ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] See through B's trick (chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #8 : - CH 6 : fine -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.38K
      41
      20 ต.ค. 58

          chapter 06
      


          

        Heaven and Hell, you are both.

    ทั้งสวรรค์และนรก คุณคือทั้งสองอย่าง

    …..

     

     

    เชื่อใจ

     

    คือความรู้สึกที่ผมมีต่อชานยอลในตอนนี้

     

     

    นั่นคือสิ่งที่แบคฮยอนตั้งใจแสดงออกให้ชานยอลรับรู้

     

    ข้อเท็จจริงที่ว่าชานยอลฉลาดเหลือร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะปฏิเสธ แต่ทว่าแบคฮยอนเองก็ไม่ใช่คนหัวอ่อน ร่างเล็กมีความหลักแหลมและไหวพริบซ่อนอยู่ในตัว สายตาที่เขามอบให้ชานยอลคือสายตาแห่งความเชื่อใจ ใช่ แบคฮยอนต้องการให้ชานยอลคิดแบบนั้นว่าเขาเป็นไปตามที่ร่างสูงต้องการ แต่ทันทีที่ตัดสินใจซุกใบหน้าลงกับแผ่นอกแกร่งของอี้ฝาน ดวงตาเรียวรีก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น อีกทั้งความคิดมากมายก็แล่นไปมาในหัวราวกับต้องการหาทางออกจากเรื่องนี้

     

    บยอนแบคฮยอน หนึ่งในเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับพิเศษกับปาร์คชานยอล หนึ่งในกลุ่มอาชญากรสุดร้ายกาจ บทบาทของพวกเขาเป็นดังลาวาและธารน้ำแข็งที่ไม่มีวันจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง

     

               ‘ใช่ นายเชื่อใจฉันได้

     

    ริมฝีปากบางกระตุกเหมือนแค่นหัวเราะเมื่อนึกถึงคำพูดของร่างโปร่ง เชื่อใจได้อย่างนั้นหรือ? เขาไม่ใช่คนโง่เง่าที่จะยอมเชื่อฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่การยืนยันผ่านลมปาก หากเขาโง่การทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติก็คงบกพร่องไม่น้อย

     

    สิ่งที่จะสร้างความไว้วางใจนั้นมันไม่ใช่เพียงแค่เสียงทุ้มห้าวที่ออกมาจากปากหยักได้รูป ไม่ใช่แค่ดวงตาหรือท่าทางที่พยายามทำให้เขาเชื่อใจ แต่ร่างเล็กต้องการหลักประกัน ข้อพิสูจน์หรืออะไรก็ได้ที่หนักแน่นพอที่จะทำให้เขาไว้ใจชานยอลได้โดยไม่มีข้อกังขา

     

    นายรู้อะไรไหมชานยอล?

     

    ความเชื่อใจมันสร้างยากแต่ถูกทำลายได้ง่ายเกินกว่าที่นายจะจินตนาการได้ซะอีก

     

    หากคิดว่านายฉลาดเพียงคนเดียวแล้วล่ะก็...

     

    นายคิดผิด

     

     

    ขอบคุณที่มาส่งครับผมโค้งขอบคุณหัวหน้าอี้ฝานที่อาสามาส่งที่บ้าน เขาเพียงแค่ยิ้มบางๆเป็นการตอบรับ ไม่ได้จู่โจมผมด้วยคำพูดที่สร้างความอึดอัดหรือรั้งผมไว้แต่อย่างใด ดวงตาของหัวหน้าอี้ฝานทำให้ผมเข้าใจว่าเขาเหนื่อยจนเกินกว่าจะรบกวนผม เขาเป็นหัวหน้า เป็นคนที่แบกรับทุกสิ่งหนักกว่าพวกเราหลายเท่า ผมรู้ว่าเขาตั้งใจและจริงจังกับงานมากแค่ไหน ในช่วงเวลาที่พวกเรานอนหลับ หัวหน้าอี้ฝานจะเป็นคนเดียวที่ลุกขึ้นมาวางแผนเกี่ยวกับภารกิจ ผมคิดว่าต่อให้นำความเหน็ดเหนื่อยของคนทั้งทีมมารวมกันก็ยังอาจไม่เทียบเท่ากับความเหน็ดเหนื่อยของเขาเพียงคนเดียวเลยด้วยซ้ำ

     

    ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูรั้วบ้านนั่นเอง ผมตัดสินใจหันไปหาหัวหน้าอี้ฝานที่ยังคงนั่งมองผมอยู่ในมาร์เซราติคันโปรดของเขา มาร์เซราติที่ผมเป็นคนเลือกให้เขาเองกับมือ

     

    อ่า…” ดวงตาคมมองอย่างเฝ้ารอว่าผมจะพูดอะไร วินาทีที่สบตากับเขาคือวินาทีที่คำพูดแรกหลุดออกจากปากของผม ผมรู้ว่าหัวหน้าคงจะเหนื่อยมาก แต่อย่าลืมนะครับว่าคุณยังมีพวกเราอยู่ข้างๆ ผมอยากให้คุณพักผ่อนแล้วก็อย่าเครียดมากเกินไป ผมเชื่อว่าเอสจะทำอะไรไม่ได้หากพวกเราร่วมมือกัน คุณอย่ากังวลไปเลยนะครับ

     

    น้ำเสียงและถ้อยคำที่เป็นทางการแสดงออกถึงความห่างเหินนั้นอาจทำให้อี้ฝานรู้สึกแย่ แต่ตรงกันข้าม ร่างสูงกลับรู้สึกราวกับได้รับน้ำฝนที่ทำให้หัวใจชุ่มชื้นเพียงเพราะคนตรงหน้าแสดงออกถึงความเป็นห่วง แบคฮยอนไม่รู้ตัวหรอกว่าได้เพิ่มพลังให้กับอีกคนมากแค่ไหน ในวินาทีนั้นเองที่เหมือนว่าอี้ฝานได้ยินเสียงในอดีตที่ครั้งหนึ่งเคยหอมหวานเสียยิ่งกว่าความหวานใดๆ

     

    พี่อี้ฝานมานอนได้แล้วครับ

     

    เรานอนก่อนเถอะ ขอพี่เคลียร์งานอีกหน่อยเดียวนะ

     

    ไม่ต้องเลย มานอนได้แล้ว ไม่งั้นคืนนี้พี่ก็ไปนอนข้างนอกนู่นเลย ไม่ต้องมานอนกับผม

     

    นี่ขู่กันรึไงหืม?’

     

    ไม่ได้ขู่ แต่พี่ก็เป็นแบบนี้ทุกที ชอบเก็บเรื่องภารกิจมาคิดมากเกินไป

     

    ก็พี่เป็นหัวหน้า จะให้พี่ไม่รับผิดชอบได้ยังไงล่ะครับ?’

     

    ผมรู้ว่าพี่เป็นหัวหน้า แต่พี่อย่าเก็บความเครียดไว้คนเดียวสิแบ่งมาให้ผมบ้างนะ

     

    ‘…’

     

    มานอนมา ถ้าได้กอดผมพี่จะฝันดีทั้งคืนเลย เชื่อผมสิ

     

    แม้ช่วงเวลานั้นจะหอมหวานและน่าจดจำมากเพียงใดแต่อดีตก็คืออดีต สิ่งที่อี้ฝานทำได้ในตอนนี้คือการส่งยิ้มให้คนตัวเล็กอีกครั้งพร้อมกับเปล่งเสียงทุ้มที่พยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้มันสั่นไหว ขอบใจนะ แบคฮยอน

     

    ผมยิ้มให้หัวหน้าอี้ฝานก่อนจะเข้าบ้าน ปล่อยให้มาร์เซราติคันนั้นแล่นไปตามทางที่ควรจะไป ผมไม่ได้เป็นห่วงหัวหน้าอี้ฝานในเชิงพิศวาส แต่ในฐานะทีมเดียวกัน เราเปรียบดั่งพี่น้อง เปรียบเป็นครอบครัว ผมคงดูใจร้ายมากหากทำเป็นไม่แยแสต่อความเหนื่อยล้าของเขา

     

    ผมทิ้งตัวนั่งบนโซฟา รอคอยการปรากฏตัวของใครบางคน ผมเห็นว่าเขาขี่ดูคาติตามผมกับหัวหน้าอี้ฝานมาตั้งแต่ที่ออกจากสนามเบสบอล ผมไม่แน่ใจว่าครั้งนี้เขาตั้งใจให้ผมเห็นว่าเขาตามผมอยู่หรือเป็นเพราะเขาพลาดเองกันแน่และเป็นโชคดีอย่างหนึ่งที่หัวหน้าอี้ฝานไม่ได้สังเกตเห็นดูคาติสีดำคันนั้น

     

    ผมแสร้งแสดงออกว่าเชื่อใจเขาแต่สาบานได้ว่าในความรู้สึกที่แท้จริงของผมหาได้มีความรู้สึกแบบนั้น จุดประสงค์ที่ชานยอลเข้าหาผมมันยังไม่แน่ชัดเอาเสียเลย ผมไม่สามารถสรุปได้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ทรยศเอส? ค้นหาตัวตนของเอส? ข่มขู่ผมเพื่อให้บอกแผนของสตาสแล้วนำกลับไปสร้างประโยชน์ให้พวกเดียวกัน? สิ่งเดียวที่ชัดเจนนั้นก็คือ เขาช่วยผมจากการถูกไล่ล่าของไนท์แมร์และดูเหมือนว่าเขายังจะช่วยเรื่องระเบิดของเอสในครั้งนี้อีกด้วย

     

    ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ชานยอลก็ยังคงเป็นบุคคลที่เป็นวายร้ายในสายตาของผมอยู่ดี

     

    ไม่ถึงห้านาทีประตูหน้าบ้านของผมก็ถูกเปิดออก เหมือนกับรู้ว่าผมเฝ้ารอเขาอยู่ ชานยอลนั่งลงข้างๆผม เรียกได้ว่าใกล้จนขายาวๆนั่นแทบจะเกยมาบนตัก ผมขยับตัวออกห่างก่อนจะมองเขาที่ยังคงไว้ซึ่งใบหน้าเรียบนิ่งราวกับว่าเขามีเพียงสีหน้าเดียว

     

    นายมาช้านะผมเอ่ยติดตลก แต่แน่นอนว่าอารมณ์ขันจะเป็นหมันทันทีถ้าหากคุณใช้มันกับชานยอล

     

    ผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรกับนาย?”

     

    คนไหน?” เช่นเดิม ชานยอลไม่เคยสนใจประโยคที่ผมพูดแถมยังเป็นผู้สร้างบทสนทนาใหม่ซะอีก

     

    คนที่กอดนาย คนที่มาส่งนาย คนที่นายคุยด้วย

     

    ผมนึกตามที่เขาบอก เพียงชั่วอึดใจผมก็รู้ได้ทันทีว่าชานยอลหมายถึงใคร หัวหน้าอี้ฝานนั่นเอง

     

    เขาเป็นหัวหน้าของฉัน

     

    แน่ใจเหรอว่าเป็นแค่หัวหน้า? ฉันว่าหมอนั่นกำลังตามตื๊อนายอยู่ซะมากกว่าน้ำเสียงราวกับจับผิดนั่นทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะมองใบหน้าหล่อเหลา ชานยอลยังคงมองผมอย่างเรียบเฉยแต่เมื่อผมไม่ตอบคิ้วเข้มนั่นก็เลิกขึ้นข้างหนึ่งอย่างกวนประสาท

     

    แล้วนายจะอยากรู้ไปทำไม?”

     

    ฉันก็แค่อยากรู้ว่าสิ่งที่ฉันคิดไว้มันใช่รึเปล่า

     

    แล้วนายคิดอะไรไว้ล่ะ?”

     

    ความสงสัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่าชานยอลจะเข้ามาพูดถึงเรื่องแผนของเอสหรือสั่งให้ผมบอกว่าสตาสวางแผนยังไงกับเรื่องไนท์แมร์อะไรทำนองนั้นซะอีก แต่เปล่าเลย เขากลับมาถามว่าหัวหน้าอี้ฝานเป็นอะไรกับผมเนี่ยนะ?

     

    คิดว่านายชอบผู้ชายหากกำลังจิบกาแฟอยู่ ผมคงพ่นมันใส่หน้าเขาเแน่ ชานยอลสงสัยเกี่ยวกับตัวผมแบบนี้หรือเนี่ย! ฉันคิดว่านายเป็นเกย์

     

    ฉันไม่ได้เป็นเกย์!

     

    ผมลุกขึ้นจากโซฟาแล้วตะโกนเสียงดังอย่างลืมตัว วินาทีนั้นเองที่ผมได้เห็นรอยยิ้มจากชานยอลอีกครั้งแถมคราวนี้ยังมีเสียงหัวเราะล้อเลียนอีกด้วย ให้ตายเถอะ ผมล่ะเกลียดไอ้ความที่เป็นคนมิติเดียวนี่จริงๆ ทำไมผมไม่เก็บอาการ เก็บสีหน้าให้เก่งแบบคนอื่นบ้าง!

     

    ถ้าแบบนายไม่เรียกว่าเกย์ แล้วควรเรียกว่าอะไรล่ะ?” แล้วผมก็เกลียดใบหน้าเรียบนิ่งแต่กวนประสาทของปาร์คชานยอลด้วยเช่นเดียวกัน

     

    ฉะ...ฉันก็แค่รัก คนที่ฉันอยากจะรัก

     

    ใบหน้าล้อเลียนของชานยอลถูกแทนที่ด้วยคิ้วเข้มที่เริ่มขมวดอย่างใคร่สงสัย เพียงชั่วครู่เสียงทุ้มต่ำนั่นก็ทวนคำที่ผมเพิ่งพูดออกไป รักคนที่อยากจะรักงั้นเหรอ?”

     

    ใช่

     

    มันหมายความว่ายังไง?”

     

    ก็...นายจะรักคนๆนั้นโดยที่สามารถมองข้ามทุกเหตุผลได้ แล้วก็เชื่อฟังแค่หัวใจของตัวเอง

     

    แล้วถ้าคนๆนั้นเป็นคนที่เลวมากๆล่ะ นายจะรักรึเปล่า?” เราสบตากันไปชั่วครู่หลังจากสิ้นคำถามนั้น ดวงตาสีน้ำตาลของเขามองผมไม่กะพริบตา ผมไม่ได้มองเห็นความคาดหวังในคำตอบจากเขา ถึงกระนั้นผมก็ยังเป็นฝ่ายที่หลบตาก่อน สายตาของชานยอลอันตรายเกินไป มันทำให้ผมรู้สึกร้อนที่ผิวแก้มอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้

     

    เอาไว้ถึงตอนที่นายรักใครสักคน นายก็จะได้คำตอบเอง

     

    ชานยอลกอดอกมองผมเพียงครู่เดียวก่อนที่จะดึงแขนผมให้กลับไปนั่งตามเดิม เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ซึ่งการทำแบบนั้นมันทำให้ใบหน้าของเขาดูเจ้าเล่ห์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว มือหนาส่งมาบีบแก้มของผมจนมันยู่เข้าหากัน ปากของผมจู๋จนดูตลกแน่ๆ ผมพยายามหนีพร้อมกับแงะมือใหญ่นั่นแต่เขากลับบีบแก้มแรงขึ้นเพื่อล็อคใบหน้าให้ผมมองที่เขาเท่านั้น นี่เล่นบ้าอะไรวะเนี่ย!

     

    ย่าห์! ปล่อยมือออกไปเดี๋ยวนี้!

     

    แล้วไอ้ขี้เก๊กนั่นคือคนที่นายอยากจะรักงั้นเหรอ?”

     

    มือของผมที่กำลังพยายามแงะมือของชานยอลชะงักลง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้สนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ บางทีเขาอาจจะเมาโคเคนหรือไม่เมื่อคืนนี้คงนอนผิดท่าผิดทางไปหน่อยถึงได้กลายเป็นคนช่างสงสัยขนาดนี้

     

    นั่นมันไม่เกี่ยวกับนายทุกอย่างหยุดนิ่งหลังจากผมพูดจบ ชานยอลสบตากับผมนิ่งนานก่อนจะปล่อยแก้มของผมให้เป็นอิสระ เขาแค่นหัวเราะออกมาทั้งๆที่มันไม่มีเรื่องตลกเลยด้วยซ้ำ

     

    นั่นสินะ ไม่เห็นมีอะไรที่เกี่ยวกับฉันซะหน่อยเขาว่าก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไม่ว่าจะเจอกับชานยอลสักกี่ครั้ง เขาก็ยังเป็นคนที่อ่านยากและเอาแต่ใจอย่างที่ผมคาดไม่ถึงอยู่เสมอ เอาโทรศัพท์ของนายมาซิ

     

    ผมมองมือที่ยื่นมาตรงหน้า ไม่เข้าใจว่าเขาจะเล่นอะไรอีก

     

    นายจะเอาไปทำอะไร?”

     

    ฉันสั่งก็ทำตาม อย่าถามมาก

     

    น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยการวางอำนาจ ผมไม่ได้รู้สึกหวั่นใจต่อเขาเหมือนอย่างที่เจอกันในช่วงแรก แต่รู้สึกหมั่นไส้เขาอย่างหาเหตุผลไม่ได้ ผมรู้สึกเป็นรองที่เดาอะไรจากชานยอลไม่ได้เลย ถึงกระนั้นผมก็ยังยื่นโทรศัพท์ให้เขาอย่างไม่เต็มใจนัก

     

    ชานยอลรับโทรศัพท์ของผมไปก่อนจะกดมันอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็โยนคืนให้เล่นเอาผมรับแทบไม่ทัน นี่มันโน้ตสี่นะเว้ย! มันแพงนะ ถ้าหล่นขึ้นมานายจะชดใช้ยังไงวะ!!

     

    ฉันเมมเบอร์ของนายไว้แล้ว ต่อจากนี้ฉันจะติดต่อนายผ่านทางโทรศัพท์ ถ้าฉันโทรมานายต้องรับภายในสิบวิ ห้ามช้ากว่านั้น

     

    แล้วนายเมมเบอร์นายให้ฉันแล้วใช่ไหม?”

     

    ไม่ ฉันจะติดต่อมาเอง นายอยู่เฉยๆก็พอ

     

    แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเบอร์ไหนเป็นเบอร์ของนาย?”

     

    ถึงเวลานายก็จะรู้เอง

     

    เออ โคตรจะแฟร์ เขามีเบอร์ผม เขารู้ว่าบ้านผมอยู่ที่ไหน แถมยังมีการมาสั่งให้ผมรับสายเขาภายในสิบวิอีกด้วย เออครับ ชานยอล แม่งแฟร์มากๆ น้ำตาแทบไหลเลยครับ

     

    เลิกทำหน้าเหมือนหมาโกรธสักที น่าขำเป็นบ้า

     

    โอ๊ยย!ชานยอลพูดก่อนจะดีดหน้าผากผมดังเพี๊ยะ สาบานเลยว่าถ้าหากผมมีโอกาสเอาคืนล่ะก็ ผมจะทำให้เขาอ่วมไปเลย!

     

    อย่าลืมว่าฉันจับตาดูนายอยู่ มันจะเป็นผลดีต่อนายถ้าหากเชื่อฟังตามที่ฉันบอก

     

    ชานยอลทิ้งท้ายเพียงเท่านี้ก่อนจะออกจากบ้านไป ทิ้งให้ผมอยู่กับความเงียบรอบตัวอีกครั้ง ผมมองตามแผ่นหลังกว้างจนลับสายตา เขาเป็นดังสายลมที่พัดมาและจากไปอย่างอิสระ เป็นดังพายุดีเปรสชั่นที่พัดเอาทุกอย่างไปตามที่ใจปรารถนาและทิ้งไว้เพียงแค่เศษซากของการปรากฏตัว ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม หลังจากที่ผมแน่ใจว่าเขาพ้นจากบ้านของผมไปแล้ว ผมก็หยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง

     

    เครื่องบันทึกเสียง

     

    ผมไม่เคยไว้ใจเขามาตั้งแต่ต้น ดังนั้นแทบทุกคำพูดที่เราสองคนสนทนากันผมได้แอบบันทึกเอาไว้ ในอนาคตมันอาจจะใช้เป็นประโยชน์ต่อการจับกุมชานยอลได้

     

    และเมื่อถึงเวลานั้นผมคิดว่าผมนี่แหละที่จะเป็นคนจับเขาด้วยฝีมือของตัวเอง

     

     

    ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมยืนนิ่งอยู่ที่ดูคาติคู่ใจ สัมผัสเนียนนุ่มของแก้มยุ้ยนั้นยังคงประทับอยู่ที่ฝ่ามือของเขา ชานยอลไม่เข้าใจว่าเหตุใดแบคฮยอนถึงได้มีบางอย่างที่แตกต่างจากผู้ชายคนอื่น ทั้งผิวเนื้อเนียน กลิ่นกายหอม หรือแม้กระทั่งใบหน้าเหมือนลูกหมาที่สร้างความเอ็นดูให้แก่ผู้พบเห็น

     

    แบคฮยอนไม่ใช่ผู้ชายที่ดูบอบบางหรือคล้ายกับหญิงสาวตรงไหนเลย คนตัวเล็กนั่นก็เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่เขาคิดว่ามีหน้าตาแบบเกาหลีแท้ๆ แถมยังสู้คนเป็นอีกด้วย แต่ทำไมความรู้สึกแปลกๆถึงได้เข้ามาเล่นงานในหัวใจของเขา มันเป็นความรู้สึกที่ชานยอลเองก็ไม่เข้าใจนัก แต่มันเหมือนกับว่าเขาอยากที่จะปกป้องแบคฮยอน

     

    ปกป้องงั้นเหรอ?

     

    ร่างสูงขยี้หัวแรงๆอย่างหัวเสีย เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง อาจเป็นเพราะช่วงนี้เขาเจอกับแบคฮยอนมากเกินไป ใช่ คงเป็นแบบนั้น มันต้องเป็นกลไกทางวิทยาศาสตร์ของร่างกายที่ชานยอลเองไม่สามารถอธิบายได้และคงจะต้องปวดหัวตายซะก่อนหากต้องคิดหาคำตอบอย่างจริงจัง

     

    ชานยอลขึ้นคร่อมดูคาติก่อนจะสวมหมวกกันน็อคและสตาร์ทเครื่องดังกระหึ่ม เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็พุ่งทะยานไปกับรถคู่ใจ ปล่อยให้สายลมที่หวีดหวิวยามที่เขาเคลื่อนผ่านชะล้างความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ให้หายไปกับอากาศ

     

    แต่สัมผัสจากโลหะเย็นเฉียบรูปลูกกุญแจที่หน้าอกนั้นกลับเป็นตัวย้ำเตือนให้ชานยอลได้ตระหนักว่าทุกความรู้สึกที่มีนั้น

     

    มันเกิดขึ้นจริง

     

    …..

     

     

    พี่แบคฮยอนๆๆ!!

     

    เสียงเรียกจากหน้าบ้านพร้อมกับเสียงออดที่ดังถี่รัวทำให้ผมลุกขึ้นจากเตียงอย่างงัวเงีย ผมเดินออกมาจากห้องนอนด้วยสภาพที่หน้าตาบูดบึ้งเพราะโดนขัดจังหวะการหลับ เมื่อคืนนี้ผมนั่งคิดเชื่อมโยงหาความเป็นไปได้ของจุดที่เอสจะวางระเบิดจนเกือบตีสามและเพิ่งจะหลับลงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง

     

    พี่แบคฮยอนเร็วๆหน่อย! ผมจะไปโรงเรียนสายแล้ว!

     

    เสียงเร่งเร้าทำให้ผมต้องก้าวไวขึ้น เทาโบกไม้โบกมือให้ผมอย่างร่าเริงอยู่ที่ประตูรั้วโดยมีสายตาตำหนิของคุณลุงคนขับรถส่งมาให้ แหงล่ะ ก็ผมเป็นตัวการที่จะทำให้คุณหนูของเขาไปโรงเรียนสายนี่ ไม่แปลกที่คุณลุงจะไม่ชอบหน้าผมสักเท่าไหร่

     

    ทำไมไม่รีบไปโรงเรียนเนี่ย?”

     

    ผมเปิดประตูรั้วให้เทาก้าวเข้ามาข้างในก่อนที่ผมจะอ้าปากหาวหวอดๆจนเทายิ้มขำ พี่หาวน่ารักจัง หาวจนเหนียงย่นเลย

     

    ผมถลึงตามองเทาข้อหาที่กระแนะกระแหนที่ผมหาวไม่ปิดปาก แต่ถึงยังงั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด เทาหยิบกระดาษแข็งๆใบเล็กๆใบหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะยัดมันใส่มือของผมซึ่งนั่นทำให้ผมได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย

     

    อะไรเนี่ย?”

     

    ตั๋วไปดูเบสบอลไง นี่ผมกะมาชวนพี่เลยนะเนี่ย ยังไงพี่ก็ต้องไปล่ะผมซื้อตั๋วมาเผื่อขนาดนี้แล้ว

     

    เหมือนความง่วงของผมถูกกระชากออกจนหายไปกับแสงแดดยามเช้า ผมก้มมองตั๋วในมือที่บอกถึงวันและเวลาที่การแข่งขันจะเริ่มอย่างชัดเจนและสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อการแข่งขันนัดที่เทาบังคับให้ผมไปดูนั้นมันคือนัดเดียวกับที่เอสซ่อนระเบิดเอาไว้

     

    หัวใจของผมเต้นเร็วเพียงแค่คิดว่าน้องชายที่ผมรัก ผู้ที่เปรียบเสมือนครอบครัวของผมจะต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่อันตรายแบบนั้น ผมมองหน้าเทาที่ยิ้มให้อย่างคาดหวังว่าผมจะตอบตกลง

     

    เทา พี่ว่าอย่าไปดูเลยดีกว่ามั้ง ไม่เห็นน่าสนุกตรงไหนเลยไอ้เบสบอลเนี่ยผมพยายามปั้นสีหน้าให้เหมือนเบื่อหน่ายเต็มทน เพื่อเปลี่ยนความคิดของเขาแต่ดูท่าว่าจะไร้ผลเมื่อเด็กหนุ่มกระฟัดกระเฟียดใส่

     

    โห่ยยย ได้ไงเล่าพี่แบคฮยอน นี่ทีมไจแอนท์วู้ดของผมกับทีมบิ๊กโฮปเลยนะ ถ้าใครไม่ได้ไปดูถือว่าโคตรพลาดอ่ะบอกเลย

     

    แต่พี่ว่าเราไม่…”

     

    ไอ้เควินบอกให้ผมจองตั๋วเผื่อผมยังไม่ทำเลย แต่นี่ผมอุตส่าห์ซื้อตั๋วมาเผื่อพี่เลยนะ พี่จะทำร้ายน้ำใจผมเหรอ?”

     

    เสียงของเทาหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ผมจะรู้ว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่เขาแสร้งทำเพื่อให้ใจอ่อน ถึงกระนั้นผมก็ยังสัมผัสได้ถึงความต้องการของเขาที่จะไปดูจริงๆ ผมรู้ว่าเขาชื่นชอบทีมไจแอนท์วู้ดมาตั้งแต่สมัยม.ต้น แต่สำหรับการแข่งขันนัดนี้เป็นนัดแรกที่ผมไม่อยากให้เขาไป แต่คุณก็คงรู้ ว่าความปรารถนาของมนุษย์นั้นหากได้ถูกจุดขึ้นมาแล้วมันก็ยากนักที่จะดับลง

     

    เช่นเดียวกับความต้องการของเทาที่เป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาๆผู้ที่จะใช้เหตุผลในการเจรจาเท่าไหร่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจ

     

    ก็ได้พี่จะไป

     

    เจ๋ง!!! งั้นไว้ผมโทรหานะ พี่ไปนอนต่อเถอะ ดูดิ หน้าโคตรบวมเลย ฮ่าๆๆเทาหยิกแก้มของผมไปมาจนผมต้องโบกหัวเด็กกะล่อนไปทีหนึ่งเขาจึงได้หยุด ผมไล่ให้เขาไปโรงเรียนก่อนที่คุณลุงคนขับรถจะเกลียดขี้หน้าผมไปมากกว่านี้ เทาโบกไม้โบกมือให้ผมอย่างทะเล้นก่อนที่รถยนต์ของเขาจะแล่นจนหายไปจากสายตา

     

    ดูเหมือนว่าภารกิจครั้งนี้ผมจะไม่ได้ทำเพียงแค่ต้องการปกป้องชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์เพียงเท่านั้น

     

    แต่ผมยังต้องปกป้องน้องชายที่ผมรักที่สุดอีกด้วย

     

    .....

     

    ท้องฟ้าคืนนี้ยังดูสวยไม่เท่าควันบุหรี่ของเขาเสียด้วยซ้ำ

     

                ไร้ดวงดาว อีกทั้งก้อนเมฆยังบดบังพระจันทร์จนท้องฟ้าดูมืดมนคล้ายผ้าใบสีดำผืนใหญ่ที่คลุมโลกไว้เท่านั้น ชานยอลหันหลังพิงระเบียงของห้องในคอนโดชั้นที่สิบแปด เขาเลิกสนใจแผ่นฟ้าดำมืดนั่นก่อนจะพ่นควันสีขาวออกมาจากปากช้าๆ ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนติดบุหรี่หรือสูบจัดแต่อย่างใด ร่างสูงก็แค่สูบเพราะว่าอยากสูบ ควันเย็นๆของนิโคตินมันทำให้เขาสบายใจหลังจากที่มีเรื่องให้ทำตลอดวัน

     

                “เห้ยชานยอล! เข้ามาได้แล้วจะเก๊กหล่อไปไหนวะ

     

                เสียงเรียกจากคนด้านในทำให้ชานยอลบี้บุหรี่กับราวระเบียงทิ้งอย่างไม่นึกเสียดายก่อนจะเดินไปยังโซฟากลางห้องที่มีชายหนุ่มและหญิงสาวนั่งอยู่ก่อนแล้ว บนโต๊ะมีแอลกอฮอลล์หลากสีและของกินเล่นอีกเล็กน้อย ดูเผินๆแล้วก็เหมือนเป็นเพียงกลุ่มเพื่อนสนิทที่นัดสังสรรค์กันธรรมดา แต่เปล่าเลย

     

                การรวมตัวของพวกเขามันไม่เคยธรรมดา

     

                “กี่เดือนแล้วนะที่เราไม่ได้รวมตัวกันแบบนี้เนี่ยอีแทมิน ชายหนุ่มเจ้าของผมสีบลอนด์สว่างคนเดียวกับที่เอ่ยเรียกชานยอลพูดพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม สาบานต่อพระเจ้าได้ว่าเขาไม่ได้ยิ้มเพราะตื่นเต้นที่เจอหน้าทุกคนอีกครั้ง แต่เขาตื่นเต้นเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

     

                “หุบปากแล้วก็เลิกยิ้มสักที น่ารำคาญเป็นบ้าเสียงทุ้มที่แสดงถึงความหงุดหงิดของ คิมอูบิน เอ่ยแบบนั้นก่อนจะกระดกเอาน้ำรสขมปร่าลงคอ

     

                “อ้าว นี่แค่ยิ้มฉันก็ผิดแล้วเหรอวะ?”

     

                “ผิด แค่หายใจนายก็ผิดแล้วหญิงสาวเพียงคนเดียวอย่าง จองอึนจี พูดอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะปาน้ำแข็งในเหยือกใส่คนตรงข้ามเมื่อแทมินทำหน้าทำตากวนประสาทอย่างที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลย

     

                “เห้ยอึนจี! มันเปียกนะเว้ย!

     

                แทมินร้องลั่นก่อนที่จะกระโดดหลบก้อนน้ำแข็ง ความชุลมุนเล็กๆที่ทำลายความเงียบนั่นเองที่ทำให้ อิมแจบอม ตวาดลั่นอย่างคนที่เส้นความอดทนขาดผึง เลิกเล่นกันซะที !!!

     

              แทมินชะงักก่อนที่จะกลับมานั่งที่ตามเดิมอย่างเสียไม่ได้แต่ไม่วายที่จะส่งสายตาขุ่นเคืองไปยังหญิงสาวที่ได้โอกาสแลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนบ้าง

     

                “เมื่อไหร่บอสจะติดต่อมาสักทีวะ อยู่กับพวกนายนานๆแล้วโคตรน่าเบื่อ

     

                “นายเบื่อเหรอแจบอม หือ? แต่ฉันนี่โคตรคิดถึงทุกคนเลยให้ตายอูบินว่าพลางแค่นหัวเราะในลำคอ พวกเขาไม่ได้รวมตัวกันแบบนี้บ่อยนัก แต่หากพวกเขาได้เจอกันพร้อมหน้าแล้วล่ะก็นั่นหมายถึงชาวเกาหลีจะต้องเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน พวกตำรวจจะต้องวิ่งวุ่น ความโกลาหลจะถูกสร้างขึ้นภายในระยะเวลาไม่นานแต่พวกเขาก็จะทำเพียงแค่นั่งชื่นชมผลงานของตนเองเท่านั้น ยิ่งพวกรัฐบาลร้อนใจมากเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น

     

    โดยเฉพาะหน่วยสืบราชการลับที่ถูกยกย่องนักหนาว่ามีประสิทธิภาพและขึ้นชื่อในเรื่องของฝีมืออย่างหน่วยสตาส

     

                     แต่กลับไม่เคยจับพวกเขาไนท์แมร์ ได้เลยสักครั้งเดียว

     

                    คิดแล้วก็น่าขำเป็นบ้า

     

                “วันพรุ่งนี้แล้วสินะที่ไอ้งานเบสบอลนั่นจะเริ่มต้นขึ้น แค่คิดก็สนุกจนใจเต้นแล้วว่ะแทมินเงียบได้ไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำบทสนทนาใหม่ก็ถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง เขาหันไปหาร่างสูงโปร่งของอีกคนที่นั่งเงียบไม่สุงสิงกับใครทั้งสิ้น แล้วนายว่าไงชานยอล ตื่นเต้นป่ะวะ?”

     

                “เหอะ หมอนั่นจะไปตื่นเต้นอะไร คงรู้อะไรๆมากกว่าพวกเราด้วยซ้ำ ก็เป็นมือขวาของบอสนี่อึนจีว่าพลางใช้ดวงตาที่กรีดอายไลน์เนอร์เฉี่ยวคมมองที่ชานยอลอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกติดลบที่มีต่อร่างสูง อึนจีไม่ได้เกลียดชานยอล แต่เธอไม่ชอบที่คนอย่างปาร์คชานยอลที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของไนท์แมร์เป็นคนสุดท้ายจะกลายมาเป็นคนโปรดของเอสได้

     

                “เธออย่าเอาความอิจฉามาลงที่ชานยอลสิอึนจี เจอหน้ากันกี่ทีก็เอาแต่แขวะอยู่ได้

     

                “ใครอิจฉาหมอนั่นกัน ฉันเปล่าซะหน่อย!อึนจีแทบจะกรี๊ดเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากปากของแทมิน เธอไม่ได้อิจฉาชานยอลเลยสักนิด เธอแค่คิดว่าหากคนโปรดของเอสเป็นอูบินหรือแจบอมมันคงจะเหมาะสมกว่านี้

     

                “ใช่ เธอไม่ได้อิจฉาชานยอลหรอกอึนจีแต่เธอก็แค่น้อยใจอูบินโคลงแก้วที่บรรจุวอดก้าจนเกิดเสียงกระทบกันของน้ำแข็ง เขามองหน้าอึนจีด้วยสายตาเสมือนผู้ที่กุมความลับเอาไว้กับตัว หากชานยอลคือคนที่มีบุคลิกเย็นชา อูบินเองก็คงไม่ต่างกัน

     

                จองอึนจีก็แค่หวั่นใจ ว่าคนอย่างอูบินจะรู้ในสิ่งที่เธอไม่อยากให้คนอื่นรู้

     

                “น้อยใจอะไร?”

     

                “ก็บอสที่เธอตกหลุมรักให้ความสนใจกับชานยอลมากกว่าจะมองมาที่เธอไงล่ะ

     

                ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่หญิงสาวไม่เว้นแม้แต่ชานยอล แต่เพียงไม่กี่วินาทีร่างสูงก็เลิกให้ความสนใจกับความลับของอึนจีที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ อึนจีนั่งนิ่งเพราะไม่สามารถปฏิเสธกับความจริงได้

     

                ใช่ เธอตกหลุมรักเอส คนที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นใคร คนที่ไม่แม้แต่จะสนใจเธอเลยสักครั้ง

     

                แม้มันจะเจ็บปวด แต่อึนจีนั้นแสนเต็มใจที่จะรัก

     

                “อ่า…” แทมินมองใบหน้าของหญิงสาวด้วยอาการปั้นหน้าไม่ถูก เขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าอึนจีจะมีความรู้สึกลึกซึ้งเช่นนั้นต่อเจ้านายของตัวเอง แล้วแล้วพวกนายคิดว่างานวันพรุ่งนี้จะสำเร็จไหม?”

     

                “จะพลาดเหรอการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาของแทมินประสบความสำเร็จเมื่อแจบอมตอบกลับอย่างไม่ยินดียินร้ายนัก คนของเราเองก็อยู่ในสนามนั่นด้วย ไอ้พวกสตาสกับตำรวจหน้าโง่ได้เหนื่อยตายกันไปข้าง

     

                พูดมาถึงตรงนี้ทั้งหมดก็แทบจะหัวเราะออกมาด้วยความสะใจพร้อมๆกัน แต่สำหรับชานยอลทำเพียงแค่กระตุกยิ้มมุมปากเท่านั้น

     

    วินาทีนั้นเองที่จอแอลซีดีที่เปิดทิ้งไว้ปรากฏภาพชายคนหนึ่งผู้ซึ่งใส่หน้ากากสีขาวปกปิดใบหน้าฉายแทรกเข้ามา อาจจะสามหรือสี่วินาทีที่ทุกคนชะงัก ก่อนที่น้ำเสียงแปร่งๆอันคุ้นเคยจากผู้เป็นนายจะเอ่ยคำทักทาย

     

                [ไง]

     

                เพียงคำทักทายสั้นๆแต่ก็ทำให้ใจสั่นรัวได้ไม่ยาก ชายที่พวกเขาเรียกว่าเอสเป็นดังพระเจ้าในโลกใบใหม่ ทุกคนศรัทธาและเชื่อฟังเพราะเอสคือบุคคลที่สามารถฉุดชีวิตของพวกเขาให้หลุดออกจากความจำเจมาสู่ความตื่นเต้นท้าทาย

     

                แต่อย่างที่คุณรู้ว่ามีหนึ่งคนที่ไม่ได้รู้สึกศรัทธาหรือเชื่อฟังเอสมากมายเท่ากับคนอื่น

     

                [อย่างที่รู้ ว่าพรุ่งนี้ความสนุกครั้งใหม่กำลังรอพวกแกอยู่ แกคงจะได้เห็นสีหน้าโง่ๆของไอ้พวกสตาสกับตำรวจวิ่งวุ่นกันอย่างสะใจ ใช่ฉันคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้น พวกมันไม่เคยไล่ตามเราทันหรอก จริงไหม?]

     

                มีเพียงรอยยิ้มร้ายจากทุกคนเป็นคำตอบ เพียงแค่คิดถึงวันพรุ่งนี้พวกเขาก็แทบจะสั่นระริกไปด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่ทุกคนแทบจะหยุดนิ่งเพื่อรับฟังคำของเอส แต่ความคิดมากมายกลับแล่นไปมาอยู่ในหัวของชานยอล

     

                  แบคฮยอนจะรับมือกับพวกเขาไหวไหม?

     

                แล้วถ้าหากไม่ไหวจะเกิดอะไรขึ้น?

     

                ตัวเขาเองล่ะควรจะทำเช่นไรต่อไป?

     

                [งานที่ฉันให้พวกแกไปทำเรียบร้อยดีใช่ไหม?] เอสยังคงพูดด้วยท่าทางสงบนิ่ง เขารักษาความน่าเกรงขามได้ดี

    เสมอ

     

                “ครับเป็นแจบอมที่ตอบแทนทุกคน หากชานยอลคือมือขวาของเอส แจบอมเองก็เป็นดังเช่นขา เขาทำแทบทุกอย่างที่ผู้เป็นนายต้องการโดยมีเพียงอุดมการณ์ที่เป็นตัวชะล้างความเหน็ดเหนื่อยให้หายไป แต่ดูเหมือนว่าเอสนั้นจะไม่ได้ใส่ใจในคำตอบของแจบอมมากนักเพราะสิ่งที่เอสต้องการจะรู้คือประโยคที่เขาจะเอ่ยต่อจากนี้

     

                [ชานยอล]

     

                “ครับ?” เสียงเรียกนั้นทำให้ชานยอลขานรับ ความใคร่สงสัยเกิดขึ้นภายในจิตใจแต่การเก็บอาการทางสีหน้าของเขานั้นช่างไร้ที่ติ

     

                [ไม่เคยทำงานพลาด นั่นคือนิยามของแก] คำพูดของเอสทำให้ทุกสายตามองมาที่ชานยอลเป็นจุดเดียว [แต่ทำไมแค่พยายามเข้าหาไอ้เจ้าหน้าที่แบคฮยอนนั่นนายถึงทำมันไม่ได้สักที?]

     

                ร่างสูงไม่ได้ตอบภายในทันที เขารู้ว่าเอสคงจะไม่พอใจในระดับหนึ่งที่เขาทำงานนี้ไม่สำเร็จเสียที ทุกครั้งที่เอสถามถึงความคืบหน้าในการเข้าหาแบคฮยอน ชานยอลจะบ่ายเบี่ยงด้วยเหตุผลหลากหลายประการ

     

                แต่อย่างที่คุณรู้ เขาก็รู้ ว่าในความเป็นจริงแล้วเขาเข้าถึงตัวแบคฮยอนได้มากแค่ไหน

     

                [แต่ก็ช่างเถอะ ฉันคิดอะไรที่มันสนุกกว่านั้นได้แล้วล่ะ] น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของเอสที่ถึงแม้จะผ่านเครื่องดัดแปลงเสียงมาแล้วก็ตาม กระนั้นมันก็ยังสร้างความเย็นเยียบให้แก่คนฟังได้อย่างไม่บกพร่อง [แจบอม อูบิน แทมิน ถ้าไอ้แบคฮยอนนั่นมันไม่ตายไปกับระเบิดในสนามเบสบอล พวกแกต้องไปจับมันมาให้ฉัน จับเป็นเท่านั้นแล้วอย่าให้พลาดแบบคราวแรกไม่งั้นพวกแกโดนหนักแน่]

     

                “ครับ!ทั้งสามเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ในขณะที่อึนจีเริ่มรู้แล้วว่าตนเองก็คงจะไร้ตัวตนในสายตาของเอสอีกครั้ง

     

                [ส่วนแก ชานยอล]

     

                “…” ดวงตาคมของชานยอลยังคงจับจ้องไปที่จอแอลซีดีซึ่งฉายภาพของผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นพระเจ้าของโลกใบใหม่

     

                [หวังว่าแกจะไม่ทำงานพลาดอีก ฉันสั่งให้จับแกต้องจับ สั่งให้ฆ่าแกต้องฆ่า เข้าใจไช่ไหม?]

     

                แต่เหตุผลและภาพใบหน้าจิ้มลิ้มของแบคฮยอนกำลังต่อสู้กันอย่างหนักอยู่ภายในใจของเขา

     

                “เข้าใจครับ

     

                ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด แต่ในคราวนี้ แบคฮยอนเป็นฝ่ายเอาชนะความรักพวกพ้องของชานยอลไปได้

     

                [ดี ถ้าอย่างนั้นแกก็จำเอาไว้ให้ขึ้นใจซะ]

     

                โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า

     

                “ครับ

     

                การที่เขาเลือกช่วยแบคฮยอนนั้น

     

                “ผมจะจำไว้

     

                จะเป็นการเพาะเมล็ดพันธุ์ของความรักให้โอบล้อมพวกเขาทั้งสองอย่างช้าๆ

     

     

    TBC

    ตอนหน้าไปกู้ระเบิดแบบเพียวๆเลย จริงๆจะกู้ตอนนี้แล้วแต่ว่ามันจะเกินหกพันคำซึ่งเกินลิมิตของเรา 

    หลังจากกู้ระเบิดกันแล้ว ปมชานแบค ปมนู่นนี่ก็จะค่อยๆคลายทีละนิดละ ใจเย็นๆกันน้า

    นี่เราได้เปรียบกันนะ แบคยังไม่รู้เลยนะว่าชานยอลมีสร้อยอ่ะ แต่พวกเรารู้ พวกเราเหนือกว่าแบคอะเอาดิ (อวด)

    จริงๆฟิคเราก็เน้นความรักนะ แต่มันยังไม่ถึงช่วงอ่ะ เชื่อเรานะว่ามันจะคุ้มค่าสมกับที่รอคอยกัน

    ขอบคุณทุกๆกำลังใจน้า~~~~~

    #ficsee2b @BlackQ238
               up : 30/11/2014 (75%) 10/12/2014 (100%)

     

     

     

     


    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×