ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อมดแห่งเฟลูทีเน่

    ลำดับตอนที่ #3 : จดหมายจากแดนไกล

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 49


        “มาร์คัส  นั่นขนอะไรมาน่ะ”  ไดแอซทักขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มแบกหนังสือกองใหญ่ยักษ์เข้าบ้าน  เขาวางหนังสือทั้งหมดลงตรงหน้าเด็กหนุ่ม  “ข้าขนมาให้เจ้าอ่าน”  

         “หา…”  ไดแอซอ้าปากค้าง  นั่นจะขนมาให้อ่านหรือขนมาฝังกลบเขากันแน่  “เป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกเวทพื้นฐานที่ใช้กัน   ข้าเห็นว่าไหนๆเจ้าก็มีพลังแล้วเลยจับฝึกซะเลย  ดีใจใช่ไหมล่ะ”  ชายหนุ่มพูดเองเออเองหน้าตาเฉย  “ข้านะ จะสอนเจ้าให้เก่งแบบ………”   เขาเริ่มพร่ำไปเรื่อยๆโดยที่เด็กหนุ่มไม่กล้าขัด   “ใจคอจะไม่ถามความเห็นข้าเลยหรือไง”  ไดแอซแอบคร่ำครวญ
     
        “เอ้า ยืนเฉยอยู่ทำไม”  มาร์คัสจบรายการบรรยายแล้วเหลือบมาหาเด็กหนุ่ม “ก่อนอื่นต้องอ่านพวกพื้นฐาน ใช่ๆๆ เล่มนี้เกี่ยวกับเวทธาตุดิน”  ชายหนุ่มวางหนังสือหนาและหนักลงบนมือเขา  “เล่มนี้ธาตุน้ำ”  เขาวางอีกเล่มที่หนาและหนักกว่าเก่า  “นี่ก็ธาตุไฟ”  แขนของไดแอซเริ่มแอ่นลงไปเรื่อยๆ  “ง่า  ข้าว่าพอเหอะ”  เด็กหนุ่มยิ้มแหย่ๆ 
     อีกฝ่ายทำหูทวนลมแล้วเลือกหนังสือต่อไปเรื่อยๆ  เด็กหนุ่มมองตามมือที่ไล่ไปตามปกด้วยอาการลุ้นระทึก แถมยังภาวนาให้มันหยุดก่อนถึงหนังสือเล่มล่างสุด ที่ออกจะหนาขนาดยิงไม่ทะลุ  

         “พระเจ้าไม่เห็นใจข้าเล๊ย” ไดแอซทำหน้าสยองเมื่อมาร์คัสกึ่งกลากกึ่งดึงหนังสือเล่มที่ว่าออกมาแล้วซัดมันลงในอ้อมแขนเด็กหนุ่ม  เจ้าตัวส่งเสียงแอ๊กแล้วเซลงไปนั่งแปะอยู่บนพื้น  “เฮ้ย ใครใช้ให้นั่งตรงนี้ ไปโน้นเลยห้องเจ้า” 
     
        ไดแอซพยุงตัวเองขึ้นจากพื้นเดินโซซัดโซเซขึ้นบันไดด้วยท่าทางจะตกแหล่มิตกแหล่ “อย่าลืมนะเว้ย ต้องอ่านให้ภายในมะรืนนี้” มาร์คัสอุตส่าห์ตะโกนไล่หลังไปด้วยความหวังดี

                            ***********************

          “ดิน น้ำ ลม ไฟ คือส่วนประกอบที่สำคัญของโลกใบนี้  ธาตุแต่ละชนิด……… คร๊อก..ฟี้”  เด็กหนุ่มฟุบลงบนโต๊ะอาศัยหนังสือเล่มหนาเป็นหมอนหนุนแล้วเริ่มหลับในทันใด  
     
         โป๊ก!!  เสียงหนังสือกระแทกหัวดังสนั่นหวั่นไหวตามมาด้วยเสียงคนร้องลั่นบ้าน  โอ๊ย!!  เด็กหนุ่มหันหลังไปเจอกับสายตาโหดๆ  “ข้าบอกให้อ่านหนังสือ ไม่ใช่ให้นอน” มาร์คัสแหวใส่  “ก็มันง่วงนี่นา”  ไดแอซขยี้ตาพร้อมหาวหวอดๆ  “อ่านต่อไป ไม่งั้นงดข้าวเย็น” มาร์คัสสั่งเสียงเข้ม  “เพื่อข้าวข้ายอม”  เด็กหนุ่มพยายามเรียกสติที่หลุดลอยไปกลับคืนมาแล้วตั้งต้นอ่านหนังสือที่ดูเหมือนว่าหน้ามันจะงอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆต่อ  
     
        “อ่านจบแล้ว” ไดแอซบิดขี้เกียจพร้อมหาวติดๆกัน นัยน์ตาสีฟ้าหม่นทั้งคู่ฉ่ำไปด้วยน้ำตา  เตียง!!!  เด็กหนุ่มว่าพลางกระโดดเข้าหาเตียงนอนเอาหัวตั้งบนหมอนแล้วเริ่มหลับหลังอ่านหนังสือมานานตั้ง 2 วัน แต่ยังไม่ทันหลับให้หายอยาก ครึ่งชั่วโมงถัดมามาร์คัสก็บุกเข้ามาลากเด็กหนุ่มขึ้นจากที่นอน 
     
        “ท่านจะพาข้าไปไหน  จะพาข้าไปหน่าย…..”
     
        มาร์คัสลากเด็กหนุ่มเข้าไปในครัวแล้วจัดการเทน้ำใส่อ่างจนเต็ม  “ทำอะไรน่ะ”  ไดแอซอดถามไม่ได้ “ทำให้เจ้าตื่นนะสิ”  มาร์คัสยิ้ม เป็นยิ้มที่ดูแฝงความเจ้าเล่ห์ยังไงก็ไม่รู้  ชายหนุ่มเริ่มร่ายเวท  น้ำใสนิ่งในอ่างก่อตัวขึ้นเป็นสายสีฟ้า  จากนั้นสายน้ำพุ่งตรงเข้าหาเด็กหนุ่มในทันที โพละ!  มันแตกกระจายไปต่อหน้าโดยที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไรด้วยซ้ำ  จริงๆนะ 
     
        ผู้ใช้เวทมองตาไม่กระพริบ  “ทำไมพลังถึงแผ่ออกมาโดยที่ยังไม่ใช้เวทล่ะ  แปลก” เขาคิดแบบนี้เป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้งตั้งแต่ได้พบกับเด็กหนุ่ม  
     
         “ร่ายเวททำให้น้ำลอยขึ้นมาซิ”  มาร์คัสสั่ง  เด็กหนุ่มแอบยิ้ม การทำสิ่งของให้ลอยมันเป็นอย่างเดียวที่เขาถนัดนี่นา  ว่าแล้วก็จัดการร่ายตามคำคนตรงหน้า น้ำในอ่างลอยขึ้นมาเป็นลูกกลมๆสีใส  “ทำให้มันเปลี่ยนรูปเป็น…. เป็นดอกไม้”  
     
        ไดแอซงงแล้วงงอีก “ทำไงง่ะ”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแล้วไล่สายตาดูตามหนังสือหลายเล่มที่กางแผ่หราสุมกันอยู่ตรงหน้า  น้ำที่ลอยอยู่กลางอากาศกลายเป็นรูปดอกไม้หลายชนิดตามแต่เจ้าตัวจะนึกออก  มาร์คัสรีบพลิกหนังสือที่ถือติดมือมาเป็นการใหญ่ “ร่ายเวทเรียกดาบวารี” ชายหนุ่มสั่งโดยไม่เงยหน้า 
     
        ไดแอซจัดแจงมองหาเวทบทที่ว่าตามที่คนตรงหน้าบอกทันที  ในตำรามันก็ไม่มี “ทีนี้ทำไงดีอ่ะ”  เจ้าตัวเห็นท่าว่ากำลังแย่เลยจัดการมั่วเวทมันซะเลย   แต่ไปๆมาดันได้ดาบวารีส่องประกายสีฟ้าจากของเหลวที่ไหลเวียนอยู่ภายในเข้าจริงๆ  
     
        “ฟลุ๊คว้อย  พระเจ้าเข้าข้างแล้ว”  
     
        “มันอะไรกัน  นี่ขนาดผู้ใช้เวทที่ว่าเก่งยังต้องฝึกแทบเป็นแทบตายกว่าจะเรียกดาบวารีมาได้ แต่เจ้านี่….”  มาร์คัสสลัดความคิดนี้ออกจากหัวแล้วเริ่มใช้สมาธิลองหยั่งดูพลังของอีกฝ่าย เขาถึงกับเลิกคิ้ว  
    “แปลกๆ เหมือน …..อะไรนะ เขานึกไม่ออก ช่างหัวมันเถอะ  เขายิ่งไม่เก่งเรื่องพรรคนี้อยู่ด้วย”

          “ดาบนี่คมรึเปล่า” ไดแอซถามหลังยกดาบส่องซ้ายส่องขวาเพื่อพิจารณาใบดาบ “ลองฟันอะไรดูก็ได้นะ” มาร์คัสแนะนำ  เย่ย!! เขากระโดดถอยหลังไปหลายก้าวเมื่อเด็กหนุ่มวาดดาบมาตรงหน้า  
     
        “ก็บอกให้ลองนี่นา”
     
        “จะบ้าเรอะ ให้ลองกับอย่างอื่น  ไม่ใช่ให้มาลองกับข้า”  
     
        “อ้าวเหรอ  ทำไมเพิ่งบอกล่ะ” 
     
        ไดแอซสลายดาบในมือให้กลับเป็นลูกบอลน้ำอย่างเดิม ยังแถมส่งไปแตกบนหัวมาร์คัสเป็นการทิ้งท้ายก่อนเผ่นออกจากห้อง  ชายหนุ่มฉวยกะละมังใส่น้ำได้รีบวิ่งตามไปทันที สงครามย่อยๆในบ้านหลังเล็กก็เริ่มต้นขึ้น 

                                  **********************
     
        “ไดแอซหยิบหนังสือเล่มนั้นให้หน่อย”  เสียงปราชญ์ประจำหอสมุดลอยขึ้นมา  ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังยืนอยู่บนคอกไม้เล็กๆที่ลอยอยู่สูงเพื่อเลือกหนังสือตามคำสั่งของคนข้างล่าง  เจ้าตัวทำหน้าเบ้เมื่อโดนสั่งให้หยิบหนังสือที่อยู่เกือบบนสุดของชั้น 
     
        แค่กๆ …แค่กๆๆ   ฝุ่นที่เกาะตัวอยู่ตามสันหนังสือฟุ้งเข้าใส่หน้าเมื่อเด็กหนุ่มไปขยับเขยื่อนมัน  “แง่ง  ไม่ออกงั้นเหรอ”  เขาพยายามใช้แรงทั้งหมดดึงหนังสือเล่มที่อยู่เหนือหัวของเขาออกมา  
     
         เหวอ!!  เจ้าตัวอุทานเมื่อหนังสือเล่มที่ว่าหลุดพรืดออกมาจากชั้นโดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัว “ซวยแล้วเรา”  เขาเซไปปะทะกับรั้วไม้ที่กั้นแล้วทรุดลงไปนั่งกับพื้น  ฝุ่นบางส่วนที่กองสะสมกันอยู่บนชั้นร่วงพรูลงมาใส่ หัวของไดแอซเลยเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาวซะงั้น

         ยัง  ยังไม่หมดแค่นั้น  ตอนนี้คอกไม้ที่เด็กหนุ่มยืนอยู่เริ่มดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว “เอ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ”  เขาจัดการเอามือปิดตาเริ่มท่องในใจ “ไม่เป็นไร ไม่สูง ……..” ไม่สูงนิดเดียว  แต่สูงเยอะ  ก็หอสมุดแห่งฟอนเทนเบิร์กที่ใหญ่ที่สุดในเขตภาคใต้  สูงเท่ากับตึก40ชั้น  ไอ้การร่วงลงมาจากชั้นใกล้ๆ 40 นี่มันให้ความเสียวพอดู  
     
        คอกไม้แตะพื้นอย่างนิ่มนวลพร้อมเสียงถอนหายใจของเด็กหนุ่ม  ปราชญ์ลดกล้องส่องทางไกลในมือลงก่อนจะหันไปหยิบไม้ขนไก่ที่แขวนอยู่ข้างๆชั้นติดไม้ติดมือมา  ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหิ้วปีกเขาพร้อมเอาไม้ขนไก่ปัดฝุ่นบนหัวเด็กหนุ่มเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้  
     
        เจ้าตัวทรงสะบัดบรรดาฝุ่นที่เกาะติดตามเสื้อผ้าออก  ก่อนจะแวบไปนั่งพักในมุมลึกสุดของชั้นหนังสือแต่ไม่ทันไรก็โดนปราชญ์คนเดิมตามมาเรียกใช้งานอีกจนได้
     
         “ไดแอซ ช่วยเอาหนังสือเล่มนี้ไปเก็บที”  เด็กหนุ่มวิ่งไปหาต้นเสียงที่เป็นอาลักษณ์  “ตู้ไหนหรือครับ” เด็กหนุ่มถาม  “ตู้ที่19  ชั้น 400”  คนฟังเบิกตาโตยื่นมือไปรับหนังสือมาถือแล้วเริ่มเดินคอตกตรงไปยังชั้นแต่โดยดี  ที่โดนใช้แรงงานก็เพราะเขาถูกส่งมาจากสถาบันวิจัยให้ช่วยขนย้ายบันทึกมาเก็บยังหอสมุด  งานทั้งหมดเพิ่งเสร็จสิ้นลงในตอนเช้า  ภาคบ่ายเลยทำการกุศลซะเลย 
     
        “ตำนานของแพนเทีย”  เด็กหนุ่มมองหัวข้อหนังสือในมือด้วยความสนใจ  เขาพลิกไปพลิกมาจนสะดุดเข้ากับเรื่องๆหนึ่ง  “ดอกไม้สีเลือด”
     เด็กหนุ่มอ่านเรื่องราวบนหน้ากระดาษอย่างตั้งอกตั้งใจกว่าอ่านตำราซะอีก  
     
        “เล่าถึงเรื่องราวในรัชสมัยของซาร์เรสกษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรแพนเทีย   พระองค์ทรงมีราชธิดาพระองค์หนึ่งนามว่า  ลีเมย์  ทรงเป็นเจ้าหญิงที่อ่อนโยนและงดงาม พระองค์ทรงเป็นที่รักของทุกผู้ที่ได้พบเห็น วันหนึ่งเจ้าหญิงลีเมย์ได้พบกับพ่อมดหนุ่มจากทวีปอันแสนไกล  เขาผู้นั้นได้หัวใจของเจ้าหญิงผู้งดงามแห่งอาณาจักรไปครอบครอง  ทว่ามีผู้อิจฉาเจ้าหญิงยิ่งนัก  คนผู้นั้นใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำลายพระองค์และคนรัก จนกระทั่ง……………………”
     
        “ไดแอซ”  เงาร่างของมาร์คัสปรากฏตรงหน้าเด็กหนุ่มพร้อมเสียงเรียก  เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองอย่างงงๆ  “ข้ามาเก็บเจ้ากลับบ้าน”  ชายหนุ่มบอก “รีบๆหน่อย ข้ายังต้องแวะตลาดอีกนะ”  เด็กหนุ่มพยักหน้ามองหนังสือที่ยังอ่านค้างๆคาๆอยู่ อย่างอาลัยอาวรณ์จนมาร์คัสต้องลากตัวออกไป
     
        เงาร่างสองเงาเดินเคียงกันตามทางที่ทอดสู่ตลาดท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็น ร่างหนึ่งสูงโปร่ง อีกร่างเตี้ยกว่าเพียงเล็กน้อย “ตำนานดอกไม้สีเลือดนั่นเกี่ยวกับอะไรเหรอ”  เด็กหนุ่มหันไปถามด้วยท่าทางคาใจ  “เรื่องนั้นนะเหรอ เกี่ยวกับเจ้าหญิงลีเมย์ซินะ”  เด็กหนุ่มพยักหน้า  
       
        “เขาเล่ากันมาว่า เจ้าหญิงถูกลอบปลงพระชนม์กลางสวนดอกไม้  มีดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งซับเลือดของพระองค์ไว้  เลยกลายเป็นสีเลือดไป  คนรักของพระองค์เศร้าโศกมากจึงฆ่าตัวตายตาม”  
     
        “แค่นี้เองง่ะ”  ไดแอซสงสัย “ในตำนานเขาบันทึกกันไว้แค่นี้ล่ะ”  มาร์คัสบอก “เจ้าสนใจเรื่องนี้เหรอ”  เด็กหนุ่มส่ายหน้าจนผมสีดำที่ยาวระต้นคอกระจายเป็นวง  “ว่าแต่…….”เด็กหนุ่มทำท่าทางจริงจัง  “เลี้ยงขนมข้าหน่อยสิ”  
     
        “ไม่มีทาง”  มาร์คัสปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “กระเป๋าท่านน่ะ”  ไดแอซชูถุงผ้าในมือแกว่งไปแกว่งมาจนได้ยินเสียงเหรียญกระทบกัน  นัยน์ตาสีฟ้าพราวระยับด้วยแววเจ้าเล่ห์  “นี่ไม่ใช่เหรอ”   
     
         “เฮ้ย เอาคืนมาเลยนะเว้ย”  ชายหนุ่มตะโกนแล้ววิ่งไล่เด็กหนุ่มซึ่งเผ่นแนบนำหน้าไปโน่นแล้ว  ทะเลยามเย็นย่ำส่องแสงระยิบระยับพร้อมกับพระอาทิตย์ดวงกลมโตสีส้มค่อยๆจมลงในผืนน้ำ  แสงไฟจากตลาดเริ่มสว่างขึ้นทีละดวงสองดวง  เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงดังแว่วตามมาด้วยเสียงตะโกนลั่นตลาด
     
                             ***********************
     
        “ไดแอซ  ข้าวานเจ้าเอาจดหมายนี้ไปให้พวกที่ทำงานอยู่ห้อง2056หน่อย”  คนคัดแยกพัสดุประจำสถาบันวิจัยไหว้วาน เมื่อเขาเดินเฉียดเข้าไปแถวห้องเก็บพัสดุ  “ครับ” เด็กหนุ่มรับจดหมายแล้วออกวิ่งทันที
     
        “จดหมาย จดหมาย”   ไดแอซแหกปากแล้ววิ่งถลาเข้าไปในห้องทำงานที่มาร์คัสอยู่  “แอ๊ก” เสียงของหนักตกลงบนพื้นอย่างแรง  ตามมาด้วยเสียงเหมือนอะไรซักอย่างถล่มตามลงมา  
     
        “ง่ะ…….”
     
        “เฮ้ย….ไดแอซ  ทำใจดีๆไว้”  
     
        มาร์คัสกับผองเพื่อนร่วมห้องกรูกันเข้ามาช่วยโกยหนังสือออกจากตัวเด็กหนุ่ม  เจ้าตัวลุกขึ้นมานั่งกุมหัวที่ปูดขึ้นมาเท่าผลส้มขนาดย่อมป้อยๆ  “ทำไมไม่ใช้เวทช่วยหือ”  เวสผู้ใช้เวทหนุ่มผมแดงถาม  “นั่นสิ   แล้วทำไมข้านึกไม่ออกหว่า”  คำตอบที่ทำให้มาร์คัสอยากเอาหัวโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด
     
        “ข้าสอนพวกเวทพื้นฐานให้เจ้าเป็นร้อยๆรอบแล้ว  ทำไม๊ ทำไมเจ้าถึงไม่จำ”  ชายหนุ่มเริ่มกุมขมับ  “ก็ข้าถนัดแบบอื่นนี่นา  เช่น….” หนังสือที่เพิ่งเก็บกวาดขึ้นจากพื้นเมื่อครู่ลอยหวืดขึ้นจากมือผู้ใช้เวท  เมื่อเด็กหนุ่มเกาหัว  “ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ”  เขายิ้มแห้งๆ แล้วลดมือลง  
     
        อย่า!!! 
     
         บรรดาผู้ใช้เวททั้งหลายสามัคคีกันตะโกนห้าม  แน่นอนว่าช้าไปนิดเดียว หนังสือทั้งหลายเลยลงไปกองแหมะอยู่บนพื้นตามเดิม เวรกรรมจริงๆ  ไดแอซ!!!  เสียงคำรามจากคนรอบตัวพร้อมกับประเคนมะเหงกใส่หลายป๊อก  “ใจดำที่สุด” เด็กหนุ่มว่าแล้วนั่งแปะลงบนพื้น  “ผู้ใหญ่รังแกเด็ก”  
     
         “เอ้อ…….โทษที”  มาร์คัสบอก  “อย่างอนน่าไดแอซ นะ นะ”  ชายหนุ่มทำท่าอ้อนได้น่าเตะสุดๆ “เดี๋ยวข้าเลี้ยงขนมก็ได้” เด็กหนุ่มยังคงไม่หันหน้ากลับมา  “ไม่เคยพ้นมุขนี้เลย”  เวสแอบคิด  ไดแอซเพียงแค่สะบัดซองสีน้ำตาลใส่มือมาร์คัส  
     
         โอ้โห!!  เหล่าผู้ใช้เวทที่กระโจนเข้ามามุงดูพร้อมใจกันอุทาน  แล้วเบิกตาโตเท่าไข่ห่านตามๆกันเพราะตราที่ประทับบนซองเป็นรูปสิงห์ผงาดภายใต้มหามงกุฏ  ต่างฝ่ายต่างช่วยกันฉีกซองออกอ่าน  “เรียกตัวพวกเรา” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น  “ไปศูนย์กลางที่ซามานน่า”  เวสต่อให้อย่างนึกสนุก  “ไปทดสอบ”  อีกคนอุตส่าห์เสริม  เล่นพูดกันไปทีละประโยคยังงี้กว่าจะรู้เรื่องคงชาติหน้าแน่ๆ
     
         “เลิกเล่นต่อคำที”  อานีคผู้ใช้เวทดินขัดแล้วทำตาขวางใส่  “สรุปแล้วพวกคนแก่เขาอัญเชิญให้ไปทดสอบความสามารถ  กำหนดให้ไปถึงภายในเดือนนี้เท่านั้น  ไม่งั้น….”  เวสทำท่าเอานิ้วปาดคอ “เดี๋ยวข้าขานชื่อ ใครมีชื่อรีบเก็บของแล้วซิ่งไปด่วนเลย”  
     
         คนที่มีชื่อทยอยลุกออกจากวงไปเก็บของเตรียมเดินทาง “ มาร์คัส”  เสียงเรียกชื่อดังขึ้น  “ใครวะ  ชื่อคุ้นชะมัด”  ชายหนุ่มนึก  คนทั่งวงก็พร้อมใจกันเบนสายตามาจ้องเขาเป็นจุดเดียว  “มองทำไม  มองหาอะไรไม่ทราบ” 
     
        “มาร์คัส” 
     
        “มันชื่อเรานี่หว่า”  ชายหนุ่มนึกได้รีบสปริงตัวลุกขึ้น  ใครไม่รู้หลุดหัวเราะพรืดออกมาพาเอาทั้งวงหัวเราะตามแม้กระทั่งอานีคที่วางท่า 24 ชั่วโมงยังต้องเอามือกุมท้องพยายามสุดความสามารถไม่ให้มีเสียงหลุดออกมา
     
        “เพิ่งรู้ว่าเพื่อนข้ามันประสาทกลับเอาก็วันนี้”
     
        “ก๊ากๆๆ” 
     
        “อ้าวมีชื่อเจ้าด้วยเวส”  จาห์มีชายหนุ่มร่างบางซึ่งยืนอ่านประกาศร่วมกับเวสทักขึ้น  “งั้นข้าขอตัวละนะ”  ชายหนุ่มบอกพร้อมคำนับ  “ไปมาร์คัส”  เขาหันไปเร่งเพื่อนที่ขุดไดแอซซึ่งนั่งหน้างอง้ำขึ้นมาจากพื้นแล้วลากเด็กหนุ่มติดไม้ติดมือมา  “ไปดีมาดีนะ”  ทุกคนอวยพรด้วยรอยยิ้ม  
     
        “ครับผม” พวกเขาคำนับลาแล้วเดินออกมา

         “จะพาไดแอซไปด้วยรึเปล่า”  เวสแอบแหล่ไปยังเด็กหนุ่มที่เดินหน้างออยู่ข้างหลัง  “แน่นอนอยู่แล้ว  ถ้าไม่พาไปด้วยใครจะคอยให้ข้าวให้น้ำล่ะ ไหนจะพาเดินเล่นอีก” 
     
         “ยิ่งพูดยิ่งเหมือนหมาเข้าไปทุกทีๆ”  ชายหนุ่มนึกในใจ  “ข้าจะพาไปพบคณาจารย์เสียหน่อย”  คำพูดที่ทำให้คนฟังเบิกตากว้าง  “จะให้ไดแอซไปเป็นตัวทดลองเวทหรือ”   
     
        “ไม่ใช่สักหน่อย ข้าไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก  ที่จะไปพบเนี่ยเพราะอยากรู้ว่าเจ้านั่นมาจากไหน  บางทีอาจช่วยให้มันจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง  มันจะได้เลิกทำตาว่างๆ โน่นก็จำไม่ได้ นี่ก็ไม่รู้จัก  ข้าเห็นทีไรหมั่นไส้ทุกที”
     
        “ทำปากแข็งไปอย่างนั้น จริงๆแอบห่วงเจ้านั่นละสิ”  ชายหนุ่มผมแดงขมุบขมิบ  “ว่าอะไรนะ”  มาร์คัสได้ยินไม่ถนัดเลยหันมาถามเพื่อน  “เปล๊า  ข้าไม่ได้พูดอะไร  พวกเรารีบเดินกันดีกว่า ถ้าไปช้าซักสองนาทีไม่พ้นถูกทำโทษแน่”  

         “อื่อ”  มาร์คัสเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อน  “เอาดาน่าไปด้วยนะ ข้าไม่อยากหลงทางอยู่ในป่าสามวันสามคืนแบบคราวก่อน”  เวสเริ่มท้าวความหลังครั้งก่อนที่เขากับมาร์คัสถูกสั่งให้ไปหาสมุนไพรในป่าแสงดาวเข็มทิศของเขาเสียกะทันหัน  แล้วเพื่อนผู้น่ารักก็ดันลืมเอาเข็มทิศไปด้วย  ทั้งสองเลยเดินวกไปวนมาจนมีคนมาพบเข้าช่วยให้รอดจากการหลงป่าตายหวุดหวิด
     
        “ถึงบ้านข้าแล้ว เดี๋ยวข้าเก็บของเสร็จจะไปรอเจ้า”  ร่างสูงเดินลัดเลาะหายเข้าไปในซอยข้างๆ ทิ้งให้เพื่อนมองหน้าเด็กหนุ่มที่เดินตามหลังอย่างอึดอัดใจ  “รีบเดินเข้าหน่อย”  มาร์คัสหันไปบอกคนข้างหลัง เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าตาม  
     
        อาทิตย์ลับดวงไปแล้ว ท้องฟ้าสีครามเปลี่ยนเป็นสีเทาอมดำ  อีกไม่นานดาวจะก็ขึ้นมาฉายแสงบนฟ้า  


     
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×