ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : หน้าประวัติศาสตร์
"ข้า .."
"เจ้าหาว่าข้อมูลของข้าไม่เที่ยงงั้นหรือ "
"ข้อมูลของข้านี่ได้มาจากเจ้าบ้านโดยตรงเชียวนะ .."
"เอ้อ ."
"ชิ บันทึกข้าเชื่อถือได้มากกว่าพวกเจ้าเสียอีก .."
ตอนนี้ห้องประชุมของสภากลางกลายสภาพเป็นสมรภูมิน้ำลายของบรรดาผู้ใช้เวทซึ่งหยิบยกเอาข้อมูลที่กลุ่มของตนไปค้นหามาได้เมื่อสองสัปดาห์ก่อนออกมาอภิปรายแจกแจงกันยกใหญ่ กระทั่งฝ่ายแรนดัลซึ่งเป็นหัวหน้าเองยังแอบโคลงศรีษะไปมาด้วยยังไม่มีจังหวะดีพอจะห้ามได้
ส่วนกลุ่มของมาร์คัสซึ่งยังยึดครองที่นั่งเดิมด้านบนสุดนั้นได้แต่มองตามตาปริบๆ เนื่องจากจะขัดก็ไม่มีใครฟัง จะพูดก็แย่งเขาไม่ทัน
"ไดแอซ เจ้าลองพูดบ้างสิ" ลงท้ายราดีสต้องหันไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านข้อมูลอย่างตั้งอกตั้งใจ "เห .ข้าเหรอ" เจ้าตัวทำหน้าเอ๋อๆ "ก็ใช่นะสิ" คราวนี้บรรดาผู้ใช้เวทในกลุ่มตะโกนใส่เด็กหนุ่มพร้อมๆกัน เขาออกอาการเหงื่อตกเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นแล้วตะโกนสุดเสียง
"ข้า ."
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าทั้งห้องเงียบผิดปกติ ชนิดที่เข็มตกสักเล่มคงได้ยินกันหมดแน่ เจ้าตัวเองก็แทบจะมุดลงไปแอบอยู่ใต้เก้าอี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อสายตาของคนทั้งห้องหันมาจับจ้องที่ตัวเอง
"ง่า ."
"ทุกท่านคงทราบดีว่ากลุ่มของข้าได้ทำการค้นคว้าในเขตหอสมุดของสภากลางซึ่งถือว่าเป็นที่เก็บรวบรวมบันทึกและหนังสืออันมีความสำคัญของแพนโทเนีย สำหรับข้อมูลที่พวกข้ารวบรวมมาได้นั้นอาจไม่เหมือนกับที่หลายๆท่านได้มา แน่นอนว่ามันออกจะแปลกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ที่พวกเราเคยรู้จัก ข้าจึงอยากให้ท่านทั้งหลายได้รับฟัง"
ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้องประชุมหลังเด็กหนุ่มกล่าวจบ เจ้าตัวกำลังจะย่องไปหาราดีสอย่างเงียบๆ "ว่าแต่เจ้าน่ะเป็นใคร ไม่ใช่ผู้ใช่เวทนี่" คำนี้เล่นเอาเจ้าตัวชะงักแล้วเหลือบไปมองขอความช่วยเหลือ มาร์คัสเป็นฝ่ายลุกขึ้น ก่อนจะชูบางอย่างในมือให้ทุกคนได้เห็น "จดหมายรับรองของจอมปราชญ์ ท่านวาริดกับท่านรารัสรับรองให้เข้าร่วมประชุมได้"
บรรดาผู้ใช้เวทเมื่อเห็นตราประทับครั่งสีแดงอันเบอเร่อเท่อตรงหัวกระดาษต่างพยักหน้าไปตามๆกัน ด้วยว่าเป็นตราประทับแบบลงเวทเฉพาะตัวที่ใครหน้าไหนก็ลอกเลียนไม่ได้
ก่อนที่จะมีใครเริ่มถกกันต่อเวสจึงถือโอกาสรีบคว้าปึกข้อมูลขึ้นมาแล้วเริ่มอ่านให้ทุกคนได้ฟังกัน "ในปีที่ 50 ของรัชกาล . "
**********************
หลังจากเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวออกมาจากป่ามรกตจนเมื่อคืนไม่มีใครได้หลับได้นอนเลยแม้แต่สักคนเดียว รุ่งเช้าชาวบ้านทั้งหลายจึงพร้อมใจกันออกมาชุมนุมอยู่ตรงประตูทิศเหนืออันเป็นจุดที่ใกล้ป่าซึ่งไม่ค่อยมีใครอยากเหยีบย่างเข้าไปมากที่สุด
เงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นใต้ไม้คล้ายภูตพรายก็ไม่ปาน ชาวบ้านหลายคนพากันสะดุ้งโหยงแล้วสาวเท้าถอยห่างออกมาจากประตูอย่างไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มกวาดตาสีอัญชันมองทิวทัศน์รอบกายด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด เนื่องจากเบื้องหน้าเขาคือชาวบ้านแทบทั้งหมู่บ้านที่พากันยืนจ้องมองเขาด้วยดวงตาสงสัยปนหวาดผวา
ทำเอาเจ้าตัวรีบก้มมองสารรูปตัวเองบ้าง เสื้อคลุมอย่างดีสีดำที่เคยหนานุ่ม มาบัดนี้ขาดกะรุ่งกะริ่งราวผ้าขี้ริ้ว ผมที่มีสีน้ำตาลอย่างเปลือกไม้โอ๊คนั้นกระเซิงเสียจนไม่อาจเรียกว่าเป็นทรงได้ ขากางเกงก็มีแต่รอยปุๆปะๆแถมด้วยคราบดินโคลนจับจนหนาปึ๊กๆ
"ข้า .." เขาตะกุกตะกักด้วยไม่รู้จะบอกกับทุกคนว่าอย่างไรดี กลัวจะวิ่งกันป่าราบเสียก่อน จนกระทั่งรู้สึกมีเงาดำพาดผ่านพื้นดินตรงหน้า "ขอเชิญท่านทางนี้" ชายร่างสูงกำยำในเครื่องแบบทหารสวมเกราะเกือบทั้งตัวผายมือไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนินหญ้าที่แยกตัวจากหลังอื่นๆอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มได้แต่มองหน้าเคร่งขรึมของผู้ที่จู่ๆโผล่มาเชิญตัวแกมบังคับแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมเขายังเหลือบไปเห็นว่ามือของอีกฝ่ายนั้นกุมดาบด้ามยักษ์ข้างเอวอยู่จึงรีบกลืนบรรดาคำถามทั้งหลายที่ท่วมคอท่วมปากลงไปเสีย แล้วตัดสินใจเดินตามชายผู้นั้นไปอย่างเงียบๆ
ประตูไม้เปิดออกพร้อมกลิ่นหอมประหลาดคล้ายสมุนไพรหลากชนิดผสมกันลอยมาแตะจมูกเขา ภายในบ้านสว่างไสวด้วยแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างด้านตะวันออก สาดต้องเครื่องเรือนไม้อย่างดีถูกจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อย
เขาเดินตามชายผู้นั้นขึ้นบันไดซึ่งทอดสู่ชั้นสองที่ดูเหมือนจะเป็นคนละซีกโลกกับชั้นล่าง ด้วยว่าหน้าต่างทุกบานล้วนมีม่านหนาสีขาวกางกั้นแสงจากภายนอกเอาไว้จนทำให้ทางเดินเบื้องหน้าดูสลัวรัวราง
พวกเขาหยุดหน้าประตูบานหนึ่งก่อนจะเคาะเบาๆแล้วเปิดมันออก ในห้องนั้นก็มืดทึบไม่แพ้ภายนอกจนชายหนุ่มแทบจะเดินสะดุดขาตัวเอง "มาแล้วหรือ" เสียงห้าวถามขึ้นพร้อมร่างหนึ่งเดินออกมาจากเงามืดด้านขวามือซึ่งเขาคะเนว่าคงเป็นที่ตั้งของเตียง ผู้นำทางคำนับแล้วถอยออกไปทิ้งให้เขาอยู่กับชายแปลกหน้าตามลำพัง
"ข้ามีนามว่า เลทิส" ชายผู้นั้นแนะนำตัว "ข้าเวนตุส" ชายหนุ่มคำนับอีกฝ่าย "เชิญนั่ง" เขารินน้ำชาอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงอันใดรบกวนผู้ป่วย ชายหนุ่มได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เพราะเขายังงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เนื่องจากเพิ่งลากสังขารออกมาจากป่าอะไรก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือไม่มีความคิดจะย้อนกลับไปเดินเล่นอีกเป็นรอบสอง
"ท่านเป็นผู้ที่ช่วยพวกข้าวันนั้นใช่หรือไม่" ชายผู้นั้นยื่นตราบางอย่างมาให้ดู เขาพยักหน้ารับ อีกฝ่ายนิ่งไปเป็นนานจนเขาเหงื่อตก ซ้ำในห้องนั้นก็มืดเสียจนไม่อาจเห็นสีหน้าของคู่สนทนาได้ชัดเจนนัก คาดเดาไม่ได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่
ย้อนไปถึงเมื่อ 3 วันก่อนหน้านี้ ขณะที่เขาเดินเล่นอยู่แถวชานเมือง จู่ๆเกิดไปจ๊ะเอ๋เข้ากับกลุ่มคนแต่งกายประหลาดสวมเสื้อผ้าสีแปลกๆ คลุมหน้าตามิดชิดกำลังโจมตีรถม้าของอัศวินซึ่งถือธงตราสัญลักษณ์นี้ และด้วยสันดานเก่าที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นเป็นกิจวัตร เขาเลยสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านจนได้ แถมยังเผลอตัวใช้มนตราเต็มรูปแบบอีกต่างหาก แต่ก็ทำให้ฝ่ายโจมตีรามือและล่าถอยจากไปในความมืด ด้วยอารามรีบร้อนจะหลบบรรดาสายตาแปลกๆของเหล่าอัศวิน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าตัวเองเดินหลงเปะปะอยู่กลางป่าทึบที่เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์สารพันชนิด
พรึบ
อีกฝ่ายลงไปคุกเข่าต่อหน้าเขาขัดจังหวะความคิดทั้งหลายทั้งมวลลง "ต้องขอบคุณท่านอย่างยิ่ง หากไม่ได้ท่านช่วยไว้เจ้านายข้าคง ." ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งเนื่องจากตามเหตุการณ์ไม่ค่อยทันเท่าใดนัก
เสียงครางเบาๆดังมาจากเตียงทำให้เลทิสรีบวิ่งเข้าไปหาต้นเสียงทันที ชายหนุ่มเลยถือโอกาสเดินตามไปด้วยจึงได้เห็นว่าร่างที่นอนนิ่งบนเตียงนั้น มีใบหน้างามสง่าแต่ดูซีดเซียว ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผลจนคล้ายมัมมี่ และบางส่วนที่เป็นแผลฉกรรจ์ยังคงมีคราบเลือดแห้งกรังจับตัวอยู่
"อันนี้ข้าพอจะช่วยได้ " ยังความประหลาดใจแก่อีกฝ่ายอย่างยิ่ง "ท่านเป็นหมอหรือ" เขายิ้มน้อยๆแล้วกางมือออก ปรากฏดวงแสงนวลดวงหนึ่งลอยอยู่ระหว่างมือทั้งสอง ดวงแสงนั้นค่อยๆเคลื่อนเข้าหาร่างที่นอนนิ่งก่อนจะซึมหายเข้าไปภายใน
คนข้างตัวถลาเข้าไปชิดเตียงพบว่า เลือดฝาดนั้นกลับคืนสู่ใบหน้าคนเจ็บอีกครั้ง ลมหายใจนิ่งสม่ำเสมอไม่มีริ้วรอยแห่งความเจ็บปวดอันใดหลงเหลืออยู่ เวนตุสยิ้มเป็นเชิงพอใจกับผลการรักษาครั้งนี้
ชายผู้นั้นหันมามองเขาด้วยความสงสัยเป็นรอบที่ 2 ของวัน "ข้าเป็น .เอ้อ พ่อมดน่ะ รู้จักไหมนี่ คล้ายๆกับผู้ใช้เวทของพวกท่านน่ะแหละ" เจ้าตัวพยายามอธิบาย แต่แล้วกลับเป็นฝ่ายแปลกใจเสียเองเมื่อ เลทิสพยักหน้ารับ "ข้าทราบ"
"ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องของพวกท่านจากนักผจญภัยต่างอาณาจักรมาบ้าง เพิ่งได้พบตัวจริงก็วันนี้เอง " เมื่อเขาหันไปเห็นสารรูปของชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อ "ดูท่าท่านเองก็คงเหนื่อยมามาก ข้าจะให้คนเตรียมห้องพักและอาหารไว้ให้"
******************
ชายหนุ่มพักอยู่กับเหล่าอัศวินร่วมสัปดาห์ เขาเลยอาศัยช่วงนี้เดินเข้า-ออกตรงชายป่ามรกต เนื่องจากเป็นที่ที่มีสมุนไพรอันมีสรรพคุณรักษาอาการบาดเจ็บอยู่มากมาย ด้วยความรู้ที่ติดตัวมาจึงพอจะช่วยเหลือแอนโทนี่ เจ้านายของเหล่าอัศวินได้ แถมยังเผื่อแผ่ความรู้ด้านสมุนไพรแปลกๆรวมถึงการรักษาแบบที่เขาเคยใช้ไปยังแพทย์ประจำหมู่บ้านอีกด้วย
จิ๊บ จิ๊บ
นกสีทองตัวจ้อยส่งเสียงร้องอย่างร่าเริงพลางเกาะบ่าของเลทิส เมื่อเจ้าตัวยื่นมือไปรับก็กลับกลายเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง
"เมื่อสามวันก่อนทางเราแจ้งเรื่องไปให้ทางเมืองหลวงทราบ และองค์ราชาทรงต้องการพบเจ้า" เขาบอกขณะที่มองดูจดหมายซึ่งเพิ่งอ่านจบลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีน้ำเงิน ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังกินอาหารเช้าถึงกับสำลักไอค๊อกแค่ก ทั้งๆที่อุตส่าห์อำพรางตนไม่ให้เป็นจุดเด่นแล้วเชียว "องค์ราชาต้องการพบ" เฮ้อ มิน่าสังหรณ์อยู่ตั้งแต่เหยียบฝั่งเหมือนกันว่าคงไม่ได้เดินทางอย่างสงบสุขเป็นแน่
ด้วยเหตุนี้เองชายหนุ่มจึงได้พลอยอาศัยรถม้าเข้าเมืองหลวง เป็นการเดินทางที่ประหยัดทั้งเวลาทั้งค่าใช้จ่าย แถมยังปลดภัยจากโจรผู้ร้ายที่ดูท่าจะชุกชุมอีกต่างหาก ระหว่างทางเขาจึงได้มีโอกาสสนทนากับแอนโทนี่ผู้เป็นหัวหน้าทำให้เขาทราบว่าอีกฝ่ายมีตำแหน่งเป็นถึงคนสนิทขององค์ราชาทั้งๆที่อายุยังน้อย และสถานการณ์ในเวลานี้ก็ไม่สู้ดีนักเนื่องจากแผ่นดินแพนเทียยังกรุ่นไปด้วยไฟสงคราม อันมีสาเหตุมาจากกลุ่มชนอิสระต่างๆพากันรวมตัวมาโจมตีแนวชายแดนไม่เว้นแต่ละวัน
"ข้าเองก็เกือบเอาตัวไม่รอด นึกไม่ถึงว่าพวกมันจะส่งนักฆ่าของชาวทะเลทรายเข้ามา" ชายหนุ่มกล่าว "ชาวทะเลทรายนั้นขึ้นชื่อเรื่องนี้ พวกเขาไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอนจึงยากจะติดตาม ทั้งอายันยังเต็มไปด้วยอันตรายนัก"
"เวลานี้ข้างนอกคงเช้าแล้ว" เวนตุสคิดพลางแอบเบือนหน้าไปหาวเล็กน้อยด้วยความเบื่อ เนื่องจากต้องนั่งอุดอู้อยู่ในรถม้าเป็นเวลาถึงสองวันเต็มๆ เพราะการคุ้มกันอย่างแน่นหนาของเลทิสและเหล่าทหาร ถึงเขาจะยืนยันแล้วว่ากางเขตมนตร์คลุมอยู่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นก็ยังไม่ยอมวางใจ จึงทำให้เขาแทบจะไม่ได้เห็นอะไรอื่นนอกจากที่พักกับรถม้า
ฉับพลันม่านหนาข้างตัวถูกเลิกขึ้น แดดอ่อนยามเช้าสาดเข้ามาในรถซึ่งกำลังวิ่งอยู่บนทางเลียบเนินเขา ยอดสีเงินของพระราชวังที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆทำมุมกับลำแสงอ่อนจางในยามเช้า สายควันไฟมองเห็นเป็นเงารางพวยพุ่งขึ้นมาจากปล่องไฟของบ้านแต่ละหลัง
เวนตุสมองภาพอันงดงามผ่านกรอบหน้าต่างอยู่เป็นนาน เมื่อเขาเบือนสายตากลับมาพบว่าอีกฝ่ายกำลังทอดสายตาคล้ายจะซึมซับภาพความงามภายนอกไว้เช่นกัน ดวงตาประดุจฟ้าใสทอประกายกล้าตัดกับเส้นผมสีทองอ่อน "แพนโทเนียคือเมืองหลวงแห่งความภาคภูมิใจของพวกเรา"
**********************
พวกเขาก้าวเท้าสู่เขตพระราชวัง ผ่านซุ้มประตูโค้งลายเครือเถาและโถงใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่เรียบร้อยดีนัก ไม่ว่าแอนโทนี่จะเดินไปทางใดผู้ที่สวนมาต่างก็หยุดคำนับ ทำให้การจราจรติดขัดไปตามๆกัน จนเข้ามาถึงเขตชั้นในอันเป็นที่ปลอดคนนั่นล่ะ
ชายหนุ่มนำเขาเลี้ยวซ้ายบ้างขวาบ้างอย่างชำนาญทางจนมาสิ้นสุดยังห้องรับรองเล็กๆซึ่งมีทางเดินเชื่อมกับอุทยานเบื้องล่างอันเต็มไปด้วยดอกประจำไม้ฤดูร้อนนานาพรรณ
ครู่หนึ่งประตูด้านตรงข้ามก็เปิดออก ชายหนุ่มรีบสะกิดให้เวนตุสคุกเข่าลง เสียงชายผ้าลากพื้นสวบๆมาหยุดอยู่ตรงหน้า "ไม่ต้องมากพิธีหรอกแอนโทนี่ ลุกขึ้นเถอะ"
ราชาซาร์เรสทรงมีวรกายสูงสง่าเฉกนักรบผู้แกร่งกล้า ทว่าดวงตากลับฉายแววอ่อนโยนดุจบิดาซึ่งปราณีต่อบุตร "นั่งสิ เจ้าพึ่งหายดีไม่ใช่หรือ" สุรเสียงแสดงความห่วงใย ชายหนุ่มจึงหันมาสะกิดเวนตุสที่ยืนเกาะหลังแจเหมือนจิ้งจกให้เดินตามมาด้วยกัน
"นี่เป็นคนที่ช่วยชีวิตหม่อมฉัน" ชายหนุ่มกล่าว องค์ราชาหันมามองทำให้ชายหนุ่มเกิดอาการอยากมุดดินไปตรงนั้น "ดวงตาเจ้าสีแปลกดี" ทำเอาเจ้าตัวรีบก้มหน้างุดๆ ก็เพราะไอ้สีตาเจ้ากรรมนี่แหละที่พาให้เขาต้องโดนเด้งออกจากอาณาจักรมาตกระกำลำบากอยู่นี่ไง แถมล่าสุดยังเป็นข้ออ้างในการไล่เขาลงจากเรืออีกต่างหาก
"สีตากระหม่อมมัน ."
"ข้าไม่จับเจ้าไปควักลูกตาหรอก"
"กระหม่อมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น สีตาแบบกระหม่อมนี่ ที่อาณาจักรเขาถือว่าเป็นตัวอัปมงคล" องค์ราชาพยักหน้า "บ้านเมืองเจ้าเขาคิดอะไรแปลกๆนะ" เวนตุสยิ้มแห้งๆ "ก็ทำนองนั้นละพะยะค่ะ"
องค์ราชาทรงสนทนากับพวกเขาอยู่อีกครู่ใหญ่ ดูเหมือนว่าพระองค์ให้ความจะสนพระทัยความเป็นอยู่ของอาณาจักรที่ชายหนุ่มจากมาเป็นพิเศษ เนื่องจากการแพทย์และอะไรต่อมิอะไรดูจะเจริญก้าวหน้ากว่าที่แพนเทียไปเสียหมด ทั้งยังทรงออกปากให้เขาอยู่ในวังคอยช่วยงานของเหล่าผู้ใช้เวทอีกด้วย ชายหนุ่มคิดหน้าคิดหลังอยู่พักใหญ่แล้วจึงตอบตกลง
หลังจากนั้นก็เป็นการหารือข้อราชการและรายงานสถานการณ์แถบชายแดน ชายหนุ่มผู้ไม่มีความรู้อะไรทั้งสิ้นได้แต่นั่งฟังเงียบๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางไกลและการใช้มนตราต่อเนื่องทำให้หนังตาที่อุตส่าห์เบิกไว้ดิบดีร่ำๆจะปิดลงเสียให้ได้
"เวนตุส เวนตุส" แอนโทนี่สะกิดเรียกเขาเบาๆ "มะ มีอะไรหรือ" เจ้าตัวผงกศรีษะขึ้นมาถาม "ข้าว่าท่านไปพักผ่อนก่อนเถิด" ชายหนุ่มพยักหน้าเออออไปด้วยก่อนจะลุกขึ้นเดินตามคนนำทางออกไป และ 5 นาทีให้หลังเขาก็กลับมาอีกครั้ง
"พอจะมีแผนที่ไหมพะยะค่ะ คือวังมันกว้างกระหม่อมกลัวหลง" แล้วองค์ราชาผู้เคร่งขรึมก็สรวลเสียงดัง จากนั้นจึงทรงพระราชทางแผนที่ม้วนหนึ่งให้ชายหนุ่มไป
จากวันนั้นดูเหมือนแผนที่หนังอย่างดีจะไม่ค่อยถูกใช้งานสักเท่าใดนัก เนื่องจากเวนตุสพำนักอยู่แต่ในเขตสถาบันวิจัยซึ่งถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมของผู้ใช้เวทในอาณาจักรที่มีจำนวนน้อยนิด ตัวเขากับบรรดาผู้ใช้เวทต่างก็มีงานยุ่งตลอดวัน ชายหนุ่มให้คำแนะนำเกี่ยวกับการค้นคว้าด้านสมุนไพรเพื่อนำมาผลิตตัวยาใหม่ๆรวมถึงการรักษาโรคต่างๆ
แต่เขาก็ทำงานที่นี่ได้เพียง 3 สัปดาห์ เนื่องจากองค์ราชามีพระประสงค์ให้เขาช่วยคุ้มครองแอนโทนี่เข้าเขตอายันส่วนในเพื่อทำการเจรจากับชาวทะเลทราย
***************************
"พวกเราถูกล้อม" เลทิสกล่าวเสียงเครียด ด้วยรถม้าของพวกเขาถูกกองทหารในชุดดำซึ่งแฝงตัวอยู่ตามเงามืดของโขดหินล้อมไว้ทุกทาง พ่อมดแตะมีดสั้นที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อ ส่วนอัศวินหนุ่มเองก็กำดาบแน่นจนนิ้วมือขึ้นข้อขาว พวกเขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงจากภายนอกซึ่งมีแต่ความเงียบราวร้างไร้ผู้คน
จนแอนโทนี่ตัดสินใจก้าวออกไปดูสถานการณ์ภายนอกด้วยตนเอง แม้เลทิสจะห้ามอย่างไรก็ไม่ยอมฟังจึงตามออกมาพร้อมกับเวนตุส เหล่าอัศวินภายใต้อาณัติของชายหนุ่มขยับเข้ามาล้อมรอบเจ้านายของตนไว้ เมื่อประเมินจากจำนวนคนแล้วฝ่ายพวกเขาเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด หากฝืนสู้ไปคงมีแต่เสียกับเสียเท่านั้น
"ข้ามาเพื่อเจรจาอย่างสันติ" แอนโทนี่ทิ้งดาบของตนลงพื้น พ่อมดถึงกับอ้าปากค้างกับการกระทำของบุรุษตรงหน้า เงาที่ล้อมอยู่รอบกายวูบไหวภายใต้แสงจันทร์ ชายในชุดคลุมดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้าผู้หนึ่งก้าวออกมาจากความมืดพร้อมม้า
"ข้าจะนำขบวนของพวกท่านไป" เขากล่าวเป็นภาษาของแพนเทียก่อนจะหันไปออกคำสั่งด้วยคำพื้นเมือง ปรากฏม้าอีกกว่า 30 ตัวเยื้องย่างตามกันออกมา แอนโทนี่สั่งให้อัศวินของตนเก็บอาวุธและตามพวกนั้นไปแต่โดยดี
พวกเขาปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมตลอดระยะทางอันยาวไกล เวนตุสเหม่อมองพระจันทร์ดวงกลมโตภายนอกพลางคิดถึงคนไกล "ป่านนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง จะมองพระจันทร์ดวงเดียวกับข้าไหมนะ"
***************************
เมื่อดวงจันทร์บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตกขบวนของพวกเขามาถึงเนินทรายซึ่งเป็นที่ตั้งของโอเอซิสขนาดใหญ่นับสิบแห่ง หมู่กระโจมมากมายกระพริบแสงไฟวิบวับแลเห็นแต่ไกล
รถม้าหยุดลงพร้อมกับเสียงชายคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง "จากนี้พวกท่านต้องเดินเท้าเข้าไป" เขาผายมือให้พวกเขาก้าวตามคนนำทางในชุดคลุมเช่นเดียวกัน "แล้วคนของข้า" แอนโทนี่เอ่ยถาม "ข้าจะไม่ทำอะไรพวกเขาแน่นอน" เมื่อเห็นชายหนุ่มยังไม่วางใจจึงกล่าวสืบไป "ด้วยเกียตริแห่งชาวทะเลทราย"
เวนตุสสังเกตว่ากระโจมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นกระโจมหลังขนาดกลางตั้งอยู่ค่อนไปทางด้านในของโอเอซิส อีกหมู่นั้นเรียงรายอยู่โดยรอบของกระโจมหลังใหญ่ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าแลคล้ายป้อมปราการ เขากระชับเสื้อคลุมเข้าด้วยอากาศใกล้รุ่งหนาวนัก
"เราเรียกพวกเขาว่าอายันเช่นเดียวกับทะเลทราย" แอนโทนี่กล่าวกับเวนตุส "ชนพวกนี้จะมีหัวหน้าปกครองสืบทอดกันโดยสายเลือด ผู้ปกครองคนปัจจุบันนามลอร์ซ แม้เป็นชนเร่ร่อนแต่พวกเขาก็รักเกียตริยิ่งชีพ" ชายหนุ่มหวนนึกถึงถ้อยคำที่คนข้างหน้าเคยบอกไว้
ภายในกระโจมทรงสูงเป็นชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะใหญ่ภายใต้แสงเทียน เขาสวมชุดคลุมสีดำขลิบทองเช่นคนเดินทางในทะเลทราย ใบหน้าดูสุขุมเต็มไปด้วยริ้วรอยเช่นผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาช้านาน ร่างสูงหยัดตรงแข็งแกร่งเฉกหินผา เขามองทั้งสองด้วยดวงตาสีนิลราวพิจารณาให้ถึงตัวตนที่แท้จริง
ทั้งสองทรุดตัวนั่งด้านตรงข้าม ขณะที่ชายผู้นั้นโบกมือไล่คนในกระโจมออกไปจนหมด เสียงลมปะทะหมู่กระโจมก่อนจะผ่านเลยไป
"ข้ามาวันนี้เพื่อเจรจากับท่าน" แอนโทนี่ค้อมศีรษะก่อนกล่าว "คนของข้าเองก็ปรารถนาความสงบเช่นเดียวกัน" อีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้านิ่ง "มีสิ่งใดจงพูดออกมา ข้าจะฟัง"
ครั้นแล้วแอนโทนี่สูดลมหายใจลึก เขาเริ่มอธิบายเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างสองสามเดือนที่ผ่านมา ความวุ่นวายในพระราชวังจนถึงการเข้าแทรกแซงของกลุ่มคนลึกลับซึ่งแต่งกายเช่นชาวทะเลทรายจนเป็นที่กังขากันทั่วไป ด้วยภาษาแบบทางการทุกกระเบียดนิ้ว
"ทั้งข้ายังสืบได้ความว่า จะมีการยึดอำนาจจากท่านและชักนำให้ชาวทะเลทรายเข้าสู่สงคราม" ชายหนุ่มบอก
ลอร์ซเบิกตากว้างพร้อมสบถเบาๆ "โปรดดู" ชายหนุ่มส่งหลักฐานอันประกอบด้วยจดหมายหลายฉบับให้ เขารับไปอ่านแล้วมุ่นคิ้วลง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมายังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้ ด้านแอนโทนี่เองก็เก็บอาการร้อนใจเอาไว้แล้วเอ่ยต่อ
"นั่นเป็นเรื่องภายในของพวกท่านที่ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หากสิ่งสำคัญคือข้าอยากให้เราปรองดองกัน ข้าให้สัญญาว่าจะไม่รุกรานหรือเข้าแทรกแซงเรื่องใดๆของพวกท่าน" เมื่อชายหนุ่มพูดจบความเงียบเข้ามาปกคลุมกระโจมอีกครั้ง
ลอร์ซนิ่งไป ฝ่ายแอนโทนี่เองก็ประสานมือหลวมๆคล้ายรอฟังคำตอบ เวนตุสซึ่งนั่งนิ่งฟังทั้งสองฝ่ายเจรจากันมานานอดรนทนไม่ไหวจึงโพล่งขึ้น
"ข้าเป็นเพียงพ่อมดพเนจรไร้หัวนอนปลายเท้า ข้าอาจถือได้ว่าเป็นคนนอกที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟินน์เดนแห่งนี้ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสาเหตุแห่งความบาดหมางคืออะไร ที่นี่แม้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน ข้าไม่จำเป็นต้องพูดกับพวกท่านให้มากความโดยที่ตนไม่ได้ประโยชน์อันใด แต่ .ข้าไม่อยากเห็นสงคราม ไม่อยากให้มีคนต้องตาย ไม่อยากให้ใครต้องพบกับความเจ็บปวด ความสูญเสีย และความทุกข์"
พูดเช่นนั้นแล้ว ดวงตาของพ่อมดหนุ่มก็ฉายแววเศร้าเมื่อรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต แอนโทนี่ดูจะประหลาดใจกับท่าทีของชายหนุ่ม
"ข้ารับปาก"
ลอร์ซยิ้มน้อยๆขณะเอ่ยคำนั้น
**********************
"จากนี้ไปผองชนของข้าจะไม่รุกรานชายแดนของพวกเจ้า เราจะไม่หันคมดาบใส่กันอีกต่อไป แต่เราจะหยิบยื่นไม่ตรีให้แก่กันและกัน ยามเทศกาลฤดูร้อน จงมองมายังขอบฟ้าด้านตะวันตก เส้นทางพระจันทร์แห่งอายันจะนำพากองคาราวานจากข้าไปยังอาณาจักรของเจ้า"
"ดาบของเจ้าเป็นดาบที่ดี" ชายวัยกลางคนกล่าวกับแอนโทนี่ "แต่อาวุธไม่ว่าจะแกร่งกล้าเพียงใด หากไม่รู้จักใช้ย่อมจะนำพาหายนะสู้ตัว" เขาหันมาหาเวนตุส "มนตราของเจ้าก็เช่นกัน หากข้ามองเห็นหนทางอันยาวไกลและยากลำบากรอเจ้าอยู่" ลอร์ซไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงยิ้มให้พวกเขาที่กำลังเดินจากไป
"ขอให้พวกเจ้าจงโชคดี"
------------------------------
สวัสดีค่ะ สบายดีกันรึเปล่าเอ่ย อัพตอนใหม่ช้าไปจิ๊ดนึง แหะๆ ตอนนี้โหมดขยันเดินเครื่องเต็มที่เลยละค่ะ ส่วนโหมดขี้เกียจนี่พับเก็บกล่องถ่วงน้ำไปก่อนเลยเพราะงานเยอะมากๆ
ตอนนี้ส่งเวนตุสออกมาโชว์ตัวค่ะ ไดแอซนี่ให้ลาพักไว้ก่อนซักตอนสองตอน
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านน๊า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น