ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แค่ตามใจ... รักวุ่นวายของผู้ชายหัวตีฟ[yaoi]

    ลำดับตอนที่ #10 : 7th 100%

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 55


     turning to Kan's

     

    ผมตื่นมาหลังคาบสุดท้ายเหมือนเดิม  (ไม่เคยคิดจะปลุกผมก่อนเลยใช่มั้ยไอ้เพื่อนรักทั้งหลาย) ที่แปลกจากเดิมก็คงจะเป็นไอ้คนที่นั่งอ่านการ์ตูนอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าผม

    ตาตี่ๆเงยขึ้นมองผมเมื่อได้ยินเสียงขยับตัว ปากหนาหยักยิ้มทะเล้นให้ก่อนจะเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์ตามปกติ

    “ตื่นซะเร็วเชียว”

    ผมงัวเงียพยักหน้าตอบพร้อมขยี้ตาไปด้วย  มึนครับ

    “มีไรรึเปล่า   มาหาถึงนี่” แน่นอนครับ  ตึกเรียนห่างกันคนละมุมโลก  ไอ้เรื่องจะเดินเล่นๆมาหานี่คงยาก  ยิ่งกับชีวิต ม 6 ที่ห่างไกลจากคำว่าเอ้อระเหยด้วยแล้ว

    “กันย์” เสียงทุ้มเรียกชื่อผมเนิบๆเหมือนเคย  ทำเอาผมแทบเผลอลืมว่าวันก่อนผมเพิ่งทำอะไรลงไป  “ที่มาหาวันนั้นอะ...”

    ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม   นี่เรื่องมันยังไม่จบเหรอ  ยังมีอะไรคาใจอีกหรือไง?

    “เหงาใช่มั้ยล่ะ  คิดถึงอะดิ”  ทาร์ตตีหน้าทะเล้นกวนอารมณ์ ทำเอาผมที่คิดว่าตัวเองคงขำไม่ออกเผลอยิ้มตามไปเป็นที่เรียบร้อย

    “เออ  มีไรก็รีบๆพูด” ผมแกล้งหงุดหงิด ทำเป็นวุ่นกับการเก็บปากกาลงกล่องและเก็บของเข้าใต้โต๊ะ

    “จะชวนไปเดินเล่น” เสียงที่พูดดูปกติเสียจนน่าตกใจ ผมชะงักกึก เหลือบตามองหน้ามันแวบหนึ่งก่อนจะปิดซิปกระเป๋าช้าๆ นึกสับสนกับความคิดของไอ้คนตรงหน้านี่ที่ผมเคยคิดว่าบางทีมันก็เป็นคนแปลกๆ  แต่ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่ามัน

    เพี้ยนสนิท

    “ไม่ว่าง” ยัดกล่องดินสอลงกระเป๋าเคียง  ก่อนจะลุกขึ้นยืนเหวี่ยงกระเป๋านักเรียนขึ้นมากระแทกโต๊ะเรียนเบาๆเป็นเชิงไม่สบอารมณ์

    “ว่าง” มือใหญ่แข็งแรงคว้ากระเป๋าเคียงผมไปถือไว้  ไอ้บ้าทาร์ต  มือไวตลอด “อังคารเย็นกันย์ว่าง”

    ผมอ้าปากแต่นึกคำด่าไม่ออก  ลืมไปว่าตารางเรียนพิเศษเราเหมือนกันเกือบทั้งหมด จะมีก็แต่ดรออิ้งวันศุกร์เย็นที่ผมย้ายไปเป็นวันอาทิตย์

    “กันนย์” มันเรียกอีก  ผมหลบตามัน จะว่าก็ว่าเถอะ แต่ผมทำอะไรไม่ถูกจริงๆ “ไหนบอกจะยังเป็นเพื่อนเราไง”

    เออ! ผมบอกเอง  แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้นี่หว่าเฮ้ย  นี่มันเพิ่งกี่วันเอง ใจคอมันจะให้ผมกลับมาเป็นเพื่อนปกติของมันในเวลาแค่เนี้ยเหรอ

    “ไปเหอะเตี้ย เดี๋ยวเลี้ยงลูกชิ้น” พูดไม่ทันจบประโยคก็หิ้วกระเป๋าเคียงผมเดินลิ่วออกจากห้องไป

    “ไอ้บ้าอ้วน!!” 


    ในเวลาไม่นานมนุษย์อ้วนหนึ่งกับเตี้ยอีกหนึ่งก็มาเดินลอยชายอยู่ในสวนสาธารณะกลางกรุง  ต่างคนต่างไม่พูดอะไรซักคำเนื่องจากปากไม่ว่าง  ผมถือกระเป๋านักเรียนกับกระเป๋าเคียงด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างถือแก้วน้ำปั่นที่รสชาติดีเกินราคา  ส่วนทาร์ตที่มือว่างจากสัมภาระ(มันใช้เป้ครับ) ก็ถือถุงพลาสติกบรรจุลูกชิ้นที่กินกันได้ซักห้าคน กินเองคำนึง ยัดปากผมอีกคำ อย่าเรียกป้อนเลย ไอ้นี่ทำอะไรเบาๆกับเขาไม่เป็นหรอก สติและสมาธิผมแทบทั้งหมดตอนนี้ใช้ไปกับการระวังไม่ให้ไม้เสียบลูกชิ้นทะลุกระพุ้งแก้มข้างใดข้างหนึ่งของตัวเอง

    “ถือนิ่งๆเลย เดี๋ยวงับเอง” ผมสั่งมันเมื่อรู้สึกปลอดภัยน้อยลงทุกที

    ทาร์ตยิ้มขำๆก่อนจะจิ้มปูอัดทอดชุ่มน้ำจิ้มมาจ่อปากผม

    เออ ดีกว่ากันเยอะ

    และมันคงจะดีกว่านี้ถ้าระหว่างเอาปูอัดทอดของโปรดออกจากไม้นั่น ...ผมไม่เผลอไปสบตามันเข้า

    หลบตาวูบ  แกล้งมองไปทางอื่นขณะพยายามเคี้ยวอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ ถึงกระนั้นผมก็ยังได้ยินเสียงถอนใจเบาๆ

    “นั่งกันปะ  กินเป็นเรื่องเป็นราวหน่อย” ทาร์ตพยักพเยิดไปยังพื้นหญ้าริมน้ำที่ยังว่างอยู่  ผมไม่รอช้า แทบจะโยนกระเป๋าแล้วทิ้งตัวลงนั่ง   เมื่อยอะ สารภาพ  ถึงจริงๆจะไม่ค่อยอยากนั่งเท่าไหร่ก็เหอะ

    ไม่เชื่อเหรอ? ผมไม่อยากนั่งจริงๆ  กลัวบรรยากาศอึดอัด  กลัวว่าพอนั่งนิ่งๆ แล้วมันจะเงียบ  ต่างคนต่างไม่คุยกัน  เคยเป็นมั้ยเวลาไม่เจอใครนานๆมีเรื่องอยากเล่าอยากถามเต็มไปหมด  แต่พอเจอเข้าจริงๆดันคิดไม่ออกซักประโยค  นั่นมันยังน้อยเมื่อเทียบกับเรื่องที่ผมเพิ่งสารภาพไป

    เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม.. ทาร์ตน่ะทำได้  แต่ผมไอ้คนขอให้มันทำนี่สิ

    “กันย์”

    ผมหันไปตามเสียงเรียกโดยสัญชาตญาณก็เห็นตาตี่ๆที่จ้องกลับมา และพบว่าทาร์ตกำลังทำท่าประหลาดๆโดยการแลบลิ้นเลียมุมปากตัวเอง

    อุบาทว์ว่ะ  อะไรของมันเนี่ย

    ทั้งขำทั้งงง  ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดีขณะที่มันเริ่มจ้องหน้าผมจริงจังขึ้น จนในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายหมดความอดทน

    “อะไร~!

    “อ๊ามอิ้ม” ลูกชิ้นยังเต็มปากอยู่ แต่ผมขอเดาว่าเป็น “น้ำจิ้ม” พยายามเช็ดมุมปากตัวเองแต่ก็ไม่เจอสิ่งผิดปกติ  ทาร์ตกลั้นยิ้มก่อนจะหยิบทิชชู่ส่งให้

    “เลอะตลอด”

    รับทิชชู่มาแล้วปาดไปทั้งปาก  เออ มันอยู่ข้างนี้นี่หว่า ถึงว่าล่ะทำไมถึงไม่...

    เป็นอีกครั้งที่นึกโกรธตัวเองที่เผลอไปสบตาเรียวคู่นั้น  พาลเกลียดรอยยิ้มของมันไปด้วย  ยิ้มขำๆที่เหมือนจะเอ็นดูอยู่ในที รอยยิ้มจากความหวังดีที่เคยมอบแต่ความอบอุ่นเสมอมา  รอยยิ้มที่ทำให้ผมเผลอรักเจ้าของมันเข้า โดยที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ...

    พอถึงตอนนี้ผมรู้สึกผิด

    “เราสนิทกันมาก”

    ใช่ครับ “เรา” ทาร์ตเป็นเพื่อนสนิทของผม และในขณะเดียวกันผมก็เป็นเพื่อนสนิทของทาร์ต  ก่อนหน้านี้ผมคิดแต่เพียงว่าเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้น ทั้งที่ผมชอบมัน บอกชอบมัน จนผมเข้าหน้ามันไม่ติดแล้วก็เฟดออกจากชีวิตมัน... ทำให้ผมเสียมันไป  แต่ลืมคิดในทางกลับกันว่าการที่ผมทำแบบนี้ทาร์ตเองก็เสียเพื่อนไปคนหนึ่ง  โดยที่มันไม่ได้ทำผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ  ไม่ยุติธรรมซักนิด

    “คิดไรอยู่เตี้ย” เสียงกวนอารมณ์ทำลายความเงียบ

    “คิดไปเรื่อย” ผมตอบอย่างไม่จริงจังนักและเริ่มดึงใบหญ้าข้างตัวมาฉีกเล่น  เวลาเครียดๆแล้วได้กลิ่นเหม็นเขียวของใบไม้อะไรซักอย่างผมจะรู้สึกดีขึ้น  อย่าเพิ่งว่าผมประหลาดนะ  “ทาร์ต...”

    “หืม”

    “เรื่องนัท... เป็นไงมั่ง” ถามเพราะห่วงมัน ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการจะรู้คำตอบรึเปล่า

    แต่ในฐานะเพื่อน เราก็ควรจะรับฟังไม่ใช่หรือ?

    “ก็... ดี” มือหนาวางถุงลูกชิ้นไว้ข้างตัว “คือนัทเค้าโอเค แต่ก็ยัง... ไม่แน่ใจ  ตอนนี้ก็เรื่อยๆ   กันย์  ไหวรึเปล่า?”

                “เราไม่เป็นไร” อยากบอกทาร์ตไปแบบนั้นแต่ก็ได้แค่คิด ปากมันไม่ยอมขยับ รู้ด้วยหางตาว่าทาร์ตขยับมาใกล้ขึ้น รู้สึกได้ถึงความกังวลของมันทั้งๆที่มองไม่เห็นหน้าด้วยซ้ำ  ผมเหลือบตามองขึ้นสูง ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม – ความสดใสในทฤษฎีสี มันก็คงจะใช่หรอกถ้าไม่นับท้องฟ้ายามเย็นแบบนี้

                นึกภาวนาไม่ให้ทาร์ตรู้ความคิดผม  นัทเป็นคนดีมากๆคนหนึ่งที่ผมรู้จัก แล้วทำไมผมจะต้องเสียใจถ้าสองคนนั้นจะมีความรู้สึกดีๆต่อกัน  ผมก็อาจจะแค่... ไม่ชิน

                แต่ช่างเถอะ ผมต้อง ทน ให้...  ไหว

                น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงข้างแก้มอย่างควบคุมไม่ได้  ผมแพ้ความรู้สึกตัวเองอย่างราบคาบ

                ไม่รู้ว่าทาร์ตเข้ามาชิดตัวผมตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าในขณะที่ผมพยายามต่อสู้เพื่อซ่อนน้ำตาอีกหลายหยดนั้น  มือใหญ่แข็งแรงก็โน้มเอาศีรษะผมไปพิงกับบ่ากว้าง  โดยไม่ต้องหลบหน้า ผมไม่จำเป็นต้องกลั้นน้ำตาอีกต่อไป

                ทาร์ตลูบท้ายทอยผมช้าๆ นึกอยากจะกอดมันให้เต็มแขนเหมือนแต่ก่อนตอนที่มีเรื่องอึดอัดจนต้องร้องไห้  แต่ตอนนี้ผมทำไม่ได้

                “รู้อะไรมั้ย” ทาร์ตเอ่ยขึ้นช้าๆหลังจากเงียบไปนาน ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าเสียงมันสั่น “กันย์ทำให้เราคิดถึงต้นไม้ต้นนึง”

                “หืม?”

                “ไฮเดรนเยีย รู้จักปะ?” ทาร์ตพูดเรื่อยๆ สูดหายใจเข้าลึกยาวและกล่าวต่อ “ญาติเราเคยให้มาต้นนึง  ดอกมันสวยมากเลยตอนเขาให้มาน่ะนะ”

                ผมยิ้มตาม ทำไมจะไม่รู้จัก ดอกไม้โปรดของแม่ผมเลยล่ะ

                “แต่พอได้มาดูแลเอง  มันก็ไม่งามซักที ทั้งรดน้ำ ใส่ปุ๋ย คอยกันหนอน แมลง  ไม่รู้สิ... เหมือนยิ่งเราใส่ใจมันมาก มันก็ยิ่งเฉา”

                มองไปไกล  พยายามไม่ใส่ใจฟัง เพราะแค่นี้ก็กลั้นสะอื้นแทบไม่ไหว  แต่สมองเจ้ากรรมก็ดันย้ำมันทุกคำพูด

    “ถึงตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ ว่าน้ำที่เรารด ปุ๋ยที่เราให้มันมากหรือน้อยไปยังไง” ทาร์ตถอนใจเบาๆ “เหมือนกับที่เราไม่รู้ ว่าสิ่งที่เราทำให้กันย์ มันมากหรือน้อยไปรึเปล่า  แล้วตอนนี้เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเราควรจะเช็ดน้ำตากันย์ดีมั้ย”

    ผมผละจากไหล่มันแล้วปาดน้ำตาตัวเองลวกๆ

    “ไม่ต้องหรอก...”

    “งั้นก็นิ่งซะ” ทาร์ตเอื้อมมือมาจับหัวผมโยกไปมาเหมือนเด็กๆ และนั่นก็ทำเอาน้ำตาผมไหลอีกรอบ

    มือแกร่งผละออกด้วยความตกใจ

    “ขอโทษ...”

    “ไม่เป็นไร” ผมฝืนยิ้มทั้งน้ำตา “ไม่ได้ทำผิด ก็อย่ารู้สึกผิดสิ”

     

    เสียงผู้หญิงหวีดร้องเบาๆดังขึ้นข้างหลัง  ผมหันไปเร็วพอที่จะเห็นแผ่นหลังไวๆของใครคนหนึ่ง...

    นัท?  ใช่หรือเปล่าไม่รู้   ผมเองก็ไม่แน่ใจ

                แต่ได้โปรดเถอะ พระเจ้า หรือใครก็ตามที่ฟังอยู่ อย่าให้เพื่อนผมคนนี้ต้องเดือดร้อนเพราะผมอีกเลย   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×