ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #11 : เบื้องหลังอดีต

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 49


     
         ที่เขาพูดกันว่าเวลานั้นผ่านไปเร็วเหมือนสายน้ำไหลท่าจะจริง  แถมสายน้ำนั่นดูเหมือนจะไหลเชี่ยวและเร็วอีกต่างหาก  ก็พวกเขายังรู้สึกว่าพึ่งประชุมกันเมื่อวานนี้เองไม่ใช่เหรอ  กลุ่มของตนเองยังรวบรวมข้อมูลได้ไม่มากอะไรเลย  ม้วนบันทึกกับหนังสือส่วนที่ยังไม่ได้อ่านก็เหลืออีกเป็นกองพะเนินน้องๆยอดเขาเอรีอาซึ่งสูงเสียดฟ้า  แล้วอย่างนี้จะเสร็จทันไหมนี่  
     
         "อีกแค่ไม่ถึงสัปดาห์  แล้วจะเสร็จไม๊เนี่ย"  เวสเป็นคนแรกที่เริ่มออกอาการสติแตก  "ใจเย็นเวส"  ราดีสตะโกนลงมาจากคอกลอยอย่างลืมตัว  
     
         "เขตห้องสมุดกรุณาอย่าส่งเสียงดัง"  คราวนี้เป็นเสียงอาลักษณ์ประจำห้องสมุดตามด้วยหนังสือลงเวทเล่มยักษ์ลอยวืดมาหาโดยมีหัวของพวกเขาเป็นเป้าหมาย  
     
         "ไดแอซ เจออะไรบ้างหรือยัง"  เมอร์สบังคับคอกของตนให้ลอยเข้ามาหาเด็กหนุ่ม  "ข้าได้อะไรแนวๆนี้มา คงใช้ได้"  เขายกตั้งหนังสือมาวางปึกลงในอ้อมแขนชายหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัวจนอีกรายแทบทรุดลงไปกองกับพื้น  "แล้วชั้นบนสุดล่ะ  ค้นหรือยัง"  มาร์คัสถาม
     
         เด็กหนุ่มแอบทำหน้าสยองเล็กน้อยเนื่องจากยังมีประสบการณ์สุดผวาจากการดิ่งพสุธาที่ฟอนเทนเบิร์ก  แต่ก็จำใจบังคับคอกไม้ให้เลื่อนขึ้นไปข้างบนอย่างช้าๆ  

          "ปีหน้าจะถึงไหมไดแอซ"   ชายหนุ่มส่งเสียงตามขึ้นไป  "ถึงสิ  ถึงแน่ๆด้วย"  เด็กหนุ่มประชดพร้อมสัมผัสปุ่มควบคุมตรงหน้า  คอกไม้ของเขาพุ่งวืดด้วยความเร็วสูงไปหยุดที่ชั้นบนสุดพอดิบพอดี 
     
         เมื่อมองลงไปจากมุมนี้แล้ว พวกของเขาที่ลอยตัวกระจายกันอยู่ด้านล้างตัวเล็กจิ๊ดเดียว  ยิ่งหัวฟูๆเวสกับราดีสที่แทบจะนั่งอยู่ใต้กองหนังสือนั้นมีขนาดพอๆปลายนิ้วก้อยของเด็กหนุ่มด้วย  ไดแอซขยับกล้องส่องทางไกลตรงคอ  ซึ่งนับเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในการค้นหาหนังสือบนชั้นสูงลิบนี้ให้เข้าที่เข้าทาง  
     
         ถึงชั้นหนังสือที่นี่จะได้รับการปัดฝุ่นทำสะอาดบ่อยครั้ง แต่ด้วยจำนวนชั้น ความสูง และจำนวนคนที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยสักเท่าใดนัก  ตามชั้นบนๆจึงยังมีคราบฝุ่นจับอยู่จางๆ   เจ้าตัวบังคับให้คอกไม้ลอยในลักษณะขนานกับพื้นขณะที่ไล่สายตามองหารายชื่อหนังสือตามต้องการ   
     
         "อ่ะ…."   เด็กหนุ่มสะดุดเข้ากับตัวอักษรแปลกๆบนสันสีดำหนาเตอะ  เขาจัดแจงหยิบไม้ขนไก่ข้างตัวแล้วเริ่มปัดฝุ่นอย่างเบามือ  
     
         "ฮะ….ฮะ..…ฮัด……..ชิ้ว"
     
         ทั้งๆที่ระวังแล้วแท้ๆ แต่ฝุ่นยังฟุ้งเข้าหน้าอีกจนได้  "แย่จริงๆ" เจ้าตัวบ่นอุบอิบพลางเอื้อมมือไปดึงเอาหนังสือเล่มที่ว่าออกมา  "เห……."   หนังสือเล่มบางที่บังเอิญอยู่ติดกันหล่นแถมมาด้วย  
     
         "เลค!!!  รับที"  ไดแอซตะโกนตามลงไป   เมื่อหนังสือเล่มนั้นร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่างอย่างช้าๆ คล้ายภาพสโลว์โมชั่นยังไงยังงั้น  และ……..มันก็ลงมาอยู่ในมือเจ้าของชื่อที่เข้ามารับได้ทันท่วงทีอย่างปลอดภัย  
     
         "อะไรเนี่ย"  เลคพลิกดูหน้าปกเมื่อทั้งคู่ลงแตะพื้นเกือบจะพร้อมกัน  "ไม่รู้สิ ไหนๆก็ลงมาแล้วเอาไปให้เวสดูดีกว่า"  เด็กหนุ่มจัดแจงแบกหนังสือไปส่งที่โต๊ะ  
     
         ตุ๊บ!! 
     
         บรรดาม้วนกระดาษและสมุดบันทึกลอยขึ้นจากโต๊ะเป็นทิวแถว "เอาอะไรมาน่ะ"  เวสชะโงกหน้าอันหล่อเหลาคล้ายลูกครึ่งซอมบี้กับแพนด้าออกมาถาม   
     
         "ก้อนหินมั้ง"
     
         "เอาไว้ทุบหัวเจ้านะสิ"
     
         ชายหนุ่มคว้าหนังสือเล่มบางมาพลิกๆดู  "เก่าชะมัด" เขาย่นจมูกเพราะกลิ่นกระดาษที่เก่ากึกจนหากไม่ระวังอาจขาดติดมือได้ง่ายๆลอยมาปะทะจมูก  ปกสีอ่อนซึ่งเขียนด้วยหมึกที่เลือนลางไปตามกาลเวลา  แถมตรงสันยังมีรอยวิ่นๆเหมือนโดนแมลงอะไรแทะมาอีกต่างหาก 
     
         หน้ากระดาษสีเหลืองอมน้ำตาลด้านในมีลายมือเขียนด้วยหมึกสีดำอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  "อืม  ข้าว่าเจ้าพบขุมทองแล้วล่ะ  เฮ้!! ทุกคนมานี่สิ"  ประโยคหลังเวสตะโกนเรียกเพื่อนๆ  ทั้งหมดที่กระจายตัวอยู่ตามชั้นต่างๆค่อยๆทยอยมารวมตัวกันรอบโต๊ะ  
     
         "หนังสือนี่ถูกเขียนขึ้นในปีที่ 50 ของรัชสมัยราชาซาร์เรส  คาดว่าคงเคยเป็นบันทึกประจำวันของพวกพนักงานในวังหรือไม่ก็เพื่อเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆอันนี้ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก"   ชายหนุ่มเริ่มเปิดการอภิปรายระหว่างที่คนอื่นๆลากเก้าอี้มานั่งฟัง
     
         "กล่าวถึงเจ้าหญิงลีเมย์ไว้ว่า…… พระองค์นั้นงดงามราวดาราจรัสแสงเหนือฟากฟ้า  เกศาสีทองอ่อนสลวยเช่นเส้นไหมนั้นประดุจรุ่งอรุณอันเรืองรอง ริมฝีปากอิ่มสีชมพูเหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้ม  นัยน์ตาใสเฉกท้องฟ้าหน้าร้อนยามไร้เมฆบดบัง  ทั้งยังมีน้ำพระทัยอันงามยิ่ง……."
     
         "ข้านับคำว่างามได้เกือบสิบคำแล้ว  สงสัยคนเขียนแอบชอบเจ้าหญิงแหงเลย"  ราดีสหันไปซุบซิบกับเมอร์ส  "หมายปองดอกฟ้าชัดๆ" อีกฝ่ายพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย  
     
         "พวกเจ้าจะฟังต่ออีกไหม"  เวสหันมาทำตาเขียวพร้อมส่งจิตสังหารเข้าถล่มทั้งคู่   ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนมาทำหน้าใสซื่อ ตาสีเทากับแดงกระพริบปริบๆขอความเห็นใจ  จนเพื่อนๆที่เหลือแอบหันไปส่ายหน้าพร้อมๆกันโดยมิได้นัดหมาย
     
         "ตรงนี้สำคัญนี่หว่า"  ราดีสฉกหนังสือจากมือเวสมาแล้วเริ่มต้นอ่านอีกครั้ง  "……ชายหนุ่มผู้นั้นมีผมสีน้ำเงินเข้มและดวงตาสีอัญชัน  ทั้งเขายังมีพลังอันแปลกประหลาดยิ่ง  พลังของเขาไม่เหมือนเรา  ไม่ต้องอาศัยธาตุ  ไม่ต้องมีอักขระ  ทว่าแข็งแกร่งมั่นคงนัก  พวกเราเรียกเขาว่า  ผู้เป็นเช่นสายลม  หรืออีกนามหนึ่งซึ่งเรียกขานกันแต่หมู่ผู้รอบรู้ด้านภาษา….." 
     
         "ชื่ออ่านยากจริง ภาษาอะไรเนี่ย คงคล้ายๆแบบนี้ล่ะ"
     
         "เวนตุส……"
     
         มาร์คัสหันขวับไปมองไดแอซคอแทบเคล็ด  แต่รายนั้นกำลังสนใจฟังจ้องคนอ่านตาไม่กระพริบเหมือนหนูน้อยนั่งฟังเทพนิยายเจ้าหญิงกับเจ้าชายไม่มีผิด  
     
         ก็วันนั้น……ตอนที่เขาขึ้นมาดูเด็กหนุ่ม  อีกฝ่ายเหมือนกำลังหลับสบาย  จนเขาเอาผ้าห่มให้แล้วกำลังจะเดินออกจากห้องนั่นสิ  ไดแอซเหมือนพึมพัมอะไรเบาๆแต่น่าประหลาดที่เขากลับได้ยินเสียงชัดเต็มสองรูหู คำสำเนียงแปลกๆที่ดูเหมือนจะเป็นภาษาอื่นที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน  "เวนตุส"
     
         "…….มีคนบอกว่านั่นเป็นคำภาษาถิ่นที่คนผู้นั้นจากมา  แปลว่าสายลมเช่นเดียวกัน  ชายหนุ่มผู้ลึกลับได้มีส่วนช่วยเหลือราชาซาร์เรสจนเป็นที่พอพระทัยยิ่ง….."
     
         "มาร์คัส"  ชายหนุ่มผมทองหันมาสะกิดเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองเริ่มหลุดลอยไปไกล  "อะ…อะไรเหรอโชวี่"   เจ้าของชื่อที่ทำท่าเหมือนวิญญาณเพิ่งถูกดูดกลับเข้าร่างถาม  "ไปแล้วจริงๆด้วย"  เมอร์สว่า  "ยังไงเราก็พักกันก่อนเถอะนะ"  เขาหันไปหาเพื่อนๆเป็นเชิงขอความเห็นซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนเป็นอย่างดีแล้วหันกลับมาหาเวส  ที่ตอนนี้จะไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้จึงต้องยอมทำตามเสียงข้างมากแต่โดยดี  
      
         กลุ่มผู้ใช้เวทพากันทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ บ้างก็ถือโอกาสฟุบลงกับโต๊ะกะงีบสักพักให้หายเหนื่อย  ปล่อยให้เวสกับราดีสผู้เสียสละจับใจความสำคัญอันมีประโยชน์ต่างๆย่อลงในบันทึก 
     
         หนังสือที่เห็นเล่มบางอย่างนี้แต่ตัวอักษรภายในเรียงเป็นระเบียบแถมตัวเล็กกินเนื้อที่น้อยๆที่เผลอๆอาจมีเนื้อหาเยอะกว่าหนังสือเล่มใหญ่บางเล่มด้วยซ้ำ  ซึ่งทำเอาคนที่ต้องอ่านทุกหน้าทุกตัวอักษรแอบเบ้หน้าเลยทีเดียว
     
         "ไดแอซ"  มาร์คัสเรียกเด็กหนุ่มออกมานอกกลุ่มไปแอบซุบซิบกันแถวชั้นหนังสือ  "เมื่อสักสัปดาห์ก่อนเจ้าฝันเห็นอะไรแปลกๆบ้างไหม"  คนถูกถามหลุบตาลงต่ำ  "ข้า….เอ้อ ข้าเห็นทุ่งดอกไม้สีขาวๆกว้างมาก…..กว้างจนเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด  เห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่ข้าจำหน้าไม่ได้" 
      
         ชายหนุ่มเห็นไดแอซมีทีท่าแปลกไปเมื่อเขาถามถึงเรื่องความฝัน  "ไม่เป็นไรนะ  ไม่ฝันแล้วนี่"  เขายีหัวดำเล่นอย่างสนุกมือ  นัยน์ตาสีฟ้าหม่นฉายแววเศร้า แต่ก็เพียงชั่วครู่ ฝ่ายชายหนุ่มนิ่งเก็บความสงสัยเกี่ยวกับหญิงสาวปริศนาและเจ้าหญิงเอาไว้
     
         ฮ่า ฮ่า ฮ่า
     
         เสียงหัวเราะอันมีที่มาจากหลังกองหนังสือดังอย่างครื้นเครง  "มาร์คัส  ไดแอซ  มาดูนี่เร็ว" เมอร์สโผล่หน้ามาเรียกพวกเขา
     และภาพอันเหลือเชื่อก็ปรากฏสู่สายตา  แม้แต่อาลักษณ์ที่ตั้งใจเข้ามาห้ามยังพลอยหัวเราะก๊ากๆไปกับพวกเขาด้วย  เวสที่แต่เดิมมีผมเผ้ายาวรุงรังปรกหน้าปรกตานั้นถูกรวบมามัดเป็นแกละสองข้างซ้ายขวาดูน่ารักน่าชังด้วยฝีมือของราดีส  
     
         "ก็เจ้าบอกว่ารำคาญผมนักไม่ใช่หรือ"  ชายหนุ่มสูดหายใจลึกๆกลั้นหัวเราะเต็มที่  มาร์คัสลงไปทุบโต๊ะปังๆ ฝ่ายไดแอซเอามือกุมท้องหัวเราะจนตัวงอน้ำตาไหล   ด้านผู้ใช้เวทอีกหลายรายก็มีอาการหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังคล้ายๆคนสติแตกไม่แพ้กัน      
     
         เวสสะบัดหัวส่งให้แกละทั้งสองข้างแกว่งไปมาอย่างน่าเอ็นดู  "เดี๋ยวข้าเอาโบว์มาติดให้นะ  สีชมพูดีไหม"  มาร์คัสพูดหลังหยุดหัวเราะได้สำเร็จ  "ได้เวลาทำงานแล้ว"  ชายหนุ่มเจ้าของแกละตะโกนใส่ด้วยท่าทางสาแก่ใจ เนื่องจากเป็นเรื่องเดียวที่เขาสามารถทำได้  กับเพื่อนๆที่ไม่มีใครยอมหยุดหัวเราะสักที  "อะไรกัน ยังไม่ทันหายเหนื่อยเลย"  เสียงประท้วงดังจากคนรอบข้าง
     
         "ว่าแต่ เจ้าไม่คิดจะแกะมันออกเหรอ"   เมอร์สหันไปถาม  "ข้าว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่รำคาญลูกตา"  เจ้าตัวตอบด้วยท่าทีมั่นใจกับทรงผมใหม่  ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อโดยไม่สนใจปากที่อ้าจนกรามแทบค้างของเพื่อนๆทั้งหลาย
     
         "มันเอาจริงแฮะ" 
     
         หากเวลานี้ใครเยี่ยมกรายเข้ามาในหอสมุดของสภากลางละก็  จะได้เห็นภาพน่ารักๆอันหายากของผู้ใช้เวทหนุ่มผมแดงผูกแกละสองข้างกำลังนั่งอ่านหนังสือด้วยสีหน้าจริงจังอยู่แน่นอน 

                                 ********************
     
         ยามนี้มีทั่วทุกหนแห่งในเมืองถูกฉาบเคลือบบางๆด้วยเกล็ดหิมะสีขาว  ที่สะท้อนแสงไฟจากอาคารบ้านเรือนจนแลเห็นเป็นสีเงิน  ดวงดาวหน้าหนาวกระพริบแสงวิบวับเริงล้อปุยอ่อนนุ่มซึ่งโปรยลงมาจากฟากฟ้าสีดำอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้เมืองทั้งเมืองดูราวภาพฝัน
     
         "รอให้ตกมากกว่านี้แล้วจะได้ปั้นตุ๊กตาหิมะกัน"  มาร์คัสว่าอย่างนั้น  "ไดแอซนอนได้แล้ว เดี๋ยวไม่สบายหรอก"  ชายหนุ่มเตือนด้วยความเป็นห่วง  "ข้า….. ข้าอยากดูหิมะต่อ จะได้อยู่เป็นเพื่อนท่านด้วย"  เด็กหนุ่มหันไปบอก
     
        "ไม่ต้องแก้ตัว"  ว่าพลางปรายตาไปมองเจ้าตัวที่นั่งกอดเข่าใต้ผ้าห่มหนาอยู่ตรงมุมหัวเตียง  ไดแอซก้มหน้าลงต่ำ  "ไม่สบายก็ดีเหมือนกัน  บางทีข้าอาจไม่ต้องฝันแบบนั้นอีก"  เขานึกย้อนถึงฝันร้ายที่ประทับแน่นอยู่ในความทรงจำ  "ทำไม….. คนอย่างข้าไม่อาจยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างใช่ไหม  ตัวตนในอดีตของข้าจมดิ่งลงสู่ความมืดเช่นนั้นหรือ"  เด็กหนุ่มซุกหน้าลงกับเข่า  
     
         "ไดแอซ"  
     
         เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้เขา  "ข้าไม่เป็นอะไร"  เจ้าตัวบอกปัดแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง  "ทำตัวอย่างกับเด็กๆ"  มาร์คัสทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างเตียง  "ข้าไม่รู้อะไรหรอกนะ  แต่…….. " ชายหนุ่มแตะบ่าร่างตรงหน้าเป็นเชิงให้กำลังใจ 
     
         "ข้า………"
     
          "อ้าว"   มาร์คัสเลิกคิ้วเมื่อแพขนตาหนาปิดลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เสียงลมหายใจราบสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวได้เข้าสู่นิทรารมย์ไปก่อนแล้ว  "เอ้อ  นึกจะหลับก็หลับซะงั้น"  เขาว่าก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะแล้วเริ่มอ่านทวนเนื้อหาของหนังสือเล่มที่ว่าซึ่งยืมออกมาเพราะค้างคาใจเรื่องชื่อนั้นเสียเหลือเกิน   
     
         "จะเกี่ยวอะไรกับหญิงสาวที่ข้าเห็นหรือเปล่านะ"   เขานึกไปถึงร่างบางในชุดขาว  "เฮ้ย ไหงไปออกเรื่องนี้ได้ละเนี่ย"  ชายหนุ่มสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายแหล่ออกไปแล้วเริ่มต้นอ่านบันทึกพร้อมตั้งต้นย่อตามคำสั่งเวส  ซึ่งคาดว่ากว่าจะเสร็จคงใช้เวลาทั้งคืนเป็นแน่

                        **************************
     
         วันนี้ทั้งวันน่านฟ้าเบื้องบนของแพนโทเนียเต็มไปด้วยมังกรและกราไฟต์ที่ทยอยกันบินมาจากทั่วทุกสารทิศอย่างไม่ขาดสาย  มีบ้างบางตัวที่ออกอาการเสียสมดุลบินเอียงข้าง ไม่ก็ทำท่าเหมือนจะเอาหัวปักพื้นโหม่งโลกเสียให้ได้  พลอยทำให้บรรดาผู้ที่คอยลุ้นอยู่ด้านล่างใจหายใจคว่ำกันถ้วนหน้า
     
         ส่วนพวกเขาไม่ได้ไปหอสมุดสภากลางแต่มากระจุกตัวกันอยู่ในห้องของราดีสกับเมอร์สซึ่งดูๆแล้วกว้างขว้างที่สุดในบรรดาห้องทั้งหมด  เอกสารกองเบอเร่อเท่อกับหนังสืออ้างอิงบางเล่มที่ยืมออกมาถูกวางสุมๆกันบนโต๊ะบ้างบนเตียงบ้าง  ร้อนถึงเพื่อนๆที่ต้องมาช่วยกันเก็บกวาดให้เข้าที่เข้าทาง  
     
         จากนั้นเวสก็เริ่มอ่านทวนสรุปข้อมูลต่างๆที่พวกเขาลงทุนลงแรงและลงมือค้นหากันมาตลอดสองสัปดาห์เต็ม  ซึ่งกว่าจะจบก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ๆแล้ว  แว่วเสียงร้องเรียกกันของกราไฟต์ดังเข้ามาเป็นระยะๆ  มีเงาดำๆของมังกรที่บินต่ำจนปีกแทบเรี่ยหลังคามาให้ตื่นเต้นกันเล่นๆ 
     
         เนื้อหาทั้งหมดของหนังสือเล่มที่ว่านี้ถือว่าสามารถพลิกหน้าประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้  เพราะเรื่องราวทั้งหมดนั้นสวนทางกับในหนังสือทั่วไปอย่างชัดแจ๋ว  บรรดาผู้ใช้เวทเลยจัดการร่างเรื่องที่จะต้องพูดเอาไว้ล่วงหน้า แต่ร่างไปร่างมามันก็วนอยู่ที่เดิมบ้างล่ะ  จับใจความอะไรไม่ติดเป็นน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงบ้างล่ะ  ทำเอาปวดหัวไปตามๆกัน  เลยเลิกร่างแล้วจะพูดสดกันในที่ประชุมนั่นเลย  
      
         จนเย็นนั่นแหละพวกเขาจึงได้มีโอกาสออกมาหายใจหายคอนอกห้องอันแสนอุดอู้บ้าง  หิมะขาวยังคงโปรยลงมาไม่ขาดสาย  "ไดแอซ เป็นอะไรไป?"  เวสถามเมื่อสังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่ปกติแล้วจะออกอาการสนใจมังกรอย่างมากนิ่งเงียบ  เจ้าตัวส่ายหน้า นัยน์ตาสีหม่นเหม่อลอยไม่จับอยู่ที่สิ่งใดราวกับว่าเจ้าตัวอยู่ในโลกที่ต่างออกไปซึ่งพวกเขาเข้าไม่ถึง  
     
         กลิ่นดอกไม้ลอยมาเข้าจมูกมาร์คัส  คราวนี้เจ้าตัวหมายมาดในใจว่าจะต้องถามหญิงสาวผู้นั้นให้รู้เรื่องให้จงได้   ชายหนุ่มเหลียวหาร่างบางในชุดขาวซึ่งเขาแน่ใจว่าเป็นต้นเหตุของอะไรแปลกๆนี้แน่  แต่จู่ๆไดแอซเกิดหยุดเดินขึ้นมาเสียเฉยๆ   "ดอกไม้สีขาว…..ขาวเหมือนหิมะ"  เด็กหนุ่มพึมพำเบาๆ   
     
         "ข้านึกได้ว่าลืมอะไรบางอย่าง เดี๋ยวพวกเจ้าไปกันก่อนเลย"  มาร์คัสบอกเพื่อนๆแล้วลากไดแอซไปในซอยอีกทางจนลับตาพวกนั้น  "ไดแอซ  เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ?"  ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน 
     
         "ข้า…………"  
     
         "ข้าอะไร?"  มาร์คัสใจร้อนเลยจัดการเขย่าๆตัวเด็กหนุ่ม  "อ๊ะ……"  นัยน์ตาสีฟ้ากลับมามีประกายอีกครั้ง  "ข้ามาอยู่ตรงนี้ได้ไง?"   คำถามชวนหัวซึ่งทำเอามาร์คัสอึ้งไปพักหนึ่ง  "เจ้าไข้ขึ้นหรือเปล่า?"  ชายหนุ่มแตะหน้าผากอีกฝ่าย  "ตัวก็ไม่ร้อนนี่หว่า"  
     
         "เมื่อครู่"  เจ้าตัวเอามือลูบหน้า  "ข้าเหมือนเห็นดอกไม้สีแดง แดงมากจนเหมือนถูกชโลมด้วยเลือด"  เล่นเอาชายหนุ่มงงเต๊ก "ก็เห็นมันพูดว่าสีขาวอยู่แหม่บๆ  คงไม่ตาบอดสีหรอกนะ"  กลิ่นดอกไม้หอมฟุ้งเมื่อครู่ถูกสายลมพัดพาจนจางหายไปสิ้น  
     
         "……ท่าน….ช่วย…..ได้"
     
         ทั้งมาร์คัสทั้งไดแอซหันขวับไปหาต้นเสียงพร้อมๆกัน  ร่างอ้อนแอ้นในชุดขาวสะอาดหรูหราอย่างคนเมืองหนาวยืนอยู่ตรงหน้าห่างจากพวกเขาไม่กี่ก้าว  ทว่าใบหน้างามนั้นถูกผ้าคลุมบางเบาปกปิดเอาไว้ 
     
         "เพียงพวกท่าน….สามารถช่วยข้าได้"  
     
         ทั้งคู่อ้าปากหวอพร้อมๆกันเมื่อคนแปลกหน้าที่โผล่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้เล่นขอร้องเอาดื้อๆ  แต่ยังไม่ทันที่จะตอบหรือจะถามอะไรหญิงสาวตรงหน้าก็หายวับไปกับตา เล่นเอาทั้งคู่เบิกตาโตเท่าไข่ห่าน 
     
         มาร์คัสก็ไม่รอช้าลากไดแอซเผ่นพรึบออกมายังถนนใหญ่แถมยังหอบแฮกๆจนชาวบ้านชาวช่องหันมามองกันเป็นแถว  
     
         "ผีหลอก"  ชายหนุ่มพูดพลางหอบพลาง "ท่านเห็นเหมือนที่ข้าเห็นใช่ไหม" เด็กหนุ่มหันมาถาม  "เออสิ ไม่งั้นข้าคงไม่ลากเจ้าวิ่งโครมๆออกมานี่หรอก"  ตอนนี้เด็กหนุ่มเริ่มมีสีหน้าเหมือนคิดอะไรไม่ตกแทนเขา แถมยังขมวดคิ้วจนผูกเป็นโบว์โดยไม่รู้ตัว 
     
         "ข้ารู้สึกว่า…..นางเป็นคนๆเดียวกับผู้หญิงที่ข้าเคยเห็นในฝัน  แต่……ข้าไม่รู้ว่านางเป็นใคร"  เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา  "จริงหรือ!!!"   มาร์คัสจ้องไดแอซเป๋ง  เด็กหนุ่มพยักหน้าเงียบๆ  "หรือว่า……."
     
         "ข้าก็เคยเห็นอะไรทำนองนี้เหมือนกัน  แต่ว่าเห็นหน้านางด้วยล่ะ  หน้าตาเหมือน…..เอ้อ เจ้ายังจำขบวนแห่รับเหมันต์ได้ไหมล่ะ?"  เด็กหนุ่มมีท่าทางสงสัยเมื่อชายหนุ่มถามย้อนไปถึงเรื่องขบวนแห่  "แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหน" 
     
         "จำผู้ถือช่อดอกไม้ได้ใช่ไหม?"  เด็กหนุ่มพยักหน้าอีก  "หญิงสาวคนที่ข้าเห็นหน้าตาเหมือนกับผู้ถือช่อดอกไม้เลยล่ะ"  ชายหนุ่มบอก  "แค่……คล้าย"  ไดแอซเอ่ยเบาๆ  "แต่ไม่ใช่คนเดียวกันหรอก ไม่ใช่แน่ๆ"
     
         "หา….."
     
         "ข้าแค่รู้สึกเฉยๆ  แต่ว่าหญิงสาวที่พวกเราเห็นเมื่อครู่น่ะคือคนที่ทั้งท่านและข้าเคยเห็น ยังไงดี……เอาเป็นว่าไม่ใช่ผู้ถือช่อดอกไม้ และดูเหมือนนางจะไม่ใช่มนุษย์แล้วล่ะ"  คำพูดที่แม้แต่คนพูดเองยังอดสะดุ้งไม่ได้   "ไม่ใช่มนุษย์…….ก็ผีอะดิ"  เจ้าตัวทำหน้าเหรอหรา "งั้นเมื่อกี๊ข้าก็ถูกผีหลอกนะสิ  แย่แล้วๆ"   มาร์คัสได้แต่ยืนมองด้วยความสมเพชปนขำ  "ไม่ต้องมาตื่นเต้นอะไรตอนนี้หรอก  ข้าว่าเรามาช่วยกันคิดดีกว่านะว่านางมาขอความช่วยเหลือเราทำไม และนางน่ะเป็นใคร"
     
         "บางทีนางอาจเกี่ยวข้องกับปริศนาดอกไม้สีเลือดก็เป็นได้"
     
         ทั้งคู่หันหลังเดินกลับไปยังที่พักด้วยกันท่ามกลางเกล็ดสีขาวบางเบาซึ่งลอยละลิ่วลงไม่ขาดสาย  คล้ายกลีบดอกไม้ร่วงโรย  อาทิตย์ลาลับฟ้าไปนานแล้วทิ้งเพียงลำแสงอ่อนจางบนฟ้าสีหม่นซึ่งค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นสีดำทีละน้อย แสงไฟซึ่งส่องออกมาจากบานหน้าต่างมากมายดูพร่าเลือนราวความฝัน  ดาวดวงจ้อยเวียนมาประดับฟากฟ้าแทนที่
     
         ผ้าคลุมสีขาวบางปลิวสะบัดขึ้นเพียงเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มละมุนจากดวงหน้าหวานที่เฝ้ามองมาร์คัสกับไดแอซเดินไปจนลับสายตา  
       
    --------------------
     ในที่สุด.......ก็ได้เวลาอัพซักที  แหะๆ ผู้อ่านทุกท่านสบายดีกันหรือเปล่า แต่ตอนนี้คนเขียนกำลังเป็นไข้อยู่ล่ะ ไม่ยอมหายซักที  
    อ่า....มีเรื่องจะมาแจ้งด้วยค่ะ
       เนื่องจากภาระกิจด้านการเรียนรัดตัวมากๆ เลยจะอัพแบบสองสัปดาห์ตอนนึงนะคะ แล้วจะพยายามเพิ่มจำนวนหน้าด้วยค่ะ
       ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านเจ้าค่ะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×