คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 1st
ยืนหอบแดกอยู่กลางสนามในเวลาที่นรกที่สุดในสัปดาห์ ...คาบพละ
ผมไม่ชอบวิ่ง ไม่ชอบกีฬาปะทะ เกลียดลูกกลมๆสีส้มๆที่ดูเหมือนจองล้างจองผลาญกันมาแต่ชาติปางก่อน รวมๆแล้วผมเกลียดบาส แต่มันเป็นวิชาพละผมครับ และผมคงตายไปแล้วถ้าไม่มี...
“ไอ้ทาร์ต ไอ้ตัวหายนะ เจอทีมมึงตอนรอบแรกนี่ฉุดเกรดกูชิบหาย”
“เอาหน่า ถึงแพ้ตั้งแต่รอบแรกก็แพ้ว่าที่แชมป์ คิดไรมากวะ ฮ่าๆๆๆ” ยักไหล่หัวเราะอย่างไม่แยแสเสียงที่แย้งมาว่าถ้าเจอรอบชิงจะไม่บ่นซักคำแล้วเดินมาตบไหล่ผมที่ยังยืนหอบอยู่
“เลิกวิ่งหนีลูกแล้วนี่” ยิ้มให้ผมทั้งปากทั้งตา ดูมันเป็นพัฒนาการที่ดีมากใช่มั้ยครับไอ้ ‘เลิกวิ่งหนีลูก’ เนี่ย
ผมยกมุมปากกลับไปอย่างยากเย็น เลิกวิ่งหนีน่ะใช่อยู่ แต่จะให้เลิกกลัวเนี่ย ชาติหน้าเหอะครับ
“โทษนะ เสียที่เราทุกทีเลย” ผมทั้งเกรงใจมัน และเกรงใจเพื่อนเทพๆอีกสามคนในทีมเอามากๆ ที่ต้องมาทนเซ็งกับฝีมืออนุบาลหมีน้อยของผม อีกอย่างมันไม่สนุกหรอกครับที่ตัวเองยืนเคว้งอยู่ในสนามขณะที่ทุกคนดูจะรู้ว่าต้องทำอะไร ผมยืนกังวลจนจิตมันดิ่งเหวอยู่ไม่นาน ทุกคนที่ผมพูดถึงเมื่อครู่ต่างเดินมาลูบหัว บีบจมูก และจับแก้มผมตามลำดับ
โอ๊ยยยยย ของเล่นเหรอ !?!
“คิดมากน่ะ กัลยา เพื่อนกัน เรื่องแค่นี้นิดหน่อยเอง”
ครับคุณเพื่อน ถึงจะไม่ค่อยชอบชื่อที่มันเรียกผมเท่าไหร่ก็เถอะ
“ปะ ไปล้างหน้าเหอะสุดหล่อ เดี๋ยวสิวขึ้นแล้วพี่สาวไม่ปลื้ม ฮ่าๆๆ”พลันมือที่ตบบ่าผมอยู่ก็ดึงผมไปโอบก่อนจะลากไปอีกทาง
ดูจะเป็นเหตุการณ์ปกติที่ทาร์ตมันดูจะใส่ใจผมมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ผมไม่รู้ว่าทำไมแต่ก็ไม่คิดจะถาม พอมีคนแซวทีเล่นทีจริงเข้าทาร์ตก็บอกว่าผมเหมือนน้องชาย กับคนอื่นในห้องผมเด็กกว่าปีนึง แต่กับทาร์ตจริงๆแล้วห่างกันไม่กี่เดือนหรอกครับ (เป็นพวกพ่อแม่ขี้เกียจเลี้ยง เลยส่งเข้าโรงเรียนเร็วทั้งคู่) ตอนเข้า ม.4 มาได้นั่งข้างกันเพราะต่างคนต่างหาเพื่อนไม่เจอ เพื่อนโรงเรียนผมกับโรงเรียนมันสอบติดที่นี่ก็เยอะอยู่ แต่ในห้องนี้ไม่มีเลยครับ มองซ้ายมองขวาเห็นมันนั่งอยู่คนเดียว หน้าตาก็ดูเป็นมิตรดี ผมซึ่งมาสายกว่าจึงเนียนๆเข้าไปขอนั่งด้วย แล้วกลายเป็นว่าสนิทกันเร็วมาก เห็นนิ่งๆตอนแรกๆอันที่จริงต๊องได้โล่ อะไรบ้าๆรั่วๆหลุดๆที่คนปกติเค้าไม่ทำกันคือของโปรดมันครับ แล้วไอ้ท่าทางเรียบร้อยรักสงบนั่นก็โคตรจะสร้างภาพ มันน่ะตัวสร้างความแตกแยกของจริง แต่ที่เพื่อนไม่เกลียดเพราะมันไม่ได้มีเรื่องกับเพื่อน (ทาร์ตบอกเล็กๆไม่ครับ) โน่น จะเล้งจะแรงทั้งทีล่อกะรุ่นพี่ทั้งนั้น ผมละปวดหัวแทน ในขณะที่ตัวต้นเรื่องอย่างมันดูจะไม่เดือดร้อนอะไร
สองปีที่อยู่กับทาร์ตผ่านไปเร็วมากครับ ทั้งมันทั้งผมประคองกันแบบล้มลุกคลุกคลานมาตลอด (ถึงมันจะเป็นฝ่ายช่วยผมมากกว่าก็เถอะ) อาจจะเพราะอยากเข้าคณะเดียวกัน แล้วเดี๋ยวมันก็ลากผมไปติว เดี๋ยวผมก็ดึงมันมาทำงาน ไปๆมาๆอยู่อย่างนี้เลยสนิทกันเอามากๆ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมเผลอมองมันอยู่บ่อยๆ แล้วต้องฝืนไม่หลบตาตอนทาร์ตยิ้มกลับมาให้ มันไม่ได้หล่อไปกว่าผมหรอกครับ แต่ตาตี่ๆคู่นั้นก็มองเพลินดีเหมือนกัน ปากหนาหยักที่ดูจะยกยิ้มกวนประสาทชาวโลกอยู่ตลอดเวลาก็ทำผมเหม่อได้ไม่รู้แล้ว ผมไม่แน่ใจนักว่าความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไร แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจะหาคำตอบ เพราะไม่รู้จะรู้ไปทำไม สิ่งที่คิดอยู่คือเก็บเกี่ยวความสุขตอนนี้ให้มากที่สุด ก็เท่านั้น
“กันนนนนนนนนนนนนนนย์......” เสียงแหลมปรี๊ดลากยาวปลุกให้ผมตื่นหลังอาจารย์ออกจากห้องในคาบสุดท้าย ผมปาดน้ำลายมุมปากออกด้วยความเร็วแสงก่อนจะสะบัดหัวให้ตาหายปรืออย่างด่วน มีไม่กี่อย่างหรอกที่ทำให้ผิงวิ่งอ้อมสระน้ำข้ามตึกมาหาผมในเวลาแบบนี้
“แกกกกกกก.. แกๆๆ ไอ้กันย์ตื่นนนน” มือขาวๆนั่นจับหน้าผมเขย่าจนลูกตาแทบหลุด ภาพห้องทั้งห้องเบลอไปจนเหลือแต่สีหน้าร้อนใจของเด็กสาวตรงหน้าผมเท่านั้น
“เออ ตื่นแล้ว แต่จะสลบไปอีกรอบก็เพราะผิงนั่นแหละ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ มองเรียวปากคู่นั้นยู่เข้าอย่างนึกชอบใจ “มีอะไรอีกล่ะ”
“ก็นัทน่ะสิ” ดวงตาสีดำกลมแป๋วตรงหน้าผมกระตุกไปวูบหนึ่งเมื่อพูดถึงชื่อนั้น คาดว่าคงจะรู้จักกันแล้ว ใช่ครับ นัทที่ผอมๆขาวๆหล่อๆ เล่นบาสเมพๆนั่นแหละที่ผิงแอบชอบมาตั้งแต่ ม.4
“นัททำไม”
“พวกตึก3 มันเม้าท์กันว่านัทมีแฟนอะ” ตาสวยคู่นั้นอ่อนแสงลงอีก ผิงกัดริมฝีปากล่างอย่างขัดใจ “นัททำแบบนี้ได้ไงอะกันย์ เราแอบชอบนัทมาจะสามปีแล้วนะ กว่าจะลุ้นให้โสดได้ก็แทบตายแน่ะ”
“แล้วมาบอกอะไรเราเนี่ย ให้ไปบอกนัทตั้งแต่ปีที่แล้วก็มัวแต่อิดๆออดๆ เป็นไง โดนคาบไปกินแล้วเห็นปะ” ยิ้มอย่างนึกเอ็นดู ผมยังยิ้มออกเพราะรู้มาว่าจริงๆแล้วนัทไม่เคยคบใครนาน เอ... แต่สองคนล่าสุดที่คบกันเจ้าตัวก็ไม่ได้เรียกแฟนอย่างเต็มปากซะหน่อย แล้วคนปัจจุบันนี่ยังไง ไม่ใช่ทำเพื่อนผมเสียใจฟรีหรอกนะ
“แฟนแน่เหรอผิง” ผมถามเพื่อความแน่ใจ
“เออ ไม่แน่ใจอะ พวกแบงค์บอกมา แต่กันย์ต้องช่วยเรานะ นะนะนะนะๆๆ” เข้าโหมดอ้อนอีกรอบ ตามจริงผมไม่ได้สนิทกับนัทมากนัก แค่พอรู้จักเพราะตอนทำงานก็เจอกันบ้าง ปกติผิงมาถามเรื่องนัทก็บ่อย แต่ไม่เคยขอให้ผมช่วยอะไร ครั้งนี้มาแปลก
“จะให้ช่วยอะไรละ เราไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าเธอหรอกน่า”
“ก็ช่วยสืบให้หน่อยว่านัทกับคนนั้นน่ะ เป็นแฟนกันจริงรึเปล่า” มือขาวๆเริ่มหมุนปากกาผมเล่น
ใจเย็นเห้ยผิง ด้ามนั้นมันแพง! ผมหยิบดินสอกดแท่งหนึ่งให้เธอเอาไปเล่นแทนแก้ว่างก่อนจะฉวยลามี่ลูกรักของผมกลับมา ...เกือบไป
“แล้วจะสืบจากไหน ทำไมไม่ลองไปถามชุนหรือแก๊ป หรือใครที่สนิทกับนัทล่ะ”
“ก็ไม่ได้ให้สืบจากนัทนี่ กันย์ไปถามคนนั้นให้หน่อยนะ น้าาา..” ผิงวางดินสอลงแล้วจับมือผมไปเขย่าอีก ไฮเปอร์จริงๆ
“อ้าว แฟนนัทคนนั้นนี่ เรารู้จักเหรอ?” งงสิครับ เป็นใครยังไม่รู้เลย ผมรู้จักผู้หญิงสวยๆในโรงเรียนเยอะอยู่ แต่ก็ไม่นึกว่าผิงมันจะไหว้วานผมในเรื่องแบบนี้
“ใช่ กันย์รู้จัก รู้จักดี........... เลยล่ะ แต่อย่าเพิ่งเรียกแฟนสิ ใจเสียอะ” ใบหน้าขาวนั่นเบ้ลงอีก
เดี๋ยวนะ รู้จักดี เลยเหรอ
“ใครอะผิง??” ผมรวบข้อมือเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนที่แขนผมจะบอบช้ำไปมากกว่านี้ ตาใสคู่นั้นสบตาผม ก่อนเจ้าของมันจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เจือความล้อเล่น
“ทาร์ตไง”
ผิงเหมือนจะร้องไห้ หน้าผมเองก็คงเหวอเอามากๆ ช็อกจนทำอะไรไม่ถูก
“ผิงว่าไงนะ!” คงเผลอเสียงดังไป ตากลมๆคลอไปด้วยน้ำใสๆที่พร้อมจะรินออกมาทุกเมื่อ
“ฟังไม่ผิดหรอก” ผิงบิดข้อมือออกจากมือผม แล้วจ้องมันนิ่งราวกับมันเพิ่งงอกออกมาจากปลายแขนเมื่อนาทีก่อน “ก็แบงค์บอกว่า.. ว่า เห็นตอนที่ทาร์ตบอกชอบนัท”
ผมไม่แน่ใจว่าเสียงผิงแผ่วลงจนขาดหายไปตอนท้ายประโยค หรือว่าหูผมอื้อจนไม่ได้ยินเสียงเธอกันแน่ ทาร์ตเหรอ ทาร์ตงั้นเหรอ ผู้ชายคนสุดท้ายในโลกที่ผมคิดว่ามันจะ...
“กันย์ ทำไงดีอะ ถ้ามันจริงขึ้นมา” เสียงใสเริ่มสั่นเครืออย่างคุมไม่อยู่ “คือเราไม่คิดเลยว่านัทจะ.. แบบ ชอบผู้ชายอะ”
“คิดมากน่าผิง มันอาจจะเป็นข่าวลือก็ได้” ผมปลอบเธอทั้งๆที่ตัวเองใจหายไปกว่าครึ่ง “แบงค์ไม่ได้บอกนี่นาว่าคบกันแล้วน่ะ” พยายามยิ้มอย่างใจเย็นที่สุด อันที่จริงคือพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นมากกว่า เพราะในตอนนี้ความสับสนมันอยู่เหนืออารมณ์ใดๆในใจผม
“ก็ยังอดกลัวไม่ได้อยู่ดี กันย์ เกย์มันเป็นแล้วเป็นเลยนะเว้ย ไม่ใช่ฉีดยาแล้วหาย นี่ถ้าคบกันจริงๆชั้นก็หมดหวังตลอดชีวิตน่ะสิ โอ๊ยยยย...” เด็กสาวตรงหน้ายังรำพันอย่างไม่รู้จักเหนื่อย ซบใบหน้าขาวลงกับฝ่ามือเล็กอย่างกลัดกลุ้ม
“งั้นเอางี้ เพื่อความสบายใจ วันนี้เดี๋ยวเราถามทาร์ตให้” ผมนึกกะเวลาคร่าวๆในใจ เรียนพิเศษเสร็จสองทุ่ม ขึ้นบีทีเอส ต่อรถเมล์ เดินอีกนิดหน่อย ถ้ารถไม่ติดหนักแบบนรกแตกก็คงถึงบ้านทาร์ตไม่เกินสามทุ่ม ไปหามันบ้างก็ดีเหมือนกัน ม.6เราเจอกันน้อยมากเพราะตึกเรียนอยู่ห่างกันคนละซีกโลก และแทบไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่เริ่มกีฬาสีเพราะต่างคนต่างยุ่งกับกิจกรรมตัวเอง ทาร์ตลงกีฬาสามอย่าง ผมก็เป็นดรัมเมเยอร์ ป่วนทั้งซ้อมของตัวเองแล้วก็ดูแลพวกเด็กๆ เหนื่อยสายตัวแทบขาดเหมือนกัน เจอกันบ้างตอนเรียนพิเศษ แต่ทุกคนก็มีงานเยอะกว่าจะอ้าปากคุยเรื่องอื่นกันได้นอกจาก
“ทาร์ตเอากบมานี่หน่อยดิ”
“ยางลบเรายังอยู่ที่กันย์รึเปล่า”
“ชีทตีฟเราหายอะ ทาร์ต ยืมซีฯหน่อยนะ”
คิดแล้วก็ถอนหายใจ ถ้าเทียบกับชีวิตสองปีแรกในโรงเรียนนี้ที่มีมันอยู่ ผมนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองผ่านปีสุดท้ายนี้มาได้ยังไงโดยไม่มีทาร์ตอยู่ข้างๆ ผมคงมัวแต่ยุ่งเรื่องกิจกรรม เรื่องเตรียมสอบจนเผลอลืมอะไรหลายๆอย่างไป ผมเคยเป็นคนแรกที่ทาร์ตจะบอกทุกอย่าง และแทบจะเป็นคนเดียวที่รู้ทุกเรื่องจากปากเจ้าตัว หรือไม่ก็เป็นผู้รู้เห็นจากเหตุการณ์จริงโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากพูดกันให้เสียเวลา
แต่สิ่งที่ผิงพูดวันนี้ ทำให้ผมรู้ว่าทุกอย่าง ...มันเปลี่ยนไปแล้ว
ความคิดเห็น