ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #7 : เหมันต์มาเยือน

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ย. 49


          ท่ามกลางความฝันที่มืดมิด  ไร้ซึ่งสรรพเสียงอันใด  ปรากฏดวงแสงเล็กจ้อยดวงหนึ่ง  แสงนั้นขยายใหญ่ขึ้นทีละน้อย  ภาพบางอย่างวาบขึ้นตรงหน้าของเด็กหนุ่ม  ท้องทะเลสีครามสะท้อนประกายวิบวับกับแดดจ้า เมฆสีขาวลอยฟ่องอยู่เต็มฟ้า  และผืนดิน………..
     
        โอ๊ย!!!  เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่น ภาพทั้งหมดหายวับไปในฉับพลัน  “เกิดอะไรขึ้น  นี่ข้าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ..…”   ไดแอซขยี้ตา  “เฮ้ย!….. ร้อน”  เจ้าตัวรีบเลิกแขนเสื้อขึ้นดู พบว่ากำไลเงินที่มาร์คัสให้มานั้นกำลังเรืองแสงอ่อนจาง  เขามองมันด้วยความสงสัย  
     
         ไดแอซรู้สึกว่าลานทดสอบมัน….เงียบผิดปกติ  เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปดูพบว่า  ท่ามกลางแสงอาทิตย์สีชมพูอมส้มของยามเย็นย่ำนั้น  วงกตตรงหน้าหายไปไหนไม่รู้เสียแล้ว  เหลือเพียงลานโล่งกว้างและอัฒจันทร์อันร้างไร้ผู้คน  มีเพียงเจ้าหน้าที่กลุ่มเล็กๆกำลังจัดการกับขยะต่างๆอยู่ที่ชั้นบนสุดเท่านั้น  
     
         “อ่า…..วงกตหายไปไหนแล้วอ่ะ”   เด็กหนุ่มงงเป็นที่สุด  “หรือว่าข้ายังไม่ตื่น  ต้องฝันอยู่แน่ๆเลย”  ว่าแล้วเจ้าตัวก็ลองหยิกแขนตัวเองเต็มแรงเพื่อเป็นการทดสอบ  “จ๊าก!!!…….. เจ็บแฮะ  ทีนี้ข้าจะทำไงดี  กำลังจะมืดแล้วด้วย”  เด็กหนุ่มเริ่มจินตนาการว่าสัตว์อสูรตามภาพที่เห็นจากในวงกต  ออกมาเดินป้วนเปี้ยนน้ำลายยืดน้ำลายย้อยหาเหยื่ออยู่  มีผีตัวใสๆโปร่งแสงลอยไปลอยมา  แล้วยังยมฑูตถือเคียวคอยบั่นหัวคนเพื่อดื่มเลือดสดๆ 
     
         แปะ!
     
         อะไรบางอย่างตบลงบนไหล่เขา  ไดแอซเริ่มหน้าซีด “ถ้าหันไปแล้วมันงับหัวข้าจะทำไงอ่ะ” ในมโนภาพของเด็กหนุ่มข้างหลังเขาคงเป็นตัวอะไรสักอย่างกำลังแยกเขี้ยว พร้อมงับเหยื่อได้ทุกเมื่อ  “ไม่หรอก  ถ้าข้าอัดมันบางทีนะ……..”   
     
         เปรี้ยง!!!!
     
         เด็กหนุ่มหลับหูหลับตาหันกลับไปประเคนกำปั้นใส่อะไรบางอย่างที่อยู่ข้างหลังเต็มแรง  เจ้าตัวดีหลับตาปี๋แล้วแหกปากต่อ  “อย่ากินข้าเลยนะ  เนื้อข้าน้อยอ่ะ  แบบว่ามันก็……..”
     
         ไดแอซ
     
         “เสียงคุ้นจังเลย…..ใครหว่า”
     
         “แกต่อยข้าทำไม๊”   เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาดู พบว่าไอ้ที่ออกหมัดเต็มแรงอัดไปเมื่อสักครู่เป็นเวสที่มาสะกิดเรียกเขาจากด้านหลังนั่นเอง  และตอนนี้ชายหนุ่มกำลังนั่งจุกแอ๊กอยู่เสียด้วย
     
         “ข้าขอโท๊ด”  เด็กหนุ่มทำหน้าตาตื่นสปริงตัวขึ้น  วิ่งเข้าไปลูบหน้าลูบหลังเวสอย่างรวดเร็ว  “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?  มีชิ้นส่วนหลุดหายไปบ้างไหม?”  ไดแอซแสดงทีท่าห่วงใยเต็มที่  เวสจะพูดก็พูดไม่ออก จะด่าก็ด่าไม่ได้เพราะจุก เลยได้แต่ขยับปากขมุบขมิบ แล้วทำหน้าหงิกเป็นใบไม้ติดโรค
     
         ความมืดเริ่มเข้าครอบคลุมอากาศรอบตัวของทั้งสอง ตามมาด้วยลมหนาว เด็กหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็รีบลากกึ่งพยุงอีกฝ่ายที่ตัวค่อนข้างสูงกว่าขึ้น แต่แล้วเจ้าตัวก็ตระหนักได้ว่า “ข้ายังไม่รู้เลยว่าเวสมาจากทางไหน แล้วจะกลับไปถูกได้ไงเนี่ย”
     
         “ห้อง…..พยา…….บาล…..”
     
         “หา?”
     
         เสียงยืดและเบา จนไดแอซต้องเอียงหูเข้าไปหาคนตัวสูงกว่า  ซึ่งเจ้าตัวยังคงมีความพยายามย้ำคำเดิม
    “ทางไหนอ่ะ เลี้ยวซ้ายหรือขวา?”  เด็กหนุ่มถามอีก  “ซ้าย….”  เขาเดินเลี้ยวไปทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก  “ซ้ายว้อย ….ซ้าย”  เวสย้ำอีก เด็กหนุ่มเริ่มทำท่างงบ้าง “แกจะเลี้ยวมาทางขวาทำมาย….” ไดแอซรีบเดินกลับ
    ไปหาทางที่ถูกต้อง  

          คบไฟตามโถงทางเดินติดพรึบขึ้นพร้อมๆกัน  เงาบนพื้นไหวไปมาดูคล้ายกำลังเต้นระบำ  เขาเดินไปเรื่อยๆตามคำสั่งของคนเจ็บ  และหลังจากต้องเลี้ยวๆถอยๆ มาหลายครั้ง เนื่องจากไดแอซเกิดอาการสับสนทิศทางกระทันหัน  จนเมื่อแสงอาทิตย์สุดท้ายลาลับไปเด็กหนุ่มก็ถ่อสังขารลากพาเวสมาถึงห้องพยาบาลได้ในที่สุด 

          แฮ่กๆๆ  
     
        เจ้าตัวถึงกับลิ้นห้อยเพราะอีกฝ่ายหนักไม่ใช่เล่น อย่างกับเอาก้อนหินสักถุงใหญ่มาให้เขาแบกก็ไม่ปาน ทันทีที่แพทย์ในนั้นมาช่วยพยุงเวสไป  เด็กหนุ่มเกิดอาการเข่าอ่อนแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นทีเดียว  ก็บอกแล้วว่าเวสน่ะตัวหนัก
     
         “ข้าจะไม่ชกอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว”
     
         เด็กหนุ่มโผลเผล่ไปหามาร์คัสที่เตียง  “เป็นยังไงบ้าง?”  ชายหนุ่มถามกลั้วหัวเราะ  หลังจากอีกฝ่ายนั่งแปะลงอย่างหมดสภาพบนเตียงข้างๆกัน ด้วยเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มและเพื่อนรัก “ท่านยังจะมีหน้ามาหัวเราะอีก  ข้าไหล่จะหักแขนจะบิดแล้วรู้ไหม”  เด็กหนุ่มบ่น  “เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”  ไดแอซตั้งต้นเล่าความซึ่งถูกเจ้าตัวแอบตอกไข่ใส่สีผสมผักชีเล็กๆน้อยเสริมความอร่อยให้คนบนเตียงฟัง  
     
         ครั้นเล่าไปถึงกลางเรื่องฟูกบนเตียงที่เขานั่งอยู่ยุบตัวลง  “เจ้าเล่าถึงตอนไหนแล้วเหรอ ข้ามาไม่ทันฟัง”  เสียงเย็นเยียบจับขั้วหัวใจเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลกดังขึ้นข้างหูไดแอซ  “ง่า..”  เด็กหนุ่มถอยไปชิดอีกด้านของเตียงทันที  “เวส…มาแล้วหรือ”   มาร์คัสหันไปถามเพื่อน  
     
         “เป็นไงบ้าง”  
     
        “จุกสิวะ ถามมาได้”
     
         หึหึ.  มาร์คัสหัวเราะเป็นรอบที่สองของวัน  ขณะที่เวสหันไปจ้องคู่กรณีตาเขียวปั๊ดอย่างพร้อมถล่มได้ทุกเมื่อ  ไดแอซเห็นว่าตนเองคงไม่ปลอดภัยเป็นแน่แท้จึงย่องไปหลบหลังมาร์คัสหวังใช้ชายหนุ่มเป็นที่กำบัง  และแล้วสงครามเย็นระหว่างเวสและไดแอซได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยใช้ห้องพยาบาลเป็นสมรภูมิ
     
         “หายดีแล้ว  ไม่จำเป็นต้องให้ยาอะไรหรอก”  แพทย์คนเดิมเวียนมาตรวจมาร์คัสอีกครั้ง  ในห้องพยาบาลยังคงครึกครื้นด้วยยังเหลือผู้ป่วยอีกค่อนข้างมาก  แต่ก็ไม่มีใครเป็นอะไรใหญ่โต จึงเพียงรอแพทย์กลับมาตรวจซ้ำอีกครั้งและเริ่มทยอยกันออกไป  

         ชายหนุ่มจัดการสลัดไดแอซที่เกาะอยู่ข้างหลังแล้วลุกขึ้น  โค้งให้ผู้มาตรวจเป็นการขอบคุณ “เอ้า!! ไปกันได้แล้ว  หรือว่าคืนนี้พวกเจ้าจะนอนที่นี่”   ชายหนุ่มเดินออกไปโดยไม่รอฟังเสียงใคร  ทั้งเวสทั้งไดแอซจึงสงบศึกชั่วคราวแล้วรีบตามอีกฝ่ายออกไป

         ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาตามโถงทางเดินพาเอาเสียงดนตรีเบาๆมาพร้อมกัน  ไดแอซเงี่ยหูฟังด้วยความสงสัย  “จริงสิ! คืนนี้มีงานรับเหมันต์นี่นา”  เวสเอ่ยขึ้น  “นั่นสิ”  มาร์คัสพูดพลางหาวพลาง
     ดวงแสงเล็กๆดวงหนึ่งลอยวูบผ่านหน้าเด็กหนุ่มซึ่งกำลังเดินตามหลังทั้งคู่ไป  เจ้าตัวจ้องตากลมโตอย่างประหลาดใจ  แล้วลองเอามือคว้าจับดู  “ง่า….”  มือเขาสัมผัสได้แค่เพียงอากาศว่างเปล่า  เด็กหนุ่มลองอีกครั้งแต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นเช่นเดิม    
     
         เวสหันมาเห็นเข้าพอดี  “ไม่ต้องจับหรอกไดแอซ  มันเป็นแค่เกสรดอกไม้น่ะ”  เด็กหนุ่มทำหน้างงแต่ก็เลิกไล่จับเกสรที่ส่องแสงแวบๆ  เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางสนใจชายหนุ่มเลยอธิบายให้ฟัง “ผสมเวท เลยออกมาวับๆแวมๆอย่างที่เห็น  สวยใช่ไหม เป็นสัญลักษณ์ของงานนี้เลย”
     
         “คงปลิวออกมาจากบริเวณงานสินะ”  มาร์คัสว่าเมื่อมีวงแสงเพิ่มมาอีกหลายวง ห้อมล้อมตัวพวกเขาเหมือนหิ่งห้อยตัวจ้อยในหน้าร้อน  “ชักอยากเห็นขบวนแห่เสียแล้ว”  ชายหนุ่มหันไปหาผู้เป็นเพื่อน  “นั่นสิ  ข้าคิดถึงสมัยเรียนจัง  ยิ่งที่มินคาร์ย่าเป็นคนถือช่อดอกไม้  สวยอย่าบอกใครเชียว....” 
     
         “ไปกันเถอะไดแอซ  อย่าไปใส่ใจเลย  ไอ้เจ้าเวสมันกำลังรำพันถึงนางในดวงใจอยู่”  มาร์คัสลอยหน้าลอยตาเอาเรื่องในอดีตมาแจกแจงกับเด็กหนุ่มและยังทำท่าจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มอีกด้วย  “อย่างกับนางฟ้านางสวรรค์แน่ะ”  อีกฝ่ายยังคงพร่ำไม่เลิก  ชายหนุ่มเห็นเพื่อนเป็นเอาหนักเลยลากไดแอซเดินดุ่มๆไปทิ้งให้เวสพูดอยู่คนเดียวจน…….
     
         “รอด้วยสิ  ใจคอจะทิ้งข้ารึไง”

                                                                          *******************


          พวกเขาเดินออกมาจนถึงบริเวณหน้าวิทยาลัยซึ่งประดับประดาด้วยโคมไฟฉลุลวดลายหลากสีสัน  ร้านร่วงมากมายเต็มไปด้วยผู้คนที่พากันออกมาท้าลมหนาวเพื่อเฉลิมฉลองให้กับฤดูใหม่ที่กำลังย่างกรายเข้ามา ไดแอซ มองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ  ดวงแสงที่เขาเห็นเมื่อครู่ลอยละล่องอยู่ทั่วไปในอากาศ  ดูราวกับภาพฝันอันงดงาม
     
         “แล้วคนถือช่อดอกไม้นี่อะไรหรือครับ”  ไดแอซถามเรื่องที่ยังค้างคาใจต่อ  “เป็นสาวบริสุทธิ์ ที่คัดเลือกมาจากคนในเมือง  ผลัดเปลี่ยนกันไปทุกๆปี จะเป็นผู้ถือช่อดอกไม้ช่อแรกของฤดูหนาวเพื่อนำไปถวายแด่เทพธิดาหิมะ  เป็นประเพณีของแพนเทียที่ปฏิบัติต่อกันมาเป็นร้อยๆปีแล้ว  จะมีพิธีอย่างนี้เหมือนกันทุกเมืองล่ะ อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็นเอง”      
     
         พวกเขาเลือกจับจองมานั่งในทำเลที่ค่อนข้างดีของถนนซึ่งพาดผ่านจากหน้าวิทยาลัยออกสู่ตัวเมือง  ด้วยว่าขบวนนี้จะเริ่มตั้งแต่วิทยาลัยและไปสิ้นสุดที่จตุรัสนางฟ้าอันมีรูปปั้นของเทพธิดาทั้งสิบสององค์ประดับอยู่  ระหว่างนั้นเวสหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ทิ้งให้ไดแอซกับมาร์คัสคุยกันอยู่สองคน แว่วเสียงประกาศบอกเวลาเริ่มการเคลื่อนขบวนให้ทุกคนรับทราบ 
     
         “อีกตั้งชั่วโมงหนึ่งแน่ะ”  ไดแอซอุบอิบหลังทิ้งตัวลงนั่งแล้วยืดแข้งยืดขาเต็มม้านั่ง  “เวสมันก็จริงๆเชียวแอบแวบไปไหนก็ไม่รู้”  มาร์คัสบ่นบ้าง ก่อนจะเขี่ยๆไดแอซให้ขยับไปอีกทางแล้วนั่งลง  ร้านเยอะจังเลยนะ  ไดแอซพยายามนับจำนวนร้าน “ร้านนี่ยาวไปจนถึงจตุรัสนางฟ้าที่มีพิธีเลยล่ะ  เดินกันขาลากทีเดียว”  มาร์คัสเอ่ยขึ้น   
     
         ลมหนาวพัดมาวูบหนึ่งหอบเอากลิ่นหอมหวานอย่างประหลาดโชยมาแตะจมูก  ชายหนุ่มมองหาที่มาของกลิ่นด้วยความประหลาดใจ  ก็ตรงที่ๆพวกเขานั่งอยู่ไม่มีดอกไม้เลยแม้แต่ดอกเดียว  รัศมีโดยรอบอีก5เมตรก็ยังไม่มี  แล้วกลิ่นที่ว่านี้มาจากไหนกัน
     
         ชายหนุ่มหันไปหาไดแอซหมายจะถาม แต่ฝ่ายนั้นยังคงมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาและไม่มีทีท่าว่าจะได้กลิ่นอะไรแปลกปลอมเสียด้วยซ้ำ  
     
         มาร์คัสเหลือบไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน เธออยู่ในชุดขาวบริสุทธิ์ยาวกรอมเท้าอย่างสตรีผู้ทรงศักดิ์ ชายแขนเสื้อบางเบาทิ้งตัวลงมาดุจปีกผีเสื้อ  เสื้อคลุมขนสัตว์สีเดียวกันปักเลื่อมส่องประกายวิบวับ  บนเรือนผมสีทองอ่อนสุกใสประดับประดาด้วยอัญมณีเลอค่า รับกับใบหน้าหวานละมุน ชายหนุ่มจ้องหญิงสาวผู้นั้นตาแทบไม่กระพริบ  ดูเหมือนเธอจะหันมายิ้มให้เสียด้วย
     
         “ไดแอซ”  ชายหนุ่มสะกิดเรียกคนข้างตัวโดยที่ยังจับจ้องหญิงสาว  “อะไร?” เด็กหนุ่มหันมาถามอย่างงงๆ  “ดูนั่นสิ!  เห็นอะไรไหม” ไดแอซจึงรีบมองตามที่มาร์คัสชี้ไป  “ก็ฝูงชนไง  ถามมาได้”  เมื่อหันมามองเด็กหนุ่ม ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นมองไปตามที่เขาชี้จริง  “ไม่เห็นอะไรเลยหรือ….”
     
         เมื่อชายหนุ่มหันกลับไปอีกครั้งพบว่าหญิงสาวผู้นั้นได้อันตธานไปเสียแล้ว “สงสัยข้าจะเบลอเสียแล้ว ไอ้กลิ่นนั่นคงตามมาหลอนเป็นแน่” มาร์คัสเกาหัวแกร๊กๆ  “เป็นอะไรหรือเปล่า”  ไดแอซจ้องชายหนุ่มเขม็ง  “เปล่า…”
     
         “มาแล้ว”   
         “หายไปไหนตั้งนานหา”  มาร์คัสรีบหันไปต่อว่าเพื่อนทันที  “โอ๋ๆ ข้าหายไปแค่นี้ทำเป็นโกรธ  นี่ช่วยถือหน่อยสิ”  ไดแอซรับถุงกระดาษและห่อของที่เวสหอบมา เอาไว้จนล้นสองแขนและยังต้องแบ่งบางส่วนมาให้ชายหนุ่มช่วยถือ  “ซื้ออะไรมามากมาย” มาร์คัสทึ่งกับความสามารถหอบหิ้วของพะรุงพะรังเดินไปเดินมาจนทั่วงานของอีกฝ่าย
     
         “วันนี้ใช้พลังงานไปเยอะ  มันต้องมีชดเชย”  เวสบอกพลางหาที่ว่างนั่งลงแล้วเริ่มแกะถุงอันที่ใกล้มือท่ามกลางความสนใจของมาร์คัสและไดแอซ  ชายหนุ่มดึงเอาแอปเปิลเขียวออกมาผลหนึ่ง แต่ถ้าหากจะเรียกว่าแอปเปิลเขียวอย่างเดียวก็ดูจะธรรมดาไปสักเล็กน้อย เพราะแอปเปิลห่อกระดาษบางที่อยู่ในมือเวสนั้นถูกเคลือบด้วยอะไรบางอย่างที่ออกสีน้ำตาลอ่อนและยังโรยด้วยผลไม้แห้งหั่นเป็นชิ้นอีก 
     
         “แอปเปิลชุบคาราเมลนี่นา”  มาร์คัสเลิกสนใจอย่างอื่นรีบเอื้อมมือไปคว้าถุงข้างตัวเวสมาทันที  ไดแอซซึ่งเป็นคนกลางหันซ้ายทีขวาทีด้วยความสงสัย  “จะช่วยบอกอะไรข้าบ้างได้ไหม”
     
         “เอ้า”  มาร์คัสหยิบแอปเปิลผลหนึ่งมาวางในมือของเด็กหนุ่ม  เจ้าตัวยกมันขึ้นมาจ่อจนแทบติดลูกตาแล้วหมุนซ้ายหมุนขวาก่อนจะแกะห่อแล้วหยิบขึ้นมาลองชิม  “อร่อยจัง!”  
     
         “ของโปรดเลยรู้ไหม  ตอนอยู่ที่วิทยาลัยข้าซื้อกินมันทุกวันเลย”  เวสบอก “อ้ายเอย”  มาร์คัสที่กำลังเคี้ยวแอปเปิลตุ้ยๆ เห็นด้วย 
     
         แป๊น  แป๊น แป๊น 
     
         เสียงแตรทำนองแปลกๆแผดลั่นเรียกความสนใจจากทุกคนในงาน  และตอนนี้สองฟากถนนเริ่มหนาตาไปด้วยผู้คนซึ่งมารอชมขบวนอันตระการตา  “ขบวนจะมาแล้ว”  มาร์คัสสะกิดเรียกไดแอซให้ลุกพร้อมๆกับที่คนรอบกายส่งเสียงเฮขึ้น 
     
         “ดูนั่นสิ!!!”
     
         ทุกใบหน้าแหงนเงยขึ้นมองไปบนท้องฟ้า  ไดแอซแหงนมองตาม มังกรสีขาวสะอาดสองตัวสยายปีกบินเคียงคู่กันโดยมีฉากหลังเป็นดวงดารากระพริบแสงวับๆ 
      
         “มังกรอ่ะ…”
     
         “สัตว์อสูรพันธุ์พิเศษ เป็นพาหนะของจอมปราชญ์”
     
         แล้วมังกรอีกสี่ตัวก็ทะยานออกมาสมทบ  พวกมันบินวนอยู่เหนือศรีษะพร้อมกับโปรยกระดาษสีมากมายลงมาคล้ายหิมะ  และ….
     
         “เวสระวัง!!” 

         มาร์คัสกระชากตัวเด็กหนุ่มผู้กำลังเพลิดเพลินกับกระดาษสีต่างๆเข้ามาหาตัวอย่างรวดเร็ว  เนื่องจากเมื่อครู่เขาสังเกตเห็นว่ามีวัตถุแปลกปลอมบางอย่างกำลังลอยละลิ่วลงมาจากมังกรหนึ่งในหกตัว  โดยมีพวกเขาเป็นเป้าหมาย  
     
         เวสกางม่านพลังรับไว้ได้อย่างเฉียดฉิว  วัตถุที่ว่าคือน้ำแข็งก้อนใหญ่เบอเริ้ม เจ้าก้อนน้ำแข็งที่ว่าเมื่อกระทบเข้ากับม่านพลังก็กลายสภาพเป็นหยดน้ำพรูเข้าใส่เวสเสียจนเปียกชุ่มไปทั่วตัว  ชายหนุ่มผู้มีสภาพเป็นลูกหมาตกน้ำทำหน้าแปลก  มาร์คัสและไดแอซที่ยืนอยู่ข้างๆจึงรีบทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ทันที
     
         เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปทันเห็นมังกรสีขาวตัวหนึ่งโฉบต่ำลงมา  และถ้าเขาตาไม่ฝาดละก็  ดูเหมือนว่าเจ้ามังกรรวมถึงคนบนหลังจะมีสีหน้าพออกพอใจอย่างมากเสียด้วย
     
         “ท่านวาริดนะ  ท่านวาริด”  เวสกัดฟันกรอด   “คอยดูเถอะพรุ่งนี้ข้าจะบุกหอคอยไปถล่มท่านถึงห้องเลย  ฮัดชิ้ว….”  ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมหนาของผู้ใช้เวทที่ชุ่มน้ำออก  เหลือเพียงเชิ้ตบางสีขาวซึ่งเต็มไปด้วยแผ่นโคลนที่ละลายเปรอะ  เป็นที่น่าอนาจใจแก่ผู้พบเห็นและคนข้างตัวอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะออกมา เพียงหันไปซุบซิบพลางมองดูพลางชายหนุ่มเท่านั้น  ไดแอซจึงถอดเสื้อนอกของตนออกแล้วคลุมให้เวสที่ยืนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
     
         เสียงเพลงบรรเลงท่วงทำนองอันเยือกเย็นอย่างฤดูหนาวสะท้อนก้องไปในอากาศ  พร้อมกับขบวนธงแห่งจอมปราชญ์ซึ่งคณาจารย์ของวิทยาลัยเป็นผู้ถือเดินนำออกมา  ทุกคนพากันส่งเสียงเฮลั่นอีกครั้งเป็นการต้อนรับขบวน  มาร์คัสเองก็พยายามมองหามอเดรส  ซึ่งดูเหมือนว่าจะเห็นแวบๆตรงกลางแถว  ตามมาด้วยขบวนดนตรีพื้นเมืองที่ต่อท้ายด้วยนักเต้นรำแถวยาวเหยียด บางคนนึกสนุกเดินเข้าไปร่วมด้วยก็มี   
     
         ขบวนที่สามเป็นเด็กในชุดคล้ายภูตพรายถือโคมไฟเดินนำเหล่าเด็กสาวผู้แต่งตัวเป็นนางฟ้านางพราย รายล้อมออบซิเดียนสีขาวปลอดสวมบังเหียนประดับด้วยกระพรวนเงินส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง  จุดเด่นของงานนี้นั่งอยู่บนหลังออบซิเดียนตัวที่ว่า  
     
         หญิงสาวในชุดกระโปรงลูกไม้สีขาว  เรือนผมสีทองอ่อนคลุมผ้าสีขาวบางยาวและประดับด้วยมงกุฎสีเงินอันจิ๋ว  ในอ้อมแขนมีช่อดอกไม้สีขาวอมชมพู  
     
         “สวยจัง”  เวสมองตาไม่กระพริบ  เมื่อหญิงสาวหันมายิ้มให้พวกเขา มาร์คัสถึงกับชะงัก ใบหน้าของเธอเหมือนกับหญิงสาวคนที่เขาเห็นเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนชั่วโมงก่อนไม่มีผิด   สมองของชายหนุ่มประมวลผลกลับไปกลับมาหลายสิบตลบ  จนเจ้าตัวออกอาการมึนตึ๊บ
     
         “มาร์คัส”  เวสหันมาสะกิดชายหนุ่มที่กำลังจ้องตาค้างอยู่จนเหล่านางฟ้าเคลื่อนตัวผ่านไป  “เจ้าชอบนางละสิ”  ชายหนุ่มเริ่มจ้องหน้าเพื่อน  “เปล่านี่”  อีกฝ่ายปฏิเสธด้วยท่าทางเฉยๆไม่ทุกข์ร้อน  “เก็บข้าวของได้แล้ว”  มาร์คัสออกคำสั่ง  เมื่อเหล่าองค์รักษ์ในชุดเกราะเต็มยศบนหลังม้าผ่านหน้าพวกเขาไป
     
         “หาวๆๆ กลับไปนอนกันดีกว่า”  ไดแอซพูดขึ้นอย่างไม่สนใจใครทั้งนั้น “ไม่ไปดูพิธีที่จตุรัสนางฟ้าหรือ”  เวสถามเด็กหนุ่ม  เจ้าตัวส่ายหน้าดิกๆแทนคำตอบด้วยง่วงจัด “เจ้าก็ช่วยข้าถือหน่อยสิ”  เวสทำท่าจะยัดห่อกระดาษใส่มือเด็กหนุ่ม  
     
         “ข้าง่วงแล้วอ่ะ”
     
         “ช่วยข้าถือของก่อน”
       
         “ข้าอยากนอนแล้วนะ”
     
         เวสจนใจเพราะดูเหมือนยิ่งพูดยิ่งไปกันคนละทาง  เลยยัดห่อของใส่มือมาร์คัสซึ่งรายก็นี้มีทีท่าเหมือนคิดอะไรไม่ตกอยู่  ชายหนุ่มจัดการบิดเสื้อคลุมที่เปียกชุ่มแล้วพาดแขน ฝูงชนสองตามสองข้างทางทยอยกันสลายตัว มีบางกลุ่มเดินตามหลังขบวนแห่ไป 
     
         เหมันต์เข้ามาเยี่ยมเยือนซามานน่าแล้ว  ลมหนาวค่อยๆพัดแรงขึ้น  ทั้งสามเดินเงียบๆกลับที่พัก วันนี้มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน       
       

    ----------------------------------
    ได้ฤกษ์อัพแล้วล่ะ  ตอนนี้ขอนำเสนอแอปเปิลเขียวชุบคาราเมล อร่อยมากๆเลย แต่ราคาก็แพงเป็นเงาตามตัวซื้อกินลูกนึ่งทรัพย์จากไปหลายวันT-T  ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามน๊า  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×