ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #12 : หน้าประวัติศาสตร์

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 49


      
         "ข้า…….."
     
         "เจ้าหาว่าข้อมูลของข้าไม่เที่ยงงั้นหรือ……"
     
         "ข้อมูลของข้านี่ได้มาจากเจ้าบ้านโดยตรงเชียวนะ….."
     
         "เอ้อ……."
     
         "ชิ  บันทึกข้าเชื่อถือได้มากกว่าพวกเจ้าเสียอีก….."
     
         ตอนนี้ห้องประชุมของสภากลางกลายสภาพเป็นสมรภูมิน้ำลายของบรรดาผู้ใช้เวทซึ่งหยิบยกเอาข้อมูลที่กลุ่มของตนไปค้นหามาได้เมื่อสองสัปดาห์ก่อนออกมาอภิปรายแจกแจงกันยกใหญ่  กระทั่งฝ่ายแรนดัลซึ่งเป็นหัวหน้าเองยังแอบโคลงศรีษะไปมาด้วยยังไม่มีจังหวะดีพอจะห้ามได้ 
         
         ส่วนกลุ่มของมาร์คัสซึ่งยังยึดครองที่นั่งเดิมด้านบนสุดนั้นได้แต่มองตามตาปริบๆ เนื่องจากจะขัดก็ไม่มีใครฟัง จะพูดก็แย่งเขาไม่ทัน  
     
         "ไดแอซ  เจ้าลองพูดบ้างสิ"  ลงท้ายราดีสต้องหันไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านข้อมูลอย่างตั้งอกตั้งใจ  "เห….ข้าเหรอ"  เจ้าตัวทำหน้าเอ๋อๆ  "ก็ใช่นะสิ"  คราวนี้บรรดาผู้ใช้เวทในกลุ่มตะโกนใส่เด็กหนุ่มพร้อมๆกัน  เขาออกอาการเหงื่อตกเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นแล้วตะโกนสุดเสียง
     
         "ข้า…………."
     
         เด็กหนุ่มรู้สึกว่าทั้งห้องเงียบผิดปกติ ชนิดที่เข็มตกสักเล่มคงได้ยินกันหมดแน่  เจ้าตัวเองก็แทบจะมุดลงไปแอบอยู่ใต้เก้าอี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด  เมื่อสายตาของคนทั้งห้องหันมาจับจ้องที่ตัวเอง  
     
         "ง่า…." 
     
         "ทุกท่านคงทราบดีว่ากลุ่มของข้าได้ทำการค้นคว้าในเขตหอสมุดของสภากลางซึ่งถือว่าเป็นที่เก็บรวบรวมบันทึกและหนังสืออันมีความสำคัญของแพนโทเนีย  สำหรับข้อมูลที่พวกข้ารวบรวมมาได้นั้นอาจไม่เหมือนกับที่หลายๆท่านได้มา แน่นอนว่ามันออกจะแปลกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ที่พวกเราเคยรู้จัก ข้าจึงอยากให้ท่านทั้งหลายได้รับฟัง"
     
         ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้องประชุมหลังเด็กหนุ่มกล่าวจบ  เจ้าตัวกำลังจะย่องไปหาราดีสอย่างเงียบๆ   "ว่าแต่เจ้าน่ะเป็นใคร  ไม่ใช่ผู้ใช่เวทนี่"   คำนี้เล่นเอาเจ้าตัวชะงักแล้วเหลือบไปมองขอความช่วยเหลือ  มาร์คัสเป็นฝ่ายลุกขึ้น ก่อนจะชูบางอย่างในมือให้ทุกคนได้เห็น  "จดหมายรับรองของจอมปราชญ์   ท่านวาริดกับท่านรารัสรับรองให้เข้าร่วมประชุมได้"
     
         บรรดาผู้ใช้เวทเมื่อเห็นตราประทับครั่งสีแดงอันเบอเร่อเท่อตรงหัวกระดาษต่างพยักหน้าไปตามๆกัน ด้วยว่าเป็นตราประทับแบบลงเวทเฉพาะตัวที่ใครหน้าไหนก็ลอกเลียนไม่ได้
     
         ก่อนที่จะมีใครเริ่มถกกันต่อเวสจึงถือโอกาสรีบคว้าปึกข้อมูลขึ้นมาแล้วเริ่มอ่านให้ทุกคนได้ฟังกัน  "ในปีที่ 50 ของรัชกาล…. "

                           **********************
     
         หลังจากเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวออกมาจากป่ามรกตจนเมื่อคืนไม่มีใครได้หลับได้นอนเลยแม้แต่สักคนเดียว รุ่งเช้าชาวบ้านทั้งหลายจึงพร้อมใจกันออกมาชุมนุมอยู่ตรงประตูทิศเหนืออันเป็นจุดที่ใกล้ป่าซึ่งไม่ค่อยมีใครอยากเหยีบย่างเข้าไปมากที่สุด
     
         เงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นใต้ไม้คล้ายภูตพรายก็ไม่ปาน  ชาวบ้านหลายคนพากันสะดุ้งโหยงแล้วสาวเท้าถอยห่างออกมาจากประตูอย่างไม่รู้ตัว  
     
         ชายหนุ่มกวาดตาสีอัญชันมองทิวทัศน์รอบกายด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด  เนื่องจากเบื้องหน้าเขาคือชาวบ้านแทบทั้งหมู่บ้านที่พากันยืนจ้องมองเขาด้วยดวงตาสงสัยปนหวาดผวา 
     
         ทำเอาเจ้าตัวรีบก้มมองสารรูปตัวเองบ้าง  เสื้อคลุมอย่างดีสีดำที่เคยหนานุ่ม  มาบัดนี้ขาดกะรุ่งกะริ่งราวผ้าขี้ริ้ว  ผมที่มีสีน้ำตาลอย่างเปลือกไม้โอ๊คนั้นกระเซิงเสียจนไม่อาจเรียกว่าเป็นทรงได้   ขากางเกงก็มีแต่รอยปุๆปะๆแถมด้วยคราบดินโคลนจับจนหนาปึ๊กๆ
     
         "ข้า….."  เขาตะกุกตะกักด้วยไม่รู้จะบอกกับทุกคนว่าอย่างไรดี กลัวจะวิ่งกันป่าราบเสียก่อน จนกระทั่งรู้สึกมีเงาดำพาดผ่านพื้นดินตรงหน้า  "ขอเชิญท่านทางนี้"   ชายร่างสูงกำยำในเครื่องแบบทหารสวมเกราะเกือบทั้งตัวผายมือไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนินหญ้าที่แยกตัวจากหลังอื่นๆอย่างชัดเจน
      
          ชายหนุ่มได้แต่มองหน้าเคร่งขรึมของผู้ที่จู่ๆโผล่มาเชิญตัวแกมบังคับแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย  แถมเขายังเหลือบไปเห็นว่ามือของอีกฝ่ายนั้นกุมดาบด้ามยักษ์ข้างเอวอยู่จึงรีบกลืนบรรดาคำถามทั้งหลายที่ท่วมคอท่วมปากลงไปเสีย  แล้วตัดสินใจเดินตามชายผู้นั้นไปอย่างเงียบๆ
      
          ประตูไม้เปิดออกพร้อมกลิ่นหอมประหลาดคล้ายสมุนไพรหลากชนิดผสมกันลอยมาแตะจมูกเขา  ภายในบ้านสว่างไสวด้วยแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างด้านตะวันออก สาดต้องเครื่องเรือนไม้อย่างดีถูกจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อย
     
         เขาเดินตามชายผู้นั้นขึ้นบันไดซึ่งทอดสู่ชั้นสองที่ดูเหมือนจะเป็นคนละซีกโลกกับชั้นล่าง ด้วยว่าหน้าต่างทุกบานล้วนมีม่านหนาสีขาวกางกั้นแสงจากภายนอกเอาไว้จนทำให้ทางเดินเบื้องหน้าดูสลัวรัวราง  
     
          พวกเขาหยุดหน้าประตูบานหนึ่งก่อนจะเคาะเบาๆแล้วเปิดมันออก ในห้องนั้นก็มืดทึบไม่แพ้ภายนอกจนชายหนุ่มแทบจะเดินสะดุดขาตัวเอง "มาแล้วหรือ"  เสียงห้าวถามขึ้นพร้อมร่างหนึ่งเดินออกมาจากเงามืดด้านขวามือซึ่งเขาคะเนว่าคงเป็นที่ตั้งของเตียง ผู้นำทางคำนับแล้วถอยออกไปทิ้งให้เขาอยู่กับชายแปลกหน้าตามลำพัง
     
         "ข้ามีนามว่า เลทิส"  ชายผู้นั้นแนะนำตัว  "ข้าเวนตุส"  ชายหนุ่มคำนับอีกฝ่าย  "เชิญนั่ง"  เขารินน้ำชาอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงอันใดรบกวนผู้ป่วย  ชายหนุ่มได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เพราะเขายังงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เนื่องจากเพิ่งลากสังขารออกมาจากป่าอะไรก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือไม่มีความคิดจะย้อนกลับไปเดินเล่นอีกเป็นรอบสอง   
     
          "ท่านเป็นผู้ที่ช่วยพวกข้าวันนั้นใช่หรือไม่"  ชายผู้นั้นยื่นตราบางอย่างมาให้ดู  เขาพยักหน้ารับ  อีกฝ่ายนิ่งไปเป็นนานจนเขาเหงื่อตก  ซ้ำในห้องนั้นก็มืดเสียจนไม่อาจเห็นสีหน้าของคู่สนทนาได้ชัดเจนนัก  คาดเดาไม่ได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่
     
         ย้อนไปถึงเมื่อ 3 วันก่อนหน้านี้ ขณะที่เขาเดินเล่นอยู่แถวชานเมือง จู่ๆเกิดไปจ๊ะเอ๋เข้ากับกลุ่มคนแต่งกายประหลาดสวมเสื้อผ้าสีแปลกๆ คลุมหน้าตามิดชิดกำลังโจมตีรถม้าของอัศวินซึ่งถือธงตราสัญลักษณ์นี้  และด้วยสันดานเก่าที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นเป็นกิจวัตร เขาเลยสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านจนได้  แถมยังเผลอตัวใช้มนตราเต็มรูปแบบอีกต่างหาก  แต่ก็ทำให้ฝ่ายโจมตีรามือและล่าถอยจากไปในความมืด ด้วยอารามรีบร้อนจะหลบบรรดาสายตาแปลกๆของเหล่าอัศวิน  กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าตัวเองเดินหลงเปะปะอยู่กลางป่าทึบที่เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์สารพันชนิด
     
         พรึบ
     
         อีกฝ่ายลงไปคุกเข่าต่อหน้าเขาขัดจังหวะความคิดทั้งหลายทั้งมวลลง  "ต้องขอบคุณท่านอย่างยิ่ง  หากไม่ได้ท่านช่วยไว้เจ้านายข้าคง……."  ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งเนื่องจากตามเหตุการณ์ไม่ค่อยทันเท่าใดนัก   
     
         เสียงครางเบาๆดังมาจากเตียงทำให้เลทิสรีบวิ่งเข้าไปหาต้นเสียงทันที  ชายหนุ่มเลยถือโอกาสเดินตามไปด้วยจึงได้เห็นว่าร่างที่นอนนิ่งบนเตียงนั้น  มีใบหน้างามสง่าแต่ดูซีดเซียว ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผลจนคล้ายมัมมี่  และบางส่วนที่เป็นแผลฉกรรจ์ยังคงมีคราบเลือดแห้งกรังจับตัวอยู่   
     
         "อันนี้ข้าพอจะช่วยได้ "  ยังความประหลาดใจแก่อีกฝ่ายอย่างยิ่ง  "ท่านเป็นหมอหรือ"  เขายิ้มน้อยๆแล้วกางมือออก  ปรากฏดวงแสงนวลดวงหนึ่งลอยอยู่ระหว่างมือทั้งสอง ดวงแสงนั้นค่อยๆเคลื่อนเข้าหาร่างที่นอนนิ่งก่อนจะซึมหายเข้าไปภายใน
     
         คนข้างตัวถลาเข้าไปชิดเตียงพบว่า เลือดฝาดนั้นกลับคืนสู่ใบหน้าคนเจ็บอีกครั้ง ลมหายใจนิ่งสม่ำเสมอไม่มีริ้วรอยแห่งความเจ็บปวดอันใดหลงเหลืออยู่   เวนตุสยิ้มเป็นเชิงพอใจกับผลการรักษาครั้งนี้
     
         ชายผู้นั้นหันมามองเขาด้วยความสงสัยเป็นรอบที่ 2 ของวัน "ข้าเป็น….เอ้อ…พ่อมดน่ะ  รู้จักไหมนี่ คล้ายๆกับผู้ใช้เวทของพวกท่านน่ะแหละ"  เจ้าตัวพยายามอธิบาย  แต่แล้วกลับเป็นฝ่ายแปลกใจเสียเองเมื่อ    เลทิสพยักหน้ารับ  "ข้าทราบ"
     
         "ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องของพวกท่านจากนักผจญภัยต่างอาณาจักรมาบ้าง เพิ่งได้พบตัวจริงก็วันนี้เอง "  เมื่อเขาหันไปเห็นสารรูปของชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อ  "ดูท่าท่านเองก็คงเหนื่อยมามาก  ข้าจะให้คนเตรียมห้องพักและอาหารไว้ให้"

                             ******************
     
         ชายหนุ่มพักอยู่กับเหล่าอัศวินร่วมสัปดาห์ เขาเลยอาศัยช่วงนี้เดินเข้า-ออกตรงชายป่ามรกต เนื่องจากเป็นที่ที่มีสมุนไพรอันมีสรรพคุณรักษาอาการบาดเจ็บอยู่มากมาย  ด้วยความรู้ที่ติดตัวมาจึงพอจะช่วยเหลือแอนโทนี่…เจ้านายของเหล่าอัศวินได้  แถมยังเผื่อแผ่ความรู้ด้านสมุนไพรแปลกๆรวมถึงการรักษาแบบที่เขาเคยใช้ไปยังแพทย์ประจำหมู่บ้านอีกด้วย
     
         จิ๊บ จิ๊บ
     
         นกสีทองตัวจ้อยส่งเสียงร้องอย่างร่าเริงพลางเกาะบ่าของเลทิส  เมื่อเจ้าตัวยื่นมือไปรับก็กลับกลายเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง 

          "เมื่อสามวันก่อนทางเราแจ้งเรื่องไปให้ทางเมืองหลวงทราบ และองค์ราชาทรงต้องการพบเจ้า"  เขาบอกขณะที่มองดูจดหมายซึ่งเพิ่งอ่านจบลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีน้ำเงิน  ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังกินอาหารเช้าถึงกับสำลักไอค๊อกแค่ก ทั้งๆที่อุตส่าห์อำพรางตนไม่ให้เป็นจุดเด่นแล้วเชียว  "องค์ราชาต้องการพบ" เฮ้อ มิน่าสังหรณ์อยู่ตั้งแต่เหยียบฝั่งเหมือนกันว่าคงไม่ได้เดินทางอย่างสงบสุขเป็นแน่ 
     
         ด้วยเหตุนี้เองชายหนุ่มจึงได้พลอยอาศัยรถม้าเข้าเมืองหลวง เป็นการเดินทางที่ประหยัดทั้งเวลาทั้งค่าใช้จ่าย แถมยังปลดภัยจากโจรผู้ร้ายที่ดูท่าจะชุกชุมอีกต่างหาก  ระหว่างทางเขาจึงได้มีโอกาสสนทนากับแอนโทนี่ผู้เป็นหัวหน้าทำให้เขาทราบว่าอีกฝ่ายมีตำแหน่งเป็นถึงคนสนิทขององค์ราชาทั้งๆที่อายุยังน้อย และสถานการณ์ในเวลานี้ก็ไม่สู้ดีนักเนื่องจากแผ่นดินแพนเทียยังกรุ่นไปด้วยไฟสงคราม อันมีสาเหตุมาจากกลุ่มชนอิสระต่างๆพากันรวมตัวมาโจมตีแนวชายแดนไม่เว้นแต่ละวัน  
     
         "ข้าเองก็เกือบเอาตัวไม่รอด  นึกไม่ถึงว่าพวกมันจะส่งนักฆ่าของชาวทะเลทรายเข้ามา"  ชายหนุ่มกล่าว "ชาวทะเลทรายนั้นขึ้นชื่อเรื่องนี้  พวกเขาไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอนจึงยากจะติดตาม  ทั้งอายันยังเต็มไปด้วยอันตรายนัก" 
     
         "เวลานี้ข้างนอกคงเช้าแล้ว" เวนตุสคิดพลางแอบเบือนหน้าไปหาวเล็กน้อยด้วยความเบื่อ เนื่องจากต้องนั่งอุดอู้อยู่ในรถม้าเป็นเวลาถึงสองวันเต็มๆ เพราะการคุ้มกันอย่างแน่นหนาของเลทิสและเหล่าทหาร  ถึงเขาจะยืนยันแล้วว่ากางเขตมนตร์คลุมอยู่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นก็ยังไม่ยอมวางใจ  จึงทำให้เขาแทบจะไม่ได้เห็นอะไรอื่นนอกจากที่พักกับรถม้า  
     
         ฉับพลันม่านหนาข้างตัวถูกเลิกขึ้น แดดอ่อนยามเช้าสาดเข้ามาในรถซึ่งกำลังวิ่งอยู่บนทางเลียบเนินเขา ยอดสีเงินของพระราชวังที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆทำมุมกับลำแสงอ่อนจางในยามเช้า  สายควันไฟมองเห็นเป็นเงารางพวยพุ่งขึ้นมาจากปล่องไฟของบ้านแต่ละหลัง 
     
         เวนตุสมองภาพอันงดงามผ่านกรอบหน้าต่างอยู่เป็นนาน  เมื่อเขาเบือนสายตากลับมาพบว่าอีกฝ่ายกำลังทอดสายตาคล้ายจะซึมซับภาพความงามภายนอกไว้เช่นกัน  ดวงตาประดุจฟ้าใสทอประกายกล้าตัดกับเส้นผมสีทองอ่อน  "แพนโทเนียคือเมืองหลวงแห่งความภาคภูมิใจของพวกเรา"

                         **********************
     
         พวกเขาก้าวเท้าสู่เขตพระราชวัง  ผ่านซุ้มประตูโค้งลายเครือเถาและโถงใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่เรียบร้อยดีนัก  ไม่ว่าแอนโทนี่จะเดินไปทางใดผู้ที่สวนมาต่างก็หยุดคำนับ  ทำให้การจราจรติดขัดไปตามๆกัน  จนเข้ามาถึงเขตชั้นในอันเป็นที่ปลอดคนนั่นล่ะ  
     
         ชายหนุ่มนำเขาเลี้ยวซ้ายบ้างขวาบ้างอย่างชำนาญทางจนมาสิ้นสุดยังห้องรับรองเล็กๆซึ่งมีทางเดินเชื่อมกับอุทยานเบื้องล่างอันเต็มไปด้วยดอกประจำไม้ฤดูร้อนนานาพรรณ
     
         ครู่หนึ่งประตูด้านตรงข้ามก็เปิดออก  ชายหนุ่มรีบสะกิดให้เวนตุสคุกเข่าลง  เสียงชายผ้าลากพื้นสวบๆมาหยุดอยู่ตรงหน้า  "ไม่ต้องมากพิธีหรอกแอนโทนี่  ลุกขึ้นเถอะ" 
     
         ราชาซาร์เรสทรงมีวรกายสูงสง่าเฉกนักรบผู้แกร่งกล้า ทว่าดวงตากลับฉายแววอ่อนโยนดุจบิดาซึ่งปราณีต่อบุตร  "นั่งสิ  เจ้าพึ่งหายดีไม่ใช่หรือ" สุรเสียงแสดงความห่วงใย ชายหนุ่มจึงหันมาสะกิดเวนตุสที่ยืนเกาะหลังแจเหมือนจิ้งจกให้เดินตามมาด้วยกัน  
     
         "นี่เป็นคนที่ช่วยชีวิตหม่อมฉัน"  ชายหนุ่มกล่าว  องค์ราชาหันมามองทำให้ชายหนุ่มเกิดอาการอยากมุดดินไปตรงนั้น  "ดวงตาเจ้าสีแปลกดี"  ทำเอาเจ้าตัวรีบก้มหน้างุดๆ ก็เพราะไอ้สีตาเจ้ากรรมนี่แหละที่พาให้เขาต้องโดนเด้งออกจากอาณาจักรมาตกระกำลำบากอยู่นี่ไง แถมล่าสุดยังเป็นข้ออ้างในการไล่เขาลงจากเรืออีกต่างหาก
     
         "สีตากระหม่อมมัน…."      
     
         "ข้าไม่จับเจ้าไปควักลูกตาหรอก"
     
         "กระหม่อมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น  สีตาแบบกระหม่อมนี่ ที่อาณาจักรเขาถือว่าเป็นตัวอัปมงคล" องค์ราชาพยักหน้า "บ้านเมืองเจ้าเขาคิดอะไรแปลกๆนะ"  เวนตุสยิ้มแห้งๆ  "ก็ทำนองนั้นละพะยะค่ะ"
     
         องค์ราชาทรงสนทนากับพวกเขาอยู่อีกครู่ใหญ่ ดูเหมือนว่าพระองค์ให้ความจะสนพระทัยความเป็นอยู่ของอาณาจักรที่ชายหนุ่มจากมาเป็นพิเศษ  เนื่องจากการแพทย์และอะไรต่อมิอะไรดูจะเจริญก้าวหน้ากว่าที่แพนเทียไปเสียหมด  ทั้งยังทรงออกปากให้เขาอยู่ในวังคอยช่วยงานของเหล่าผู้ใช้เวทอีกด้วย  ชายหนุ่มคิดหน้าคิดหลังอยู่พักใหญ่แล้วจึงตอบตกลง
     
          หลังจากนั้นก็เป็นการหารือข้อราชการและรายงานสถานการณ์แถบชายแดน  ชายหนุ่มผู้ไม่มีความรู้อะไรทั้งสิ้นได้แต่นั่งฟังเงียบๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางไกลและการใช้มนตราต่อเนื่องทำให้หนังตาที่อุตส่าห์เบิกไว้ดิบดีร่ำๆจะปิดลงเสียให้ได้ 

         "เวนตุส เวนตุส" แอนโทนี่สะกิดเรียกเขาเบาๆ  "มะ……มีอะไรหรือ"  เจ้าตัวผงกศรีษะขึ้นมาถาม  "ข้าว่าท่านไปพักผ่อนก่อนเถิด"  ชายหนุ่มพยักหน้าเออออไปด้วยก่อนจะลุกขึ้นเดินตามคนนำทางออกไป  และ 5 นาทีให้หลังเขาก็กลับมาอีกครั้ง
     
          "พอจะมีแผนที่ไหมพะยะค่ะ คือวังมันกว้างกระหม่อมกลัวหลง"  แล้วองค์ราชาผู้เคร่งขรึมก็สรวลเสียงดัง  จากนั้นจึงทรงพระราชทางแผนที่ม้วนหนึ่งให้ชายหนุ่มไป  
     
         จากวันนั้นดูเหมือนแผนที่หนังอย่างดีจะไม่ค่อยถูกใช้งานสักเท่าใดนัก เนื่องจากเวนตุสพำนักอยู่แต่ในเขตสถาบันวิจัยซึ่งถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมของผู้ใช้เวทในอาณาจักรที่มีจำนวนน้อยนิด  ตัวเขากับบรรดาผู้ใช้เวทต่างก็มีงานยุ่งตลอดวัน ชายหนุ่มให้คำแนะนำเกี่ยวกับการค้นคว้าด้านสมุนไพรเพื่อนำมาผลิตตัวยาใหม่ๆรวมถึงการรักษาโรคต่างๆ 
     
         แต่เขาก็ทำงานที่นี่ได้เพียง 3 สัปดาห์ เนื่องจากองค์ราชามีพระประสงค์ให้เขาช่วยคุ้มครองแอนโทนี่เข้าเขตอายันส่วนในเพื่อทำการเจรจากับชาวทะเลทราย

                  ***************************
     
         "พวกเราถูกล้อม"  เลทิสกล่าวเสียงเครียด ด้วยรถม้าของพวกเขาถูกกองทหารในชุดดำซึ่งแฝงตัวอยู่ตามเงามืดของโขดหินล้อมไว้ทุกทาง  พ่อมดแตะมีดสั้นที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อ ส่วนอัศวินหนุ่มเองก็กำดาบแน่นจนนิ้วมือขึ้นข้อขาว   พวกเขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงจากภายนอกซึ่งมีแต่ความเงียบราวร้างไร้ผู้คน 
     
         จนแอนโทนี่ตัดสินใจก้าวออกไปดูสถานการณ์ภายนอกด้วยตนเอง  แม้เลทิสจะห้ามอย่างไรก็ไม่ยอมฟังจึงตามออกมาพร้อมกับเวนตุส เหล่าอัศวินภายใต้อาณัติของชายหนุ่มขยับเข้ามาล้อมรอบเจ้านายของตนไว้  เมื่อประเมินจากจำนวนคนแล้วฝ่ายพวกเขาเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด  หากฝืนสู้ไปคงมีแต่เสียกับเสียเท่านั้น
     
         "ข้ามาเพื่อเจรจาอย่างสันติ"  แอนโทนี่ทิ้งดาบของตนลงพื้น   พ่อมดถึงกับอ้าปากค้างกับการกระทำของบุรุษตรงหน้า เงาที่ล้อมอยู่รอบกายวูบไหวภายใต้แสงจันทร์  ชายในชุดคลุมดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้าผู้หนึ่งก้าวออกมาจากความมืดพร้อมม้า
     
         "ข้าจะนำขบวนของพวกท่านไป"   เขากล่าวเป็นภาษาของแพนเทียก่อนจะหันไปออกคำสั่งด้วยคำพื้นเมือง  ปรากฏม้าอีกกว่า 30 ตัวเยื้องย่างตามกันออกมา  แอนโทนี่สั่งให้อัศวินของตนเก็บอาวุธและตามพวกนั้นไปแต่โดยดี 
     
         พวกเขาปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมตลอดระยะทางอันยาวไกล  เวนตุสเหม่อมองพระจันทร์ดวงกลมโตภายนอกพลางคิดถึงคนไกล  "ป่านนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง จะมองพระจันทร์ดวงเดียวกับข้าไหมนะ"   

                  ***************************
     
         เมื่อดวงจันทร์บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตกขบวนของพวกเขามาถึงเนินทรายซึ่งเป็นที่ตั้งของโอเอซิสขนาดใหญ่นับสิบแห่ง  หมู่กระโจมมากมายกระพริบแสงไฟวิบวับแลเห็นแต่ไกล  
     
          รถม้าหยุดลงพร้อมกับเสียงชายคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง  "จากนี้พวกท่านต้องเดินเท้าเข้าไป"  เขาผายมือให้พวกเขาก้าวตามคนนำทางในชุดคลุมเช่นเดียวกัน  "แล้วคนของข้า"  แอนโทนี่เอ่ยถาม  "ข้าจะไม่ทำอะไรพวกเขาแน่นอน"  เมื่อเห็นชายหนุ่มยังไม่วางใจจึงกล่าวสืบไป  "ด้วยเกียตริแห่งชาวทะเลทราย"
     
         เวนตุสสังเกตว่ากระโจมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน  ส่วนหนึ่งเป็นกระโจมหลังขนาดกลางตั้งอยู่ค่อนไปทางด้านในของโอเอซิส  อีกหมู่นั้นเรียงรายอยู่โดยรอบของกระโจมหลังใหญ่ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าแลคล้ายป้อมปราการ  เขากระชับเสื้อคลุมเข้าด้วยอากาศใกล้รุ่งหนาวนัก
     
         "เราเรียกพวกเขาว่าอายันเช่นเดียวกับทะเลทราย" แอนโทนี่กล่าวกับเวนตุส  "ชนพวกนี้จะมีหัวหน้าปกครองสืบทอดกันโดยสายเลือด ผู้ปกครองคนปัจจุบันนามลอร์ซ แม้เป็นชนเร่ร่อนแต่พวกเขาก็รักเกียตริยิ่งชีพ" ชายหนุ่มหวนนึกถึงถ้อยคำที่คนข้างหน้าเคยบอกไว้ 
      
         ภายในกระโจมทรงสูงเป็นชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะใหญ่ภายใต้แสงเทียน  เขาสวมชุดคลุมสีดำขลิบทองเช่นคนเดินทางในทะเลทราย ใบหน้าดูสุขุมเต็มไปด้วยริ้วรอยเช่นผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาช้านาน  ร่างสูงหยัดตรงแข็งแกร่งเฉกหินผา  เขามองทั้งสองด้วยดวงตาสีนิลราวพิจารณาให้ถึงตัวตนที่แท้จริง
     
         ทั้งสองทรุดตัวนั่งด้านตรงข้าม  ขณะที่ชายผู้นั้นโบกมือไล่คนในกระโจมออกไปจนหมด  เสียงลมปะทะหมู่กระโจมก่อนจะผ่านเลยไป
     
         "ข้ามาวันนี้เพื่อเจรจากับท่าน"  แอนโทนี่ค้อมศีรษะก่อนกล่าว "คนของข้าเองก็ปรารถนาความสงบเช่นเดียวกัน"  อีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้านิ่ง  "มีสิ่งใดจงพูดออกมา ข้าจะฟัง"
     
         ครั้นแล้วแอนโทนี่สูดลมหายใจลึก เขาเริ่มอธิบายเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างสองสามเดือนที่ผ่านมา  ความวุ่นวายในพระราชวังจนถึงการเข้าแทรกแซงของกลุ่มคนลึกลับซึ่งแต่งกายเช่นชาวทะเลทรายจนเป็นที่กังขากันทั่วไป  ด้วยภาษาแบบทางการทุกกระเบียดนิ้ว
     
         "ทั้งข้ายังสืบได้ความว่า  จะมีการยึดอำนาจจากท่านและชักนำให้ชาวทะเลทรายเข้าสู่สงคราม"  ชายหนุ่มบอก
     
         ลอร์ซเบิกตากว้างพร้อมสบถเบาๆ  "โปรดดู"  ชายหนุ่มส่งหลักฐานอันประกอบด้วยจดหมายหลายฉบับให้ เขารับไปอ่านแล้วมุ่นคิ้วลง  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมายังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้  ด้านแอนโทนี่เองก็เก็บอาการร้อนใจเอาไว้แล้วเอ่ยต่อ 
     
         "นั่นเป็นเรื่องภายในของพวกท่านที่ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หากสิ่งสำคัญคือข้าอยากให้เราปรองดองกัน  ข้าให้สัญญาว่าจะไม่รุกรานหรือเข้าแทรกแซงเรื่องใดๆของพวกท่าน"  เมื่อชายหนุ่มพูดจบความเงียบเข้ามาปกคลุมกระโจมอีกครั้ง
     
         ลอร์ซนิ่งไป  ฝ่ายแอนโทนี่เองก็ประสานมือหลวมๆคล้ายรอฟังคำตอบ  เวนตุสซึ่งนั่งนิ่งฟังทั้งสองฝ่ายเจรจากันมานานอดรนทนไม่ไหวจึงโพล่งขึ้น
     
         "ข้าเป็นเพียงพ่อมดพเนจรไร้หัวนอนปลายเท้า  ข้าอาจถือได้ว่าเป็นคนนอกที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟินน์เดนแห่งนี้  ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสาเหตุแห่งความบาดหมางคืออะไร  ที่นี่แม้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน  ข้าไม่จำเป็นต้องพูดกับพวกท่านให้มากความโดยที่ตนไม่ได้ประโยชน์อันใด  แต่….ข้าไม่อยากเห็นสงคราม ไม่อยากให้มีคนต้องตาย  ไม่อยากให้ใครต้องพบกับความเจ็บปวด ความสูญเสีย และความทุกข์"
     
         พูดเช่นนั้นแล้ว ดวงตาของพ่อมดหนุ่มก็ฉายแววเศร้าเมื่อรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต  แอนโทนี่ดูจะประหลาดใจกับท่าทีของชายหนุ่ม  
     
        "ข้ารับปาก"
     
         ลอร์ซยิ้มน้อยๆขณะเอ่ยคำนั้น 

                    **********************
      
        "จากนี้ไปผองชนของข้าจะไม่รุกรานชายแดนของพวกเจ้า  เราจะไม่หันคมดาบใส่กันอีกต่อไป แต่เราจะหยิบยื่นไม่ตรีให้แก่กันและกัน  ยามเทศกาลฤดูร้อน จงมองมายังขอบฟ้าด้านตะวันตก เส้นทางพระจันทร์แห่งอายันจะนำพากองคาราวานจากข้าไปยังอาณาจักรของเจ้า"
     
       "ดาบของเจ้าเป็นดาบที่ดี"  ชายวัยกลางคนกล่าวกับแอนโทนี่  "แต่อาวุธไม่ว่าจะแกร่งกล้าเพียงใด หากไม่รู้จักใช้ย่อมจะนำพาหายนะสู้ตัว"  เขาหันมาหาเวนตุส "มนตราของเจ้าก็เช่นกัน หากข้ามองเห็นหนทางอันยาวไกลและยากลำบากรอเจ้าอยู่"  ลอร์ซไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงยิ้มให้พวกเขาที่กำลังเดินจากไป
     
        "ขอให้พวกเจ้าจงโชคดี"  

    ------------------------------
       สวัสดีค่ะ สบายดีกันรึเปล่าเอ่ย  อัพตอนใหม่ช้าไปจิ๊ดนึง แหะๆ ตอนนี้โหมดขยันเดินเครื่องเต็มที่เลยละค่ะ ส่วนโหมดขี้เกียจนี่พับเก็บกล่องถ่วงน้ำไปก่อนเลยเพราะงานเยอะมากๆ 
      ตอนนี้ส่งเวนตุสออกมาโชว์ตัวค่ะ  ไดแอซนี่ให้ลาพักไว้ก่อนซักตอนสองตอน
      ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านน๊า   
     
     
     
      

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×