ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แค่ตามใจ... รักวุ่นวายของผู้ชายหัวตีฟ[yaoi]

    ลำดับตอนที่ #4 : 3rd 80%

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 54


              Rrrrrrrrrrrrrrrrrr

    เสียงอะไร

    Rrrrrrrrrrrrrrrrrr

    คุ้นๆนะคุณว่ามั้ย

    เหมือนอะไรซักอย่างที่ผมเคยได้ยินก่อนหน้านี้

    อะไรนะ...

    .

    .

    .

    อ๋อ!!!!  มือถือผมครับ

    ถึงจะงัวเงียแต่ก็พยายามควานหาโทรศัพท์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  เพราะดูท่าทางปลายสายจะรอมานานพอสมควรแล้ว  ผมกดรับทั้งๆที่ตายังไม่เปิดดี

    “ครับ  กันย์ครับ” โห  นี่เสียงผมมันแห้งขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย  รู้ตัวแล้วก็กระแอมไปติดๆกันสองทีแต่มันก็ดูจะไม่ช่วยอะไรมากนัก

    “ฮัลโหลพี่กันย์  คุยได้มั้ยครับ”  เสียงคุ้นอีกแล้ว  ผมหยีตาดูหน้าจอโทรศัพท์เพื่อดูชื่อคู่สนทนาอย่างยากเย็น  ชล?? อ้อ รุ่นน้องที่ชมรมครับ เป็นน้องดรัมฯด้วย  หล่อมาก!! ยกให้ใกล้เคียงกับผมเลย ฮ่าๆๆๆ  ว่าแต่มันโทรมาทำไมกลางค่ำกลางคืนเนี่ย  ผมจะนอน!

    “ได้ๆ มีอะไร”

    “ผมโทรมาปลุกพี่รึเปล่าครับ”  ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงติดกังวล

    “อันที่จริงก็ใช่แฮะ  เหอะๆ ช่างมันเถอะไหนๆก็ตื่นแล้ว”

    “ขอโทษครับ   เอ่อ ทำไมวันศุกร์พี่กันย์ไม่มาโรงเรียนละครับ”

    วันศุกร์?  เอ๊ะ  เมื่อวานวันพฤหัสไม่ใช่เหรอ  เมื่อวานที่ผมไปบ้านทาร์ตแล้วจำได้ว่าไข้ขึ้นนิดหน่อย ตอนเช้าผมก็สะโหลสะเหลกลับบ้านทั้งๆที่โดนยื้อให้อยู่ต่อ วันนี้มันก็น่าจะเป็นวันศุกร์  แล้วทำไมชลไม่ถามว่าทำไมวันนี้ไม่ไปโรงเรียนล่ะ  ทำไมต้องเรียกวันนี้ว่าวันศุกร์   หรือว่า...

    “พี่ไม่สบายนิดหน่อย   เดี๋ยว ชล  วันนี้วันอะไรนะ”

    “บายสองครึ่งวันเสาร์ครับ”

    อ๋อ  ที่แท้ก็บ่ายสองครึ่ง วันส..

     

    เห้ยยยย!!!!!!!

    อะไรวะ  ช่วงเวลาวันศุกร์ในชีวิตผมมันหายไปไหนเนี่ย  แล้วนี่มันบ่ายสองครึ่ง  แต่ทำไมผมง่วงเหมือนโดนปลุกมาตอนตีสองครึ่ง  ผมขยี้ตาปลุกตัวเองอย่างด่วนแล้วหันกลับไปดูนาฬิกาดิจิตอลที่หัวเตียง  ซึ่งมันโชว์ SAT 2:33 pm หรา

    หลับข้ามวันมันเป็นแบบนี้นี่เอง

    “อ่อ  ขอโทษที พี่ลืมตื่นไปเรียน  ฮ่าๆๆ” ผมสารภาพพร้อมหัวเราะกลบเกลื่อน  คุณคิดว่าน้องมันจะยังศรัทธาผมอยู่มั้ยครับ

    “ไม่สบายไม่นิดมั้งครับเนี่ย”

    “เห้ย  ไม่เป็นไร หายแล้วๆ” อนุมานเอาจากอาการปวดหัวที่ลดลงจนเกือบเป็นปกติ  ผมไม่อยากให้มันเป็นห่วงมาก  ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ  แต่เจ้าเด็กนี่มันขี้กังวลจริงๆ

    “ครับๆ หายก็หาย”  ผมนึกออกเลยว่าชลทำหน้าแบบไหนอยู่ “ผมว่าจะชวนพี่ไปหาอะไรกินพอดี  พรุ่งนี้ว่างมั้ยอะพี่กันย์”

    “ได้ๆ  หลังบ่ายสามนะ” นึกทวนตารางเรียนด้วยสมองมึนๆ

    “งั้นสี่โมงเย็น  สตาร์บัคส์สยามนะครับ”  ผมคงคิดไปเองว่าเสียงทุ้มนั่นเจือความตื่นเต้นไว้มากกว่าปกติ  เมื่อก่อนชลกับผมออกไปหาอะไรกินหรือเดินเล่นด้วยกันก็บ่อย  มีช่วงหลังๆนี่แหละที่ผมยุ่งจนไม่ได้กระดิกตัวไปไหน งานอดิเรกของผมอย่างนึงคือเลือกเสื้อผ้าให้มันครับ  แหม่ ก็น้องผมคนนี้น่ะออกจะหล่อลาก หุ่นก็ดีซะปานนั้น แต่ดันแต่งตัวไม่เป็น  ผมเห็นแล้วขัดหูขัดตาเลยจับมันแต่งหล่อซะหน่อย  อันที่จริงผมก็ไม่ได้เปรี้ยวอะไรหรอกครับ เป็นมากกว่ามันนิดเดียวเท่านั้นแหละ

     

     

    ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเหมือนเดิม ข่มตาให้หลับ พยายามไล่ภาพใครบางคนออกจากมโนสำนึก

    ...แต่ผมก็ทำไม่ได้...

    ภาพตาคู่เรียวกับปากหนาที่หยักยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่นยังตามหลอกหลอนอยู่ ผมไม่รู้ว่าไอ้ความวูบโหวงในอกตอนนี้สมควรเรียกว่าอะไร

    เสียดาย?

    ในเมื่อผมไม่คิดจะครอบครองตั้งแต่แรก  คงใช้คำนี้ไม่ได้ 

    แต่ที่สำคัญคือผมไม่แน่ใจว่าผมหวังอะไร  นึกโทษตัวเองที่ไม่ใส่ใจจะหาความชัดเจนให้มันตั้งแต่ต้น  ปล่อยให้คลุมเครือจนในที่สุดก็ต้องมาเสียใจแบบนี้

    ผมคว้าหมอนใกล้ตัวมากอดแน่น  ซบหน้าลงแล้วปล่อยน้ำตาไหลเงียบๆ  ปลอบตัวเองว่านี่คือสิ่งที่ผม – คนไม่เอาไหนคนนี้ สมควรได้รับแล้ว

     

    วันอาทิตย์ ผมลากสังขารไปเรียนแบบเบลอๆ  อาการไข้หายสนิทแล้ว  แต่ตายังคงลอยๆปรับโฟกัสไม่ได้  ซึ่งผมคิด(เอาเอง)ว่าเป็นเพราะนอนมากไป  นั่นส่งผลให้งานผมมันเละเป็นโจ๊ก  อะไรก็ตามที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นมันไม่ได้ดูเหมือนเส้นสายที่มนุษย์วาดเลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้นผมยังเผลอชะเง้อหาคนบางคนโดยไม่รู้ตัว  แล้วก็ต้องส่ายหน้าเนือยๆให้กับตัวเองที่ลืมไปว่าผมย้ายวันเรียนแล้ว และนี่มันวันอาทิตย์ ไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำผมเหม่อน่ะมันไปโบสถ์!   แถมตอนเลิกก็โดนพี่ที่สอนสวดยับเรื่องไม่มีสมาธิ 

    โธ่!  พี่ครับ... อย่าว่าแต่สมาธิเลย  ถามหาสติผมตอนนี้ยังยาก!

    เลิกเรียนบ่ายสาม  แต่กว่าจะได้ออกมาจริงๆก็เกือบบ่ายสามครึ่ง  ถูกพี่ๆใช้ให้กวาดห้องเรียนเนื่องจากขี้ยางลบที่ผมใช้น่ะมันกองเท่าเขาพระสุเมรุ  ปกติผมใช้ไม่เปลืองหรอกนะ  แต่วันนี้มันข้อยกเว้น

    “เห้ย! ไอ้กันย์  ถังนี้ๆ”  พี่คนหนึ่งพูดขึ้นขณะผมกำลังจะเทไอ้ขุยสีเทาๆในที่ตักผงลงถังเก็บอะไรซักอย่างที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นถังขยะ  ขนาดทิ้งขี้ยางลบยังผิดที่เลยครับ คิดดู

    “ขอโทษครับพี่”

    “มึงเป็นไรป่าวเนี่ยวันนี้  กูเห็นเหม่อๆหลายทีแล้ว”

    “เพิ่งหายไข้น่ะครับ  ยังมึนๆอยู่”  ผมตอบความจริงไปส่วนหนึ่ง  เพราะอีกส่วนก็ไม่รู้จะบอกไปทำไม  พี่ต้นเงียบไปนาน  ปล่อยผมกวาดไอ้ผงบ้าๆนั่นต่อไป

    “อกหักเหรอวะ??” 

    คำถามที่ผุดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาผมสะดุ้งจนเผลอปล่อยไม้กวาดหลุดมือ

    นี่ขนาดผมไม่บอก  พี่ยังจะรู้ดีได้อีกนะครับ  เหอะๆ

    “จริงด้วยวุ้ย ฮ่าๆๆๆ   ตลกว่ะ หน้าอย่างมึงเนี่ยนะอกหัก  ผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธน้องกันย์ของพี่วะ ฮะ  หล่อกว่านี้ก็หายากแล้วนะเว้ยย” 

    ผมหันไปยิ้มแห้งๆให้เพราะไม่รู้ว่าทำอะไรได้มากกว่านั้น   เคาะที่ตักผงกับถังขยะ(ของจริง)เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเอาไปเก็บ

    “กันย์  ตอนนี้เลิกคิดก่อนเหอะ  อย่าให้อะไรมากวนใจมึงเลย  เด็กเซ้นสิทีฟอย่างมึงนี่เขวง่ายชิบหาย  กูละกลัวใจจริงๆ”  ความล้อเล่นเหือดหายไป  เหลือแต่เพียงน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยเท่านั้นที่ออกจากปากพี่ต้น  ผมจ้องตอบดวงตาที่มองมาอย่างจริงใจ  ก่อนจะยกยิ้มอ่อนแรงให้

    “เอาเหอะวะ  รูปหล่อ พ่อรวย  เข้ามหาลัยขี้คร้านหญิงจะตามให้รึ่ม  มึงจะเอาดีกว่านั้นซักกี่คนก็ได้  เชื่อกู”   พี่ต้นเอื้อมมือมาตบบ่าผม

    “ครับ”  ผมตอบเสียงแผ่ว  จะบอกพี่ยังไงล่ะว่าถ้าทุกอย่างดำเนินไปตามทางของมันอย่างที่พี่บอกจริงๆผมกับมันคงต้องเรียนด้วยกันไปอีกห้าปี  ยังนึกสภาพไม่ออกเลยว่าตัวเองจะตัดใจอีท่าไหนได้  แล้วเรื่องจะเปลี่ยนใจไปเรียนที่อื่นนี่เลิกคิดเลยครับ  ทาร์ตมันได้ตัดเพื่อนกับผมแน่ๆถ้าผมทำด้วยเหตุผลแบบนั้น

                เอาวะ!  อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด  คนอย่างผมไม่ตายด้วยเรื่องแค่นี้หรอก

               จ้ำพรวดมาถึงสยามด้วยความที่กลัวว่าจะสาย  เลยกลายเป็นมาก่อนเวลาไปซะฉิบ  ดีเหมือนกัน จะได้มารอน้องมันซะบ้าง  ปกติผมเลทตลอดเลยครับเวลานัดกับชลเนี่ย  
    ไม่รู้ทำไม  มีตั้งแต่สิบนาทีไปจนถึงชั่วโมงกว่า   เอาเป็นว่าผมแทบไม่เคยไปทันอะ  (ฟังดูแย่เนอะ)  แต่เจ้าเด็กนั่นไม่เคยว่าอะไรผมเลยครับ  จำได้ว่าตอนสายชั่วโมงกว่านั่นผมวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปในมิลค์พลัส ที่ชลทำก็แค่เงยหน้าจากแก้วกาแฟของตัวเองมายิ้มเผล่ให้ผมแล้วก็บอกว่า

                “กำลังจะโทรหาพอดี”

                เชื่อมันเลย

     

                ผมเดินเข้าร้านกาแฟชื่อดังด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม  กะจะจัดเซอร์ไพรส์เล็กๆให้ชลซะหน่อย  แต่ความคิดผมก็ต้องชะงักเพราะความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้รับ   อยากรู้มั้ยครับว่าอะไร

               

     ความรู้ใหม่ก็คือ...

     ถ้าจะมารอชลเนี่ย     มาก่อนเวลานัดสิบเจ็ดนาที...

    ...ช้าไปครับ!!

    ผมแทบสะดุดขาตัวเองเมื่อเห็นเจ้าตัวนั่งหล่ออยู่ที่โต๊ะประจำ 

    “วันนี้มาเร็วจัง” เงยขึ้นจากนิตยสารในมือมายิ้มให้ผมเหมือนเดิม หมอนี่ยิ้มสวยครับ   สาวแท้สาวเทียมเห็นละย้วยกันเป็นแถบ  ผมก็ชอบมองมันนะว่าที่จริง

    “มารอนานยังอะ”  ผมเลียบๆเคียงๆถามขณะหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

    “เพิ่งมาครับ” ปิดนิตยสารเล่มเดิมแล้วยิ้มให้ผมต่อ  ริมฝีปากล่างถูกกัดจนซีดขาว

    ผมเหลือบมองกาแฟที่พร่องไปเกือบหมด น้ำแข็งที่เริ่มละลายและหยดน้ำรอบแก้วก็พอจะเดาได้ว่าชลไม่ได้ เพิ่งมาอย่างที่บอก

    “เอาจริงๆ  มานานยัง”  ผมถามซ้ำ  ยิ้มให้ไปนิดนึงไม่ให้มันรู้สึกว่าโดนดุ   คิ้วเข้มที่โก่งสวยจนน่าอิจฉาคู่นั้นเลิกขึ้นอย่างกวนอารมณ์ผมนิดหน่อย ก่อนจะตอบแบบไม่จริงจังนัก

    “ก็แป๊บนึง”

    ผมถอนใจ 

    “มาก่อนแบบนี้ทุกครั้งปะเนี่ย”  พอนึกได้ว่าตัวเองมาทีหลังตลอดก็เริ่มเกรงใจ  รู้สึกแย่นิดๆครับ

    “ก็เกือบๆ  แต่ปกติไม่ได้เร็วขนาดนี้หรอกครับ”

    “อ๋อ วันนี้พิเศษสินะ”  ยิ้มล้อๆแซวมันไป  ไม่คิดว่าผลลัพธ์จะชัดเจนเกินคาด  ตาคมเบิกกว้างขึ้นแวบหนึ่ง ใบหน้าหล่อนั่นแดงลามไปจนถึงใบหู  น่าแกล้งต่อจริงๆ

    “งั้นมั้งครับ” อ้อมแอ้มตอบผมไม่เต็มปากนัก  ตาสวยๆเสมองไปทางอื่นขณะเจ้าตัวกัดริมฝีปากแน่น  อะไรของมันเนี่ย   “ไปเดินเล่นกันเหอะพี่กันย์” ชลเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว  แกช่วยมี By the way บอกพี่บ้างอะไรบ้างเห้ยยย

    เหตุการณ์เดิมๆเหมือนหนังฉายซ้ำครับ  เราสองคนเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้  ลองโน่นลองนี่วุ่นวายไปหมด  สนุกจัง แอบอิจฉาชลนิดๆที่ใส่อะไรก็ดูดีไปซะทุกอย่าง  ผมอดแซวมันไม่ได้ว่าอย่าเป็นเลยวิศวงวิศวะ  เป็นนายแบบท่าจะรุ่งกว่า   

    เพิ่งรู้ตัวว่าผมไม่ได้มาเดินเล่นกับชลนานแล้ว  ชีวิต ม 6 มันสนุกจนแซ่บก็จริง  แต่มันก็พรากอะไรหลายอย่างไปจากชีวิตผม  หลายอย่างที่เรียบง่าย  แต่ทำให้รู้สึกดี...

    “พี่กันย์เหม่อจังครับ”  เจ้าตัวทักขึ้นขณะหยิบหมวกแก๊ปสีน้ำตาลมาสวมให้    ผมมองลอดปีกหมวกไปสบตาสีเข้มจัดคู่นั้น  ประกายอ่อนโยนที่หาได้ยากในยามปกติทำให้มันดูน่ามองขึ้นเป็นพิเศษ  คิ้วเข้มโก่งที่รับกันพอดีกับสันจมูกบาง ตรง และโด่งจนน่าเอาไปเป็นแบบศัลยกรรม  ริมฝีปากบางสีสวยที่ยกยิ้มล้อๆให้ผม

    คิดอะไรอยู่ครับ! ผมแค่จะชมโฉมมันให้พวกคุณๆอิจฉาเล่นเท่านั้นแหละ  อย่านึกว่าผมจะไปหลงใหลได้ปลื้มใครได้อีกในเมื่อเพิ่งอกหักมาหยกๆ  ถึงชลมันจะหล่อ(กว่าทาร์ตเยอะ)และดีกับผมเอามากๆก็เถอะ 

                 แต่คุณก็รู้นี่นา ว่ามันแทนกันไม่ได้...

            

    “หิวแล้วเหรอ?”

    “นิดหน่อย  แต่ไปกินเลยก็ดี”

    “ปะ” ชลยิ้มขำๆให้ผม หยิบหมวกแก๊ปเก็บเข้าที่  มือผอมแต่แข็งแรงข้างหนึ่งแตะต้นแขนผมเพียงเสี้ยววินาทีก่อนเจ้าของมันจะเดินนำผมไป

    ผมมองตามแผ่นหลังกว้างนั่น  ชลค่อนข้างผอมครับ  หุ่นสูงโปร่งจนเกือบจะเก้งก้าง  เร่งฝีเท้าจนตามทันก็เพิ่งสังเกตว่าเจ้านี่สูงขึ้นเยอะในรอบปีที่ผ่านมา  อย่างว่าแหละครับ เด็กมันกำลังโต ฮ่าๆๆ  จะว่าไปมันก็เกิดปีเดียวกับผมนะ  ทำไมส่วนสูงมันต่างกันขนาดนี้เนี่ย

    “ช้าหน่อยเด่ะเห้ย  รีบไปไหน”  ท้วงขึ้นเมื่อรู้สึกเหมือนจะตามไม่ทัน  ทั้งๆที่จริงๆก็รู้แหละว่าน้องมันกลัวผมหิว  แหะๆ

    “ผมเดินปกตินะ  พี่กันย์แหละขาสั้น”  หันมาหลิ่วตากวนประสาทผม  หน๊อยยย  ไม่เจอกันแป๊บเดียวนี่นิสัยทะลึ่งตามความสูงเลยนะ

    “อยากตายเหรอ!!  ไอ้แสบบ”  ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะเกี่ยวคอยาวๆของมันลงมาล็อกไว้แน่น  ชลดิ้นรนโวยวายแบบไม่จริงจังนัก  เรายื้อยุดฉุดกันไปๆมาๆอยู่พักนึง  ก่อนจะนึกได้ว่านี่มันกลางห้าง  ลำพังส่วนสูงกับความหล่อของเจ้าเด็กนี่มันก็ดึงดูดสายตาคนได้เยอะอยู่   ไม่นับที่มันมาฟัดเหวี่ยงส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายกับเด็กผู้ชายอีกคน

    ผมเป็นฝ่ายรู้ตัวก่อน  ค่อยๆคลายวงแขนตัวเองออกจากลำคอแกร่งช้าๆ  ชลคงสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆผมก็นิ่งไปซะเฉยๆ  ใบหน้าหล่อนั่นหันมามองผม  ตาเราสบกันโดยบังเอิญก่อนที่ตาคมจะเสหลบไป

    “ขอโทษครับ” เป็นครั้งที่สองในรอบสองสามชั่วโมงที่ผมเห็นชลหน้าแดงไปจนถึงใบหู

    เราถึงที่หมายโดยไม่ได้พูดอะไรกันอีก  ต่างคนต่างเปิดเมนูสั่งอาหาร แต่ไม่ได้ดูหรอกครับ  ร้านนี้มาบ่อยจน...

    “ไข่ข้นแฮมครับ”

     “ปลาหมึกผัดไข่เค็ม”  

    “เปาะเปี๊ยะแฮมชีส”

    กุ้งคั่วพริกขี้หนูสวนครับ”

    คืนเมนูพี่คนเสิร์ฟเสร็จก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะ  ต่อให้เลือกนานแค่ไหนก็ไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่หรอกครับ  แหะๆ

    พี่พนักงานจากไป  ทิ้งเด็กผู้ชายสองคนนั่งหล่อกันอยู่ที่โต๊ะ  นี่บรรยากาศมันจะเงียบไปแล้วนะ ผมไม่ชอบเลยครับ  ต้องหาเรื่องมันซะหน่อยละ

    “ว่าแต่พี่  ตัวเองก็เหม่อเหมือนกันแหละ”

    ตาคู่สวยละจากอาการเหม่อมาสบตาผมก่อนจะหัวเราะแก้เก้อ

    “ก็กลัวพี่เหม่อคนเดียวแล้วเหงาอะครับ  เลยจะอยู่ในโลกส่วนตัวเป็นเพื่อน ฮ่าๆๆๆ”  ดูมันแก้ตัวครับ  ตอนเจอกันแรกๆมันก็เด็กต่างจังหวัดซื่อๆนี่แหละ  เดี๋ยวนี้ดูสำบัดสำนวนมันเหอะ

    “คิดได้เนอะ”  ผมเกาหัวแกรก  สาวๆระวังตัวนะครับ  ไอ้เด็กนี่ผมว่าถ้ามันจีบใครขึ้นมาก็น่าดูล่ะ  อย่าได้ไปหลงคารมมันเชียว

    อาหารทยอยมาเสิร์ฟทีละอย่าง  แต่ดูผมจะกินเยอะและเร็วกว่าชลสองหรือสามเท่าได้ ก็มันหิวจริงๆนี่  เมื่อกลางวันยังมึนๆอยู่เลยกินอะไรไม่ค่อยลง  แถมไปหมดแรงอีตอนกวาดห้องเมื่อบ่ายนั่นอีก

    ผมตักกุ้งสองสามตัวให้ชลด้วยเกรงว่าไม่อย่างนั้นผมอาจจะฟาดเรียบจนมันอด

    “ขอบคุณครับ”  หันมายิ้มให้ผมแล้วเม้มริมฝีปากอีกรอบ  มือผอมๆสองข้างบีบเข้าหากันแน่น  ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรอก  แต่ก็พอเดาได้ว่าชลมีอะไรบางอย่างผิดปกติ  หรือบางทีมันอาจจะท้องเสีย?  ไม่มั้ง  คนท้องเสียเค้าคงไม่กินกาแฟกันหรอกใช่มั้ยครับ

    “ชลเป็นอะไรรึเปล่า”  ผมถามขึ้นหลังจากไม่อยากเดาอีกแล้ว  ดูฟุ้งซ่านยังไงไม่รู้สิ

    “ผม  ผมมีเรื่องจะบอก...” ดูมัน  กัดปากอีกแล้ว

    ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม  ก่อนจะพยักหน้าให้น้องพูดต่อ

    .
                .
                .
                “ผมชอบพี่กันย์ครับ
    !

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×