอนหัวค่ำบรรดาผู้ใช้เวทพากันชวนเขาออกไปเดินเล่นเปิดหูเปิดตาในเมือง แต่ด้วยความเหนื่อยปนขี้เกียจเขาจึงขอตัวนอนเล่นในสถาบันรอกินของฝากที่พวกนั้นติดไม้ติดมือมาให้ดีกว่า
พระจันทร์ดวงกลมทอแสงนวลขึ้นเหนือฟากฟ้า กลิ่นอาหารหลายชนิดผสมปนเปกันจนชายหนุ่มชะโงกหน้าออกไปดูพร้อมทำจมูกฟุดฟิดๆกับกลิ่นชวนน้ำลายสอนั่น เขาพลิกตำราในมือไปมาอย่างไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านมันให้จบในเร็วๆนี้
และหลังจากนอนคิดอะไรไปคิดอะไรมาหลายตลบก็เกิดอารมณ์อยากเดินเล่นเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มเลยคว้าเสื้อคลุมตัวเก่งติดมือออกมาตามความเคยชิน
ยอดสีเงินของพระราชวังจับแสงไฟหลากสีที่ส่องมาจากตัวเมืองจนดูสวยอย่างน่าประหลาด ตัวพระราชวังเองก็พราวระยับไปด้วยดวงไฟมากมาย พ่อมดหนุ่มเล็งต้นไม้ใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในสวนข้างตัวสถาบันเป็นจุดหมาย เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็ขึ้นมานั่งปร๋ออยู่บนยอดไม้อย่างสบาย
จากบนนี้นั้นสูงพอที่จะมองเห็นไปถึงในตัวเมืองได้อย่างสบายๆ ชายหนุ่มวาดมือเล็กน้อย ปรากฏกล้องส่องทางไกลยี่ห้อแพนเทียขนานแท้ขึ้น “ชัดเหมือนกันนะ” เวนตุสว่าพร้อมปรับกล้องที่ตอนนี้กำลังมองขบวนแห่และการเต้นรำตรงจตุรัสดวงดาว พลางฮัมเพลงคลอ
“อ๊ะ!!
.เหวอ”
เวนตุสร้องลั่นพร้อมกับที่ตัวเองซึ่งนั่งอิงอยู่กับคบไม้เสียหลักร่วงหวืดลงมา ถึงจะกลับลำทันแต่ก็ลงพื้นด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสวยนัก เขาลุกขึ้นมายืนโซเซพลางนึกแช่งนกตัวต้นเหตุซึ่งบินพรวดพราดออกมาชนจนเขาตกลงมา มือของใครบางคนยื่นมาช่วยพยุงชายหนุ่มไว้ “ขอบคุณครับ” เจ้าตัวเอามืออีกข้างยันต้นไม้ไว้
“อ้าว
.เอ๋”
เวนตุสเกิดอาการติดอ่างชั่วขณะเมื่อหันไปพบว่าอีกฝ่ายคือเจ้าหญิงลีเมย์ที่เขาพบเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง ครั้นเห็นหน้าชายหนุ่มเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามเธอจึงเอ่ยเสียงเบา “ข้าเพิ่งกลับมาจากในเมือง อยู่แต่ที่ตำหนักมันเบื่อ เลยแอบออกมาเดินเล่น”
“หม่อมฉัน
.หม่อมฉัน
เอ่อคือ ต้องคำนับก่อนสิ” ชายหนุ่มเริ่มสับสนกับลำดับในสมองตนเอง “ไม่ต้องหรอก พูดกันแบบธรรมดาเหมือนเมื่อวันก่อนนั่นล่ะ” เจ้าหญิงบอก
“ไม่ได้พะยะค่ะ เดี๋ยวจะเป็นการหลู่เกียรติพระองค์”
“ข้าสั่ง!!”
“เอ้อ
พะยะค่ะ” ว่าแล้วชายหนุ่มจึงก้มศรีษะคำนับ “บอกว่าไม่ต้องไง” เสียงหวานว่า “ครับๆ” เวนตุสรับคำแล้วเปลี่ยนกลับไปพูดแบบธรรมดาตามเดิม
“เมืองสวยดีนะ” ลีเมย์ว่าพลางทอดสายตามองทิวทัศน์เบื้องหน้า “ถ้าอยู่บนที่ที่สูงกว่านี้คงเห็นทั่วเมืองแน่เลย” ทำให้ชายหนุ่มเกิดความคิดดีๆขึ้นมาได้ เขาพึมพำถ้อยคำสองสามประโยคด้วยเสียงเบา แล้วร่างของทั้งสองก็หายวับไปจากตรงนั้นในทันที
“เอ๊ะ!!” ลีเมย์อุทานด้วยความประหลาดใจ เมื่อจู่ๆตนเองซึ่งกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ดีๆกลับมาโผล่บนหลังคาแถวยอดพระราชวังไปได้ ครั้นเหลือบสายตาไปข้างกายพบว่าตัวต้นเหตุกำลังยืนอมยิ้มรอดูปฏิกิริยาอยู่ “เจ้านี่นะ” จะว่าก็ว่าไม่ได้เต็มปากนัก พ่อมดหนุ่มเองก็ทำท่าลอยหน้าลอยตาอย่างไม่เดือดร้อนอะไรนัก
“ทอด
เอ้อ ดูสิ” เขาบอกพร้อมนั่งพิงกำแพงด้านหลัง ลีเมย์มองผ่านกำแพงเตี้ยๆเบื้องหน้าลงสู่ตัวเมืองแพนโทเนียที่ส่องแสงวิบวับคล้ายดาวในคืนเดือนมืดด้วยโคมไฟในฤดูร้อนนับร้อยดวง สายลมพัดพาเอาเสียงดนตรีซึ่งบรรเลงเพลงเต้นรำพื้นเมืองดังขึ้นมาเพียงแผ่วเบา
“สวยไหม?” เวนตุสยิ้มให้เมื่อหญิงสาวทรุดกายนั่งข้างๆเขา “อืม” อีกฝ่ายรับคำ “สวยมากเลยล่ะ มองจากบนนี้แล้วแพนโทเนียนี่เหมือนภาพฝันทีเดียว” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “นั่นสิ สวยขนาดนี้เชียว”
“แล้วบ้านเจ้าล่ะ เป็นแบบนี้หรือไม่?”
เวนตุสหันมายิ้ม “ที่บ้านของข้ายามมีเทศกาลฉลองฤดูหนาวนั้น ทั่วเมืองจะถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวมากมายที่สะท้อนแสงจนเป็นสีเงิน ตกกลางคืนแต่ละบ้านจะแขวนตะเกียงใส่ลูกไฟสีอมฟ้าไว้คอยนำทางเหล่าภูตหิมะ และทุกๆคนจะถือตะเกียงอีกคนละดวงแล้วไปรวมตัวกันที่ลานกว้างของเมืองเพื่อขอพรจากเทพผู้ดูแล”
หญิงสาวข้างกายพยายามนึกภาพตามที่ว่า พ่อมดหนุ่มหัวเราะ ในมือเขาเป็นภาพมายาขนาดเล็กของเมืองๆหนึ่ง เขาใช้สองมือประคองมันไว้ ลีเมย์ขยับเข้ามาใกล้เพื่อดูภาพให้ชัด อาคารบ้านเรือนรูปร่างแปลกตาอย่างเมืองที่มีแต่หน้าหนาวเต็มไปด้วยหิมะ แลคล้ายเค้กซึ่งถูกโรยด้วยไอซิ่งจนหนา ภาพค่อยเปลี่ยนไปเป็นเวลาค่ำคืน แสงตะเกียงมากมายราวหิ่งห้อยหน้าร้อน ก่อนที่จะดับวูบลง
“ที่บ้านเจ้างามเหลือเกิน” ลีเมย์เอ่ย “ได้ยินมาว่าเจ้าออกเดินทางมาตั้งนานแล้ว ไม่กลับไปเยี่ยมบ้างหรือ?” เวนตุสนิ่งเงียบปล่อยให้เสียงของสายลมแทรกเข้ามาแทนคำตอบ ใบหน้าเขาถูกซ่อนอยู่ในเงามืดของยอดพระราชวังทำให้ลีเมย์ไม่อาจรู้ได้ว่าเวลานี้เขากำลังคิดอะไรอยู่
“ข้าขอโทษ” เธอกล่าวเสียงเบา “ไม่เป็นไรหรอก ยังไงข้าก็กลับไปที่นั่นไม่ได้อีกแล้ว” ชายหนุ่มบอกพร้อมยื่นจานอาหารในมือให้ลีเมย์ “เจ้าไปเอามาจากไหน” เห็นอยู่ชัดๆว่าเมื่อครู่มือของพ่อมดยังว่างเปล่าอยู่เลย
“น้ำอะไรเนี่ย” ชายหนุ่มเบ้หน้าเมื่อรสชาติของน้ำสีแดงจากแก้วในมืออมเปรี้ยวชวนเสียวฟันอย่างบอกไม่ถูก “นั่นมันน้ำแกลเบอรี่หมัก” หญิงสาวหันมาเห็นเข้า “หืม เข้มข้นเชียว เขาต้องผสมกับน้ำเปล่าให้เจือจางก่อน” เธอรับแก้วมาดูแล้วหัวเราะเมื่อคนข้างตัวทำหน้าแปลกๆ
“งั้นเปลี่ยนก็ได้” เขาว่าแล้วดึงแก้วใส่เครื่องดื่มอีกชนิดออกมาจากอากาศว่างๆ เจ้าหญิงประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้ “จริงสิ เวนตุสเป็นพ่อมดนี่นา”
**************************
แม้ในฤดูร้อนลมยามดึกก็ค่อนข้างเย็นเอาการ ชายหนุ่มหยิบเสื้อคลุมหนาของตนห่มให้หญิงสาวด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่สบาย “ขอบใจจ๊ะ” ลีเมย์ยิ้มให้
แสงไฟในเมืองยังคงพราวระยับดูมีชีวิตชีวาเช่นเดิม “นี่ก็ดึกแล้วข้าว่าเรากลับลงไปเถอะ” หญิงสาวพยักหน้า แล้วทั้งสองก็กลับลงมายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ณ จุดเดิม ชายหนุ่มเดินไปส่งเจ้าหญิงจนถึงหน้าประตูบานใหญ่ของพระราชวัง
“ราตรีสวัสดิ์”
เจ้าหญิงกล่าวลาแล้วเดินเข้าไป ชายหนุ่มเดินเอื่อยอย่างไม่เร่งรีบนักกลับสถาบัน กลับไปเยี่ยมบ้าน เขานึกถึงคำพูดนั้น “ท่านแม่จะยังสบายดีไหมนะ จะคิดถึงข้าบ้างหรือเปล่า” ภาพมายาเมื่อครู่ปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง “ป่านนี้ที่นั่นก็อุ่นขึ้นแล้วสินะ ดอกไม้คงบานเต็มไปหมดเหมือนที่นี่”
“แต่ข้า
..ไม่อาจกลับไปเหยียบดินแดนแห่งนั้นได้อีกแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มเศร้ากับตัวเอง เสียงกระดิ่งลมดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง
เสียงนั้นฟังแล้วชวนให้รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่ภาพมายาจางหายพร้อมสายลมแรง
*********************
เช้านี้แอนโทนี่แวะมาเยี่ยมเยียนเขาถึงในตัวสถาบัน “ท่านมาหาข้ามีธุระอะไรหรือ มาแต่เช้าเชียว” เวนตุสเอ่ยถามและเมื่อเห็นชายหนุ่มเป็นอีกรายที่จ้องผมเขาด้วยความสงสัยก็ถอนหายใจ แล้วเริ่มขุดเอาคำอธิบายที่จำจนขึ้นใจมาพูดซ้ำเป็นรอบที่หนึ่งร้อย
“ก็สวยดี เหมาะกับสีตาเจ้านี่” ชายหนุ่มว่าอย่างนั้น “เมื่อคืนกองคาราวานของอายันเข้ามาถึงเมืองหน้าด่านของเรา” เวนตุสยิ้มด้วยความดีใจ “มากันแล้วหรือครับ แล้วจะเข้ามาถึงแพนโทเนียหรือเปล่า” เขารีบยิงคำถามต่อ “อันนี้ข้าไม่แน่ใจ คงต้องรอพวกนั้นส่งสาสน์รายงานมาอีกที” ดูเหมือนแอนโทนี่จะนึกถึงธุระอีกเรื่องขึ้นมาได้
“จริงสิ เดี๋ยวองค์ชายจะเสด็จมา ได้ข่าวว่าอยากพบเจ้าด้วย” ชายหนุ่มแจ้ง “พบข้า?
.” เวนตุสกำลังจะถามอะไรต่อแต่แอนโทนี่ตัดบทเสียก่อน “องค์ชายมาถึงเจ้าก็รู้เอง ข้าต้องไปเข้าเฝ้าองค์ราชาก่อน” ชายหนุ่มรีบเดินจากไปปล่อยให้พ่อมดยืนทำหน้างงอยู่ตรงนั้นจนสัญญาณการเสด็จดังขึ้น
เจ้าชายองค์น้องทรงมีอัธยาศัยคล้ายคลึงกับเจ้าหญิงผู้พี่ยิ่งนัก ทั้งยังให้ความสนใจไต่ถามเกี่ยวกับ สิ่งประดิษฐ์ และการค้นคว้าวิจัยที่ชายหนุ่มกำลังดำเนินการอยู่ ด้วยเหตุนี้เองทั้งสองจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
**************************
ฤดูร้อนผ่านเลยไป ใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีอมเหลืองส้มก่อนจะปลิดปลิวจากกิ่งก้านลงสู่พื้นดินเป็นสัญญาณว่าฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะย่างกรายเข้ามาแล้ว
“สวัสดีจ๊ะทุกๆคน” เสียงหวานดังผ่านประตูห้องทำงานเข้ามา เวนตุสละมือจากเอกสารแล้วมองหาต้นเสียงที่วันนี้อยู่ในชุดกระโปรงยาวอย่างเรียบง่ายคล้ายหญิงสาวทั่วๆไป ผมสีทองถักเป็นเปียเดี่ยวอยู่กลางหลังพร้อมหอบหิ้วตะกร้าใบใหญ่ ตามมาด้วยเจ้าชายผู้น้องที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าป่านคอตั้งกับกางเกงขายาวสีดำที่ดูเปรอะเหมือนเพิ่งไปคลุกฝุ่นยังไงยังงั้น
เด็กหนุ่มเดินเข้ามาพลิกหนังสือหลายเล่มในกอใหญ่ของพ่อมดอย่างสนใจ “ข้าเพิ่งไปเดินเล่นในเมืองมา” เจ้าหญิงเริ่มต้นเล่าให้ชายหนุ่มฟัง “เจ้าก็เอาแต่ทำงานอยู่ในสถาบันไม่ยอมเข้าเมืองกับข้าบ้าง” เขาจึงหันมายิ้มเจื่อนๆให้ พลางคิดในใจ เข้าเมืองครั้งก่อนข้ายังโดนมองจนแทบจะกร่อนอยู่แล้ว ขืนไปอีกทีมีหวังละลายกลายเป็นวุ้นรอให้คนมาตักกลับแน่ๆ
“ท่านเรฟสบายดีหรือคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามหัวหน้าผู้ใช้เวทพลางส่งตะกร้าในมือซึ่งเต็มไปด้วยผลไม้หลากชนิด เห็นพวกท่านทำงานหนักกันข้าเลยเอามาฝาก
“ขอบพระทัยที่อุตส่าห์พระราชทานของอร่อยๆมาให้พวกกระหม่อม”
ตะกร้าใบนั้นถูกส่งเวียนๆกันจนทั่วห้องในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ทันที่เรฟจะพูดจบของก็หมดเกลี้ยงเหลือแต่ตะกร้าคลุมผ้าเปล่าๆวางอยู่ที่เดิม
“แล้วคุกกี้ของข้าล่ะ?” นางหันไปถามเอากับน้องชาย “ก็อยู่ตรงโต๊ะในสวนข้างนอกโน่น ข้าขี้เกียจหอบเข้ามานี่นา” ลาร์คทำตาแป๋วท่าทางใสซื่อ “ข้าไปกับท่านด้วย” เวนตุสร้องบอกเมื่อเจ้าหญิงทำท่าจะก้าวออกไป ภายในห้องบรรดาผู้ใช้เวททั้งหลายซุบซิบกันแล้วมองตามออกไปเหมือนรู้ทัน
“วันนี้ข้าไปเรียนทำขนมกับคุณยายแอนด์ในร้านเบเกอรี่มาด้วยล่ะ” เสียงหวานเจื้อยแจ้วคล้ายนกตัวน้อยร้งเพลง “แล้วยังไปช่วยป้าเจเน็ตเลือกผัก ไปเยี่ยมลุงจอร์จ ไปเก็บผลไม้กับพวกเด็กๆ สนุกมากเลย”
“ทำคุกกี้น่ะเหรอ” ชายหนุ่มถามเมื่อเลิกผ้าคลุมตะกร้าออกดู “คุกกี้ช็อกโกแลตจ๊ะ” หญิงสาวบอก “ฝึกทำมาตั้งนาน ครั้งนี้ครั้งแรกเลยนะที่อบออกมาแล้วไม่ไหม้ เลยเอามาให้เจ้าลองชิม” ลีเมย์จัดขนมสีออกเกรียมๆใส่จานเล็กในตะกร้าส่งให้ชายหนุ่มกับน้องชายของตน
“เอ้อ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าต้องเอาหนังสือไปคืนท่านอาลักษณ์แล้ว ขืนช้าจะโดนสารานุกรมทุบหัว” เจ้าชายรีบบอก “ฝากดูแลพี่ข้าดีๆด้วยล่ะ” อีกฝ่ายตั้งท่าจะวิ่งออกไปแต่ชะงักหันกลับมาป้องปากพูดด้วยเสียงเบา “ข้าว่าท่านน่าจะหาน้ำเตรียมไว้เผื่อสักเหยือกสองเหยือกก่อนกินไอ้นั่นนะ” แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาคว้าคุกกี้ชิ้นโตเข้าปาก
แค๊กกกก แค๊ก
“ทำไมมันฝืดคออย่างนี้ แถมยังขมปี๋เหมือนใส่เมล็ดกาแฟไหม้มากกว่าช็อกโกแลต” ลีเมย์ส่งแก้วน้ำให้พลางถามเขาด้วยรอยยิ้ม “อร่อยไหม” ชายหนุ่มจำใจพยักหน้า “งั้นทานให้หมดเลยนะ” เธอบอกด้วยท่าทางดีใจ ข้ารู้แล้วว่าทำไมพวกนั้นได้ยินคำว่าคุกกี้ถึงหน้าซีดไปตามๆกัน ไม่ยอมเตือนบ้างเลยนะ
***********************
“องค์ราชา หม่อมฉันคิดว่าเจ้าหญิงลีเมย์ซึ่งเป็นรัชทายาทนั้น
.”
“เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว” ราชาซาร์เรสตรัสขัดคำกราบทูลของเสนาบดีคนสนิท “ข้าคิดว่าให้นางเลือกผู้ที่รักนางจริงจะเหมาะสมกว่า”
“แต่บุตรของท่านเสนาบดีฝ่ายทหารนั้นเก่งกล้า ชาญฉลาด ทั้งยังเป็นการเชื่อมสัมพันธภาพระหว่างเรากับแผ่นดินใต้ให้แน่นแฟ้น เมื่อเราครอบครองคาบสมุทรซีเนียไว้ได้เราก็จะสร้างกองเรืออันยิ่งใหญ่ แพนเทียจะเป็นใหญ่ในดินแดนนี้” นัยน์ตาสีน้ำตาลของชายวัยกลางคนเป็นประกายวับ “เอาเถิด เรื่องนี้ข้าจะลองคิดดู เรามาเล่นหมากรุกกันสักตาจะดีกว่า” องค์ราชาตรัสเป็นเชิงจบการสนทนา
ครั้นเห็นว่าองค์ราชาทรงทีท่าทีรีรอและไม่ทรงตัดสินพระทัยอันใด โรอากซึ่งมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้แพนเทียขึ้นเป็นใหญ่ในแถบฟินน์เดนจึงได้รวมตัวกับเหล่าขุนนางกลุ่มหนึ่งและคิดจะล้มล้างราชบัลลังก์ พวกเขาสร้างกล่องดนตรีซึ่งสลักเสลาขึ้นอย่างงดงามกล่องหนึ่ง ภายในกล่องนี้บรรจุปีศาจที่ชั่วร้ายเอาไว้
“อ้าว
.ท่านโรอาก” เจ้าชายลาร์คทักอย่างคุ้นเคย “นั่นกล่องอะไรหรือ” เด็กหนุ่มถามเมื่อเห็นกล่องลวดลายงดงามในมืออีกฝ่าย “กล่องเครื่องหอมพะยะค่ะ หม่อมฉันเพิ่งได้มันมาจากพ่อค้าคนหนึ่ง เห็นว่าเป็นของหายากเลยจะนำไปถวายองค์ราชา”
“เช่นนั้นท่านไปพร้อมๆกับข้าเลยไหม ท่านพ่อกับท่านพี่อยู่ที่ห้องอักษร” เจ้าชายเอ่ยชวน “มิได้พะยะค่ะ หม่อมฉันมีธุระต้องออกไปยังเมืองหน้าด่าน จึงอยากฝากให้เจ้าชายนำไปถวายแทนหม่อมฉัน” ชายวัยกลางคนกล่าว “ได้สิ” ลาร์คยื่นมือไปรับกล่องไม้ขนาดเล็กมาถือไว้ “ท่านเองก็ไปดีมาดีนะ”
“อีกไม่นานหรอก ปีศาจซึ่งถือกำเนิดจากโลหิตแห่งข้าจะทำให้ข้าสมหวัง พวกเจ้าจะกลายเป็นฝุ่นผงเล็กๆบนหน้าประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่นับจากนี้” ชายวัยกลางคนมองตามหลังเด็กหนุ่มที่หายลับไปในอุทยานด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ
*********************
“ข้าว่าท่านพ่อกับท่านพี่น่าจะชอบมันนะ” เจ้าชายหนุ่มนึกในใจพลางรีบสาวเท้าผ่านอุทยานหลวงเพื่อให้ไปถึงห้องอักษรซึ่งตั้งอยู่ติดกันโดยเร็ว
ด้วยความรีบร้อนนี้เองทำให้เจ้าชายลาร์คสะดุดล้มลงในอุทยาน ทันใดนั้นฝากล่องดนตรีซึ่งลงกลอนไว้ก็เปิดออก ควันสีดำน่าหวาดหวั่นพวยพุ่งออกมา หมอกควันเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นกลุ่มหนาทึบแล้วพุ่งเข้าใส่เจ้าชาย
“ไม่
..” เสียงร้องซึ่งเวนตุสจำได้ว่าเป็นเสียงของเจ้าชายลาร์คดังขึ้น ชายหนุ่มรีบวิ่งตรงไปยังต้นเสียงพร้อมทหารยามหลายคน ทันทีที่โผล่พ้นพุ่มไม้ เบื้องหน้าชายหนุ่มคือเงาดำสายใหญ่ ไม่เป็นรูปเป็นร่างลอยอ้อยอิ่งเหนือร่างของเจ้าชายซึ่งนอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่บนพรมหญ้า กลิ่นอายชั่วร้ายแผ่กระจายไปทั่ว
ชายหนุ่มตัดสินใจทุ่มพลังทั้งหมดเข้าใส่ตัวปีศาจเพียงเพื่อยับยั้งไม่ให้มันทำอันตรายผู้ใด แสงสีสว่างสาดออกจากมือทั้งสองปะทะเข้ากับรังสีที่เงาดำนั้นแผ่ออกมาต้านไว้แต่ก็เพียงชั่วครู่ แสงสีขาวนั้นชำแรกผ่านเข้าไป เงาดำไหวระริกเพียงชั่วครู่ก่อนจะจางหายไปกับธาตุอากาศ
เวนตุสรีบวิ่งตรงเข้าไปหาร่างบนพื้นหญ้า พลันเงาที่สูญสลายไปเมื่อครู่กลับมารวมตัวกันใหม่แล้วพุ่งเข้าใส่ร่างเขา สายสีดำซึมวาบหายเข้าไปในตัวชายหนุ่ม ก่อนที่สำนึกสุดท้ายจะดับวูบลง เวนตุสรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดผลักร่างของเจ้าชายลาร์คจนกระเด็นไปอยู่ข้างพุ่มไม้
“กรร
.”
ร่างของเวนตุสคล้ายมีเงาสีดำทับซ้อนอยู่อีกชั้น นัยน์ตาสีอมม่วงงามไร้แวว เขาลุกขึ้นช้าๆก่อนจะเดินย่างสามขุมมาหาพวกทหารซึ่งรายรอบอยู่ “ท่านเวนตุส” หนึ่งในนั้นพยายามเรียก
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!
เส้นไหมสีเงินพุ่งออกมาจากอากาศทุกทิศทุกทางเข้าเสียบทะลุร่างเหยื่อเคราะห์ร้ายหลายราย เลือดสีสดสาดกระจายเต็มพื้นทางเดิน ยังไม่ทันที่จะขยับตัวหนีปรากฏลูกไฟสีขาวจ้าในมือพ่อมด
พรึบ!!!
เปลวไฟเหล่านั้นลุกโชนท่วมร่างผู้ที่เหลือต่อๆกันไปทีละรายจนมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าถ่าน บางคนที่เคราะห์ดีไม่ตายได้แต่นอนกุมแผลพุพองพลางร้องโอดโอยโดยไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเหลือ อุทยานหลวงที่เคยงดงามกลับเต็มไปด้วยเลือดและกรีดร้องอย่างทรมาน ผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่พากันวิ่งหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต เสียงกลองสัญญาณระดมพลดังกึกก้องไปทั่วทั้งพระราชวัง
“องค์ราชา!!” ทหารรักษาพระองค์กระหืดกระหอบเข้ามายังห้องอักษร “ท่านพ่อมดถูกปีศาจร้ายครอบงำกำลังอาละวาดอยู่ในอุทยานหลวง พวกเรายังช่วยเจ้าชายออกมาไม่ได้
.” เสียงรายงานยังไม่จบดีราชาซาร์เรสคว้าดาบยาวคู่ใจตรงลงไปในอุทยานทันที ฝ่ายเจ้าหญิงลีเมย์ด้วยความเป็นห่วงน้องชายทำให้พระองค์ไม่ยอมฟังคำทัดท้านของเหล่านางกำนัลและพี่เลี้ยงเสด็จออกมาจนถึงที่เกิดเหตุ
เหล่าทหารที่ถูกเรียกมาพร้อมกับบรรดาผู้ใช้เวทพากันกระจายกำลังล้อมรอบสนามบริเวณที่ปีศาจอาละวาดตามบัญชาขององค์ราชา เรฟซึ่งเป็นหัวหน้าพยายามคิดหาวิธีหยุดยั้งปีศาจตนนี้ ก่อนที่มันจะดึงพลังทั้งหมดของพ่อมดออกมาใช้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นคงไม่อาจมีใครต้านทานเอาไว้ได้
“ลาร์ค
.” เสียงหวานเรียกหาผู้เป็นน้องชายซึ่งยังไม่มีใครนำตัวออกมาได้ “อย่าเข้าไปพะยะค่ะ องค์หญิง มันอันตราย” พวกทหารรั้งตัวหญิงเอาไว้ไม่ยอมให้พระองค์เข้าใกล้ไปมากกว่านี้ เวนตุสซึ่งดูราวกับตุ๊กตาหุ่นยืนนิ่งอยู่กลางวงล้อมไฟสว่างไสวโดยมีผู้ใช้เวทสี่คนตั้งเขตแดนอยู่
เขาคล้ายรับรู้การมาถึงขององค์ราชาและเจ้าหญิง คลื่นพลังแผ่เข้าปะทะวงล้อมที่กักกันตนเองอยู่ก่อนจะมาถึงตัวผู้ใช้เวททั้งสี่
ตูม!!!
เสียงระเบิดดังกึกก้องอุทยานพร้อมพัดพาเอาร่างของผู้ใช้เวทปลิวไปกระแทกต้นไม้ เงาดำที่ซ้อนทับอยู่นั้นไหวระริก ประกายกลับคืนสู่ดวงตาพ่อมดหนุ่มเพียงพริบตาทำให้การเคลื่อนไหวหยุดชะงักลง
เหล่าทหารอาศัยจังหวะนี้กึ่งพยุกกึ่งลากเจ้าชายลาร์คออกมาจากที่เกิดเหตุ “ลาร์ค” เจ้าหญิงรับร่างของน้องชายเอาไว้ เธอคล้ายเห็นดวงจิตของชายหนุ่มเป็นเงาราง
“หนีไปลีเมย์ หนีไปซะ”
เวนตุสนั้นตะโกนสุดเสียง ทว่าเจ้าหญิงไม่อาจได้ยินถ้อยคำอันใด ดวงจิตที่เป็นเงาบางๆเริ่มสั่นไหวและพร่าเลือนลงดังภาพลวงตาในทะเลทราย
อ๊าก!!!!
ร่างสีดำน่าหวาดหวั่นหันไปทางกลุ่มทหารที่องค์ราชาทรงยืนบัญชาการอยู่ ทว่ามันหยุดชะงักคล้ายเกิดการต่อต้านระหว่างจิตสำนึกของเวนตุสกับปีศาจ ก่อนที่ดาบด้ามยาวสีเงินปรากฏขึ้นในมือของชายหนุ่ม
เคร้ง
เสียงอาวุธตกลงพื้น เหล่าทหารที่รายรอบองค์ราชายกมือของตนขึ้นดูด้วยความประหลาดใจ หมอกสีดำที่แผ่ฟุ้งค่อยๆกัดกินจนร่างกายหายไปทีละส่วน ไล่ตั้งแต่ขาและแขนขึ้นมาจนหมดสิ้น พวกที่ยังเหลืออยู่รีบกรูกันเข้ามาปะทะไม่ให้ปีศาจเข้าใกล้องค์ราชาไปมากกว่านี้ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เมื่อมือดำนั้นกลับหันดาบแทงกลับสู่ตัว ทันทีที่ดาบนั้นถูกกระชากออก เลือดสีแดงของพ่อมดหลั่งไหลออกมาคล้ายสายธาร
สวบ
เหล่าทหารพุ่งหอกดาบเข้าเสียบร่างของพ่อมดที่ยังคงมีสีหน้าเฉย มันระเบิดพลังเวทใส่ผู้ที่ล้อมรอบ จนเศษเนื้อมากมายกระจัดกระจายเกลื่อน กลิ่นค้าวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณกว้าง เสียงผู้บาดเจ็บร้องระงม ขณะที่ปีศาจค่อยๆเดินเข้าไปหาองค์ราชาอย่างไม่ใส่ใจร่างที่เป็นฐานพลัง ผู้ใช้เวทหลายคนตรงเข้าขวางแต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ร่างกายก็สลายไปเช่นเดียวกับพวกทหารก่อนหน้านี้
“เสด็จพ่อ
ไม่
.”
เจ้าหญิงลีเมย์โผเข้ากอดร่างสีดำนั้นพร้อมกับที่ดาบในมือถูกเสือกเข้าใส่ร่างบาง เลือดในอกไหลย้อนขึ้นมาทะลักออกทางปากปนเปไปกับเลือดของพ่อมดหนุ่มย้อมให้ฉลองพระองค์สีอ่อนกลายเป็นสีแดงฉาน เงาดำที่ล้อมรอบกายชายหนุ่มค่อยๆจางไปคล้ายต้องลมแรง
เวนตุสยื่นมือออกมาประคองร่างบางที่ซวนเซโดยอัตโนมัติ หากแต่นัยน์ตาสีม่วงงามยังคงว่างเปล่าไร้แววอันใด เจ้าหญิงยิ้มขณะไล่มือไปตามใบหน้าอีกฝ่าย หยาดน้ำตาที่เกาะพราวบนแพขนตาหนาหยดลงมาต้องมือชายหนุ่ม
ทั้งๆที่ทุกอย่างดูว่างเปล่า แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกอาลัยกับคนตรงหน้าที่กำลังจะจากไปนัก ทำไมรอยยิ้มนั่นเห็นแล้วถึงปวดใจอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มเพียงกอดร่างบางนั้นไว้ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภาพต่างๆวาบเข้ามาในความว่างเปล่าเป็นระยะๆ จนเขารู้สึกปวดแปล๊บในหัว
พ่อมดทรุดลงพร้อมร่างของเจ้าหญิงในอ้อมแขน ผู้คนที่ล้อมรอบละล้าละลังคล้ายไม่แน่ใจ สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนภาพทุกอย่างจะดับวูบไปคือรอยยิ้มเศร้าของนางผู้เป็นที่รัก
***********************
ยอดหอระฆังยามอาทิตย์อัสดง ฝูงนกกาพากันบินกลับรังแลเห็นเป็นเงาดำตัดฟ้าสีอมส้ม “ที่ขอบฟ้านั้น
..แผ่นดินจะได้พบกับแผ่นฟ้าอีกครั้งใช่ไหม” เจ้าหญิงตรัสถาม “แน่นอน” แววตาของชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่เคียงข้างฉายประกายอ่อนโยนพร้อมกุมมือเรียวให้กระชับแน่น
“สักวันข้าจะพาเจ้าไปที่นั่น” ลีเมย์ทอดสายตาตามคำของคนข้างตัวออกไปไกล “ไม่ว่าจะเป็นที่ใด ขอเพียงมีเจ้าอยู่เคียงข้างข้า” เวนตุสรั้งร่างบางมากอดไว้อย่างทะนุถนอม เขาซุกหน้าลงกับเรือนผมยาวละเอียดสีทองอ่อน สูดกลิ่นหอมของดอกไม้ยามฤดูร้อน คล้ายจะตราเอาไว้ในความทรงจำ “เพียงมีเจ้า
..”
-----------------------------------------
หวัดดีค่ะ สบายดีกันรึเปล่า
ถูกรายงานกองทับถมเหมือนเราบ้างไหม? T-T รู้สึกว่าหมู่นี้รายงานทั้งหลายแหล่ที่จารย์สั่งค้างไว้มันถึงกำหนดส่งพร้อมๆกัน(ปาดเหงื่อ)
รู้สึกว่าช่วนนี้อากาศมันร้อนๆอ่ะ ตอนเช้าเห็นเมฆมาท่วมฟ้า สุดท้ายตอนเข้าแถวเจอแต่แดดเปรี้ยงๆT-T หวิดกลายเป็นกุ้งเผาแล้วเรา(แอบบ่นเล็กๆ)
และแล้วก็.......ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและเม้นท์เจ้าค่ะ
ความคิดเห็น