คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : เหมันต์มาเยือน
ท่ามกลางความฝันที่มืดมิด ไร้ซึ่งสรรพเสียงอันใด ปรากฏดวงแสงเล็กจ้อยดวงหนึ่ง แสงนั้นขยายใหญ่ขึ้นทีละน้อย ภาพบางอย่างวาบขึ้นตรงหน้าของเด็กหนุ่ม ท้องทะเลสีครามสะท้อนประกายวิบวับกับแดดจ้า เมฆสีขาวลอยฟ่องอยู่เต็มฟ้า และผืนดิน
..
โอ๊ย!!! เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่น ภาพทั้งหมดหายวับไปในฉับพลัน “เกิดอะไรขึ้น นี่ข้าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ..
” ไดแอซขยี้ตา “เฮ้ย!
.. ร้อน” เจ้าตัวรีบเลิกแขนเสื้อขึ้นดู พบว่ากำไลเงินที่มาร์คัสให้มานั้นกำลังเรืองแสงอ่อนจาง เขามองมันด้วยความสงสัย
ไดแอซรู้สึกว่าลานทดสอบมัน
.เงียบผิดปกติ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปดูพบว่า ท่ามกลางแสงอาทิตย์สีชมพูอมส้มของยามเย็นย่ำนั้น วงกตตรงหน้าหายไปไหนไม่รู้เสียแล้ว เหลือเพียงลานโล่งกว้างและอัฒจันทร์อันร้างไร้ผู้คน มีเพียงเจ้าหน้าที่กลุ่มเล็กๆกำลังจัดการกับขยะต่างๆอยู่ที่ชั้นบนสุดเท่านั้น
“อ่า
..วงกตหายไปไหนแล้วอ่ะ” เด็กหนุ่มงงเป็นที่สุด “หรือว่าข้ายังไม่ตื่น ต้องฝันอยู่แน่ๆเลย” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ลองหยิกแขนตัวเองเต็มแรงเพื่อเป็นการทดสอบ “จ๊าก!!!
.. เจ็บแฮะ ทีนี้ข้าจะทำไงดี กำลังจะมืดแล้วด้วย” เด็กหนุ่มเริ่มจินตนาการว่าสัตว์อสูรตามภาพที่เห็นจากในวงกต ออกมาเดินป้วนเปี้ยนน้ำลายยืดน้ำลายย้อยหาเหยื่ออยู่ มีผีตัวใสๆโปร่งแสงลอยไปลอยมา แล้วยังยมฑูตถือเคียวคอยบั่นหัวคนเพื่อดื่มเลือดสดๆ
แปะ!
อะไรบางอย่างตบลงบนไหล่เขา ไดแอซเริ่มหน้าซีด “ถ้าหันไปแล้วมันงับหัวข้าจะทำไงอ่ะ” ในมโนภาพของเด็กหนุ่มข้างหลังเขาคงเป็นตัวอะไรสักอย่างกำลังแยกเขี้ยว พร้อมงับเหยื่อได้ทุกเมื่อ “ไม่หรอก ถ้าข้าอัดมันบางทีนะ
..”
เปรี้ยง!!!!
เด็กหนุ่มหลับหูหลับตาหันกลับไปประเคนกำปั้นใส่อะไรบางอย่างที่อยู่ข้างหลังเต็มแรง เจ้าตัวดีหลับตาปี๋แล้วแหกปากต่อ “อย่ากินข้าเลยนะ เนื้อข้าน้อยอ่ะ แบบว่ามันก็
..”
ไดแอซ
“เสียงคุ้นจังเลย
..ใครหว่า”
“แกต่อยข้าทำไม๊” เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาดู พบว่าไอ้ที่ออกหมัดเต็มแรงอัดไปเมื่อสักครู่เป็นเวสที่มาสะกิดเรียกเขาจากด้านหลังนั่นเอง และตอนนี้ชายหนุ่มกำลังนั่งจุกแอ๊กอยู่เสียด้วย
“ข้าขอโท๊ด” เด็กหนุ่มทำหน้าตาตื่นสปริงตัวขึ้น วิ่งเข้าไปลูบหน้าลูบหลังเวสอย่างรวดเร็ว “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า? มีชิ้นส่วนหลุดหายไปบ้างไหม?” ไดแอซแสดงทีท่าห่วงใยเต็มที่ เวสจะพูดก็พูดไม่ออก จะด่าก็ด่าไม่ได้เพราะจุก เลยได้แต่ขยับปากขมุบขมิบ แล้วทำหน้าหงิกเป็นใบไม้ติดโรค
ความมืดเริ่มเข้าครอบคลุมอากาศรอบตัวของทั้งสอง ตามมาด้วยลมหนาว เด็กหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็รีบลากกึ่งพยุงอีกฝ่ายที่ตัวค่อนข้างสูงกว่าขึ้น แต่แล้วเจ้าตัวก็ตระหนักได้ว่า “ข้ายังไม่รู้เลยว่าเวสมาจากทางไหน แล้วจะกลับไปถูกได้ไงเนี่ย”
“ห้อง
..พยา
.บาล
..”
“หา?”
เสียงยืดและเบา จนไดแอซต้องเอียงหูเข้าไปหาคนตัวสูงกว่า ซึ่งเจ้าตัวยังคงมีความพยายามย้ำคำเดิม
“ทางไหนอ่ะ เลี้ยวซ้ายหรือขวา?” เด็กหนุ่มถามอีก “ซ้าย
.” เขาเดินเลี้ยวไปทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก “ซ้ายว้อย
.ซ้าย” เวสย้ำอีก เด็กหนุ่มเริ่มทำท่างงบ้าง “แกจะเลี้ยวมาทางขวาทำมาย
.” ไดแอซรีบเดินกลับ
ไปหาทางที่ถูกต้อง
คบไฟตามโถงทางเดินติดพรึบขึ้นพร้อมๆกัน เงาบนพื้นไหวไปมาดูคล้ายกำลังเต้นระบำ เขาเดินไปเรื่อยๆตามคำสั่งของคนเจ็บ และหลังจากต้องเลี้ยวๆถอยๆ มาหลายครั้ง เนื่องจากไดแอซเกิดอาการสับสนทิศทางกระทันหัน จนเมื่อแสงอาทิตย์สุดท้ายลาลับไปเด็กหนุ่มก็ถ่อสังขารลากพาเวสมาถึงห้องพยาบาลได้ในที่สุด
แฮ่กๆๆ
เจ้าตัวถึงกับลิ้นห้อยเพราะอีกฝ่ายหนักไม่ใช่เล่น อย่างกับเอาก้อนหินสักถุงใหญ่มาให้เขาแบกก็ไม่ปาน ทันทีที่แพทย์ในนั้นมาช่วยพยุงเวสไป เด็กหนุ่มเกิดอาการเข่าอ่อนแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นทีเดียว ก็บอกแล้วว่าเวสน่ะตัวหนัก
“ข้าจะไม่ชกอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว”
เด็กหนุ่มโผลเผล่ไปหามาร์คัสที่เตียง “เป็นยังไงบ้าง?” ชายหนุ่มถามกลั้วหัวเราะ หลังจากอีกฝ่ายนั่งแปะลงอย่างหมดสภาพบนเตียงข้างๆกัน ด้วยเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มและเพื่อนรัก “ท่านยังจะมีหน้ามาหัวเราะอีก ข้าไหล่จะหักแขนจะบิดแล้วรู้ไหม” เด็กหนุ่มบ่น “เกิดอะไรขึ้นล่ะ?” ไดแอซตั้งต้นเล่าความซึ่งถูกเจ้าตัวแอบตอกไข่ใส่สีผสมผักชีเล็กๆน้อยเสริมความอร่อยให้คนบนเตียงฟัง
ครั้นเล่าไปถึงกลางเรื่องฟูกบนเตียงที่เขานั่งอยู่ยุบตัวลง “เจ้าเล่าถึงตอนไหนแล้วเหรอ ข้ามาไม่ทันฟัง” เสียงเย็นเยียบจับขั้วหัวใจเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลกดังขึ้นข้างหูไดแอซ “ง่า..” เด็กหนุ่มถอยไปชิดอีกด้านของเตียงทันที “เวส
มาแล้วหรือ” มาร์คัสหันไปถามเพื่อน
“เป็นไงบ้าง”
“จุกสิวะ ถามมาได้”
หึหึ. มาร์คัสหัวเราะเป็นรอบที่สองของวัน ขณะที่เวสหันไปจ้องคู่กรณีตาเขียวปั๊ดอย่างพร้อมถล่มได้ทุกเมื่อ ไดแอซเห็นว่าตนเองคงไม่ปลอดภัยเป็นแน่แท้จึงย่องไปหลบหลังมาร์คัสหวังใช้ชายหนุ่มเป็นที่กำบัง และแล้วสงครามเย็นระหว่างเวสและไดแอซได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยใช้ห้องพยาบาลเป็นสมรภูมิ
“หายดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ยาอะไรหรอก” แพทย์คนเดิมเวียนมาตรวจมาร์คัสอีกครั้ง ในห้องพยาบาลยังคงครึกครื้นด้วยยังเหลือผู้ป่วยอีกค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่มีใครเป็นอะไรใหญ่โต จึงเพียงรอแพทย์กลับมาตรวจซ้ำอีกครั้งและเริ่มทยอยกันออกไป
ชายหนุ่มจัดการสลัดไดแอซที่เกาะอยู่ข้างหลังแล้วลุกขึ้น โค้งให้ผู้มาตรวจเป็นการขอบคุณ “เอ้า!! ไปกันได้แล้ว หรือว่าคืนนี้พวกเจ้าจะนอนที่นี่” ชายหนุ่มเดินออกไปโดยไม่รอฟังเสียงใคร ทั้งเวสทั้งไดแอซจึงสงบศึกชั่วคราวแล้วรีบตามอีกฝ่ายออกไป
ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาตามโถงทางเดินพาเอาเสียงดนตรีเบาๆมาพร้อมกัน ไดแอซเงี่ยหูฟังด้วยความสงสัย “จริงสิ! คืนนี้มีงานรับเหมันต์นี่นา” เวสเอ่ยขึ้น “นั่นสิ” มาร์คัสพูดพลางหาวพลาง
ดวงแสงเล็กๆดวงหนึ่งลอยวูบผ่านหน้าเด็กหนุ่มซึ่งกำลังเดินตามหลังทั้งคู่ไป เจ้าตัวจ้องตากลมโตอย่างประหลาดใจ แล้วลองเอามือคว้าจับดู “ง่า
.” มือเขาสัมผัสได้แค่เพียงอากาศว่างเปล่า เด็กหนุ่มลองอีกครั้งแต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นเช่นเดิม
เวสหันมาเห็นเข้าพอดี “ไม่ต้องจับหรอกไดแอซ มันเป็นแค่เกสรดอกไม้น่ะ” เด็กหนุ่มทำหน้างงแต่ก็เลิกไล่จับเกสรที่ส่องแสงแวบๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางสนใจชายหนุ่มเลยอธิบายให้ฟัง “ผสมเวท เลยออกมาวับๆแวมๆอย่างที่เห็น สวยใช่ไหม เป็นสัญลักษณ์ของงานนี้เลย”
“คงปลิวออกมาจากบริเวณงานสินะ” มาร์คัสว่าเมื่อมีวงแสงเพิ่มมาอีกหลายวง ห้อมล้อมตัวพวกเขาเหมือนหิ่งห้อยตัวจ้อยในหน้าร้อน “ชักอยากเห็นขบวนแห่เสียแล้ว” ชายหนุ่มหันไปหาผู้เป็นเพื่อน “นั่นสิ ข้าคิดถึงสมัยเรียนจัง ยิ่งที่มินคาร์ย่าเป็นคนถือช่อดอกไม้ สวยอย่าบอกใครเชียว....”
“ไปกันเถอะไดแอซ อย่าไปใส่ใจเลย ไอ้เจ้าเวสมันกำลังรำพันถึงนางในดวงใจอยู่” มาร์คัสลอยหน้าลอยตาเอาเรื่องในอดีตมาแจกแจงกับเด็กหนุ่มและยังทำท่าจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มอีกด้วย “อย่างกับนางฟ้านางสวรรค์แน่ะ” อีกฝ่ายยังคงพร่ำไม่เลิก ชายหนุ่มเห็นเพื่อนเป็นเอาหนักเลยลากไดแอซเดินดุ่มๆไปทิ้งให้เวสพูดอยู่คนเดียวจน
.
“รอด้วยสิ ใจคอจะทิ้งข้ารึไง”
*******************
พวกเขาเดินออกมาจนถึงบริเวณหน้าวิทยาลัยซึ่งประดับประดาด้วยโคมไฟฉลุลวดลายหลากสีสัน ร้านร่วงมากมายเต็มไปด้วยผู้คนที่พากันออกมาท้าลมหนาวเพื่อเฉลิมฉลองให้กับฤดูใหม่ที่กำลังย่างกรายเข้ามา ไดแอซ มองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ ดวงแสงที่เขาเห็นเมื่อครู่ลอยละล่องอยู่ทั่วไปในอากาศ ดูราวกับภาพฝันอันงดงาม
“แล้วคนถือช่อดอกไม้นี่อะไรหรือครับ” ไดแอซถามเรื่องที่ยังค้างคาใจต่อ “เป็นสาวบริสุทธิ์ ที่คัดเลือกมาจากคนในเมือง ผลัดเปลี่ยนกันไปทุกๆปี จะเป็นผู้ถือช่อดอกไม้ช่อแรกของฤดูหนาวเพื่อนำไปถวายแด่เทพธิดาหิมะ เป็นประเพณีของแพนเทียที่ปฏิบัติต่อกันมาเป็นร้อยๆปีแล้ว จะมีพิธีอย่างนี้เหมือนกันทุกเมืองล่ะ อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็นเอง”
พวกเขาเลือกจับจองมานั่งในทำเลที่ค่อนข้างดีของถนนซึ่งพาดผ่านจากหน้าวิทยาลัยออกสู่ตัวเมือง ด้วยว่าขบวนนี้จะเริ่มตั้งแต่วิทยาลัยและไปสิ้นสุดที่จตุรัสนางฟ้าอันมีรูปปั้นของเทพธิดาทั้งสิบสององค์ประดับอยู่ ระหว่างนั้นเวสหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ทิ้งให้ไดแอซกับมาร์คัสคุยกันอยู่สองคน แว่วเสียงประกาศบอกเวลาเริ่มการเคลื่อนขบวนให้ทุกคนรับทราบ
“อีกตั้งชั่วโมงหนึ่งแน่ะ” ไดแอซอุบอิบหลังทิ้งตัวลงนั่งแล้วยืดแข้งยืดขาเต็มม้านั่ง “เวสมันก็จริงๆเชียวแอบแวบไปไหนก็ไม่รู้” มาร์คัสบ่นบ้าง ก่อนจะเขี่ยๆไดแอซให้ขยับไปอีกทางแล้วนั่งลง ร้านเยอะจังเลยนะ ไดแอซพยายามนับจำนวนร้าน “ร้านนี่ยาวไปจนถึงจตุรัสนางฟ้าที่มีพิธีเลยล่ะ เดินกันขาลากทีเดียว” มาร์คัสเอ่ยขึ้น
ลมหนาวพัดมาวูบหนึ่งหอบเอากลิ่นหอมหวานอย่างประหลาดโชยมาแตะจมูก ชายหนุ่มมองหาที่มาของกลิ่นด้วยความประหลาดใจ ก็ตรงที่ๆพวกเขานั่งอยู่ไม่มีดอกไม้เลยแม้แต่ดอกเดียว รัศมีโดยรอบอีก5เมตรก็ยังไม่มี แล้วกลิ่นที่ว่านี้มาจากไหนกัน
ชายหนุ่มหันไปหาไดแอซหมายจะถาม แต่ฝ่ายนั้นยังคงมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาและไม่มีทีท่าว่าจะได้กลิ่นอะไรแปลกปลอมเสียด้วยซ้ำ
มาร์คัสเหลือบไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน เธออยู่ในชุดขาวบริสุทธิ์ยาวกรอมเท้าอย่างสตรีผู้ทรงศักดิ์ ชายแขนเสื้อบางเบาทิ้งตัวลงมาดุจปีกผีเสื้อ เสื้อคลุมขนสัตว์สีเดียวกันปักเลื่อมส่องประกายวิบวับ บนเรือนผมสีทองอ่อนสุกใสประดับประดาด้วยอัญมณีเลอค่า รับกับใบหน้าหวานละมุน ชายหนุ่มจ้องหญิงสาวผู้นั้นตาแทบไม่กระพริบ ดูเหมือนเธอจะหันมายิ้มให้เสียด้วย
“ไดแอซ” ชายหนุ่มสะกิดเรียกคนข้างตัวโดยที่ยังจับจ้องหญิงสาว “อะไร?” เด็กหนุ่มหันมาถามอย่างงงๆ “ดูนั่นสิ! เห็นอะไรไหม” ไดแอซจึงรีบมองตามที่มาร์คัสชี้ไป “ก็ฝูงชนไง ถามมาได้” เมื่อหันมามองเด็กหนุ่ม ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นมองไปตามที่เขาชี้จริง “ไม่เห็นอะไรเลยหรือ
.”
เมื่อชายหนุ่มหันกลับไปอีกครั้งพบว่าหญิงสาวผู้นั้นได้อันตธานไปเสียแล้ว “สงสัยข้าจะเบลอเสียแล้ว ไอ้กลิ่นนั่นคงตามมาหลอนเป็นแน่” มาร์คัสเกาหัวแกร๊กๆ “เป็นอะไรหรือเปล่า” ไดแอซจ้องชายหนุ่มเขม็ง “เปล่า
”
“มาแล้ว”
“หายไปไหนตั้งนานหา” มาร์คัสรีบหันไปต่อว่าเพื่อนทันที “โอ๋ๆ ข้าหายไปแค่นี้ทำเป็นโกรธ นี่ช่วยถือหน่อยสิ” ไดแอซรับถุงกระดาษและห่อของที่เวสหอบมา เอาไว้จนล้นสองแขนและยังต้องแบ่งบางส่วนมาให้ชายหนุ่มช่วยถือ “ซื้ออะไรมามากมาย” มาร์คัสทึ่งกับความสามารถหอบหิ้วของพะรุงพะรังเดินไปเดินมาจนทั่วงานของอีกฝ่าย
“วันนี้ใช้พลังงานไปเยอะ มันต้องมีชดเชย” เวสบอกพลางหาที่ว่างนั่งลงแล้วเริ่มแกะถุงอันที่ใกล้มือท่ามกลางความสนใจของมาร์คัสและไดแอซ ชายหนุ่มดึงเอาแอปเปิลเขียวออกมาผลหนึ่ง แต่ถ้าหากจะเรียกว่าแอปเปิลเขียวอย่างเดียวก็ดูจะธรรมดาไปสักเล็กน้อย เพราะแอปเปิลห่อกระดาษบางที่อยู่ในมือเวสนั้นถูกเคลือบด้วยอะไรบางอย่างที่ออกสีน้ำตาลอ่อนและยังโรยด้วยผลไม้แห้งหั่นเป็นชิ้นอีก
“แอปเปิลชุบคาราเมลนี่นา” มาร์คัสเลิกสนใจอย่างอื่นรีบเอื้อมมือไปคว้าถุงข้างตัวเวสมาทันที ไดแอซซึ่งเป็นคนกลางหันซ้ายทีขวาทีด้วยความสงสัย “จะช่วยบอกอะไรข้าบ้างได้ไหม”
“เอ้า” มาร์คัสหยิบแอปเปิลผลหนึ่งมาวางในมือของเด็กหนุ่ม เจ้าตัวยกมันขึ้นมาจ่อจนแทบติดลูกตาแล้วหมุนซ้ายหมุนขวาก่อนจะแกะห่อแล้วหยิบขึ้นมาลองชิม “อร่อยจัง!”
“ของโปรดเลยรู้ไหม ตอนอยู่ที่วิทยาลัยข้าซื้อกินมันทุกวันเลย” เวสบอก “อ้ายเอย” มาร์คัสที่กำลังเคี้ยวแอปเปิลตุ้ยๆ เห็นด้วย
แป๊น แป๊น แป๊น
เสียงแตรทำนองแปลกๆแผดลั่นเรียกความสนใจจากทุกคนในงาน และตอนนี้สองฟากถนนเริ่มหนาตาไปด้วยผู้คนซึ่งมารอชมขบวนอันตระการตา “ขบวนจะมาแล้ว” มาร์คัสสะกิดเรียกไดแอซให้ลุกพร้อมๆกับที่คนรอบกายส่งเสียงเฮขึ้น
“ดูนั่นสิ!!!”
ทุกใบหน้าแหงนเงยขึ้นมองไปบนท้องฟ้า ไดแอซแหงนมองตาม มังกรสีขาวสะอาดสองตัวสยายปีกบินเคียงคู่กันโดยมีฉากหลังเป็นดวงดารากระพริบแสงวับๆ
“มังกรอ่ะ
”
“สัตว์อสูรพันธุ์พิเศษ เป็นพาหนะของจอมปราชญ์”
แล้วมังกรอีกสี่ตัวก็ทะยานออกมาสมทบ พวกมันบินวนอยู่เหนือศรีษะพร้อมกับโปรยกระดาษสีมากมายลงมาคล้ายหิมะ และ
.
“เวสระวัง!!”
มาร์คัสกระชากตัวเด็กหนุ่มผู้กำลังเพลิดเพลินกับกระดาษสีต่างๆเข้ามาหาตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเมื่อครู่เขาสังเกตเห็นว่ามีวัตถุแปลกปลอมบางอย่างกำลังลอยละลิ่วลงมาจากมังกรหนึ่งในหกตัว โดยมีพวกเขาเป็นเป้าหมาย
เวสกางม่านพลังรับไว้ได้อย่างเฉียดฉิว วัตถุที่ว่าคือน้ำแข็งก้อนใหญ่เบอเริ้ม เจ้าก้อนน้ำแข็งที่ว่าเมื่อกระทบเข้ากับม่านพลังก็กลายสภาพเป็นหยดน้ำพรูเข้าใส่เวสเสียจนเปียกชุ่มไปทั่วตัว ชายหนุ่มผู้มีสภาพเป็นลูกหมาตกน้ำทำหน้าแปลก มาร์คัสและไดแอซที่ยืนอยู่ข้างๆจึงรีบทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ทันที
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปทันเห็นมังกรสีขาวตัวหนึ่งโฉบต่ำลงมา และถ้าเขาตาไม่ฝาดละก็ ดูเหมือนว่าเจ้ามังกรรวมถึงคนบนหลังจะมีสีหน้าพออกพอใจอย่างมากเสียด้วย
“ท่านวาริดนะ ท่านวาริด” เวสกัดฟันกรอด “คอยดูเถอะพรุ่งนี้ข้าจะบุกหอคอยไปถล่มท่านถึงห้องเลย ฮัดชิ้ว
.” ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมหนาของผู้ใช้เวทที่ชุ่มน้ำออก เหลือเพียงเชิ้ตบางสีขาวซึ่งเต็มไปด้วยแผ่นโคลนที่ละลายเปรอะ เป็นที่น่าอนาจใจแก่ผู้พบเห็นและคนข้างตัวอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะออกมา เพียงหันไปซุบซิบพลางมองดูพลางชายหนุ่มเท่านั้น ไดแอซจึงถอดเสื้อนอกของตนออกแล้วคลุมให้เวสที่ยืนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
เสียงเพลงบรรเลงท่วงทำนองอันเยือกเย็นอย่างฤดูหนาวสะท้อนก้องไปในอากาศ พร้อมกับขบวนธงแห่งจอมปราชญ์ซึ่งคณาจารย์ของวิทยาลัยเป็นผู้ถือเดินนำออกมา ทุกคนพากันส่งเสียงเฮลั่นอีกครั้งเป็นการต้อนรับขบวน มาร์คัสเองก็พยายามมองหามอเดรส ซึ่งดูเหมือนว่าจะเห็นแวบๆตรงกลางแถว ตามมาด้วยขบวนดนตรีพื้นเมืองที่ต่อท้ายด้วยนักเต้นรำแถวยาวเหยียด บางคนนึกสนุกเดินเข้าไปร่วมด้วยก็มี
ขบวนที่สามเป็นเด็กในชุดคล้ายภูตพรายถือโคมไฟเดินนำเหล่าเด็กสาวผู้แต่งตัวเป็นนางฟ้านางพราย รายล้อมออบซิเดียนสีขาวปลอดสวมบังเหียนประดับด้วยกระพรวนเงินส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง จุดเด่นของงานนี้นั่งอยู่บนหลังออบซิเดียนตัวที่ว่า
หญิงสาวในชุดกระโปรงลูกไม้สีขาว เรือนผมสีทองอ่อนคลุมผ้าสีขาวบางยาวและประดับด้วยมงกุฎสีเงินอันจิ๋ว ในอ้อมแขนมีช่อดอกไม้สีขาวอมชมพู
“สวยจัง” เวสมองตาไม่กระพริบ เมื่อหญิงสาวหันมายิ้มให้พวกเขา มาร์คัสถึงกับชะงัก ใบหน้าของเธอเหมือนกับหญิงสาวคนที่เขาเห็นเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนชั่วโมงก่อนไม่มีผิด สมองของชายหนุ่มประมวลผลกลับไปกลับมาหลายสิบตลบ จนเจ้าตัวออกอาการมึนตึ๊บ
“มาร์คัส” เวสหันมาสะกิดชายหนุ่มที่กำลังจ้องตาค้างอยู่จนเหล่านางฟ้าเคลื่อนตัวผ่านไป “เจ้าชอบนางละสิ” ชายหนุ่มเริ่มจ้องหน้าเพื่อน “เปล่านี่” อีกฝ่ายปฏิเสธด้วยท่าทางเฉยๆไม่ทุกข์ร้อน “เก็บข้าวของได้แล้ว” มาร์คัสออกคำสั่ง เมื่อเหล่าองค์รักษ์ในชุดเกราะเต็มยศบนหลังม้าผ่านหน้าพวกเขาไป
“หาวๆๆ กลับไปนอนกันดีกว่า” ไดแอซพูดขึ้นอย่างไม่สนใจใครทั้งนั้น “ไม่ไปดูพิธีที่จตุรัสนางฟ้าหรือ” เวสถามเด็กหนุ่ม เจ้าตัวส่ายหน้าดิกๆแทนคำตอบด้วยง่วงจัด “เจ้าก็ช่วยข้าถือหน่อยสิ” เวสทำท่าจะยัดห่อกระดาษใส่มือเด็กหนุ่ม
“ข้าง่วงแล้วอ่ะ”
“ช่วยข้าถือของก่อน”
“ข้าอยากนอนแล้วนะ”
เวสจนใจเพราะดูเหมือนยิ่งพูดยิ่งไปกันคนละทาง เลยยัดห่อของใส่มือมาร์คัสซึ่งรายก็นี้มีทีท่าเหมือนคิดอะไรไม่ตกอยู่ ชายหนุ่มจัดการบิดเสื้อคลุมที่เปียกชุ่มแล้วพาดแขน ฝูงชนสองตามสองข้างทางทยอยกันสลายตัว มีบางกลุ่มเดินตามหลังขบวนแห่ไป
เหมันต์เข้ามาเยี่ยมเยือนซามานน่าแล้ว ลมหนาวค่อยๆพัดแรงขึ้น ทั้งสามเดินเงียบๆกลับที่พัก วันนี้มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน
----------------------------------
ได้ฤกษ์อัพแล้วล่ะ ตอนนี้ขอนำเสนอแอปเปิลเขียวชุบคาราเมล อร่อยมากๆเลย แต่ราคาก็แพงเป็นเงาตามตัวซื้อกินลูกนึ่งทรัพย์จากไปหลายวันT-T ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามน๊า
ความคิดเห็น