ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แค่ตามใจ... รักวุ่นวายของผู้ชายหัวตีฟ[yaoi]

    ลำดับตอนที่ #8 : 5th

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 54


    ร่างขาวก้าวออกจากลิฟต์  ในมือมีถุงพลาสติกใส่ข้าวกล่องสองกล่องที่กะเอามากินกับไอ้เพื่อนตัวแสบที่มุดหัวอยู่ในห้องไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน  ไม่รู้อะไรนักหนา  อยากจะเข้าใจมันอยู่หรอก 

    แต่อย่างว่า  คนอย่างเขามันไม่เคยถูกปฏิเสธ

    เคาะประตูได้ไม่นานประตูห้องก็เปิดออกโดยเจ้าของสีหน้ามึนๆ  ดวงตาลึกโหลและดูล่องลอย...ไม่เหมือนเพื่อนเขาซักนิด

    ไม่มีคำทักทาย  การพยักหน้าเพียงนิดเดียวก็หมายถึงการอนุญาต  ร่างเล็กเบี่ยงตัวเข้าห้อง ก่อนจะจัดการเตรียมอาหารกลางวันบนโต๊ะอย่างถือวิสาสะ

    “กูรู้ว่ามึงขี้เกียจล้าง  แดกแม่งในกล่องนี่แหละ”  พูดอย่างอารมณ์ดีขณะเดินไปหยิบช้อนส้อมมาให้  ฟูลอบมองเรียวปากหยักสวยที่ยกยิ้มขึ้นแวบหนึ่ง

    แค่นั้นก็มากพอแล้ว

    ข้าวกลางวันผ่านไปอย่างเงียบที่สุดเท่าที่มันจะสามารถเกิดขึ้นได้  และตามนิสัยถาวรอันเกือบจะเรียกเป็นสันดานของคนตัวเล็กกว่า  มือขาวๆเคาะบุหรี่ออกมาจุดสูบหลังมื้ออาหาร

    “ฟู  ขอได้ปะ”  ประโยคแรกที่ชลเอ่ยปากในวันนี้เป็นน้ำเสียงขอร้องอย่างที่อีกคนไม่เคยได้ยิน

    นิ้วขาวๆเคาะอีกมวนออกจากซองส่งให้  แต่สิ่งที่ได้รับคือการส่ายหน้า

    “ไม่  กูหมายถึง มึงน่ะ เลิกสูบได้มั้ย”

    ปากอิ่มแย้มออกทั้งที่ยังคาบบุหรี่มวนหนึ่งอยู่  มือขาวคีบมันออกมาถือไว้ก่อนจะโต้กลับอย่างเจ็บแสบ

    “มึงเป็นใครชล  แม่กูขอกูยังไม่เลิกเลย”  เลิกคิ้วกวนอารมณ์ก่อนจะพ่นควันขาวๆใส่หน้าหล่อๆของเจ้าของห้องที่ดูจะช็อกกับประโยคเมื่อครู่    เพียงครู่เดียวความช็อกที่ว่าก็ย้ายฝั่งมาเข้าสิงอีกคน  เมื่อร่างเล็กกว่าอัดควันร้อนๆเข้าปอด  แต่ไม่ทันไรมือใหญ่แข็งแรงข้างหนึ่งก็คว้าข้อมือที่นิ้วขาวๆกำลังคีบบุหรี่อยู่   มืออีกข้างล็อกท้ายทอยของคนที่ยังไม่ทันตั้งตัว  และไวกว่าความคาดหมายใดๆ เรียวปากหยักได้รูปประกบเข้ากับปากอิ่มของอีกฝ่าย  สูบเอาควันกรุ่นเมื่อครู่ไปจนหมด

    สำลักกันไปทั้งคู่

    หลังจากไอจนแทบหมดแรง  หมัดลุ่นๆจากร่างเล็กที่ตั้งตัวได้ก่อนก็ซัดเปรี้ยงเข้าให้ที่ใบหน้าไอ้คนที่เล่นพิเรนทร์เมื่อครู่  ชลยืนนิ่ง  ไม่ได้ปัดป้องทั้งที่ทำได้  ตาคมลอบมองใบหน้าขาวที่กลายเป็นสีแดงจัด  ไม่รู้เพราะการสำลักเมื่อครู่ หรือเพราะความโกรธที่พุ่งสูงจนปรอทแทบแตก

     

    “ไอ้สัด  กูก็เป็นห่วงกลัวแม่งจะอดตาย  แล้วนี่มึงทำเหี้ยไรเนี่ย  คิดถึงพี่กันย์แล้วมาทำกับกูแบบเนี้ยนะ   มึงมันเหี้ยมากรู้ตัวปะ”

    ปังง!!!

     

    Foo’s view

    ผมวิ่งลงบันไดหนีไฟมาด้วยไม่มีกะใจจะรอลิฟต์   เรื่องไอ้ชล เหอะ ไม่ต้องหวังครับมันไม่มาหรอก

    เพราะปกติผมเองที่เป็นฝ่ายตามมันตลอด

     

    หยุดวิ่งเมื่อถึงครึ่งทาง  ชั้น 12

    เพิ่งรู้ตัวว่าหายใจลำบากกว่าครั้งก่อนที่วิ่งลงมาด้วยกัน  เพราะตอนนี้ผมไม่ได้แค่หอบ

    ...ผมกำลังสะอื้น...

    แข้งขาทรุดลงอย่างหมดแรง  ปล่อยน้ำตาไหลโดยที่ไม่คิดจะกลั้นหรือแม้แต่ปาดมันออกให้พ้นทาง

    มันจะรู้สึกอะไรหรือเปล่าไม่รู้  แต่ผมเจ็บ 

    ปีครึ่งที่เป็นเพื่อนห่างๆของมัน  กับอีกเกือบครึ่งปีที่เป็นเพื่อนสนิท  คุณอาจจะคิดว่ามันเร็วเกินไป  แต่จริงๆมันไม่เร็วเลยสำหรับผม  ทุกอย่างมันช้าเกินไปด้วยซ้ำ

    เกือบปีที่ผมรู้ว่ามันแอบชอบรุ่นพี่คนนึง ตกใจเหมือนกันว่าที่แทนที่จะเป็นรุ่นพี่สวยๆหุ่นเป๊ะๆอย่างที่ผมเล็งไว้  กลายเป็นรุ่นพี่รูปหล่อ ตัวเล็กๆคนนั้นไปได้

    ผู้ชายหน้าหล่อ พ่อรวย แถมยังเรียนโคตรเก่งอย่างชล วันๆผู้หญิงแทบจะต่อแถวเข้ามาให้มันเลือก  แรกๆมันก็ดูมีความสุขดีกับการเหล่คนนู้นที หยอกคนนั้นทีตามประสาผู้ชายรักสนุก  แต่หลังจากวันนั้น ชลก็ไม่เหมือนเดิมอีก

    ผมกับมัน (ซึ่งตอนนั้นยังไม่สนิทกันมาก) ถูกหัวหน้าห้องจอมเผด็จการใช้ให้ไปยกหนังสือจากห้องชมรมวารสาร  ซึ่งเด็ก ม.4 เพิ่งเข้าใหม่อย่างผมสองคนเพิ่งจะเคยได้ยินชื่อห้องเป็นครั้งแรก

    “มันมีห้องนี้อยู่ในโรงเรียนด้วยเหรอวะ”  ผมเดินเกาหัวอย่างอารมณ์เสีย หลังจากวนมาเจอตึกเก่าๆโทรมๆนี้มาเป็นรอบที่สาม

    “มีดิ  ก็เห็นไอ้ต่อมันบอกว่าอยู่ชั้นสองตึกสอง”

    “แล้วตึกสองมันอยู่ไหนนนน” ผมชักยั้วะ  เหนื่อยครับ ร้อนด้วย  หิวนิดๆอีกต่างหาก  แล้วมาใช้งานผมตอนพักครึ่งของช่วงบ่ายเนี่ย  เสียเวลานอนมากๆ

    “เห้ยเดี๋ยว!  นั่นพี่สายเราปะวะ??”  ไอ้คนตาไวข้างๆผมเหลือบไปเห็นรุ่นพี่คนนึงหอบเอกสารปึกเบ้อเริ่มก้าวเร็วๆผ่านหน้าไป  เออ คุ้นๆเหมือนจะใช่ครับ แต่ไม่แน่ใจ พี่ๆผู้ชายผมไม่ค่อยได้จำ

    ไม่ใช่ไม่รักนะ  แค่ใส่ใจน้อยนิดนึง

    “ฟู มึงเรียกดิ  พี่เค้าชื่ออะไรนะ”  ชลเขย่าขายาวๆของมันด้วยอาการลน  เมื่อที่พึ่งหนึ่งเดียวสาวเท้าไกลออกไปเรื่อยๆ

    “โอ่ยยยย” แล้วมึงมาถามกูเนี่ยย  ความจำกูดีมากเลยนะสาดดดด   ว่าแต่ก็คลับคล้ายคลับคลา  เหมือนจะนึกออก  พี่..

    “พี่กะ.. พี่กุน? ไม่  พี่กันย์!!  พี่กันย์ครับ”

    รุ่นพี่ที่ถูกเรียกหันมาทำหน้าเหรอหรา  ฮ่าๆ แสดงว่าผมเรียกถูกใช่มั้ยครับ

    “อ้าว  น้องสายนี่” พี่คนเดิมหันมายิ้ม  ยกเอกสารปึกเท่าบ้านขึ้นบังแดดจ้ายามบ่ายที่แยงตาเรายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด “มีอะไรครับ”

    ไม่รู้เพราะรอยยิ้มใจดีของของพี่รึเปล่าที่ทำให้ผมเห็นว่าพี่กันย์เป็นคนน่ารักเอามากๆ ตาสีน้ำตาลใส จมูกรั้นๆกับปากสีชมพูส้มที่สาบานได้ว่าไม่เหมือนสีลิปสติกแบรนด์ไหนที่ผมเคยเห็น 

    หล่อว่ะครับ   อิจฉา

    “พี่กันย์ครับ  ห้องวารสารมันอยู่ตรงไหน  คือผมกับเพื่อนจะไปเอาหนังสือแต่ แบบ หลงอะ  แหะๆ”

    “อ๋ออ..” ตาสีน้ำตาลคู่นั้นกระพริบปริบๆ “นี่ๆ  น้องเห็นจามจุรีต้นนั้นมั้ย  เดินตรงไปนะ  ไปเรื่อยๆแล้วมันก็จะเจอสนาม  สนามที่มีน้ำพุน่ะนะ แล้วก็เดินไปอีกจนสุดมุม เลี้ยวซ้าย แล้วก็เดินตรงไป  เห็นสนามวอลเล่มั้ย เลยสนามวอลเล่ไปอีก เดินไปจนสุดตรงที่เป็นสวนหินข้างๆนั่นอะแล้วก็เลี้ยวซ้าย  น้องขึ้นตึกไปเลย  บันไดซ้ายนะ  ข้างขวาห้ามขึ้น  พอขึ้นบันไดแล้ว  เอ่อ..  พี่พาไปดีกว่า”  พี่กันย์ตัดบทขำๆกับอาการเอ๋อบริโภคของเด็กสองคนที่ยืนอ้าปากหวอฟังคำบอกทางที่ต่อให้ฟังซ้ำอีกทีก็คงจำไม่ได้  เรายกมือไหว้ขอบคุณพี่กันย์แล้วเดินตามอย่างว่าง่าย

    ถึงห้องวารสารก็เล่นเอาหืดจับ

    “ไงกันย์  เอารายชื่อน้องมาส่งเหรอ”  พี่ธุรการในชุดฟอร์มเอ่ยถามขึ้นอย่างสนิทสนม

    “เปล่าครับ  เอาน้องมาส่ง” ตาสวยคู่นั้นเหลือบมองมาทางผม “รับวารสารรายปีกับเอกสารประชาสัมพันธ์เรื่องเลือกตั้งประธานนักเรียนครับ”

    เป๊ะครับ  ชื่อหนังสือที่ผมกับชลจำได้คนละครึ่ง  กับเอกสารอีกอย่างที่เราสองคนลืมไปสนิท

    “แล้วในมือนั่น..”

    “อ๋อ  อันนี้ส่งอาจารย์บัณฑิตครับ”

    “อ้าว  งั้นรีบไปๆเดี๋ยวหมดพัก” พี่ธุรการโบกไม้โบกมือไล่พี่กันย์ยกใหญ่  พลางชี้มือมายังหนังสือสีสวยกองโตข้างตู้กับเอกสารโรเนียวกระดาษขาวอีกปึกหนึ่ง “ของไอ้หนูกองนี้ลูก”

    พี่กันย์หันมาโบกมือลาพวกผมก่อนจะหมุนตัววิ่งฉิวออกจากห้องไป  ผมมารู้ที่หลังว่าจุดหมายพี่กันย์ในตอนแรกคือห้องพักครูตึกที่อยู่อีกฟากของโรงเรียน  อาจารย์บัณฑิตที่พูดถึงนั่นก็โหดอันดับต้นๆของโลก (ผมเว่อร์ครับ  เอาเป็นว่าโหดมากจนพี่ ม.6 แก่พรรษายังไม่กล้าแหยมละกัน) ผมนึกขอบคุณพี่กันย์มากขึ้นอีกเป็นสองสามเท่าหลังจากที่รู้

    สงสัยอะไรเหรอครับ  อ๋อ ผมคงลืมเล่าสินะว่าไอ้ชลมันมองพี่กันย์จนลับสายตา ไม่แปลกหรอกที่จะลืม  ตอนนั้นผมแทบไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำถ้าไม่ใช่ว่ามันปล่อยผมก้มหยิบวารสารตั้งนั้นอยู่คนเดียว ปวดหลังจะแย่

    หลังจากนั้นระดับความหน้าหม้อของมันลดลงเป็นสิบเท่าเลยครับ  กิริยาหมาจิ้งจอกหยอกไก่ประจำตัวมันก็แทบไม่มีให้เห็นแล้ว  สาวๆตัดพ้อกันยกใหญ่ว่าเดี๋ยวนี้ชลหยิ่ง อันที่จริงก็ไม่หรอกครับ มันก็ยังพูดคุยตามปกติ ยังยิ้มแย้มให้ชาวบ้านร้านตลาดตามนิสัยมัน แต่สายตากรุ้มกริ่มตามปกตินั้นมันหายไป

    ตอนนั้นผมยังไม่รู้ ว่าดวงตาคู่นั้นมันสอดส่องหาใครคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×