แผนธุรกิจการเมืองเรื่อง‘ไข้หวัดนก’ - แผนธุรกิจการเมืองเรื่อง‘ไข้หวัดนก’ นิยาย แผนธุรกิจการเมืองเรื่อง‘ไข้หวัดนก’ : Dek-D.com - Writer

    แผนธุรกิจการเมืองเรื่อง‘ไข้หวัดนก’

    จริงหรือ ที่โลกกำลังจะต้องเผชิญกับมหันตภัยอันเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ผู้เข้าชมรวม

    526

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    526

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 พ.ย. 48 / 12:06 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      แผนธุรกิจการเมืองเรื่อง‘ไข้หวัดนก’

      “...เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เชื้อไข้หวัดนกอันตรายได้แพร่เข้ามาถึงกรุงเทพมหานครแล้ว โดยล่าสุดพบผู้ติดเชื้อไข้มรณะเป็นรายที่ 4 ของเมืองไทย ในการแพร่ระบาดรอบที่ 3 เหยื่อเป็นเด็กชายตัวน้อยวัยขวบเศษอาศัยอยู่เขตคลองสามวา...”
      “...ศูนย์กลางการวิจัยเกี่ยวกับโรคไข้หวัดนกในเวียดนาม ระบุว่าจากการนำตัวอย่างไวรัส 24 ตัวอย่างจากสัตว์ปีกและมนุษย์ไปตรวจสอบ พบว่าขณะนี้เชื้อไข้หวัดนกได้กลายพันธุ์ทวีอันตรายยิ่งขึ้น สามารถเพาะฟักตัวได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่ยังไม่มีรายงานว่าไวรัสชนิดนี้ติดต่อจากคนสู่คน...”
      “...ส่วนที่ประเทศญี่ปุ่นออกมาเตือนเรื่องยาทามิฟลูว่า มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการประสาทหลอน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ยาอะไรที่ให้มากเกินไปก็มีปัญหาทั้งสิ้น แต่ไทยให้ยาในระดับที่ไม่มีปัญหา และยังไม่พบว่ามีปัญหาเลย ขณะนี้ยาทามิฟลูเป็นยาตัวเดียวที่ไช้ได้ดี...”
      “…ด้านที่ประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเปค ซึ่งประชุมอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้ ในวันเดียวกันนี้ ได้เตรียมลงมือเพิ่มความร่วมมือในการต่อสู้กับการระบาดของโรคไข้หวัดนกในขณะนี้ รวมทั้งเร่งกักตุนยาต้านไวรัสและวัคซีน รวมถึงกำหนดระบบรับมือการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
      นี่คือ ข้อมูลบางส่วนจากข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548
      ไม่ไช่แต่ชาวไทยเท่านั้น ประชาชนทั่วทั้งโลก กำลังตกอยู่ในภาวะสับสนเกี่ยวกับมหันตภัยไข้หวัดนก เพราะหลายฝ่ายออกมาประกาศว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ อาจลุกลามจนกลายเป็นโรคร้ายคร่าชีวิตผู้คนหลายสิบล้านทั่วโลก ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นจากกรณีไข้หวัดสเปนเมื่อปี 2461 หรือ 87 ปีที่แล้ว
      จริงหรือ ที่โลกกำลังจะต้องเผชิญกับมหันตภัยอันเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อะไรคือหลักประกันว่า  พลังความร่วมมือของรัฐบาลทั่วโลก จะสามารถรับมือกับมฤตยูไข้หวัดนกได้เป็นผลสำเร็จ และถ้าหากรับมือไม่ได้ ประชาชนจะป้องกันตัวเองจากโรคร้ายนี้ได้อย่างไร ในเมื่อครั้งแล้วครั้งเล่าพวกเขามิเพียงไม่บอกความจริงทั้งหมดแก่เรา ซ้ำร้ายยังให้ข้อมูลที่เป็นเท็จกับเราอีกด้วย

      ธุรกิจการเมืองเรื่องยา
      หลังเกิดเหตุการณ์วินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด 11 กันยาปี 2544 ทางการสหรัฐได้เริ่มประกาศเตือนชาวโลกว่า กลุ่มก่อการร้ายอาจใช้เชื้อไวรัสไข้ทรพิษเป็นอาวุธโจมตี และผู้คนหลายล้านทั่วโลกอาจต้องล้มตายลง จากการระบาดครั้งใหญ่นี้ 1
      พร้อมกันนั้น นายโดนัล รัมส์เฟล รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ก็ได้สั่งซื้อวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสไข้ทรพิษและยาแก้ผลข้างเคียงชื่อ “วิสไทด์” มูลค่ามหาศาล เพื่อเตรียมใช้ฉีดป้องกันให้กับนายทหารทุกคนในกองทัพ 2
      ปี 2545 ผู้บริหารระดับสูงของศูนย์ควบคุมโรคระบาดหรือซีดีซี และในอีกหลายหน่วยงานของรัฐบาล ก็ออกมาเน้นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ให้กับประชาชนทั่วไป และเพื่อการนี้ก็ได้เริ่มสั่งซื้อวัคซีนและยาวิสไทด์อีกจำนวนมากมายมาเตรียมไว้อีกด้วย 3
      มกราคม 2546 ในการปราศรัยต่อคณะที่ประชุมใหญ่รัฐสภาของประธานาธิปดีบุช  เขาได้เสนอให้เร่งจัดตั้งโครงการโล่ป้องกันโรคหรือไบโอชีลด์ ขึ้นเพื่อเร่งรัดพัฒนาวัคซีนและเวชพันธุ์ต่างๆ ที่จำเป็นต่อการต่อสู้กับภัยคุกคามจากเชื้อโรคต่างๆ ขึ้นโดยด่วน 4
      กุมภาพันธ์ 2546 ความหวาดกลัวของชาวอเมริกันพุ่งขึ้นถึงขีดสุด เมื่อมีข่าวจากแหล่งต่างๆ ที่ชี้ว่า เชื้อไวรัสไข้ทรพิษได้ถูกขโมยไปจากรัสเซีย และตกอยู่ในมือซัดดัม ฮุสเซนแล้ว ทั้งนี้ อิรักกำลังเตรียมแผนที่จะปล่อยเชื้อไวรัสนี้ ในสหรัฐอเมริกา 5
      ในอีกด้าน ก็มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาหลายคน ที่กล้าออกมาแสดงความเห็นว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังทำให้สาธารณะตื่นกลัวภัยคุกคาม จากการก่อการร้ายด้วยไวรัสไข้ทรพิษเกินกว่าเหตุ เช่น ด.ร.คูริสกี้ กรรมการและผู้รับผิดชอบโครงการป้องกันไข้ทรพิษของศูนย์ควบคุมโรคระบาด เขากล่าวว่า
      “ไข้ทรพิษต้องใช้เวลานานในการส่งผ่านจากผู้หนึ่งไปสู่อีกผู้หนึ่ง ไม่ไช่โรคที่ติดต่อกันง่ายๆ ต่อให้มีผู้ได้รับเชื้อจากการก่อการร้าย ก็ไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้น จะต้องเป็นโรคไข้ทรพิษ” 6
      จากนั้น ก็เริ่มมีข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับอันตรายของตัววัคซีนป้องกันไวรัสไข้ทรพิษเอง เล็ดลอดออกสู่สาธารณะมากขึ้น ผลข้างเคียงนี้มีทั้งในระสั้นและระยะยาว ตั้งแต่ทำให้เกิดความผิดปกติทางสมองและหัวใจขั้นรุนแรง ความผิดปกติในระดับโครโมโซม เบาหวาน เซลล์ประสาทเสื่อมสภาพ มะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งอื่นๆ 7
      ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ยาวิสไทด์ที่มีสรรพคุณแก้ผลข้างเคียงจากวัคซีนไข้ทรพิษ ยาตัวนี้เองก็ไม่ปลอดภัยอีกเช่นกัน อันตรายจากผลข้างเคียงได้แก่ ไตเป็นพิษ โรคความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดแดงและขาว ม่านตาและเยื่อบุตาอักเสบ ไข้สูง ปวดศีรษะ  และปวดท้องรุนแรง 8
      ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ทางการสหรัฐต้องจำใจล้มเลิกโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษให้สาธารณะไปในที่สุด ทว่า แต่ก็ได้นำเงินภาษีอากรของประชาชนอเมริกันจำนวนหลายล้านเหรียญ ไปซื้อยาที่มีอันตรายจนไม่กล้าใช้เหล่านี้ มาเก็บไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

      การแปรรูปความกลัวให้เป็นรายได้
      สาเหตุที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐ จำเป็นต้องเร่งรีบกักตุนวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษและยาวิสไทด์ ดูเหมือนว่า จะไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความจำเป็นเร่งด่วนในการปกป้องประชาชนของตน เท่ากับความต้องการเร่งด่วนในการแปรรูปความกลัวให้เป็นกำไรของกลุ่มธุรกิจการเมืองชั้นนำระดับโลก
      ที่จริงแล้ว นายรัมส์เฟล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ คือ ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากแผนป้องกันไวรัสไข้ทรพิษนี้ เพราะไม่เพียงแต่เขาจะเคยเป็นทั้งอดีตซีอีโอ และประธานบริษัทกิลเลียด 9 บริษัทผลิตยาเจ้าของลิขสิทธิ์ตัวยาวิสไทด์เท่านั้น เขายังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของบริษัทนี้อีกด้วย
      เมื่อต้นปี 2544 ในขณะที่เขาจำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัทแห่งนี้ เพื่อเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม หุ้นของกิลเลียดราคา 280 บาทต่อหุ้น ปัจจุบันราคาได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นถึงกว่า 7 เท่า 10

      แผนรับมือไข้หวัดนก หรือแผนขายยา
      ผู้คนทั่วโลกกำลังถูกทำให้หลงเชื่อว่า ยาทามิฟลูเป็นเพียงยาตัวหนึ่ง ที่ใช้บรรเทาอาการของไข้หวัดใหญ่ธรรมดาๆ  เป็นยาตัวเดียวที่มีฤทธิ์ในการรักษาโรคไข้หวัดนกได้ โดยที่หาได้มีหลักฐานทางการแพทย์ใดๆ รองรับไม่
      ที่จริง ยานี้ไม่ไช่เป็นยาต้านเชื้อไวรัสแต่ประการใด แต่เป็นยาลดอาการป่วยจากไข้หวัดเท่านั้น ซ้ำร้ายการใช้ยาทามิฟลูกับผู้ป่วยจากไวรัสไข้หวัดนก จะยังผลให้ไวรัสกลายพันธุ์ไปสู่เชื้อที่ดื้อยา และอันตรายยิ่งขึ้นอีกด้วย  11
      นอกจากนี้ บริษัทโรชก็หาใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ของตัวยาทามิฟลูดังที่หลงเข้าใจกันไม่ บริษัทโรชเป็นเพียงผู้ได้รับสิทธิ์รายเดียวในการผลิตเท่านั้น เจ้าของลิขสิทธิ์ตัวจริงไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่ก็คือบริษัทกิลเลียดของนายรัมส์เฟลอีกนั่นแหละ 12
      ที่ผ่านมา กว่า 40 ประเทศ ได้สั่งซื้อยาทามิฟลูไปแล้วเป็นจำนวนเงินหลายแสนล้านบาท เพียงสหรัฐประเทศเดียวซื้อยานี้ไปแล้วถึง 200 ล้านเม็ด ในราคาเม็ดละประมาณ 400 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 8หมื่นล้านบาท 13 กระทรวงสาธารณสุขไทยเอง ก็สั่งนำเข้ายาตัวนี้ปีละ 1ล้านเม็ดหรือประมาณ 400ล้านบาท 14 ทั้งหมดนี้เท่ากับว่า แผนรับมือไข้หวัดนกของนานาชาติได้ทำกำไรอย่างงดงามให้กับบริษัทของนายรัมส์เฟล เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว

      ทามิฟลูกับเทเลคอม?
      น้อยคนนักจะรู้ว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐ เป็นลูกค้าผู้เช่าสัญญาณดาวเทียมจากเอกชนรายใหญ่ที่สุดของโลก 89% ของรายได้ในธุรกิจดาวเทียมเอกชนทั่วโลก มาจากหน่วยงานนี้เพียงแห่งเดียว นอกจากนี้กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ยังมีแผนที่จะเช่าสัญญาณจากเอกชนเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล ในช่วง 15 ปีข้างหน้า 15
      ในปี 2546 ทางการสหรัฐจ่ายค่าเช่าสัญญาณดาวเทียมไปประมาณ 23,000 ล้านบาท และมีแผนที่จะเพิ่มงบประมาณเป็น 56,000 ล้านบาทต่อปี ไปจนถึงปี 2553 รวมแล้วคิดเป็นรายได้ของธุรกิจดาวเทียมเอกชน ที่จะเพิ่มขึ้นทั้งสิ้นอีก 3.1 แสนล้านบาท 16
      ดังนั้น กระทรวงกลาโหมสหรัฐ จึงเป็นลูกค้ารายสำคัญที่ธุรกิจดาวเทียมเอกชนทุกรายทั่วโลกไม่อาจมองข้าม ทั้งนี้ รวมถึงดาวเทียม “บริษัทชินแซทเทิลไลท์” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีด้วย
      การที่ไทยสั่งซื้อยาทามิฟลู ซึ่งบริษัทของนายรัมส์เฟล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ จึงเป็นการฉายให้เห็นถึงเส้นทางความร่วมมือทางการค้า ระหว่างกลุ่มธุรกิจการเมืองระดับโลก

      วัคซีนไข้หวัดนกป้องกันใครแน่
      เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 ประธานาธิปดีบุชได้เปิดตัวแผนยุทธศาสตร์ป้องกันไข้หวัดนกอย่างเป็นทางการ พร้อมกับเอกสารที่มีเนื้อหาทั้งสิ้น 381 หน้า ตอนหนึ่งนายบุชได้เน้นถึงความจำเป็นที่จะต้องรีบ “ป้องกันความเสียหายให้กับผู้ผลิตวัคซีน ที่จำเป็นในการช่วยชีวิตมนุษย์” เพื่อเป็นแรงจูงใจให้บริษัทผลิตยา เร่งพัฒนาวัคซีนต่อสู้กับโรคระบาดให้ทันการ 17
      ถ้อยความนี้โดยผิวเผินแล้วฟังดูมีเหตุมีผล ทว่า หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า  นี่หมายถึงการประกาศว่า ต่อไปนี้ผู้ป่วยจะไม่มีสิทธิฟ้องร้องเอาผิดกับบริษัทผลิตวัคซีนที่ไม่ได้คุณภาพ หรือมีผลข้างเคียงที่อันตรายอีกต่อไป  
      ทำไม จึงต้องเร่งประกาศนิรโทษกรรมให้บริษัทผลิตวัคซีนที่ทำผิด ก็เพราะเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2547 ทางการสหรัฐได้ว่าจ้างบริษัทแวกส์เจน วิจัยและผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโครงการโล่ป้องกันโรคของสหรัฐไปแล้ว โดยทางการสหรัฐได้ใช้งบประมาณในการว่าจ้างกว่า 32,000 ล้านบาท หรือกว่า 80% ของงบโครงการทั้งหมด 18
      ก่อนหน้านี้ บริษัทนี้เคยล้มเหลวกับการผลิตวัคซีนโรคเอดส์มาแล้ว  อีกทั้งยังไม่เคยผลิตวัคซีนตัวใด ที่สามารถผ่านการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐได้เลย จุดเด่นเพียงประการเดียวที่มีอยู่ คือ นายกอร์ดอน ซีอีโอของบริษัท มีความใกล้ชิดกับดอกเตอร์รัสเซล ผู้บริหารระดับสูงของโครงการโล่ป้องกันโรคของสหรัฐเท่านั้น 19
      ขณะที่ทางการสหรัฐ กล่าวถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการค้นหาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เพื่อต่อสู้กับโรคร้าย แต่ในความเป็นจริงกลับทุ่มงบประมาณไปว่าจ้างบริษัทที่ไร้ประสิทธิภาพมาวิจัย มิหนำซ้ำอาสาจะปกป้องความเสียหายให้ด้วย  ดูคล้ายกับธุรกิจการเมืองเบื้องหลังยาต้านไวรัสทามิฟลู

      ไข้หวัดนกกับแผนป้องกันอะไรน่ากลัวกว่ากัน
      หลายฝ่ายแสดงความเห็นว่า อีกไม่ช้าก็เร็ว ไวรัสไข้หวัดนกจะกลายพันธุ์เป็นโรคระบาดที่สามารถติดต่อจากคนสู่คนอย่างแน่นอน และอาจมีผู้เสียชีวิตถึงหลายสิบล้านคนทั่วโลก ดังที่เคยเกิดขึ้นจากการระบาดของไข้หวัดสเปน เมื่อกว่า 90 ปีมาแล้ว
      ข้อมูลที่ขาดหายไป ก็คือ ไข้หวัดสเปนเป็นไวรัสในคนที่ได้รับยีนมาจากสัตว์ปีก ดังนั้น จึงติดต่อจากคนสู่คนได้ง่าย ตรงกันข้ามไวรัสไข้หวัดนก ซึ่งกำลังเป็นที่หวาดกลัวอยู่ในขณะนี้ เป็นไวรัสในสัตว์ปีก ที่แม้จะสามารถติดต่อสู่คนได้ แต่ก็ไม่ไช่โดยง่าย 20 และโดยธรรมชาติแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่ไวรัสนี้จะกลายพันธุ์มาเป็นไวรัสคนได้
      ในแต่ละปี ทวีปอเมริกาเหนือมีผู้เสียชีวิตจากโรคหวัดต่างๆ ประมาณ 40,000 คน ทว่า ขณะนี้กลับมีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดนกทั่วโลกเพียง 67 คนเท่านั้น ขณะที่มีผู้เสียชีวิตจากยาทามิฟลูไปแล้วถึง 102 คน  21
      หลายท่านอาจจะจำข่าวไข้หวัดหมูระบาด เมื่อปี 2529 ได้ เช่นเดียวกันกับไข้หวัดนกในวันนี้ที่หลายฝ่ายเชื่อว่า จะกลายเป็นโรคระบาดที่มีความรุนแรงเทียบเท่ากรณีไข้หวัดสเปน ครั้งนั้น เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในสหรัฐอเมริกา จากการตายของทหารในค่ายฟอร์ดดิกส์ รัฐนิวเจอร์ซี่เพียงรายเดียว
      จากนั้น ทางการสหรัฐก็ได้สั่งฉีดวัคซีนให้กับทหารและชาวอเมริกันไปกว่า 40 ล้านคน ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากวัคซีนนี้ทั้งสิ้น 25 คน และอีกเป็นพันคนต้องพิการไปตลอดชีวิต ทั้งนี้ การระบาดทั่วโลกก็มิได้เกิดขึ้นจริงตามที่คาดการณ์ไว้แต่ประการใด  ลงท้ายทั่วทั้งโลกมีผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดหมูเพียงหนึ่งรายเท่านั้น
      เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐในขณะนั้น เป็นคนเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมคนปัจจุบัน ที่ชื่อ “นายโดนัล รัมส์เฟล”
      ไม่มีใครทำนายได้ว่า ในการต่อสู้กับไข้หวัดนกครั้งนี้ จะมีสักอีกกี่ชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับการแปรรูปความกลัวให้เป็นกำไร โดยกลุ่มธุรกิจการเมืองกลุ่มนี้อีก

      เรื่องเท็จรวมศูนย์กับเรื่องจริงไร้ศูนย์
      ภายใต้ยุคแห่งเศรษฐกิจขายความกลัวนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับการทำสงครามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามกับการก่อการร้าย สงครามกับโรคระบาด สงครามกับยาเสพติด หรือสงครามกับความยากจน เรื่องราวเหล่านี้ ล้วนถูกเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเป็นจุดขายโดยกลุ่มธุรกิจการเมืองที่โยงใยกันทั้งโลก ให้ดูเหมือนว่าพวกเขามุ่งมั่นที่จะเอาชนะสิ่งเหล่านี้ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
      ขณะที่สงครามที่แท้จริงของประชาชน คือ สงครามต่อสู้กับการครอบงำจากพวกเขาต่างหาก
      หัวใจในการขายความกลัว อยู่ที่อำนาจในการกระจายข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อที่พวกเขาควบคุม คือ วิทยุ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์ ในอดีตมีแต่พวกเขาเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น ที่สามารถกระจายข้อมูลออกสู่ผู้คนจำนวนมาก (one to many) ได้
      ทว่า วันนี้อำนาจในการกระจายข้อมูลข่าวสาร ไม่ได้ตกอยู่กับพวกเขาฝ่ายเดียวอีกต่อไป
      พัฒนาการทางการติดต่อสื่อสาร เช่น อินเตอร์เนต การส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์ หรือเอสเอ็มเอส  และวีซีดี เป็นต้น ได้ทำให้ผู้คนธรรมดาๆ ที่ไร้อำนาจทั่วโลก สามารถสื่อสารกับผู้คนจำนวนมาก(many to many) ได้เช่นกัน
      ด้วยอำนาจในการแลกเปลี่ยน ตรวจสอบและคัดสรรข้อมูลข่าวสารกันเอง ผู้คนทั่วโลกก็สามารถเข้าถึงความจริงที่ไม่มีทางหาเจอในสื่อกระแสหลักได้

      สรุป
      ไม่ว่าจะเป็นกรณีมฤตยูไข้หวัดนก หรือกรณีอื่นๆ ก็ตาม สิ่งที่บรรดาซีอีโอของเครือข่ายธุรกิจการเมืองโลกบอกกับเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็คือ พวกเขาเท่านั้นที่รู้ข้อเท็จจริง ดังนั้น เราจึงต้องเชื่อพวกเขา
      แน่นอน หากพวกเรายังคงหลงเชื่อกับข้อมูลเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เราจะตกเป็นฝ่ายถูกเอาเปรียบดังที่ผ่านมาแล้ว ทั้งชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเรา ก็จะพลอยตกอยู่ในอันตรายไปด้วย
      หันมาช่วยกันค้นหาความจริงเพื่อปกป้องตัวเองจากพวกเขากันดีกว่า


      +++ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ยินดีให้เผยแพร่
      +++ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://nokkrob.org
      1. www.mercola.com จาก น.ส.พ Washington Post  28/092001หน้า w08
      2. www.globalresearch.ca “Bird Flu:A corporate Bonanza for the Biotech Industry” F.Williams Engdahl M.D 6/11/05
      3.เพิ่งอ้าง
      4.เพิ่งอ้าง
      5.เพิ่งอ้าง
      6.เพิ่งอ้าง
      7.เพิ่งอ้าง
      8.เพิ่งอ้าง
      9. เอกสารประชาสำพันธุ์ของบริษัท Gilead Sciences Inc.ปี1997
      10. “Bird Flu…….”
      11.www.mercola.com “Who owns the Rights to Tamiflu” Dr.Joseph Mercola 26/10/2005
      12.เพิ่งอ้าง
      13 เพิ่งอ้าง
      14.www.siamrath.co.th 30/10/2548
      15.www.satnews.com 16/03/2005
      16.เพิ่งอ้าง
      17.“Bird Flu…”
      18.www.thenation.com ‘Germs boy and yes men’ Jeremy Scahil , 14/11/2005
      19.เพิ่งอ้าง
      20.www.washingtonpost.com  ‘Flu threat Exaggerated?’ Wendy Orent 17/11/2005
      21.www.knowledgeofhealth.com

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×