ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แค่ตามใจ... รักวุ่นวายของผู้ชายหัวตีฟ[yaoi]

    ลำดับตอนที่ #3 : 2nd

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 54


     

    ผมลากสังขารตัวเองขึ้นบีทีเอสอย่างเลื่อนลอย ในใจคิดเพียงอย่างเดียวว่าวันนี้ต้องคุยให้รู้เรื่อง แต่จะถามยังไง จะต้องพูดอะไรบ้าง ผมยังไม่ได้คิด หรือจะให้สารภาพจริงๆคือยังไม่อยากคิด ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพอเจอหน้าทาร์ตแล้วผมจะใจเย็นขึ้นจนคิดบทสนทนาที่ฟังดูเข้าท่าออก จะลนจนสติแตกมากกว่าเดิม หรือจะจนด้วยคำพูด แล้วไม่ได้ถามอะไรเข้าเรื่องเลยกันแน่

    ฟ้าฝนเป็นใจมากครับ พ้นบันไดบีทีเอสไม่ถึงสองก้าวฝนก็ตกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ...และไม่ลืมหูลืมตา ผมนึกเข้าข้างตัวเองว่าคงเป็นเพราะความมืดของเวลากลางคืนที่ทำให้ผมไม่ทันสังเกตเมฆฝน แต่จะว่าไปเมื่อเย็นมันยังไม่มีเลยนี่นา ช่างเถอะครับ เรื่องฟ้าเรื่องฝนจะไปโกรธใครมันก็ไม่ถูก เห็นทีคงต้องโทษตัวเองที่ลืมกระเป๋าเคียงไว้ที่โรงเรียน แล้วร่มก็อยู่ในนั้น ยกกระเป๋านักเรียนขึ้นบังฝนแล้วก้าวเร็วๆไปบนทางเท้าที่ดูเหมือนมีจลาจลขนาดย่อมๆเพราะต่างคนต่างก็หาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น

    โดดขึ้นรถเมล์ที่หายากแสนยากตอนฝนตกเพื่อไปเบียดกับคนอีกหลายสิบที่ยืนตัวเปียกกันอยู่  บรรยากาศย่ำแย่มากครับ  เหนียว ร้อน และอึดอัด  แม้แต่กระเป๋านักเรียนขนาดมาตรฐานก็ยังดูใหญ่เกินไปแล้วตอนนี้  กว่าจะได้ลงมาก็เล่นเอาลมแทบจับ

    เลี้ยวเข้าซอยที่คุ้นเคยพอๆกับบ้านตัวเอง ก็ไม่เชิงหรอกครับ เรื่องทิศทางกับผมมีอยู่แค่สองอย่าง คือจำได้ กับจำไม่ได้ (ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง)ไม่มีคุ้นๆ หรือพอรู้ หรือค่อนข้างจะจำได้ แล้วไอ้ที่จำได้ส่วนใหญ่ก็เพราะว่าไปบ่อยพอๆกับกลับบ้าน รู้แล้วละสิว่าทำไมผมชอบเอาไปเทียบกับทางกลับบ้านตัวเองนัก  ฝนตกหนาเม็ดกว่าเดิมเมื่อเดินผ่านร้านอาหารที่เป็นจุดสังเกต ตอนนี้เปียกทั้งตัวแล้วครับ กระเป๋านักเรียนดูไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ ฝนมันสาดแรงขนาดจาค็อบบังหัวผมไม่อยู่ บางทีผมอาจจะต้องออกแบบกระเป๋านักเรียนที่มันกันฝนได้ดีกว่านี้หน่อยละมั้ง

    ฟุ้งซ่านไม่ทันไรก็ถึงจุดหมาย ผมเข้าไปหลบฝนอยู่ในซุ้มประตูเล็กข้างรั้ว ล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงมาโทรหาเจ้าของบ้าน เปียกนิดหน่อยครับแต่ยังพอใช้การได้(เกิดเป็นมือถือผมต้องสู้ชีวิต ฮ่าๆ) ลมพัดแรงมาก หอบเอาละอองฝนตามมารังควานผมถึงที่ หนาวจนมือแข็งกดปุ่มโทรออกแทบไม่ได้แต่ก็แข็งใจจิ้มๆมันไป ผมจะได้มีที่อุ่นๆอยู่ซักที  แต่พอเจรจาเสร็จแล้ววางสายมันอีกเรื่องหนึ่งเลยครับ นึกขึ้นได้ว่ามาที่นี่ทำไมใจมันก็พาลเปลี่ยนสัญชาติเป็นปอดเสียดื้อๆ ผมเลยทำอย่างที่คนขี้ขลาดทั่วโลกเขาทำกัน คือหลับตาแล้วภาวนาว่าเมื่อลืมตาขึ้นผมจะอยู่หน้าบ้านตัวเอง จะได้เข้าไปนอนซุกบนเตียงอุ่นสบาย หลับๆให้มันลืมเรื่องทุกอย่างไป

    แล้วผมก็โดนฉุดกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ความเป็นจริงที่ว่าทาร์ตไม่เคยปล่อยให้ผมรอนาน ถูกลากให้มาอยู่ใต้ร่มกันฝนคันใหญ่ทั้งๆที่สติเหลือแค่ครึ่งๆกลางๆ ตาเริ่มพร่าและหัวก็หนักพิกล อาจจะคิดไปเองก็ได้ว่าลมหายใจที่ออกจากจมูกดูจะร้อนกว่าปกติ โดนสั่งให้ยืนรอหน้าประตูกระจก ผมถอดรองเท้านักเรียนที่เปียกชุ่มวางไว้มุมหนึ่ง มองดูน้ำหยดจากขากางเกงไม่ถึงอึดใจก็มีผ้าขนหนูผืนใหญ่ยื่นมาให้ ผมรับมาคลุมรอบตัว ผืนเล็กอีกผืนถูกวางบนหัวหนักๆของผมเอง เดินโซซัดโซเซไปทิ้งตัวท่าหล่อๆที่โซฟาอย่างหมดแรง หัวหนักขึ้นจนพยุงมันไม่ไหวอีกต่อไปเลยพิงมันเข้ากับพุงนิ่มๆของใครซักคนตรงหน้า ทาร์ตแหละมั้ง จะใครซะอีก  ผมนิ่งไปนานเพราะไม่มีแรงจะขยับหรือยกมือขึ้นมาเช็ดตัว  บริเวณขมับและรอบหัวเริ่มปวดตุบๆอย่างน่ารำคาญ  แต่ก่อนที่ผมจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้ก็มีมือคู่หนึ่งวางลงบนหัวผม นิ้วโป้งแข็งแรงกดคลึงตั้งแต่ตีนผมตรงหน้าผากเรื่อยไปจนถึงท้ายทอย  เหมือนพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ดึงผมออกจากนรกได้ทันท่วงที  สบายจนอยากจะหลับเลย

    รู้สึกตัวอีกทีตอนถูกเขย่าตัวปลุก  ผมเงยหน้าขึ้นมองทาร์ตอย่างยากลำบาก  เปลือกตาหนักจนลืมตาแทบไม่ขึ้น  แถมอากาศรอบคอยังร้อนผิดปกติ มองคิ้วที่เลื่อนมาชนกันอย่างที่ผมไม่รู้สาเหตุ  ริมฝีปากหนาหยักนั่นเม้มเข้าด้วยกันก่อนที่เจ้าของมันจะหิ้วปีกผมขึ้นบันไดไป  ผมไม่เคยรู้สึกว่าบันไดบ้านนี้มันชันขนาดนี้มาก่อน  ถ้าไม่ได้ไอ้คนข้างๆนี่คงแย่  ผมพยายามทิ้งน้ำหนักลงขาตัวเองมากขึ้นเพื่อจะไม่ให้เป็นภาระทาร์ตมากนัก  แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือมะเหงกหนึ่งลูกเต็ม

    “อย่ามาซ่า แบกไหวเหอะ”

    โดนทิ้งให้รออีกครั้งหน้าห้องน้ำ  ตอนนี้ไม่ใช่แค่หัวครับ  รู้สึกว่าตัวทั้งตัวผมหนักกว่าเดิมเกือบสิบเท่าได้  ห้องก็หมุนยังกับ ยังกับอะไรน้า

    นึกไม่ทันออกก็โดนยัดชุดนอนใส่มือแล้วไล่ไปอาบน้ำ

    "ต้องอาบด้วยเหรอ   ตัวเพิ่งแห้งเองนะ" ท้วงไปอย่างนั้นแหละครับ  เสียดายความอุ่นสบายที่เพิ่งได้รับมาหยกๆ  แค่คิดว่าต้องกลับไปเปียกอีกรอบก็ส่ายหัวละ

    "เออ  อาบๆไปเหอะน่า  น้ำอุ่นล่ะ" มันพูดยังไม่ทันจบประโยคดีก็ผลักผมเข้าห้องน้ำแล้วรีบปิดประตูอย่างกับจะขังผมไว้ในนั้น

    ต้องอาบจริงๆเหรอวะเนี่ย ?

    ขณะนั่งคิดว่าควรจะถามทาร์ตยังไง ผมควรจะเกริ่นอะไรก่อนมั้ย  แล้วจะเข้าเรื่องยังไงดี ผมก็เผลอหลับบนโถส้วม มาตื่นก็ตอนเจ้าตัวต้นเรื่องมันมาสะกิดนั่นแหละ

    “ตกใจแทบตาย  เรียกเท่าไหร่ก็เงียบ  คิดว่าเป็นไรไปซะแล้ว”

    ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ รู้สึกตัวเองมาเป็นภาระทาร์ตเสียเหลือเกิน มาบ้านมันวันนี้เพื่อจะถามเรื่องนัทก็จริง  แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือคิดถึงมาก  ไม่ได้คุยกันนานเกินไปแล้วสำหรับผม

    “ยากับน้ำอยู่บนโต๊ะข้างเตียงอะ”  ผมมองตามไปก็เจอน้ำเปล่าหนึ่งขวดใหญ่ แก้ว แล้วก็ไทลินอลหนึ่งแผงถ้วน

    "ยาอีกแล้ว   กินทำไม ไม่ได้เป็นไรซะหน่อย" เถียงครับ  ผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ  ก็แค่ตากฝนแล้วปวดหัวนิดหน่อย  มันเอาอะไรมาตัดสินว่าผมเป็นไข้!  พูดก็พูดเถอะ ในบรรดาของทุกอย่างที่กินได้ในโลกเบี้ยวๆใบนี้ พาราเซตามอลเป็นอย่างหนึ่งที่รสชาติแย่ที่สุด

    "ตัวร้อนจี๋ละ ไม่เป็นไรได้ไง  กินแล้วนอนไปเลย เดี๋ยวตีสองปลุกมากินอีกรอบ"  เหมือนพูดกับน้องชายยังไงยังงั้น  ตกลงมีเพิ่มอีกข้อนึงครับคือตัวร้อน  เออ มันค่อยฟังดูคล้ายคนเป็นไข้ขึ้นมาหน่อย  แกะยาสองเม็ดโยนใส่ปากแล้วดื่มน้ำตามอย่างรวดเร็วเหมือนกดชักโครก  

     

    แหวะ! หมาไม่แดก ห่วยแตกบรมเหี้ย!!

    ถ้าผมไม่กลัวว่าต้องกลืนมันลงไปอีกรอบนี่คงถุยออกมาแล้วล่ะครับ

     

    แล้วตีสองทาร์ตก็ปลุกผมจริงๆ อันที่จริงผมพยายามบอกมันหลายรอบแล้วว่าไม่ต้อง  แต่ถ้ามันเชื่อผมก็คงไม่ใช่ทาร์ต  วันนี้ลำพังแค่แบกผมขึ้นบันได วิ่งวุ่นหายาให้ทั่วบ้าน ผมก็รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณมันเหลือเกินแล้ว  นี่ยังจะตื่นมากลางดึกเพื่อจะปลุกผมมากินยา 

    พ่อพระเกินไปแล้ว

    “ยังปวดหัวอยู่ปะ” มือใหญ่แข็งแรงมาอังๆที่คอผม

    “นิดหน่อยอะ  แต่ดีขึ้นเยอะละ”

    “ตัวยังรุมๆอยู่นะกันย์  เช็ดตัวมั้ย” ถามไปยังงั้นแหละครับ  ตัวมันน่ะลุกไปโน่นแล้ว

    “มะ เห้ย  ไม่ต้องๆ” ผมปฏิเสธพัลวัน  ขืนยอมมันเหอะ หนาวตายชัก

    “งั้นกินน้ำอีกหน่อย” เดินไปรินน้ำใส่แก้วให้ผมอีก  คราวนี้คงต้องกินครับ ผมรับแก้วน้ำมาจิบช้าๆ  กลืนไม่ค่อยลง  เป็นไข้นี่มันแย่จริงๆ น้ำเปล่ายังขมเลย

    รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กในปกครองมันยังไงไม่รู้  จากวันนี้ทั้งหมด แล้วก็ที่ผ่านมา  ทาร์ตดีกับผมมาก  มากกว่าทุกคนที่เคยรู้จัก  ไม่ว่ามันจะทำด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม 

    ตอนนี้ผมพูดได้เต็มปากว่าผม ”รัก” มันเข้าแล้ว

    “ทาร์ต  ถามไรหน่อยดิ” ผมเริ่มอย่างไม่มั่นใจนัก  แต่ไม่กรงไม่เกริ่นมันแล้วครับ  อ้อมนานเดี๋ยวมันหลงประเด็นอีก  ทาร์ตมันไต้ก๋งตัวพ่ออะ พาออกทะเลประจำ

    “หืม” หันมาเลิกคิ้วใส่ผมหลังจากเอาแก้วไปเก็บ

    “เรื่องทาร์ตกับนัท  ที่... ที่เค้าพูดกันอะ  จริงรึเปล่า”

    “ก็ใช่  ทำไมเหรอ” หน้าตาเฉยมากครับ  คิดมั่งมั้ยว่าหัวใจไอ้คนที่นอนอยู่ตรงนี้มันโดนบีบจนแทบหยุดเต้น   แค่ประโยคเดียวทำผมไปไม่เป็นเลย  ใช่ครับ ผมคาดหวังคำปฏิเสธ  เพราะผมเข้าใจมาตลอดว่าทาร์ตไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกัน  ผมถึงไม่กล้าสารภาพไปซักที่นี่ไง  ถึงยังไงก็ช่าง มันเลือกแล้วครับ แล้วผมก็ควรจะยอมรับ   ใช่ ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้น

    ผมตัดสินใจถามคำถามหนึ่งออกไป  เพิ่งสงสัยเมื่อกี้นี้แหละ แต่ถ้าไม่ถาม ก็คงจะคาใจไปอีกนาน

    “ถึงไม่มีนัท...  ก็เป็นเราไม่ได้ใช่มั้ย”

    “เพ้อปะเนี่ยกันย์” ยกมือขึ้นอังหน้าผากผมแล้วกลั้นยิ้มสุดชีวิต  ดูมันทำร้ายจิตใจครับ  ทำไมล่ะ  ผมมันเด็ก  ผมมันเป็นภาระ ผมมันอ่อนแอ ผมมัน...

    “เลย์อัพยังไม่เป็น  ใต้แป้นสิบลูกลงหนึ่งเนี่ยนะ  นึกยังไงอยากจะเล่นบาส”

    อึ้งเลยผม  ตบหัวผู้มีพระคุณนี่ตกนรกขุมไหนครับ จะได้บอกให้พี่กิ่งทำบุญไปให้ถูก

    จะบ้าตาย ไม่นึกเลยว่าทาร์ตจะคิดถึงเรื่องนั้นแทนเรื่องที่ผมตั้งใจจะพูด  สตรีทบาสครับ  เป็นข่าวดังเหมือนกันตอนไอ้สามหน่อนี่มันฟอร์มทีม ทาร์ต นัท แล้วก็เติ้ล  สามตัวหัวหอกของตึกแหละว่าตามจริง  หลายคนถึงกับบอกว่าถ้าเจอไอ้ทีมนรกนี่รอบแรกจะขอบาย  พูดแค่นี้นะครับ ผมรู้สึกตัวเองขยายความมากไปแล้ว

    กลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง

    “เห้ยทาร์ต  ไม่ใช่เรื่องนั้น” เห็นไอ้ตัวต้นเรื่องทำหน้าเหรอหราแบบนั้นแล้วหัวเราะหนักกว่าเดิม  นี่ขนาดผมพูดตรงๆแบบไม่เปิดโอกาสให้มันพาออกทะเลไปไหนเลยนะ

    “ที่เค้าบอกว่า ทาร์ตกับนัทเป็นแฟนกันอะ  จริงรึเปล่า”

    ตาเรียวคู่นั้นดูว่างเปล่าไปแวบหนึ่ง

    “เอ่อ  ไม่รู้สินะ”  ปากหยักสวยยิ้มอ่อนแรง ก่อนเจ้าของมันจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พูดยากแฮะ  คือความรู้สึกเราที่ให้นัทตอนนี้มันเกินเพื่อนไปแล้วแหละ  แต่ก็ไม่รู้ว่าเค้า...  คิดยังไง  นัทไม่ได้ตอบเราตอนนั้นอะ แล้วก็ไม่ได้เจอกันตั้งนาน  พอมาคุยกันอีกทีก็ทำเหมือนไม่มีอะไร  เราก็ไม่รู้เค้าเหมือนกัน  อกหักซะละมั้ง  หรือกันย์ว่าไง”  ย้อนกลับมาถามผมหน้าตาเฉย  ทำเอาความหวังริบหรี่ของผมมันพลอยดับวูบไป

    “ไม่รู้สิ” ผมกัดริมฝีปาก  เม้มมันเข้าหากันอย่างยากเย็น

    “แล้วกันย์รู้เรื่องนี้ได้ไงล่ะ”

    “เพื่อนมาถามน่ะ  แล้วเรา... เราตอบเค้าไม่ถูก” แค่คิดคำพูดก็ยากเหลือเกินแล้วตอนนี้  อาการปวดหนึบในอกกลับมาอีกครั้ง  แม้จะไม่รุนแรงเท่าครั้งแรก แต่ความทรมานมันมากกว่ากันหลายเท่า

    ถึงคำตอบมันจะเป็น “ไม่ใช่”  แต่มันก็เป็นแค่ “ยังไม่ใช่”  ผมโล่งใจที่ได้ถามไป  แต่ก็พูดไม่ได้เต็มปากหรอกว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้น่ะมันดีกว่าเดิม

    “ถามเผื่อเพื่อนสินะ” เบียดสะโพกนั่งลงข้างเตียง

    “เปล่าซะหน่อย” ผมยันตัวขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงช้าๆ “อันที่จริง เราก็อยากรู้เหมือนกัน”  แสงสลัวที่ลอดผ้าม่านเข้ามาทาบลงบนใบหน้าของคนตรงหน้า  กับแสงเรืองๆจากโคมไฟหัวเตียงก็เพียงพอที่จะทำให้ผมเห็นความไม่เข้าใจในใบหน้านั้นชัดเจน

    “ตะกี้กันย์ถามอะไรเรานะ”

    “เราถามว่า ทาร์ตเป็นแฟนกับนัทรึเปล่า”

    “ไม่ๆ ก่อนหน้านั้น”

    ผมนึกถึงประโยคก่อนหน้า  ใช่ คำถามที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆนี้  คำถามที่ผมไม่กล้าถามมันอีกรอบ

    ...เพราะตอนนี้ผมรู้คำตอบแล้ว...

    “กันย์ถามว่า...”

    “ช่างมันเหอะ” ผมเบียดตัวลงซุกผ้าห่มตามเดิม  ตั้งท่าจะหลับเต็มที่ทั้งๆที่รู้ว่าคงยาก

    “เห้ย เดี๋ยวดิ” ยังจะตามมาเขย่าตัวผมอีก  จะรู้ไปทำไม 

    ทาร์ตดึงผ้าห่มออก  โธ่ อุตส่าห์คลุมโปงหนีแล้วเหอะ

    “กันย์...” อย่าเรียกชื่อเราด้วยเสียงแบบนั้นได้มั้ย  ผมหลับตาแน่น  แต่ยังรู้สึกถึงมือที่แตะตรงข้างแก้ม นิ้วโป้งสากๆที่ปาดน้ำอุ่นๆออกจากหางตาผม

    ไม่  ผมไม่ได้ร้องไห้นะ  สาบาน

    “เป็นอะไร”

    “เปล่า ไม่เป็นไร  ทาร์ตไปนอนเหอะ”

    “อย่ามากวน  คนไม่เป็นไรเค้าไม่ร้องไห้กันหรอก”  เสียงแข็งขึ้นมาหน่อย  แต่จะว่าไป นี่มันใช่บทสนทนาที่ผู้ชายสองคนเค้าคุยกันเหรอ?

    “เราก็ไม่ได้ร-”

    พูดไม่จบคำทาร์ตก็ยกมือมันให้ดู  ที่เป็นประกายระยับอยู่ปลายนิ้วโป้งนั่น ...น้ำตาผมครับ

    “ทีนี้บอกได้รึยัง ว่าเป็นอะไร”

    ผมพยายามถ่วงจังหวะหายใจให้ยาวขึ้นทันทีที่รู้ว่ามันขาดห้วง  สบตาสีเข้มคู่นั้นเนิ่นนานก่อนจะขยับริมฝีปาก

    “ยังไม่รู้จริงๆเหรอ” คิดว่าตัวเองพูดดังพอสมควร  แต่เสียงที่ลอดออกไปไม่ได้ดังกว่าเสียงกระซิบเท่าไหร่

    “แค่ไม่อยากคิดไปเอง” คิ้วเข้มๆคลายออกจากกัน ก่อนเจ้าของมันจะคลี่ยิ้มจางๆให้ผม

    “ขอโทษนะ”  กลายเป็นผมที่หลบตาก่อน  ไม่อยากให้ทาร์ตเห็นว่าน้ำตามันไหลอีกแล้ว

    “เราสิต้องขอโทษ  ทำไมเราจะไม่รู้ล่ะว่ามันทรมานยังไง”  ผมค่อยยิ้มออก  อย่างน้อยมันก็ไม่ได้รังเกียจอะไรผม “กันย์จะยังเป็นเพื่อนเราใช่มั้ย”

    “ทำพูดดีไป  นัทตอบตกลงเมื่อไหร่อย่าลืมเราละกัน” ผมยิ้มตอบไปบ้าง  นึกอวยพรให้ทาร์ตสมหวังเร็วๆ  ก่อนที่ผมจะคิดอกุศลกับมันจนเกิดแผนชั่วในใจ 

                  ก็คิดไปงั้นแหละครับ  กล้าทำที่ไหนล่ะ


    talk : ขอซักหน่อย  จะกล่าวแจ้งมิตรรักแฟนวายทั้งหลาย(ทั้งคุณกันย์ คุณทาร์ต และคุณนัทที่ดูจะเยอะที่สุด) ว่าด้วยเรื่องขออนุญาตดองฟิคเรื่องนี้จนกว่าจะถึงเดือนหน้า  เพราะทั้งไรท์เตอร์และรีดเดอร์(ที่เป็นหน้าม้า)บางคนต้องไปบวชชีหนีห่าว เอ๊ย หนีรัก เอ๊ย หนีร้อน  (โวะะะ ช่างมันเหอะ)  ขอเวลาสงบจิตสงบใจและทำตัวเป็นชาวพุทธที่ดีซักอาทิตย์กว่าๆ  แล้วจะกลับมาปั่นงานตามปกติ  ๕๕๕๕


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×