ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #1 : ละอองแห่งมหาสมุทร

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 50


           แว่วเสียงเพลงแผ่วพลิ้วพลิ้ว   ตามลมปลิวสู่นภาไกล
     สู่ราล์ฟแห่งท้องทะเลใส              โอ้ผู้ใดเล่าขับขานเจ้า
     ดวงเนตรดั่งดาราพราย                  งดงามเฉิดฉายยิ่งจันทรา
     เสียงใสขับเพลงกล่อมชาวประชา  แลห้วงธาราจงหลับฝันดี
     ราล์ฟพลันต้องมนต์แห่งเสียงนาง  หยัดร่างร้องเรียกก้องท้องนที
     เซเรน เซเรน นามนี้                      ผู้ใดเล่าที่ข้าเอ่ยนาม
     โฉมงามเงยพักตร์ทันใด                คือใครกันจึงเรียกขาน
     ได้พานพบสบตาสองใจจาร          จำจารึกรักแท้ตราบกาลนาน
     
        เสียงร้องขับขานลำนำของเหล่ากะลาสีเรือดังก้องไปทั่วท้องทะเลอันเงียบสงบในยามราตรีที่ท้องฟ้าพร่างพราวไปด้วยดวงดาว  ท่อนหนึ่งของบทลำนำอันกล่าวถึงความรักของเซเรนผู้งดงามและราล์ฟเจ้าชายแห่งแพนเทียที่ลูกเล่าขานมาจวบจนถึงปัจจุบัน ลำนำแห่งเรเวรัส
     
        ปึก  
     
        เสียงแผ่นไม้กระแทกกับกราบเรือเบาๆดึงความสนใจของเหล่ากะลาสีที่นั่งอยู่บนดาดฟ้าใหัหันมองหาต้นเสียง  พวกเขาพากันชะโงกหน้าเพ่งฝ่าความมืดลงไปยังแผ่นน้ำเบื้องล่าง  
     
        "เฮ้  ออกัสเอาตะเกียงมาทางนี้หน่อยสิ"  พวกกะลาสีตะโกนเรียกเพื่อน  แสงนวลจากตะเกียงส่องให้เห็นว่าเรือกำลังแล่นฝ่าเข้าไปในหมู่ซากแผ่นไม้ที่ลอยอยู่เต็มผืนน้ำ  
        
        "เฮ้ย  เอาตะเกียงมานี่เร็ว" กะลาสีคนหนึ่งตะโกนเร่งก่อนจะฉวยตะเกียงดวงโตมา  แล้วยื่นออกไปจนสุดแขน  ลำแสงสีเหลืองเผยให้เห็นเงาตะคุ่มบนไม้แผ่นหนึ่ง  
     
        "มีคนรอดชีวิต เอาเรือเล็กลงเร็ว" ผู้เป็นกัปตันร้องสั่งลูกน้อง พร้อมกับมีหลายร่างโหนตัวลงไปในเรืออย่างว่องไว เมื่อเรือเล็กแตะผิวน้ำเหล่าฝีพายต่างจ้ำพายอย่างสุดแรง จนเรือลำน้อยลอยฝ่าผืนน้ำสีดำทะมึนเข้าไปจนถึงร่างของผู้ซึ่งซบอยู่บนแผ่นไม้ 
     
        ขณะที่ผู้ถือตะเกียงซึ่งนั่งอยู่หัวเรือกวาดตามองหาผู้รอดชีวิตคนอื่น  "เขายังหายใจอยู่"  เสียงรายงานหลังจากดึงร่างค่อนข้างบางที่ดูเหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มขึ้นมาบนเรือ "ข้าไม่เห็นว่าจะมีใครเหลือรอดอยู่อีกแล้ว"  ออกัสรายงาน พวกเขาจึงพายเรือกลับออกมาจากเศษซากไม้ที่กระเพื่อมน้ำไหวๆ
     
        "รอดมาได้แต่ก็สาหัสเอาการเหมือนกันนะ" ผู้ช่วยเปรยกับกัปตันเรือขณะที่ทำแผลให้กับร่างนั้น  "พรุ่งนี้เราจะเข้าเทียบท่าที่พรีดีอาแล้ว  หัตถ์แห่งพระแม่แองเจลล่าจะโอบอุ้มและคุ้มครองเขาไว้เอง" 

        ในยามดึกของคืนนั้นเรือแล่นเข้าสู่นานน้ำของพรีดีอา น่านน้ำซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของเหล่าไซเรนและเงือกแห่งทะเลเหนือ น่านน้ำแห่งเรเธน  ที่มาของบทลำนำซึ่งถูกขับขานจวบจนถึงปัจจุบัน

                                                         *****************
     
        หมอกยามดึกลงต่ำเรี่ยผืนน้ำ ทำเอาอาเรสผู้เป็นกัปตันเริ่มความหาจุกไม้ในกระเป๋าขึ้นมาอุดหู   จุกไม้อันหนึ่งหลุดมือกลิ้งหลุนๆไปบนพื้น  ออกัสที่จัดการอุดหูเสร็จแล้วจึงวิ่งตามไปหมายจะเก็บให้  "อยู่ไหนนะ" เขาบ่น พลางควานหาไปบนพื้นไม้ในเงามืด แต่ยังไม่ทันที่จะเก็บขึ้นมาเรือก็เกิดโคลงเคลงด้วยถูกคลื่นลูกใหญ่ตีทางกราบซ้าย

        "นี่มันอะไรกัน" ออกัสบ่นอีกก่อนจะรีบเก็บจุกขึ้นมา แล้วเดินไปเพื่อจะส่งให้อาเรสซึ่งกำลังบังคับพังงาเรืออยู่  คลื่นตีมาทางขวาอีกลูกทำเอาออกัสทิ้งจุกไปอย่างไม่ไยดี  แล้วโผเข้าเกาะผู้เป็นกับกัปตันทันที
     
         พลันหูของอาเรสแว่วเสียงไพเราะแหวกฝ่าอากาศอันทึมเทามา  เมื่อชายหนุ่มมองตรงไปพบว่ามีแสงนวลสลัวอยู่ในเงาหมอกเบื้องหน้า

        "เจอดีเข้าให้แล้ว"  ออกัสอุทานพลางถอยมาหลบอยู่หลังอาเรส  เหล่าไซเรนซึ่งเป็นข้ารับใช้ของเทพแห่งชะตากรรมและเงือกที่นั่งอยู่บนโขดหินหยัดกายขึ้นมองดูเรือ 

        พวกนางมีผมยาวดุจสาหร่าย อาภรณ์ประดับประดาด้วยเปลือกหอยและอัญมณีงดงามยิ่งนัก  ไซเรนนางหนึ่งช้อนตาขึ้นมองหน้าอาเรสที่กำลังกลั้นหายใจ  "เด็กหนุ่มบนเรือของท่าน ดูแลเขาให้ดี ท่านรับปากข้าได้หรือไม่"  นางถามด้วยเสียงไพเราะดุจระฆังเงิน ด้วยท่าทีอันเป็นมิตรนั้นทำให้พวกเขาคลายความหวาดกลัวลงไปได้โข 
        
        "ด้วยเกียตริของข้า" อาเรสใช้มือขวาแตะที่หัวใจแล้วค้อมศรีษะคำนับตามแบบแผนของชาวเรือ  "ขอบคุณท่านมาก" นางตอบ 

        "เช่นนั้น ขอพรแห่งพระแม่แองเจลล่าจงสถิตกับท่านและลูกน้องของท่าน"  เงือกสาวอวยพรด้วยน้ำเสียงกังวานใส ก่อนจะพากันกระโดดหายลงไปในท้องน้ำสีดำสนิทนั้น  หมอกเองก็ค่อยๆจางลงเผยให้เห็นทัศนียภาพเบื้องหน้าอย่างชัดเจน  "ออกัส ไปปลุกยามได้แล้ว ให้ยืนไปถึงรุ่งเลยนะ" อาเรสสั่งพร้อมอ้าปากหาวเสียงดัง 
     
                                               ********************
        

         ยามรุ่งอรุณ เรือละอองแห่งมหาสมุทรเข้าเทียบท่ายังเมืองเรวาห์ เมืองซึ่งตั้งอยู่ในอ้อมกอดแห่งขุนเขาของพรีดีอา อาเรสปล่อยให้ลูกเรือส่วนใหญ่ได้ขึ้นบกเพื่อไปพักผ่อน ส่วนตนอยู่เฝ้าเรือและเด็กหนุ่ม  จึงได้วานลูกเรือคนหนึ่งให้เรียกหมอเจ้าประจำขึ้นมาตรวจอาการของเด็กหนุ่มที่ยังหลับใหลไม่ได้สติ  
     
       ในเวลาไม่นานนัก นายแพทย์ชราพร้อมเด็กผู้ช่วยก็มาถึงเรือในที่สดุ  เขาเริ่มตรวจอาการของเด็กหนุ่มและทำแผล  "อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง"  อาเรสเอ่ยถาม  "ภายนอกไม่สาหัสอย่างที่คิด อีกสักสี่ซ้าห้าวันคงทุเลาขึ้นบ้าง" นิโคลัส ตอบพลางเขียนใบสั่งยาแล้วส่งให้ผู้ช่วยจัดยา  ข้าต้องขอบคุณท่านมาก อาเรสกล่าวพร้อมก้มศรีษะลง 
     
        "อ้าว ท่านหมอตรวจเสร็จแล้วหรือ" ออกัสโผล่หน้าเข้ามาทักทาย  นายแพทย์ชราพยักหน้า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง  ไม่ได้พบกันเสียนาน เขาเอ่ยถามระหว่างรอเด็กจัดยา  "ข้ายังสบายดีเหมือนเมื่อครั้งที่ท่านออกทะเลนั่นล่ะ"  ออกัสตอบพร้อมเรียกเสียงหัวเราะดังลั่นจากเหล่าลูกเรือที่พึ่งกลับขึ้นมา  
     
        การออกทะเลของนายแพทย์นิโคลัสนั่นใช่จะธรรมดาเสียที่ไหน  เขาแค่บังเอิญเกิดเดินหลงไปอยู่ในห้องเก็บของใต้ท้องเรือเข้า  กว่าจะรู้อีกทีก็โน้นเรือละอองแห่งมหาสมุทรลำนี้แล่นออกไปไกลจนเกือบลับเกาะ  ทำให้เกิดโกลาหลไปทั่วทั่งลำ  อาศัยว่าวันนั้นอากาศดีคลื่นลมสงบ  จึงเอาเรือเล็กลงแล้วพาไปส่งกลับพรีดีอาอย่างปลอดภัย 
     
        "ท่านหมอ นี่ ข้าให้"  ออกัสผลุบเข้ามาอีกครั้ง แล้วส่งปลาตัวโตที่หามาได้ให้  นายแพทย์ชรากล่าวขอบคุณแล้วเดินออกไป  อาเรสส่งสัญญาณให้ลูกเรือคนหนึ่งส่งนิโคลัสลงจากเรือไป  
     
        "เขาเป็นอย่างไรบ้าง" ชายหนุ่มเอ่ยถามกัปตัน  "อาการไม่หนักหนาอย่างที่คิด" อาเรสตอบพร้อมเอ่ยสั่งงาน "เอาล่ะ เจ้าช่วยไปเฝ้าเขาหน่อย  ฟื้นเมื่อไหร่ก็ไปตามข้าด้วยแล้วกัน"  ออกัสพยักหน้ารับก่อนจะเดินลงจากดาดฟ้าไป

                                               ******************
     
        แดดยามบ่ายฉายส่องให้ผืนน้ำเกิดประกายระยิบระยับจับตายิ่งนัก  ละอองแห่งมหาสมุทรลอยลำฝ่าผืนน้ำอันเวิ้งว้างมุ่งสู่แผ่นดินใหญ่  ขณะที่ออกัสนั่งเอนหลังอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ตรงมุมห้องอย่างสบายใจ  ลมโชยผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบให้ม่านซึ่งอยู่เหนือศรีษะของเด็กหนุ่มที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงปลิวไสวเพียงแผ่วเบา 

        เด็กหนุ่มค่อยๆพลิกตัว  แพขนตายาวกระพริบถี่  แสงแดดที่สาดส่องเข้ามากระทบกับดวงตาสีฟ้าหม่นเหมือนท้องฟ้าในฤดูหนาว  เขายันตัวลุกขึ้น  ที่ไหน..... เมื่อเด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆแล้ว พบว่าเขานอนอยู่ในห้องเล็ก ซึ่งเครื่องเรือนทุกชิ้นล้วนทำมาจากไม้เนื้อแข็ง สายตาของเขาสะดุดเข้ากับบุคคลผู้ซึ่งนั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องพัก   
         
          ชายหนุ่มผู้นั้นสวมเสื้อผ้าป่านสีขาวและกางเกงสีดำยาว เรือนผมสีดำยาวถูกรวบแล้วโพกด้วยผ้าที่มีสีดำเข้มพร้อมตราประทับเช่นชาวทะเลทั่วไป  
     
        "ที่นี่…ที่นี่.........ที่ไหน"   

         ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้น "ตอนนี้เจ้าอยู่บนเรือละอองแห่งมหาสมุทร  เราออกจากพรีดีอาเมื่อ 3-4 วันก่อน กำลังมุ่งสู่ฟอนเทนเบิร์กบนคาบสมุทรซีเนีย"  ชายหนุ่มตอบ "ข้าออกัส" คนตรงหน้าแนะนำตัว "แล้วเจ้าชื่ออะไรล่ะ"  เขาถามอย่างเป็นมิตร 

        "ข้า….ไม่รู้สิ ข้าจำไม่ได้" เด็กหนุ่มก้มมองผ้าห่ม "จำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง" เขาส่ายหน้าช้าๆ "เอาเถิดอีกสักครู่กัปตันจะมาพบเจ้า" ชายหนุ่มบอกแล้วก้าวออกไป  แววตาของเด็กหนุ่มสลดลง  การที่ต้องตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างถาโถมเข้าใส่ในฉับพลัน ราวกับว่าเขาไม่มีที่ยืนบนโลกใบนี้  

        ครู่ใหญ่ประตูจึงเปิดออกอีกครั้งพร้อมด้วยร่างสูงดูสง่าก้าวเข้ามา  ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างเตียง "ข้าชื่ออาเรส เป็นกัปตันเรือลำนี้"  เด็กหนุ่มจ้องมองเขาด้วยแววตาหวาดหวั่น  "เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใด ตราบเท่าที่เจ้ายังอยู่ที่นี่" 

        อาเรสยิ้มบาง ดวงตาสีสนิมฉายแววอบอุ่นอ่อนโยน  เขาลุกขึ้นจาเก้าอี้แล้วทำท่าจะออกเดิน ร่างสูงหยุดที่ประตูคล้ายนึกอะไรได้  เขาหันกลับมาอีกครั้ง  "ส่วนชื่อของเจ้า  ไดแอซแล้วกัน"  ชายหนุ่มขยิบตาให้ก่อนจะเดินออกไป  "ไดแอซเหรอ" เด็กหนุ่มพึมพำแล้วยิ้ม

       ไดแอซเปลี่ยนเสื้อแล้ว เขาอดชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างไม่ได้ พลางคิดว่าวันนี้ลมทะเลพัดจัดเสียจนไม่น่าจะมีอะไรบินอยู่ได้  เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย ประตูเปิดออกเป็นครั้งที่3ของวัน เด็กหนุ่มที่ดูแก่กว่าเขาเพียงไม่กี่ปีโผล่หน้าเข้ามาพร้อมส่งเสียงทักทาย

        "กัปตันให้ข้ามาพาเจ้าสำรวจเรือ"  ไดแอซพยักหน้าก่อนจะหันกลับมาหยิบเสื้อคลุมแล้วเดินตามออกไป  "ข้าชื่อชาห์ " เขาแนะนำตัวพร้อมกับเดินนำไป  "นั่นเรามาถึงห้องอาหารแล้ว"  เขาชี้ให้ไดแอซดูห้องซึ่งค่อนข้างใหญ่ 
     
        "นี่โกดังสินค้า"  
       
        "นั่นก็ที่เก็บเสบียง"
       
        "ห้องนั้นเป็น……"
     
        เพราะละอองแห่งมหาสมุทรเป็นเรือสินค้าขนาดใหญ่ที่ถูกต่อขึ้นจากอู่เรือในเกาะใต้ ทั้งยังมีการลงมนต์ให้ภายในลำเรือให้มีพื้นที่มากกว่าที่ตาเห็น จึงเต็มไปด้วยห้องหับมากมาย  ดีที่ห้องของข้าอยู่ชั้นบนสุด ไดแอซนึกในใจ เมื่อชาห์พาเขาเดินสำรวจเรือจนขาลากไปตามๆกัน  ไม่อย่างนั้นข้าหลงทางแน่
      
                                              ***********
     
        "นี่  พวกท่านทำอะไรกันเหรอ"  ไดแอซเอ่ยถามเมื่อจู่ๆก็ถูกลากตัวขึ้นมาบนดาดฟ้าเสียอย่างนั้น  เขามองคนโน้นคนนี้ผื่อว่าคำตอบอาจผุดขึ้นมาบนใบหน้าของใครสักคนก็เป็นได้  

          ตึก     

          เสียงฝีเท้าอันสุดแสนจะคุ้นเคยตามด้วยร่างสูงสง่าของอาเรสเดินเข้ามาร่วมวงอีกคน  "ใจคอพวกเจ้าจะฉลองกันโดยไม่เชิญข้าอย่างนั้นรึ"   รอบข้างเงียบกริบจนเด็กหนุ่มนึกว่าเขาขึ้นมายืนบนดาดฟ้าคนเดียวมากกว่าจะมีคนหลายสิบห้อมล้อมอยู่
     
        "เอาเถอะ  วันนี้ข้าจะแกล้งลืมๆกฎไปสักหนึ่งวัน"  ชายหนุ่มกล่าวต่อพร้อมทำท่าลอยหน้าลอยตาซึ่งไม่ใคร่จะได้เห็นบ่อยนัก ด้วยปกติมักเก๊กแต่หน้าดุอยู่ตลอดเวลา  เสียงเฮลั่นดังมาจากปากเหล่าลูกเรือ  มือของแต่ละคนถือถาดอาหาร  กับแกล้ม และเครื่องดื่มไว้เต็มสองข้าง จนเด็กหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่าที่เห็นเอามือไขว้หลังปั้นหน้าขรึมราวทหารนั้น  จะมีปัญญาที่ไหนถือถาดได้ตั้งสองถาด
     
        เสียงพึมพำเบาๆดังขึ้นข้างหู เมื่อเด็กหนุ่มหันไปดูพบว่าในมือของอาเรสที่ค่อยๆแบออกนั้นปรากฏ ดวงแสงกลม ฉับพลันดวงแสงกลับกลายเป็นมีดสั้นสีฟ้าใส ไดแอซเบิกตากว้างอ้าปากค้างน้อยๆมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า  
     
        "นี่มันเวทมนตร์ชัดๆ"  
     
        อาเรสหัวเราะหึหึ     เมื่อเห็นภาพคนตรงหน้า เอ….รู้สึกชาห์จะบอกข้าแล้วนี่นาว่าลูกเรือทุกคนใช้เวทพื้นๆพวกนี้ได้ เด็กหนุ่มนึกแล้วรีบหุบปาก "ข้าให้เจ้า" ชายหนุ่มยื่นมีดให้เขา "ให้ข้า"  เด็กหนุ่มทวน "เมื่อเจ้าอยู่บนเรือนี้ก็ถือว่าเป็นคนของข้า  อาวุธคือสิ่งที่ผู้เป็นกัปตันสมควรมอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ถือว่าเป็นของขวัญต้อนรับเจ้าแล้วกัน " เมื่อไดแอซรับมีดไปถือไว้ ละอองแสงเล็กๆที่รายรอบมีดนั้นค่อยเกี่ยวกระหวัดถักทอกลายเป็นปลอกหนังงดงาม 
     
         "ข้า….. "
      
         "ไม่เป็นไรหรอก" อาเรสยิ้ม 
     
        แดดยามเย็นย่ำทอทาบผ่านท้องฟ้าสีชมพูอมทอง  ดาวดวงจ้อยกระพริบแสงจางๆ  ในค่ำคืนนี้ละอองแห่งมหาสมุทรได้บรรทุกเอาความสุขไว้จนเต็มลำเรือทีเดียว
      
                                  ************************
     
         "กัปตันครับ"  เสียงเคาะประตูห้องของอาเรสดังขึ้น  "เข้ามาสิ"  ผู้เป็นเจ้าของออกปากห้องอนุญาต  ไดแอซก้าวเข้ามายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานที่กองสุมไปด้วยเอกสารและแผนที่ต่างๆ 

        "เจ้ามีอะไรหรือ"  อาเรสเงยหน้าจากแฟ้มเอกสาร  "วันมะรืน เรือจะเข้าเทียบท่าที่ฟอนเทนเบิร์ก  ข้า…..คงต้องเริ่มออกเดินทางเสียที"  เด็กหนุ่มบอกเสียงเบาแต่ฟังดูแน่วแน่ อีกฝ่ายมองเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้  "เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ"
     
        ไดแอซตั้งต้นเก็บสัมภาระอันมีอยู่น้อยนิดลงย่าม  เสียงโครมครามดังมาจากหน้าประตูห้อง เหมือนใครสักคนชนประตูเข้าอย่างจัง  บานประตูเปิดปังออก  ออกัสเซถลาเข้ามาเป็นรายแรกตามด้วยพวกลูกเรืออีกนับสิบที่หอบข้าวของพะรุงพะรังเต็มมือ
     
        "พวกข้าเอามาให้เจ้า"  ออกัสบอกหลังพยุงตัวลุกขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มถึงกับทำหน้าเหวอไปพักหนึ่ง  ก่อนที่จะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ  "ครับ"  เขารับคำสั้นๆ  บรรดาข้าวของทั้งหลายทั้งปวงจึงถูกวางสุมๆลงไปจนเต็มเตียง เล่นเอาเจ้าของห้องทำหน้าแหย่ "แล้วข้าจะขนไปหมดเหรอเนี่ย"
     
        ลูกเรืออีกหลายคนเวียนเข้าเวียนออกห้องของเด็กหนุ่ม  ทำให้ห้องเล็กจ้อยดูแคบไปถนัดตา ข้าว่าเจ้าน่าจะจัดแบบนี้นะ ออกัสออกความเห็น 
     
        "แต่ข้าว่าอย่างนี้ดีกว่า" 
       
         "ข้าว่าแบบข้านะแหละดี"
       
         "ไม่หรอก ต้อง……."
     
       เสียงจากคนโน้นคนดีแทรกขึ้นด้วยความหวังดี ทำให้ไดแอซที่ไม่รู้จะฟังใครดีหัวหมุนติ้วๆทีเดียว
     
        ลมทะเลยามค่ำคืนโชยมาเพียงแผ่วเบาพร้อมหอบกลิ่นอายคาวเค็มอันคุ้นชินมาต้องจมูก  ผมสีดำยาวประบ่าของเด็กหนุ่มปลิวตามลม นัยน์ตาสีฟ้าหม่นมีแววเลื่อนลอยด้วยนึกอาลัย  เวลาเกือบเดือนที่ได้อยู่บนเรือลำนี้ดูสั้นนัก ความอบอุ่นและเป็นกันเองของบรรดาลูกเรือทำให้เขาใจหาย

        "พรุ่งนี้เจ้าต้องออกไปเผชิญโลกกว้างแล้ว"  เสียหนึ่งดังขึ้น  อาเรสเดินเข้ามาใกล้เขา "นั่นคือหนทางที่เจ้าเลือกเดิน" ชายหนุ่มเอนตัวพิงกราบเรือ

        "กัปตันครับ  ผม……." เด็กหนุ่มก้มหน้าลงซ่อนแววตาเศร้าเอาไว้"  อาเรสวางมือหนากร้านบนไหล่ไดแอซ 
     
        "ในโลกใบนี้ต้องมีที่ยืนสำหรับเจ้าแน่  หากวันใดที่เจ้าสิ้นหวัง  จงจำไว้ละอองแห่งมหาสมุทรและพวกเราทุกคนยังยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ"  รอยยิ้มบางอันอ่อนโยนที่แสนจะหายากบนผุดขึ้นบนใบหน้าคร้ามคมอีกครา 
     
        "ครับกัปตัน"
      
      
     
            

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×