ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #8 : ความวุ่นวายในหอคอย

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 49


     
          เช้าวันใหม่อันสดใสของฤดูหนาวโผล่เข้ามาเยี่ยมเยือนพวกเขาถึงหน้าต่าง  อาทิตย์ดวงกลมทอแสงอ่อนๆขึ้นเหนือฟ้าอันหม่นมัว   แว่วเสียงคนบนถนนในยามเช้าพูดคุยกัน  เสียงฝีเท้าของบริกรเดินไปมาอยู่หน้าห้อง 
     
         พลั่ก!!!
     
         หลังมาร์คัสเสร็จจากการล้างหน้าแต่งตัวท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บชวนขนลุกเรียบร้อย  และกำลังคิดอะไรเพลินๆทำนองว่าจะกลับไปนอนต่ออยู่นั้น  เขารู้สึกว่าเท้าของตนเหยียบลงไปบนอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างนุ่ม  
     
         ไดแอซ!!  ชายหนุ่มอุทานเมื่อพบว่าเด็กหนุ่มพร้อมผ้าห่มลงมากลิ้งโคโร่อยู่บนพื้นห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  เขารีบขยี้ตาไล่ความง่วงงุนแล้วเริ่มจัดการอีกฝ่ายให้เข้าที่เข้าทาง  “ว่าแล้ว  เมื่อตอนใกล้รุ่งข้าได้ยินเสียงแปลกๆ”  ชายหนุ่มบ่นพลางเขย่าตัวเด็กหนุ่มพลาง
     
         “ไดแอซ ตื่น ตื่นสิ” 
     
         ชายหนุ่มเรียกอีกฝ่ายอย่างใจเย็นอยู่เป็นนานเปลืองน้ำชาไปหลายถ้วย  เมื่อเห็นว่าต่อให้พูดจนเสียงหมดจากคอหอยอีกฝ่ายคงไม่มีทีท่าว่าจะฟังคำเขาแน่นอน  และยังจะหลับต่อเสียด้วยซ้ำ  มาร์คัสเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววพอใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มตัวลงไปกระซิบข้างหูเด็กหนุ่ม
     
         “สัตว์อสูรมาแล้ว”  
     
         ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าดีใจอย่างยิ่ง  ด้วยเด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้นมานั่งทันตาเห็น แต่สิ่งที่ตามมานั้นออกจะไม่ค่อยสวยสักเท่าใดนัก เพราะไดแอซผลักมาร์คัสเต็มแรงทำเอาชายหนุ่มกระเด็นไปชนกับเก้าอี้กลางห้อง  ให้มันได้อย่างนี้สิ  มาร์คัสคลำแขนตัวเองซึ่งดูเหมือนว่าจะช้ำเล็กน้อย  
     
         ฝ่ายไดแอซยังคงมีท่าทางงงงวยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่  “อ้าว!  มาร์คัส  ทำไมไปนั่งอยู่ตรงนั้นได้ล่ะ?”  เด็กหนุ่มทักขึ้น  “นี่เจ้าตื่นแล้วเหรอ”  น้ำเสียงเหมือนประชดประชันของอีกฝ่ายแว่วมา  “แล้วข้ามาอยู่ตรงนี้ได้ไงอ่ะ?”  เด็กหนุ่มสำรวจสภาพตัวเองด้วยความสงสัย  
     
         ห้องที่เขาพักนั้นมีเตียงสองตัวตั้งอยู่คนละด้านของห้อง  และยังคั่นกลางด้วยชุดโต๊ะเก้าอี้  แล้วเขาซึ่งเมื่อคืนยังจำได้ว่านอนอยู่บนเตียงของตนอีกฟากหนึ่ง ไหงตื่นมาอีกทีกลายเป็นว่าเขามานอนอยู่แถวๆหน้าเตียงของมาร์คัสไปได้ละเนี่ย    
     
         “ตื่นก็ดีแล้วรีบไปอาบน้ำแต่งตัวซะ”  ชายหนุ่มสั่งหลังจากพยุงตัวลุกขึ้นมานั่งจิบชาแก้คอแห้งเป็นถ้วยที่5  “เดี๋ยวข้าจะไปปลุกเวส”

                  **********************************
     
         ครึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งสองออกมาเดินเล่นอยู่บนถนนสายใหญ่  เนื่องจากเวสออกตัวว่าไม่ค่อยสบายอันมีสาเหตุมาจากน้ำปริศนาเมื่อคืน  มาร์คัสเลยลากไดแอซออกมาเดินเล่นแทน  ในวันนี้ทุกบ้านเรือนล้วนมีต้นสนขนาดประมาณ3 ฟุต ตั้งอยู่หน้าประตูบ้างบนระเบียงบ้าง 
     

         “สนพวกนี้จะตั้งอยู่ตลอดฤดูหนาว พอย่างใบไม้ผลิเขาจะเอามาก่อเป็นกองไฟใหญ่พร้อมกับเผาตุ๊กตา สโนว์แมนเป็นสัญญาณว่าสิ้นหนาวแล้ว”  มาร์คัสผู้เป็นเสมือนเอ็นไซด์โคลปีเดียประจำตัวไดแอซตั้งต้นอธิบาย เด็กหนุ่มมีทีท่าร่าเริงทั้งยังฮัมเพลงเบาๆ  ดูเหมือนว่าเขาจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปแล้ว
     
         พวกเขาเดินคุยกันไปเรื่อยๆท่ามกลางฝูงชนในยามเช้าอย่างไม่เร่งรีบจนถึงจตุรัสนางฟ้า  ต้นเสาสูงใหญ่สีดำทั้งสิบสองเรียงตัวกันเป็นวงกลมรายรอบจตุรัส  บนยอดเสาเป็นรูปปั้นนางฟ้าทั้งสิบสององค์ในอิริยาบทต่างๆตามตำนาน  ใจกลางบัดนี้มีสนต้นใหญ่ตั้งตระหง่านแผ่กิ่งก้านสีเขียวสด และบนยอดสูงคือดาวสีทองดวงใหญ่ซึ่งมีช่อดอกไม้ประดับ  
     
         แดดอ่อนยามเช้าอาบไล้ผิวกายขับไล่ความหนาวเย็น  ไดแอซแหงนหน้ามองรูปสลักของเหล่านางฟ้าสีขาวสง่าตัดกับสีอมฟ้าของอากาศเบื้องบน  
     
         “กลับกันเถอะไดแอซ”  มาร์คัสลากมือเด็กหนุ่มพลางเหลียวมองซ้ายมองขวาคล้ายกำลังเสาะหาใครสักคน  “ข้าสังหรณ์แปลกๆยังไงก็ไม่รู้”  เขาเดินตามมาแต่โดยดี  ชายหนุ่มเลือกใช้ทางที่ต้องตัดเข้าตลาดด้วยหมายจะแวะซื้ออาหารเช้า  
     
         เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจอย่างตลาดทั่วๆไปห้อมล้อมตัวทั้งสอง  กลิ่นหอมของขนมปังอบใหม่ๆผสมกับกลิ่นหอมมันของกาแฟพันธุ์พื้นเมืองชวนให้น้ำลายสอ  ผลไม้สดๆตามฤดูกาลถูกลำเลียงมาจัดวางจนเต็มหน้าร้าน  มาร์คัสเลือกซื้อขนมปังฝรั่งเศสแท่งยาวแล้วโยนมาให้เด็กหนุ่มผู้กลายสภาพมาเป็นเบ๊ถือ 
     
         โอ๊ย!!  
     
         เสียงหวานของหญิงสาวอุทานเมื่อร่างบางเซมาปะทะกับชายหนุ่มจนลงไปกองกับพื้นทั้งคู่  “ข้า..เอ้อ…ข้าขอโทษ”  เขารีบเก็บข้าวของที่ตกกระจายอยู่เต็มพื้นพร้อมพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น  “ขอบคุณค่ะ”  เธอกล่าวเสียงเบาแล้วรับของจากมือมาร์คัส   มือขาวเรียวแตะเข้ากับมือหนาและค่อนข้างหยาบเล็กน้อย ทำเอาใบหน้าของชายหนุ่มขึ้นสีเรื่อๆอย่างไม่มีสาเหตุ   
     
         ไดแอซผู้ได้แต่ยืนงงอยู่ข้างหลังจ้องมองอย่างประหลาดใจ  เพราะหญิงสาวผู้งดงามคนนั้นมีใบหน้าเดียวกับผู้ถือช่อดอกไม้ในขบวนแห่เมื่อคืน  ดูเหมือนมาร์คัสจะสังเกตเห็นประการนี้ด้วยเช่นกัน แต่ชายหนุ่มกลับทำหน้าพิกลๆเหมือนมีอะไรคาใจอยู่  “ขอบคุณท่านมาก”  หญิงสาวย้ำอีกครั้งแล้วค้อมศรีษะ 
     
         “อ่า………”  ชายหนุ่มดูเหมือนพึ่งรู้สึกตัว  แต่ร่างบางในชุดกระโปรงยาวหายลับไปในฝูงชนเสียแล้ว  “นี่ๆ”  ไดแอซสะกิดมาร์คัส    “ท่านไม่สบายหรือเปล่า หน้าแดงจัง” ชายหนุ่มที่ตอนนี้กลับไปมีท่าทีคิดอะไรไม่ตกเหมือนเมื่อวานส่ายหน้าแล้วรีบออกเดิน
     
         “ท่านคะ  ไม่ทราบว่าเห็นคุณหนูของข้าหรือเปล่า?”  หญิงวัยกลางคนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องเป็นพี่เลี้ยงของคุณหนูสักคนแน่ๆถามเด็กหนุ่ม  “ที่ใส่ชุดสีชมพูอ่อน ผมสีทองๆใช่ไหม?”  อีกฝ่ายพยักหน้ารับ  “ข้าเห็นนางเดินไปทางโน้นแน่ะ”   หญิงคนนั้นกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินตามไป
     
         “มีอะไรหรือ?”  มาร์คัสชะลอฝีเท้า  “พี่เลี้ยงของคุณหนูที่ท่านชนมาถามหานางน่ะ”  คิ้วของชายหนุ่มขมวดมุ่น “คุณหนู..”  ไดแอซมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย  แต่รายนั้นเดินเงียบๆไม่พูดอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว 
     
         “กลิ่นอะไรน่ะหอมจัง”  ไดแอซสูดหายใจเฮือกใหญ่เข้าเต็มปอด  “หอมอย่างกับดอกไม้ป่าแน่ะ”  เด็กหนุ่มนึก “ดอกอะไรนะ ที่ขาวๆ ดอกเล็กๆ”  ภาพบางอย่างวาบขึ้นในหัวของเขา แต่ยังไม่ทันรู้ชัดว่าเป็นสิ่งใดภาพนั้นกลับ อันตรธานไปเสียก่อน  
     
         “ว๊า!! จำไม่ได้อีกแล้ว”  เขาเคาะหัวตัวเองสองสามที  “ยังไงก็นึกไม่ออกแฮะ แล้วเมื่อวานก็เหมือนมีเรื่องอะไรสักอย่าง ใครสักคนบอกอะไรข้าไว้นะ….แต่ช่างมันดีกว่าคิดแล้วปวดหมอง” ว่าแล้วเจ้าตัวรีบวิ่งไปให้ทันชายหนุ่มซึ่งเดินลิ่วๆไปโน้นแล้ว

                      *****************************
     
         เวลานี้……..เขาควรจะได้นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียง หรือนั่งแทะขนมปังก้อนยาวที่พึ่งซื้อมาจากตลาดพลางดื่มนมพลางอย่างมีความสุข  แต่ทว่า……..
     
         “ทำไมข้าต้องมาวิ่งมาราธอนแบบนี้ด้วย”   เรื่องมันก็มีอยู่ว่า เมื่อทั้งสองกลับมาถึงที่พักปรากฏว่า       เวสหายตัวไปเสียแล้ว  เมื่อสอบถามจากบริกรได้ข้อมูลเป็นที่แน่นอนแล้วว่า  อีกฝ่ายไปวิทยาลัย  มาร์คัสรีบทิ้งถุงขนมลากไดแอซวิ่งตรงดิ่งเข้าวิทยาลัย  และ……เขายังคงวิ่งไม่หยุดจนถึงตอนนี้  
     
         “อีกนิดเดียวจะถึงถ้ำผู้เฒ่าแล้ว”  ถ้ำผู้เฒ่า ซึ่งเป็นชื่อที่เหล่านักเรียน และอาจรวมถึงคณาจารย์บางคนในวิทยาลัยเรียกเล่นๆ ก็คือ หอคอยสีขาวอันเป็นที่อยู่ของเหล่าจอมปราชญ์นั่นเอง   มอเดรสซึ่งพวกเขาบังเอิญพบเข้าระหว่างทางขณะที่รายนั้นกำลังกระทำการโดดชั่วโมงสอนอันเป็นกิจวัตรอยู่หันมาบอก  
     
         หอคอยสีขาวสูงเสียดฟ้าซึ่งรังสรรค์ขึ้นด้วยเวทอันทรงอำนาจและศาสตร์ด้านสถาปัตยกรรมอันเป็นเลิศ  ตั้งเด่นเป็นสง่าสะท้อนแสงอาทิตย์ยามสาย  
     
        แฮ่กๆๆ!!!
     
        เด็กหนุ่มเบรกเข้ากับขอบประตูบานใหญ่ เจ้าตัวหอบหายใจถี่ๆ  หัวใจของเขาเต้นแรงเสียจนแทบกระโดดออกมาเต้นระบำฮาวายอยู่บนพื้น    “ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยใช้แรงงานมากขนาดนี้เลย”  ไดแอซไม่วายแอบบ่น  “ดีแล้วที่เป็นหน้าหนาว ถ้าเป็นหน้าร้อนละก็ข้าคงเป็นลมลงไปชักกับพื้นแหงๆ  นี่ยังต้องถ่อสังขารขึ้นไปอีก คิดแล้ว……..”
     
         “เร็วเข้าไดแอซ”  เสียงมาร์คัสดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเขา  ตอนนี้ชายหนุ่มกับผู้เป็นญาติกำลังยืนอยู่กลางวงเวทที่ค่อยๆเรืองแสงขึ้นทีละน้อย  เด็กหนุ่มรวมรวมพลังแล้ววิ่งเข้าไปหาคนทั้งสอง  แสงสีขาวจากอักขระเวทที่เรียงตัวกันเป็นวงกลมค่อยๆสว่างจัดจ้าจนพวกเขาต้องหลับตาลง  พลังเวทปะทุส่งให้ทั้งสามพุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
     
        แอ๊ก!!
     
         ไดแอซตกลงมานั่งแปะบนพื้น ขณะที่อีกสองคนทรงตัวยืนได้อย่างงดงาม  บัดนี้พวกเขามายืนอยู่ในโถงกว้างของยอดหอคอยแล้ว โถงนี้มีลักษณะเหมือนด้านล่างทุกประการ ตั้งแต่พื้นหินสีดำยันกระจกเงาเล่นมุมบนเพดานค่อนข้างสูงจะแผกไปเล็กน้อยก็ตรงผนังที่เป็นกระจกใสทั้งหมด  ทำให้ผู้มาเยือนสามารถมองลงไปยังเมืองเบื้องล่างได้  
     
         “ไปไดแอซ”  มาร์คัสหิวปีกเด็กหนุ่มขึ้นจากพื้นแล้วพาเดินตามมอเดรสไปยังบันไดวนสีเงินยวงตรงมุมห้อง  “นี่ยังต้องขึ้นบันไดอีกเหรอ  พวกนี้พลังงานเหลือเฟือจริงๆ”  เด็กหนุ่มคิดขณะย่ำต๊อกๆอย่างหมดแรงตามหลังทั้งสอง
     
         พวกเขาโผล่ขึ้นมายังทางเดินกว้างปูด้วยพรมหนาสีแดงเลือดหมูคร่ำคร่า  ทางเดินนี้ทอดไปสิ้นสุดยังห้องหับต่างๆมากมาย  มอเดรสเป็นผู้นำทางไปอย่างคนคุ้นเคย และตอนนี้ทั้งสามก็ได้มายืนอยู่หน้าห้องทำงานของบรรดาจอมปราชญ์แล้ว  

          ประตูไม้บานหนาสลักเสลาลวดลายวิจิตรตระการตาปิดสนิท ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาให้พวกเขาได้ยิน  มาร์คัสจึงตัดสินใจเคาะประตูก่อนจะดึงมันให้เปิดออก
     
         “เมืองกว้างจัง”  ไดแอซเกาะติดหน้าต่างกระจกใส  ทัศนียภาพของซามมานน่ายามได้มองจากยอดหอคอยซึ่งสูงเสียดฟ้านั้นงดงามอย่างประหลาด  “มัวดูอะไรอยู่อีก”  คราวนี้เป็นมอเดรสหันมาลากเด็กหนุ่มเดินตามมาร์คัสเข้าไปในห้อง   
     
         ห้องนั้นค่อนข้างกว้างพอตัวและยังเต็มไปด้วยชั้นหนังสือเรียงเป็นตับ  หนังสือแต่ละเล่มก็หนาจนชวนสยองมากกว่าอยากเปิดอ่าน  นอกจากหนังสือแล้วตามโต๊ะและชั้นต่างๆยังมีขวดแก้วรูปทรงแปลกตามากมาย  บ้างก็ต่อเป็นท่อยาวจุ่มอันนี้ทีอันโน้นที  บ้างก็ตั้งเรียงๆกันไว้ โดยมีของเหลวหลากสีบรรจุอยู่ภายใน  บางขวดเป็นสีชมพูกุหลาบสวย บางขวดก็เป็นสีแดงจนเหมือนเลือด และบางขวดยังเป็นสีเขียวอืดๆเดือดปุดๆอีกด้วย 
      
         แสงอาทิตย์จากหน้าต่างสาดเข้ามากระทบกับบรรดาขวดแก้วเพิ่มความสว่างไสวให้กับห้อง  ดูเหมือนวันนี้จะมีจอมปราชญ์เพียงผู้เดียวที่อยู่บนหอคอย  และตรงหน้าจอมปราชญ์ผู้นั่งจิบชาควันฉุยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนคือชายหนุ่มที่ทำท่าเหมือนแค้นใครมาสักร้อยปี  ผมสีแดงที่ยุ่งเหยิงเหมือนกองไฟย่อมๆนั้นดูราวกับมีควันพวยพุ่งออกมา   
     
         เวส!!!!
     
         มาร์คัสและมอเดรสอุทานพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย  ชายหนุ่มหันหน้ามามองเพื่อนผู้ยกพลขึ้นมาตามด้วยความเป็นห่วง  พร้อมส่งคำถามแบบไร้เยื่อใย  “ตามมาทำไม”  ทำเอาคนที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องและต้องวิ่งมาราธอนตั้งแต่เช้าแทบตรงเข้าไปจับคออีกฝ่ายเขย่าๆให้หัวหลุดกระเด็นทีเดียว    
     
         “นั่งก่อนสิ”
     
         เป็นจอมปราชญ์บอกกับพวกเขา  มาร์คัสกับมอเดรสรีบชิงเก้าอี้ที่อยู่ใกล้มานั่ง  ไดแอซเลยต้องระเห็จไปนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ติดกับโต๊ะริมหน้าต่าง  เมื่อเขาหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้พนักสูง….
     
         เพล้ง!!!!
     
         ขวดแก้วพร้อมของเหลวสีใสที่บรรจุอยู่ตกแตกกระจายในแนวระนาบเต็มพื้น  เด็กหนุ่มทำหน้าเหรอหราใส่ทุกสายตาในห้องที่หันมามองเขา “แบบว่าข้าเปล่าทำอ่ะ”  เจ้าตัวออกปากปฏิเสธแต่ก็ลงมาเก็บกวาดเศษแก้วทั้งหมดบนพื้น  อารามรีบร้อนทำให้ไหล่ของเด็กหนุ่มกระแทกกับขาโต๊ะเข้า
     
         “ไดแอซระวัง!!!! ข้างบน”
     
         เสียงเวสร้องเตือน  ด้วยขวดแก้วสีฟ้าอ่อนที่ตั้งอยู่ขอบโต๊ะเอียงซ้ายเอียงขวาจากแรงเมื่อครู่  และยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะเอื้อมมือไปคว้าไว้  มันก็หกรดตามลงมา จอมปราชญ์ซึ่งนั่งอยู่ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว   แต่……….
     
         ตูม!!!!
     
         ชายชราสร้างม่านพลังป้องกันพวกเขาไว้พร้อมๆกับเสียงระเบิดที่ดังสนั่นลั่นชั้นจนต้องยกมืออุดหูเอาไว้  ตามมาด้วยกลิ่นฉุนแสบจมูกและกลุ่มควันสีขาวขุ่นม้วนตัวหนาทึบจนเต็มห้อง  เสียงม่านเวทลั่นเปรี๊ยะพร้อมเปล่งแสงจางๆ
     
         แค่กๆๆ
     
         ถึงจะกางเวทช่วยกันไว้  แต่ไม่วายทั้งควันทั้งกลิ่นก็ยังเข้ามารบกวนจนได้ ทำให้มอเดรสซึ่งอยู่ใกล้ประตูต้องรีบวิ่งออกไปเปิดหน้าต่างตรงทางเดินเพื่อระบายอากาศ  กระแสพลังรุนแรงที่เมื่อครู่ถาโถมออกมาจากที่เกิดเหตุมาปะทะเข้ากับม่านเวทนั้นค่อยๆล่าถอยกลับไป  มาร์คัสทำท่าจะวิ่งเข้าไปหาไดแอซแต่จอมปราชญ์ส่ายหน้าเอาห้ามไว้  
     
         พวกเขาเงี่ยหูฟังแต่ไม่มีเสียงระเบิดดังขึ้นอีก  มอเดรสจึงกวาดมือส่งลมมาไล่ควันทั้งหมดให้ออกไป  กลางกลุ่มควันที่ค่อยๆจางลงนั้นปรากฏร่างเด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่
     
         “ไดแอซ”
     
         มาร์คัสรีบวิ่งไปหา แต่เจ้าของชื่อยังคงยืนนิ่งเหมือนไม่ได้ยินเสียง  “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”  เขาถามหลังจากเข้าไปถึงตัวเด็กหนุ่ม  เมื่อมองดูตามร่างกายภายนอกแล้ว  ฝ่ายนั้นไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเสียด้วยซ้ำ 

         “ไดแอซ”  ชายหนุ่มเขย่าตัวอีกฝ่าย  แต่เขาพบว่าดวงตาของเด็กหนุ่มทอดออกไปไกล  ราวกับว่าเจ้าตัวกำลังมองอะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่อาจเห็น   
     
         จอมปราชญ์เดินตามเข้าไป  ทันทีที่ชายชราแตะตัวเด็กหนุ่มฝ่ายนั้นทรุดฮวบลงไปทันที ดีแต่มาร์คัสประคองเอาไว้ทัน  “ตามข้ามา”  จอมปราชญ์ออกคำสั่งกับทุกคน  “แล้วท่านไม่เก็บข้าวของก่อนหรือครับ”  เวสถาม ข้างนอกห้องมอเดรสกำลังวุ่นวายกับการไล่ปิดหน้าต่างที่แสนจะปิดยากปิดเย็นผิดกับตอนเปิดลิบลับ
     
         “ไม่จำเป็นหรอก”  ชายชราบอก  เพราะขณะนี้ขวดแก้วทุกใบบนโต๊ะยังวางอยู่กับที่ไม่บุบสลายหรือขยับเขยื่อนไปตามแรงระเบิดแม้แต่เซนเดียว หากเพ่งมองให้ดีจะพบว่ารอบๆขวดแก้วเหล่านั้นมีเกราะบางๆล้อมรอบอยู่  ส่วนร่องรอยบนพื้นนั้นจางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  กลับมาสะอาดเอี่ยมใสปิ๊งๆเหมือนเดิม
     
         ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาจากหน้าต่างที่ยังปิดไม่สนิทนัก  “มอเดรส  ปิดใหม่ให้สนิทด้วย”  จอมปราชญ์บอกชายหนุ่ม  เจ้าตัวจึงจำต้องกลับมารบรากับหน้าต่างต่อ  อันที่จริงจะใช้เวทปิดเอาก็ได้สะดวกจะตาย  แต่ดูเหมือนผู้เป็นจอมปราชญ์อยากจะแกล้งอีกฝ่ายเสียมากกว่า
     
         เสียงหน้าต่างปิดปังพร้อมเสียงบ่นงึมงำของมอเดรสดังอยู่เบื้องหลังพวกเขา

                      **********************
     
         ข้า……..ฝันหรือ  ฝันถึงอะไร  จำไม่ได้……  ไดแอซรู้สึกเหมือนถูกดึงลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว  
     
         เสียงคนพูดคุยกันจับความไม่ค่อยได้ดังแว่วๆเข้ามาต้องโสตประสาทของเขา  แพขนตาสีเข้มของเด็กหนุ่มกระพริบถี่ๆปรับให้ชินกับแสงสว่าง  ภาพที่ปรากฏตรงหน้าดูเลือนลางและอ่อนจาง 
     
         “ขอบคุณครับ”  
     
         เสียงใครสักคนพูดขึ้น  “เอาน่าเวส ถือว่าเสมอกัน ตอนพิธีจบการศึกษาเจ้าก็แกล้งข้าด้วยวิธีนี้แล้วหายหัวไปเลยนี่นา ไหนๆเจ้าก็อุตส่าห์กลับมาทั้งที ข้าเลยอยากต้อนรับให้สมเกียตริศิษย์รักเสียหน่อย”  คนถูกยกย่องเป็นศิษย์รักแอบทำหน้าปุเลี่ยนๆ แล้วทำท่าอ้วก “เฮ้อ….ลูกศิษย์ผู้น่ารักของข้าต้องออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง  ข้ารู้สึกเป็นห่วงจังเล๊ย”  จอมปราชญ์แกล้งดัดเสียงล้อชายหนุ่มผมแดงที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นตีหน้ายักษ์แทน  “คงต้องฝากฝังเขาไว้กับเจ้าแล้วล่ะ  แค่จูงเดินเล่นให้ข้าวให้น้ำเป็นเวลาง่ายๆ ทำได้นะ”   
     
         “ท่านวาริด!!”
     
         “ทำตัวเชื่องๆหน่อยสิ”
     
         “แง่ง”
     
         “อีกไม่นานไดแอซก็จะฟื้นแล้ว ข้าต้องขอตัวล่ะ  หมู่นี้งานยุ่ง”  จอมปราชญ์เอ่ยปากเปลี่ยนเรื่อง  “จะรีบกลับไปทดลองระเบิดเหรอครับ”  มาร์คัสถามเสียงซื่อ  “ใช่….เอ๊ย  ไม่ใช่ จะไปตรวจเอกสารน่ะ”  ชายชรารีบปฏิเสธแล้วเดินจากไป
     
         เด็กหนุ่มขยี้ตาพลางลุกขึ้นนั่ง  ชายหนุ่มทั้งสองซึ่งอยู่ปลายเตียงเดินเข้าไปหาเขา  เจ้าตัวเกาหัวด้วยด้วยความงุนงง
     
         “ข้า…….”
     
         “เจ้าน่ะ ระเบิดเสร็จก็สลบไปเลย  ลำบากข้าต้องอุ้มมา ตัวหนักเป็นบ้า”  ขายหนุ่มบอกกึ่งบ่น  “นี่รีบไปกันเถอะ”  เวสขัดจังหวะขึ้น  “มันบ่ายแก่ๆแล้ว เดี๋ยวเตรียมของไม่ทัน”  ไดแอซทำหน้าฉงน  “พวกเราสองคนผ่านการทดสอบประหลาดๆนะสิ  จะเดินทางเข้าแพนโทเนียพรุ่งนี้  ส่วนมอเดรสมันลงไปตั้งนานแล้วล่ะ ได้ฤกษ์กลับไปสอนต่อ”
     
         เด็กหนุ่มลุกจากเตียงแต่เขากลับทรงตัวไม่อยู่  เซวูบจนชายหนุ่มต้องหันกลับมายึดแขนเอาไว้  “ข้ารู้สึกมึนๆนิดหน่อย” ไดแอซออกตัว ตอนนี้โลกทั้งใบที่เมื่อครู่หมุนรอบตัวเขาด้วยอัตราความเร็วแสงนั้นค่อยๆช้าลงจนหยุดสนิท “จะเอ้อระเหยไปถึงไหน”  เวสที่ยืนอยู่นอกห้องโผล่หน้าเข้ามาเร่ง  
     
         ทั้งสามซึ่งยังอยู่บนส่วนยอดของหอคอยเดินลงบันไดวนอันเดิมกลับลงมา  ไดแอซมองดูภาพของเมืองซามมานน่าอีกครั้ง  แดดยามบ่ายแก่ๆ สาดเป็นลำทะลุแพเมฆลงมาตกต้องจตุรัส  เหล่านางฟ้าที่ร่ายรำอยู่ ณ ส่วนยอดของแต่ละเสาดูราวกับจะสยายปีกเพื่อโบยบินขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์เบื้องบน
     
         พวกเขาเองก็กำลังจะก้าวเดินไปตามเส้นทางสายใหม่ที่แตกต่างจากวันวาน  เส้นทางซึ่งจะนำพาทุกคนไปสู่บางสิ่งที่กำลังรอคอยอยู่ ณ สุดปลายทางนี้     
        
    --------------------
    เย้...ในที่สุดเน็ตก็กลับมาใช้ได้เป็นปกติแล้ว หลังจากอุตส่าห์ถ่อสังขารขึ้นไปนั่งซ่อม  แหะๆๆ เลยไม่ได้อัพสองตอนรวดตามที่บอกไว้อ่ะ ไม่เป็นไรเนอะ
     
      

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×