คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #34 : - CH 25 : already (80%) -
ch 25
ความรักเป็นทั้งยารักษาและยาพิษ
.....
ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อเคยบอกไว้แบบนั้น
แม้ว่าจะผ่านมาเกือบยี่สิบปีแล้วที่พ่อพูดประโยคนี้เอาไว้
แต่ผมยังจำสิ่งที่เขาพูดได้ขึ้นใจ
วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักและท้องฟ้ามืดสนิท
แสงแปลบปลาบและเสียงฟ้าร้องทำให้ผมตัวสั่นแต่ก็ไม่มีใครมาปลอบผมเหมือนอย่างเคย คนทั้งสองที่เป็นดังหลุมหลบภัยของผมเอาแต่จ้องตากันอย่างขุ่นเคือง
บรรยากาศบนโต๊ะทานข้าวทำให้ผมเริ่มร้องไห้ ไม่มีใครสนใจอาหารบนโต๊ะเช่นเดียวกับผมที่ถูกเมิน
ผมในวัยสี่ขวบไม่รู้ว่ามื้ออาหารที่มีแต่เสียงหัวเราะกลายมาเป็นน่าอึดอัดตั้งแต่เมื่อไร
ท่ามกลางความเงียบนั้นเองที่พ่อพูดกับแม่อย่างคนที่ใกล้หมดความอดทนว่า ‘เธอก็รู้ว่าชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น’ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปโดยไม่หันหลังมามองผมที่นั่งสะอื้น
ผมไม่รู้ว่าพวกเขาโกรธกันเพราะอะไร
ไม่รู้ว่าที่พ่อพูดนั้นหมายความว่ายังไง กว่าจะรู้ตัวบ้านที่เคยสุขสันต์ก็เต็มไปด้วยคำด่าทอ
เสียงกรีดร้องและรอยเลือดบนพื้นห้องครัว มันเป็นฝันร้ายและบาดแผลสาหัสในใจของผม
ผมไม่รู้เลยว่าทำไมพ่อต้องฆ่าแม่และทำไมพ่อต้องฆ่าตัวตาย ผมไม่รู้และไม่เข้าใจสักอย่าง
แต่เวลาก็ช่วยเฉลยทุกคำถามที่ผมมี
โลกในตอนที่ผมยังเด็กและตอนที่เติบโตขึ้นนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โลกของเด็กที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของผมถูกลบเลือนด้วยโลกของผู้ใหญ่
ผู้คนรอบตัวต่างหยาบกระด้าง ไร้หัวใจและเห็นแก่ตัวมากขึ้น
ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกโลกของผู้ใหญ่เปลี่ยนให้เย็นชามากขึ้นเช่นกัน
และเมื่อก้าวพ้นจากวัยเยาว์มาแล้วผมจึงได้เข้าใจว่าพ่อพูดถูก ‘ชีวิต’ ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะชีวิตของคนเร่ร่อนหรือนักธุรกิจพันล้านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เบื้องหลังความสำเร็จและความล้มเหลวนั้นต่างมีความลำบากเป็นองค์ประกอบทั้งสิ้น ผมเคยถามตัวเองว่าสิ่งใดกันที่เป็นต้นเหตุทำให้ชีวิตเป็นเรื่องยากและผมก็มาถึงทางตันเพราะหาคำตอบไม่ได้
แต่คำ ๆ หนึ่งกลับเด้งเข้ามาในหัวของผมราวกับตัวการ์ตูนในหนังสือนิทานป๊อบอัพ
และคำ ๆ นั้นคือคำว่า“บททดสอบ”
ในตอนนั้นผมดีดนิ้วดังเป๊าะ! ด้วยความยินดีที่ไขปริศนาได้
ใช่แล้ว ชีวิตมันยากเพราะบททดสอบนั่นเอง
มนุษย์ถูกทดสอบตั้งแต่วันที่ได้หายใจเป็นครั้งแรกและเป็นเรื่องโหดร้ายที่มีบททดสอบมากมายภายในชีวิตหนึ่ง
บางครั้งชีวิตก็ทดสอบผมด้วยความหิว ความเกลียดชัง ความรัก คำว่าร้าย คำสรรเสริญ ด้วยสังคม ด้วยฐานะ ด้วยฝนฟ้าอากาศและบางครั้งชีวิตก็ทดสอบผม...ด้วยคนที่ไว้ใจ
เหมือนอย่างที่ผมเคยถูกทดสอบด้วยพ่อและแม่
ด้วยจื่อเทา และไม่รู้เลยว่าบททดสอบที่แสนโหดร้ายนี้จะเข้ามาในชีวิตของผมอีกเมื่อไร
ฝนที่ตกกระหน่ำทำให้มองสองข้างทางได้ไม่ชัดนัก
แต่ถึงกระนั้นผมก็รู้ดีว่ามันเป็นถนนที่คุ้นเคยซึ่งผมนั่งรถผ่านในทุก ๆ วัน
เสียงสายฝนที่ตกกระทบกับหลังคารถดังแข่งเสียงเพลง
All I Want ของวง Kodaline ที่เจ้าของรถเปิดคลอเอาไว้
เสียงร้องนุ่ม ๆ และบรรยากาศฝนตกทำให้ผมผ่อนคลายได้อย่างไม่ยาก Kodaline เคยเป็นวงดนตรีวงโปรดของผม ในตอนนั้นผมร้องเพลงของพวกเขาได้ทุกเพลง
จำได้ทุกเนื้อร้องและเข้าใจทุกความหมาย แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ชื่อของ Kodaline
ค่อย ๆ หายไปจากความคิด
จากวงโปรดกลายเป็นวงที่ผมลืมเลือน ซึ่งนั่นคงต่างจากคนข้างกายที่เมื่อสองปีที่แล้วหลงรัก
Kodaline ยังไง ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น
“ง่วงก็หลับก่อนได้นะ ถ้าถึงแล้วจะปลุก”
เขาพูดโดยที่มองไปยังถนนตรงหน้า
สายฝนทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นแย่ลงและเขาต้องใช้สมาธิในการขับรถมากกว่าปกติ ผมจึงไม่ได้ตอบรับประโยคนั้น
สาเหตุที่ทำให้ผมขึ้นมาอยู่บนรถคันนี้เป็นเพราะงานของชานยอลที่ไม่อาจสะสางในเวลาอันสั้น
คนรักของผมจึงไหว้วาน’เขา’ให้มาส่งผมที่บ้าน ชานยอลยุ่งจนถึงขั้นที่ปลีกตัวออกมาจากห้องประชุมไม่ได้
และใช่ ทั้งหมดนั่นชานยอลไม่ได้มาบอกผมด้วยตัวเองแต่ฝาก‘เขา’มาบอกอีกเช่นกัน ผมอดประหลาดใจไม่ได้ตอนที่รู้ว่าต้องกลับบ้านกับคนอื่น
แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่อยากทำตัวมีปัญหาให้ชานยอลต้องเหนื่อยไปมากกว่านี้ ผมจึงเดินออกจากหน่วยมาพร้อมกับ‘เขา’และขึ้นมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถที่ทำได้แค่ภาวนาให้ถึงบ้านเสียที
เป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดท้ายแล้วพวกเราก็ปิดคดีของไนท์แมร์ได้
แม้ว่าเรื่องที่จางอี้ชิงเป็นคนทรยศจะสั่นคลอนศรัทธาของเจ้าหน้าที่หลายนาย แต่ในเมื่อไม่มีใครเปลี่ยนแปลงความจริงได้
พวกเราจึงทำได้เพียงแค่ยอมรับมัน ถึงคดีของไนท์แมร์จะเป็นอันสิ้นสุดแต่ความกังวลก็ยังคงอยู่
เรื่องที่มีคนอยากฆ่าผมนั้นช่างรบกวนจิตใจ อย่างที่เคยบอกว่าผมไม่ได้กลัวตาย
แต่ผมกลัว...กลัวว่าคนที่ประสงค์ร้ายจะมาในคราบของคนที่ผมไว้ใจ
“แผลดีขึ้นแล้วเหรอ เห็นยังเดินกะเผลกอยู่เลย”
คนข้างกายเป็นผู้สร้างบทสนทนาเสมอ
ผมละสายตาออกจากหยาดฝนแล้วหันไปมองหน้าเขาครู่หนึ่ง
ใบหน้านั้นดูเหนื่อยล้าและให้ตายเถอะ
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมมองหน้าเขาอย่างเต็มสายตา ผมจึงเห็นว่าสันกรามและโหนกแก้มของเขาเด่นชัดมากขึ้นเพราะเขาซูบผอมลง
“ครับ แผลที่โดนทำร้ายดีขึ้นแล้ว
แต่ที่เดินกะเผลกเป็นเพราะผมหกล้ม”
ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าขำแต่เสียงหัวเราะทุ้ม ๆ ก็ดังขึ้นเบา ๆ
เขาเบรกรถเมื่อสัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดงก่อนจะหันหน้ามาหาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ยังซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะเรา”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดู เขาเป็นแบบนี้เสมอ ดวงตาของเขามักมองผมอย่างลึกซึ้ง
น้ำเสียงที่ใช้ก็ฟังดูอบอุ่นและเขาพยายามแสดงออกมาโดยตลอดว่าอยากดูแลผมเหมือนอย่างที่เคยได้ทำ
ผมหลบตาและแสร้งทำเป็นนิ่ง แม้ว่าจะผ่านมานานแล้วแต่ผมก็ไม่ชินกับการกระทำของเขาสักครั้ง
“ขอโทษนะ พี่คงทำให้เราอึดอัด”
คล้ายว่าเพลงของ
Kodaline และสายฝนจะดังกว่าเก่าเมื่อไร้การพูดคุย
ผมประสานมือไว้บนตักแล้วมองตรงไปยังถนน
น้ำเสียงที่เศร้าสร้อยลงกะทันหันของเขาทำให้ผมไม่สบายใจนัก แม้ว่าจะไม่ชอบที่เขามักทำตัวเหมือนในอดีต
แต่ผมก็รู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังเหนื่อย คดีไนท์แมร์ทำให้เจ้าหน้าที่สตาสหมดแรงไปตาม
ๆ กันและผมเองก็ไม่อยากให้เขาต้องมีเรื่องกลุ้มใจเพราะผมเพิ่มเข้าไปอีก ผมจึงกลายเป็นผู้เปิดประโยคบ้างและนั่นก็ทำให้เกิดประกายในตาของเขา
ถ้าเป็นสุนัข ตอนนี้เขาก็คงหูตั้งและหางกระดิก
“สรุปคดียากน่าดูเลยใช่ไหมครับ”
คนตัวสูงยิ้มบางก่อนจะเลี้ยวไปตามเส้นทางที่ตรงไปสู่บ้านของชานยอล เขาถอนหายใจเบา
ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“มันยากเพราะพวกไนท์แมร์ไม่ยอมให้เบาะแสนั่นแหละ
เราก็รู้ว่าแรงจูงใจของผู้ต้องหาเป็นสิ่งสำคัญ พอพวกบ้านั่นไม่ปริปากบอก
ทุกอย่างมันก็เลยไม่ง่ายอย่างที่คิด”
ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนจะหันออกไปมองหยาดฝนนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง
สายฝนยังคงตกกระหน่ำราวกับฟ้ารั่ว นับว่าพระเจ้ายังมีเมตตาที่ไม่มีเสียงฟ้าร้องให้ผมต้องใจสั่น
แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังเกลียดช่วงเวลาที่ฝนตกอยู่ดี
ว่ากันว่าฝนมักมาพร้อมกับความชุ่มฉ่ำ แต่สำหรับผมนั้นฝนนำสิ่งที่เรียกว่าโชคร้ายมาด้วย
“พี่ดีใจนะที่เรายอมกลับกับพี่”
ความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงทุ้มห้าวแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้หันไปมองเขาอีกแล้ว
ยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ช่วยเหลือและหวังดีกับผมมาโดยตลอด แต่สิ่งที่ทำให้อึดอัดใจทุกครั้งที่เราได้คุยกันคือเขาไม่เคยก้าวผ่านอดีตได้เลย
ราวกับว่าอดีตเป็นกับดักที่แข็งแรงเกินไป เขาจึงได้ติดอยู่ในกับดักนั้นและไม่มีวี่แววว่าจะดิ้นหลุด
ต่อให้เราเคยมีความผูกพัน เคยใช้เวลาร่วมกันหรือเคยรักกันมากแค่ไหน แต่มันก็เป็นแค่อดีต
ตอนนี้ผมไม่ได้รักเขาและเขาเองก็ควรเข้าใจแล้วเริ่มต้นใหม่เสียที
“รถคันนี้มันคิดถึงเรานะ”
สายฝนและเสียงของ
Kodaline ทำหน้าที่สนทนาแทนพวกเรา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดกับผมทำนองนี้ ถึงแม้ว่าจะผ่านมานานแล้ว
แต่ผมก็จำได้ว่าผมเป็นคนเลือกรถคันนี้ให้เขาเองกับมือ ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาตัดใจไม่ได้
เพราะในขณะที่ผมออกไปพบกับสิ่งใหม่ ๆ และพร้อมจะลืมเขา
แต่เขากลับจมอยู่กับความทรงจำและสิ่งของที่ล้วนมีร่องรอยของผมอยู่ด้วย
และผมรู้นัยยะแฝงของเขาว่าสิ่งที่คิดถึงผมไม่ใช่มาร์เซราติคันนี้แต่เป็น‘เขา’เสมอมา
“พอเถอะครับหัวหน้า”
ผมถอนหายใจเบา
ๆ อย่างอึดอัดและไม่สบตากับเขาสักวินาที
ปกติแล้วถ้าเขาเห็นผมมีท่าทีไม่ชอบใจเขาก็จะหยุดพูดและเปลี่ยนประเด็น
แต่ครั้งนี้ไม่ คนข้างกายทำตัวเป็นเด็กช่างจ้อที่เอาแต่พูดสิ่งที่คิด
เสียงทุ้มนั้นเงียบลงและเหลือไว้เพียงแค่เสียงลมหายใจของเราทั้งสอง
ผมได้แต่ภาวนาให้ถึงบ้านเสียทีเพราะไม่อยากทนอยู่กับช่วงเวลากระอักกระอ่วน
ตอนนั้นเองที่เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของผมทำลายความเงียบลง ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้วยความหวังเพราะคิดว่าอาจจะเป็นชานยอลที่ส่งข้อความมาหา
แต่มันกลับเป็นแค่ข้อความโฆษณาจากเครือข่ายที่ผมใช้เท่านั้น ผมขมวดคิ้วมุ่น ครั้งล่าสุดที่ได้คุยกับชานยอลก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว
ผมเข้าใจว่าชานยอลมีเรื่องให้ทำมากกว่าจะเอาเวลามาใช้โทรศัพท์
แต่มันก็ผิดวิสัยของเขาที่ไม่ส่งข้อความมาถามไถ่ว่าถึงหรือยัง แม้กระทั่งเรื่องที่เขาวานให้คนอื่นมาส่งผมที่บ้าน
ชานยอลก็ไม่ได้ส่งข้อความมาบอกผมล่วงหน้าเช่นกัน
“เราก็รู้ใช่ไหมแบคฮยอนว่าพี่เป็นคนขี้หวง
พี่ไม่เคยให้ใครขึ้นมานั่งบนรถคันนี้ถ้าไม่จำเป็น”
“หัวหน้าเลิกพูดไร้สาระสักทีเถอะครับ
ผมเหนื่อย หัวหน้าไม่เหนื่อยรึไง”
ความอดทนของผมใกล้ถึงขีดจำกัด
ผมไม่ใช่คนใจเย็นและคนข้างกายก็รู้ว่าผมมีนิสัยยังไง จากตอนแรกที่เห็นใจ
ไม่อยากพูดคำว่าร้ายที่จะกระทบใจของเขาก็เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดเต็มทนจนต้องแสดงความไม่พอใจออกไป
ผมเลิกสนใจเขาก่อนจะพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์แล้วส่งไปหาคนรัก
-ไว้เจอกันที่บ้านนะ-
“อะไรที่เป็นของพี่
พี่คงยกให้คนอื่นง่าย ๆ ไม่ได้”
ผมชะงักปากที่จะต่อว่าเขาเมื่อเพลง All
I Want ที่เขาเปิดคลอเอาไว้เล่นซ้ำอีกรอบ และเป็นเพราะ Kodaline
เคยเป็นวงโปรดร่วมกันของพวกเรา ผมจึงรู้ทุก ๆ
ความหมายที่อยู่ในเพลงนี้
แต่สิ่งที่ทำให้ผมจำต้องหันไปมองเขาและนิ่งค้างไปคือสิ่งที่อยู่ในมือใหญ่
โทรศัพท์เครื่องคุ้นตาที่มีไฟกะพริบแจ้งเตือนจากข้อความทำให้ผมมองใบหน้าคมของผู้ที่ถือมันเอาไว้อย่างไม่เข้าใจ
เพราะโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของเขานั้น...คือโทรศัพท์ของชานยอล
“ส่งข้อความหามันเหรอ”
จางอี้ชิงไม่ได้โกหก
เรื่องที่มีคนอยากฆ่าผมนั้นเป็นเรื่องจริงและการจับกุมจางอี้ชิงได้ก็เป็นตัวกระตุ้นให้เขาลงมือจัดการผมไวขึ้นอย่างที่เคยคิดเอาไว้
ผมเบิกตากว้างพร้อม ๆ กับสัญญาณที่ร้องเตือนดังก้องอยู่ในหัว
หัวหน้าอี้ฝานหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของผม เสียงหัวเราะที่เคยฟังดูอบอุ่นกลับทำให้ผมรู้สึกเย็นเยียบ
ทั้งน้ำเสียงและสายตาของอู๋อี้ฝานบาดลึกเข้าไปในโสตประสาทแล้วสร้างความหวาดหวั่นให้เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
มาร์เซราติคันคุ้นเคยเลี้ยวไปอีกเส้นทางหนึ่งที่ไม่ใช่ทางกลับบ้าน
ผมไม่รู้ว่าเขาจะพาไปไหนและวิตก เกินกว่าจะถาม
ผมรู้นิสัยของเขาดีพอ ๆ กับที่เขารู้จักตัวตนของผม ผมดูออกว่าเขาเอาจริงและคงไม่มีทางปล่อยให้ผมหลุดมือไปได้ง่าย
ๆ ซึ่งผมก็คิดถูกเพราะวินาทีต่อมาหัวหน้าอี้ฝานก็ใช้ช่วงที่ผมเผลอให้เป็นประโยชน์
เขาปล่อยมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยแล้วคว้าเอาโทรศัพท์ในมือของผมไป ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในตอนที่เขากดกระจกรถลงและเขวี้ยงโทรศัพท์ทั้งของผมและชานยอลออกไป
แค่แรงเขวี้ยงและสายฝนก็เพียงพอที่จะทำให้โทรศัพท์ทั้งสองเครื่องนั้นใช้งานไม่ได้และนั่นหมายความว่าจะไม่มีใครติดตามตัวผมจาก
GPS ได้เลย
ผมประสานมือไว้บนตักอีกครั้งพลางขมวดคิ้วมุ่น
ผมมองไม่เห็นหนทางหนีและรู้สึกปวดใจไปในคราวเดียวกัน ที่สุดท้ายแล้วบททดสอบในชีวิตของผมก็ยังคงเป็นความโหดร้ายจากคนที่ไว้ใจอยู่ดี
หัวหน้าอี้ฝานผิวปากอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเร่งเสียงเพลงของ
Kodaline ให้ดังขึ้น จากเสียงของนักร้องที่เคยไพเราะก็กลายเป็นเสียงหลอกหลอนที่ผมไม่อยากฟัง
หัวหน้าอี้ฝานร้องคลอตามเบา ๆ ราวกับว่าเขาต้องการจะสื่อสารกับผมด้วยความหมายของมัน
ผมยังจำแววตาของพ่อตอนที่ฆ่าแม่ได้ดี
สายตาในตอนที่พ่อฆ่าผู้หญิงที่ตัวเองเคยรักนั้นไม่ต่างกับสายตาของหัวหน้าอี้ฝานในตอนนี้สักนิดเดียว
คล้ายกับเดจาวูที่ผมต้องมาพบกับเหตุการณ์แบบนี้อีกครั้ง
แต่ต่างกันตรงที่ผู้ถูกกระทำในคราวนี้ไม่ใช่แม่ของผมแต่เป็นตัวของผมเอง
…..
ชานยอลหาของสำคัญของเขาไม่เจอ
คนตัวสูงจำได้ว่าเขาใช้โทรศัพท์คู่ใจส่งข้อความหาแบคฮยอนเมื่อหลายชั่วโมงที่แล้วก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะทำงาน
เขาลุกออกไปสูบบุหรี่หนึ่งครั้งและลุกไปเข้าห้องน้ำอีกหนึ่งครั้ง
หลังจากนั้นเขาก็สนใจแต่งานตรงหน้าจนไม่ได้สนใจเรื่องอื่นและเมื่อรู้สึกตัวอีกที
เขาก็ไม่เห็นโทรศัพท์ของตัวเองเสียแล้ว
ปาร์คชานยอลขมวดคิ้วพลางคิดถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะลืมโทรศัพท์ไว้ที่อื่น
แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก เขาผละออกจากกองเอกสารก่อนจะพบว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว
ท้องฟ้ามืดครึ้มและหยาดฝนนอกหน้าต่างทำให้ชานยอลนึกถึงเจ้าลูกหมาที่ป่านนี้คงนั่งหูลู่หางตกเพราะอยากกลับบ้าน
เขายกยิ้มเพียงแค่คิดถึงใบหน้าของคนรัก เดาได้เลยว่าต้องถูกบ่นแน่นอนหากแบคฮยอนรู้ว่าเขาหาโทรศัพท์ไม่เจอ
ร่างสูงตั้งใจว่าจะไปห้องน้ำก่อนที่จะไปหาแบคฮยอน บางทีเขาอาจจะลืมโทรศัพท์ไว้ที่นั่น
จะว่าไปแล้ว เพื่อนรักอย่างอู๋อี้ฝานก็ปล่อยให้โต๊ะทำงานว่างมาครู่ใหญ่
คำพูดสุดท้ายที่ชานยอลได้ยินคืออี้ฝานจะไปสูบบุหรี่ อาจเป็นเพราะเพื่อนสนิทแวะทำอย่างอื่นด้วย
การสูบบุหรี่ครั้งนี้จึงใช้เวลานานกว่าทุกครั้ง
ร่างสูงออกจากห้องประชุมที่นั่งทำงานมานานหลายชั่วโมง
ชานยอลเปลี่ยนใจกะทันหัน เขาเลือกจะไปหาคนรักแทนที่จะหาโทรศัพท์ของตัวเองและเปลี่ยนเส้นทางจากห้องน้ำมุ่งหน้าสู่โซนห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ทีมเอ
ระหว่างทางดวงตาคมก็มองหาเพื่อนรักไปด้วย เขายังจำคำพูดของจางอี้ชิงได้ขึ้นใจ
เรื่องที่มีคนอยากฆ่าแบคฮยอนทำให้เขาไม่อาจเชื่อใจใครได้
ชานยอลรู้ว่าอี้ชิงไม่ได้ล้อเล่นเช่นเดียวกับที่เขาเคยตั้งข้อสงสัยว่าคนทรยศอาจจะไม่ได้มีแค่คนเดียว
ในเมื่อจางอี้ชิงถูกจับกุมได้แล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงที่คนร้ายคนที่สองจะลงมือฆ่าแบคฮยอนให้เร็วที่สุดก่อนที่อี้ชิงจะเปิดปากสารภาพ
ปาร์คชานยอลรู้จักกับอู๋อี้ฝานตั้งแต่สมัยเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกหัด
ด้วยนิสัยที่คล้ายกันทำให้ทั้งสองสนิทกันได้อย่างไม่ยาก อี้ฝานเป็นคนนิ่งขรึม
คิดอะไรหลายอย่างไว้ในหัว แต่ไม่แสดงออก ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างจากชานยอลเท่าไหร่นัก
บางครั้งพวกเขาก็ไม่อาจทายใจของอีกฝ่ายได้ แต่เป็นเพราะความสนิทที่ทำให้ทั้งคู่เลือกที่จะเปิดเผยสิ่งที่คิดต่อกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนล้วนมีความลับที่บอกใครไม่ได้
และชานยอลไม่รู้เลยว่าความลับของอี้ฝานนั้นคืออะไร
ที่ผ่านมานั้นชานยอลไว้ใจเพื่อนรักพอ
ๆ กับที่เขาเชื่อมั่นในอี้ฝาน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ภาพตอนที่อี้ฝานทำตัวแปลก ๆ
เมื่อครั้งที่ทั้งสองแอบย่องไปที่คอนโดของเอสหรือแม้แต่วันที่จับกุมแทมินได้ถึงฉายเข้ามาในหัว
คนตัวสูงพยายามไม่คิดในแง่ร้ายแต่ก็ห้ามความร้อนใจของตัวเองไม่ได้เลย
ชานยอลหยุดความคิดทั้งหมดก่อนจะก้าวไวขึ้น
เขาเดินผ่านโซนสูบบุหรี่ประจำหน่วยและไม่เห็นแม้แต่เงาของอี้ฝาน ราวกับว่าทุกอย่างดูขัดใจไปเสียหมด
ใจของเขาไปอยู่ที่ห้องของทีมเอแล้วแต่ร่างกายกลับยังไปไม่ถึง ชานยอลถอนหายใจหนัก ๆ
แล้วก้าวยาว ๆ ไปยังห้องทำงานของคนรักก่อนที่เขาจะต้องเสยผมอย่างหัวเสียเมื่อไม่เห็นแบคฮยอนที่ควรจะนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน
ลู่หานที่นั่งทำงานอยู่เพียงลำพังสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ชานยอลโผล่พรวดเข้ามา
เขาละสายตาจากแฟ้มคดีก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“คุณชานยอลมีอะไรให้---”
“แบคฮยอนอยู่ไหน”
ทว่าคำถามของเจ้าหน้าที่ตากวางยังไม่ทันจบ
ชานยอลก็ยิงคำถามใหม่มาเสียก่อน
“แบคฮยอนเหรอครับ” ลู่หานย่นคิ้วเข้าหากันก่อนจะส่ายหัว “พอดีว่าผมออกไปช่วยงานของทีมบีมาน่ะครับ
พอกลับเข้ามาในห้องก็ไม่เห็นแบคฮยอนแล้ว”
“แสดงว่าเขาไม่อยู่ที่นี่นานแล้วเหรอ”
“ครับ
ตั้งแต่ที่ผมกลับมาก็ครึ่งชั่วโมงได้แล้ว”
“คุณลองโทรหาเขาหน่อยได้ไหม”
เจ้าหน้าที่ตากวางพยักหน้ารับแล้วกดโทรหาแบคฮยอน
แต่ไม่ถึงนาทีเขาก็ต้องกดวางสาย “ติดต่อไม่ได้ครับคุณชานยอล
ผมว่าเขาน่าจะปิดเครื่อง”
สีหน้าเคร่งเครียดของชานยอลทำให้ลู่หานสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ท่ามกลางความร้อนใจและความสับสนนั้นเองที่ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า
ผู้มาใหม่อย่างโดคยองซูชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างสูง
“นายเห็นแบคฮยอนไหมคยองซู”
ลู่หานเอ่ยถามทั้ง
ๆ ที่ยังไม่เข้าใจ แต่เขาคิดว่าชานยอลคงมีเรื่องด่วนกับเพื่อนร่วมทีม โดคยองซูจำเป็นต้องพับเรื่องงานที่จะคุยกับลู่หานแล้วเปลี่ยนเป็นตอบคำถาม
เจ้าหน้าที่ร่างเล็กสบสายตากับชานยอลครู่หนึ่ง เขาเห็นตั้งแต่ที่ชานยอลออกมาจากห้องทำงานและเดินตรงมาที่นี่ด้วยความรีบร้อน
แม้ว่าความสัมพันธ์ของชานยอลและแบคฮยอนจะไม่ได้เปิดเผยให้ใครรับรู้
แต่คยองซูเชื่อว่าเขาอ่านสายตาเวลาที่ชานยอลมองแบคฮยอนออก ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นจะเป็นชนวนให้ชานยอลหงุดหงิดหรือไม่แต่เขาก็เลือกที่จะพูดความจริง
“เห็นสิ แบคฮยอนออกไปข้างนอกสักพักแล้ว”
”ไปไหน” ชานยอลหันหน้าเข้าหาคยองซู
เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแม้ว่าจะกังวลมากก็ตาม
“ไม่รู้สิครับ ผมแค่เห็นว่าเขาออกไปกับหัวหน้าอี้ฝาน”
คำตอบสั้น
ๆ นั้นทำให้ชานยอลรู้สึกราวกับหัวใจของตัวเองร่วงลงไปกองที่พื้น มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่เพื่อนสนิทจะพาคนรักของเขาไปที่อื่นโดยไม่บอกกล่าว
ประกอบกับโทรศัพท์ของเขาที่หายไปและแบคฮยอนที่ติดต่อไม่ได้ แม้ว่าจะทั้งโกรธและร้อนรนแต่ชานยอลก็เก็บทุกอย่างไว้ภายใต้สีหน้าเคร่งขรึม
ชานยอลเดินไปที่โต๊ะทำงานของคนรักพลางค้นหาบางอย่าง
“คุณสองคนรู้หรือเปล่าว่าแบคฮยอนคืนกล้องวิดีโอไปให้ตำรวจหรือยัง”
ระหว่างถาม มือใหญ่ก็ค้นหากล้องวิดีโอไปด้วย ชานยอลจำได้ว่าคนรักของเขาไม่ได้ถอดกล้องวิดีโอขนาดจิ๋วที่ติดไว้บนเสื้อในระหว่างการจับกุมจางอี้ชิงออก
หากแบคฮยอนยังไม่ถอดกล้องตัวนี้ให้กับฝ่ายตำรวจ ชานยอลก็จะใช้ประโยชน์จากมันได้
“น่าจะยังนะครับ ผมไม่เห็นเขาพูดถึงกล้องเลยด้วยซ้ำ”
คนตัวสูงหยุดค้นโต๊ะทำงานเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่เห็นกล้องที่เข้าต้องการ
ชานยอลคิดว่าแบคฮยอนน่าจะยังติดกล้องนั้นไว้กับตัว ถึงความเป็นห่วงจะมีมากแต่ความรอบคอบก็สำคัญ
ชานยอลหยุดคิดเพียงครู่เดียวก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ลู่หาน คุณติดต่อทางตำรวจให้ส่งพิกัดจากกล้องวิดีโอที่อยู่กับแบคฮยอนมาให้ที
หลังจากนั้นระดมพลทีมบีทั้งหมดให้ตามผมไป ส่วนคยองซูคุณมากับผม”
“รับทราบครับ/ครับ” แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
แต่สองเจ้าหน้าที่ก็รับคำด้วยความแข็งขัน ในเมื่อชานยอลเคร่งเครียดถึงเพียงนี้
เรื่องที่เกิดขึ้นก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
ร่างสูงสตาร์ทออดี้ของเขาด้วยความไม่สบายใจ
คยองซูมองชานยอลที่รับหน้าที่เป็นคนขับก่อนจะเห็นเพื่อนร่วมทีมของตัวเองอย่างโอเซฮุนและคนอื่น
ๆ วิ่งออกมาจากหน่วยแล้วขึ้นรถเตรียมพร้อมเช่นกัน ไม่กี่อึดใจลู่หานก็ส่งพิกัดจากทางตำรวจมาให้ผ่านหน้าจอขนาดเล็กที่ติดอยู่ในรถ
สถานที่ที่แบคฮยอนอยู่นั้นไกลจากหน่วยหลายกิโลเมตรและนั่นทำให้ชานยอลสบถออกมาเบา ๆ
เขาเร่งเครื่องไปตามเส้นทางที่ได้รับแล้วออกคำสั่งกับคนข้างกาย
“คยองซู คุณเรียกรถพยาบาลเตรียมไปที่นั่นได้เลย”
คยองซูทำตามอย่างที่คนตำแหน่งสูงกว่าสั่ง อันที่จริงแล้ว เขายังคงสับสนว่าชานยอลรู้อะไรมา
เหตุใดการที่แบคฮยอนออกไปกับอี้ฝานจึงทำให้ชานยอลร้อนใจและเรียกเจ้าหน้าที่หลายนายมาพร้อมกัน
ทว่าประโยคต่อมาที่คนตัวสูงทิ้งเอาไว้ก็ทำให้คยองซูไม่กล้าเอ่ยถามอะไรได้อีก
“เตรียมตัวให้พร้อม เราจะไปจับผู้ต้องหาคนสุดท้ายกัน”
ชานยอลว่าเพียงเท่านั้นก่อนจะเลี้ยวรถไปบนถนนที่เปียกฝน
ของสำคัญอย่างโทรศัพท์ที่เขาหาไม่เจอนั้นถูกลืมเลือนไปอย่างง่ายดาย เพราะการหาคนสำคัญอย่างบยอน
แบคฮยอนไม่พบต่างหากที่น่ากลัวกว่าหลายร้อยเท่า
.....
แบคฮยอนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเสียงเบรกของรถยนต์จะน่าหวาดผวาเท่ากับวันนี้
การหยุดเคลื่อนที่ของมาร์เซราติที่เขานั่งมานั้นคล้ายกับเป็นจุดเริ่มต้นของความน่าสะพรึง
ระยะเวลาที่เคยเป็นคนรักของอี้ฝานทำให้แบคฮยอนรู้ว่าร่างโปร่งมีนิสัยอย่างไร
หากอี้ฝานตั้งใจจะทำอะไรแล้ว เขาก็จะพยายามทำให้ถึงที่สุด
แม้จะต้องดันทุรังหรือต้องเจ็บปวดแค่ไหนแต่อี้ฝานก็จะต้องทำให้สำเร็จ
ด้วยเหตุผลนั้น คนตัวเล็กจึงมองเห็นทางรอดของตัวเองเป็นแค่ภาพเลือนลางและเขายังไม่คิดไม่ออกว่าจะหาหนทางหนีได้ยังไง
“ลงมาสิ”
น้ำเสียงอบอุ่นนั้นไม่ได้ทำให้แบคฮยอนอุ่นใจ
กลับกัน มันทำให้เขาลังเลที่จะก้าวเท้าออกจากรถ อี้ฝานยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นร่างเล็กยังคงนั่งนิ่ง
แบคฮยอนเป็นคนน่ารัก แม้จะไม่ได้นิสัยอ่อนหวานหรืออ่อนโยน
แต่เพราะใบหน้าจิ้มลิ้มและรอยยิ้มสดใส ไม่ว่าใครก็คงตกหลุมรักแบคฮยอนได้อย่างไม่ยาก
แม้กระทั่งตอนนี้ที่คนตัวเล็กไม่แม้แต่จะสบตากันพร้อมทำสีหน้าอมทุกข์
แต่อี้ฝานก็คิดว่ายังน่ารักอยู่ดี
คิดดูแล้วก็น่าเสียดายที่เขาปล่อยให้แบคฮยอนหลุดมือไป
“ถ้าไม่ลงดี
ๆ พี่จะจับเราพาดบ่านะ”
แบคฮยอนรู้ว่าอี้ฝานจะทำอย่างที่พูด
เขาจึงเลือกลงจากรถด้วยความไม่พอใจ ตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญกับบททดสอบจากคนที่ไว้ใจอีกครั้ง
แบคฮยอนก็ไม่พูดอะไรสักคำเดียว
แทนที่อี้ฝานจะหงุดหงิดแต่กลับชอบใจที่ได้เห็นแบคฮยอนสิ้นลายคนดื้อ
เขาถือโอกาสคว้ามือเรียวของแบคฮยอนม
ากอบกุมไว้
ร่างเล็กรีบสะบัดออกแต่อี้ฝานก็ตามไปจับไว้แล้วเปลี่ยนมาเป็นประสานนิ้วทั้งห้า อี้ฝานพยายามมองข้ามสายตาโกรธเคืองของแบคฮยอน
เขาปวดใจไม่น้อยที่เห็นคนตัวเล็กกว่าปฏิเสธสัมผัสของตัวเองอย่างนั้น
หยาดฝนที่ยังคงตกปรอย
ๆ กระทบกับเปลือกตาบางทำให้แบคฮยอนกะพริบตาถี่ ร่างเล็กสูดลมหายใจก่อนจะได้กลิ่นดินและกลิ่นหญ้า
ที่ที่เขายืนอยู่นั้นคือถนนเส้นเล็ก ๆ ที่ปูด้วยอิฐสีแดง ริมถนนประดับไปด้วยต้นสนสูงชะลูด
ไกลออกไปประมาณร้อยเมตรเป็นหน้าผาสูงที่เบื้องล่างคือทะเลสาบขนาดเล็กที่แสงสุดท้ายของวันกำลังย้อมผืนน้ำให้กลายเป็นสีส้ม
สุดถนนมีบ้านหลังเล็กตั้งตระหง่าน บ้านหลังนั้นถูกล้อมรอบด้วยรั้วสีขาวและมีสนามหญ้าเขียวชอุ่ม เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนแต่น่าจะไกลจากตัวเมืองพอสมควร
“คุณต้องการอะไร” เป็นประโยคแรกของร่างเล็กในเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา
แบคฮยอนนิ่วหน้าเมื่ออี้ฝานบีบมือของเขาแรงขึ้นจนต้องยอมแพ้ที่จะสะบัดออกและปล่อยให้คนตัวสูงกว่าจับจูงเขาไปอย่างนั้น
“ไม่เอาสิ อย่าใช้คำห่างเหินกับพี่แบบนั้น”
“ผมถามว่าคุณต้องการอะไร”
อี้ฝานยังคงเงียบและเอาแต่ลากแบคฮยอนให้เดินไปตามถนนเส้นเล็กมุ่งตรงไปสู่บ้านที่อยู่สุดถนน
เพราะแบบนั้น แบคฮยอนจึงเปลี่ยนคำถาม “จะฆ่าผมที่นี่เหรอ”
อี้ฝานหยุดเดินพร้อมกับที่ลมหอบใหญ่พัดผ่าน
สายลมทำให้แบคฮยอนที่ตัวชื้นฝนหนาวไปจนถึงกระดูก แต่สายลมนี้คงเบาบางเกินไปสำหรับคนตรงหน้า
อี้ฝานถึงไม่ได้สะทกสะท้านซ้ำยังหันมายิ้มให้กันราวกับไม่ได้ยินคำถามของอดีตคนรัก
“แบคฮยอนเห็นบ้านหลังนั้นใช่ไหม พี่มีอะไรอยากให้เราดูเยอะเลยล่ะ”
ขาเรียวก้าวไปข้างหน้าตามแรงลากของคนตัวสูงกว่า
แสงสีส้มของพระอาทิตย์หายไปแล้วและถูกแทนที่ด้วยสีดำของเวลาพลบค่ำ ไฟข้างทางส่องแสงสลัวช่วยให้พอมองเห็น
แบคฮยอนประเมินดูแล้วว่าคงไม่ใช่เรื่องดีถ้าจะวิ่งหนีในตอนนี้ เขาไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะอี้ฝานที่เคยเป็นครูฝึกของเขาได้ยังไง
ทุกการออกหมัด ทุกท่าทางการต่อสู้ก็ล้วนเป็นอี้ฝานที่สอนเขาทั้งสิ้น
แบคฮยอนเสียเปรียบทั้งเรื่องกายภาพและเรื่องพละกำลัง สิ่งที่เขาทำจึงเป็นเพียงแค่ไม่ขัดใจอี้ฝานเท่านั้น
ภายใต้ความหวาดระแวงมีความเสียใจร่วมอยู่ด้วย
อี้ฝานเป็นบุคคลหนึ่งที่แบคฮยอนนับถือ ตั้งแต่ที่เลิกรากันไป
มีหลายครั้งที่คนตัวสูงกว่าทำให้เขาอึดอัด แต่เพราะอี้ฝานเป็นคนซื่อตรง
จริงจังกับงานและเสียสละจึงทำให้แบคฮยอนแอบชื่นชมอี้ฝานในใจมาโดยตลอด เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้อี้ฝานมุ่งร้ายกับเขา
ที่ผ่านมานั้นหัวหน้าของทีมเอก็ไม่มีทีท่าว่าจะไม่ชอบเขา
ซ้ำยังช่วยเหลือและดูแลเขาเสมอ แล้วเหตุใดเล่าที่ทำให้มือที่เคยปกป้องกลับมาทำร้ายกันเช่นวันนี้
สิ่งที่ทำให้แบคฮยอนเป็นกังวลคือความสุขุมของอี้ฝาน เจ้าหน้าที่ชาวจีนคนนี้ไม่เหมือนกับหวงจื่อเทา
น้องชายของเขาเป็นคนโมโหร้ายและแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน แต่อี้ฝานเก็บทุกความรู้สึกเอาไว้และรอเวลา
ซึ่งคนตัวเล็กไม่รู้เลยว่าสายลมและสายฝนกับการระเบิดอารมณ์ของอี้ฝาน
สิ่งใดจะทำให้เขาเหน็บหนาวได้มากกว่ากัน
“ปล่อยมือผม”
แบคฮยอนพูดเสียงเบา
เขามีแต่คำถามอยู่ภายในหัวแต่ตระหนกเกินกว่าจะเอ่ยปาก
อี้ฝานจับจูงเขาจนไปถึงประตูรั้วสีขาวที่มีไม้เลื้อยพันเอาไว้ ร่างสูงผลักมันช้า ๆ
ก่อนจะพาแบคฮยอนไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูที่จะพาเข้าสู่ตัวบ้าน เขาหันมาหาแบคฮยอนก่อนจะลูบหัวกลมด้วยความเอ็นดูแล้วกระชับมือที่จับไว้ให้แน่นยิ่งขึ้น
สายตายามที่ทอดมองกันนั้นยังเต็มไปด้วยความรักและความโหยหา ซึ่งแบคฮยอนเลือกที่จะมองข้ามแล้วเบี่ยงตัวหลบมือใหญ่ที่กำลังจะสัมผัสแก้มของตัวเอง
“ถ้าเราคิดว่าพี่ทรยศสตาสหรือว่าพี่เป็นพวกเดียวกับไนท์แมร์ล่ะก็
ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” อี้ฝานพูดราวกระซิบแต่ชัดมากพอให้แบคฮยอนได้ยิน
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่รับรองว่าเราจะปลอดภัย
การเบี่ยงหนีเปล่าประโยชน์
เมื่อสุดท้ายแล้วอี้ฝานก็สัมผัสแก้มของแบคฮยอนจนได้
คราวนี้ไม่ใช่มือใหญ่ที่แตะลงมาแต่เป็นริมฝีปากเย็นชืด คนตัวเล็กตกใจจนสะบัดมือที่ถูกกอบกุมเอาไว้จนหลุด
ทว่าอี้ฝานก็ยังตามไปโอบเอาไว้
“ปล่อยผม!”
“พี่ไม่อยากให้เราตายหรอกนะแบคฮยอน พี่อยากให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกันต่างหาก”
เสียงทุ้มที่กระซิบอยู่ข้างหูทำให้แบคฮยอนขนลุก
เขาถูกลากเข้าไปในบ้านก่อนจะถูกพาไปนั่งที่โซฟากำมะหยี่ ไม่ทันได้ปัดป้อง แบคฮยอนก็ถูกช้อนตัวให้นั่งบนตักของอดีตคนรักเสียแล้ว
เขาดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของอี้ฝาน ร่างกายของพวกเขาแตกต่างกันจนเกินกว่าที่แบคฮยอนจะหลุดพ้นจากวงแขนแข็งแกร่งนี้ได้
ซึ่งนั่นทำให้อี้ฝานหัวเราะเบา ๆ ด้วยความพอใจ เสียงหัวเราะนั้นทำให้แบคฮยอนหงุดหงิด
เขาขัดใจตัวเองที่สู้แรงหัวหน้าของทีมเอไม่ได้ ดวงตาเรียวจ้องเขม็งไปยังใบหน้าหล่อเหลาของคนตัวสูงกว่าก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“คุณก็น่าจะรู้ว่าชานยอลต้องมาช่วยผมแน่” ถึงแม้จะยังคิดไม่ออกว่าคนรักของเขาจะตามมาช่วยได้ยังไง
แต่แบคฮยอนก็ยังเชื่อมั่นในสิ่งที่พูด เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะปลอดภัยได้อีกนานแค่ไหน
แต่เขาก็ยังเชื่อว่าชานยอลจะมาช่วยเขา
“อย่าพูดชื่อมันตอนที่เราอยู่ด้วยกัน”
“ผมจะพูด ชานยอลต้องมาที่นี่แน่”
“มันไม่มีทางหาที่นี่เจอหรอก อย่าคาดหวังดีกว่า”
“ชานยอ---”
“ถ้ายังพูดชื่อมันอีก อย่าหาว่าพี่ไม่เตือนก็แล้วกัน”
แบคฮยอนกลืนคำพูดหลังจากสิ้นประโยค
ราวกับว่าชื่อของปาร์คชานยอลจะกระตุ้นให้อี้ฝานเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ตอนที่ยังรักกัน อี้ฝานไม่เคยแสดงความฉุนเฉียวหรือแม้แต่ขึ้นเสียงกับแบคฮยอนสักครั้ง
ทว่าเมื่อมีชื่อของชานยอลเข้ามาเกี่ยว อี้ฝานก็หัวเสียได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าอยากจะต่อปากต่อคำตามนิสัยของตัวเองมากแค่ไหน
แต่แบคฮยอนก็เลือกที่จะเงียบและนั่งนิ่งอยู่บนตักของอี้ฝาน โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าดวงตาคู่คมนั้นแปรเปลี่ยนจากก้าวร้าวมาเป็นหลงใหล
อี้ฝานเอาแต่จ้องหน้าด้านข้างของแบคฮยอน แก้มกลม ๆ นั้นเชิญชวนให้เขาฝังจมูกลงไป
ริมฝีปากสีสดก็ดึงดูดให้เขาอยากสัมผัส ซอกคอขาวก็กระตุ้นอารมณ์บางอย่างของเขา
แบคฮยอนน่ารักเกินไปและมันเริ่มเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมตัวเอง
คนตัวเล็กรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น
ๆ ที่รินรดต้นคอของเขา มือเรียวกำเข้าหากันแน่นเพื่อบังคับตัวเองไม่ให้เผลอต่อยอดีตคนรัก
หากเขาวู่วามใช้กำลังในตอนนี้ อี้ฝานอาจลงมือทำในสิ่งที่ต้องการเร็วขึ้น
“อย่าพูดถึงไอ้ชานยอลให้พี่ได้ยิน เข้าใจไหม หืม”
อี้ฝานลงท้ายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
แต่แบคฮยอนรู้ว่าประโยคนั้นคือคำสั่ง
เขาพยายามไม่สนใจอี้ฝานที่เอาแต่จ้องและมือที่โอบเอวของเขาไว้ ชานยอล...ชานยอล....ชานยอล
มีแค่ชื่อของคนรักเท่านั้นที่อยู่ในหัวของแบคฮยอน ทว่าความหวังที่ชานยอลจะหาเขาพบนั้นมันช่างริบหรี่เสียเหลือเกิน
60%
เจ้าของร่างกำยำยอมปล่อยให้แบคฮยอนเป็นอิสระจากวงแขนของตัวเอง
เขาค่อยๆ คลายอ้อมกอดแล้วลุกขึ้นจากโซฟา เสียงฝนที่กระทบเข้ามาในโสตประสาททำให้ทั้งสองรู้ว่าฝนเม็ดเล็กถูกแทนที่ด้วยฝนห่าใหญ่เสียแล้ว
อี้ฝานเดินหายไปในมุมหนึ่งของบ้าน ทิ้งให้แบคฮยอนนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิม นัยน์ตาสีดำขลับของคนตัวเล็กกวาดมองไปรอบๆ
อย่างระแวดระวัง ที่นี่เป็นบ้านขนาดกะทัดรัด แม้ว่าจะเป็นบ้านชั้นเดียวแต่พื้นที่ก็ถูกจัดสรรปันส่วนไว้อย่างลงตัว
การตกแต่งอย่างประณีตและเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีทำให้แบคฮยอนรู้ว่าเจ้าของบ้านคงเป็นคนพิถีพิถัน
หากไม่นึกถึงสถานการณ์ที่กำลังประสบอยู่
คนตัวเล็กก็ต้องยอมรับว่าเขาถูกใจพื้นไม้ปาร์เก้และผนังสีครีมไม่น้อย
สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขามากที่สุดคือโต๊ะอาหาร มันเป็นโต๊ะขนาดสำหรับสี่คน
ตัวโต๊ะทำด้วยกระจกเพื่อที่จะได้มองเห็นตู้ปลาด้านล่างซึ่งทำหน้าที่เสมือนขาโต๊ะ
การได้กินข้าวพร้อม ๆ กับทอดสายตามองเหล่าปลาแหวกว่ายนั้นเคยเป็นความฝันของแบคฮยอน
เขาเคยอยากมีโต๊ะกินข้าวแบบนี้เมื่อนานมาแล้ว
ทว่าเมื่อได้เห็นโต๊ะในฝันในเวลานี้ไม่ได้ทำให้แบคฮยอนยินดี แต่มันกลับทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อตระหนักได้ว่าบ้านหลังนี้เป็นของใคร
เพราะเขาไม่เคยพูดเรื่องโต๊ะอาหารที่มีตู้ปลาแบบนี้กับใคร
ยกเว้นอู๋อี้ฝาน
แบคฮยอนมองคนที่วางแก้วมัคสองใบลงบนโต๊ะกินข้าวในฝันตัวนั้น
กลิ่นและควันของโกโก้ลอยกรุ่นแสดงถึงความอุ่นร้อนสวนทางกับอากาศ
อี้ฝานนั่งลงบนเก้าอี้แล้วยกโกโก้ขึ้นจิบ
“มาดื่มก่อนสิ
ถ้าหายร้อนแล้วจะไม่อร่อยนะ”
คำเชื้อเชิญนั้นช่างอบอุ่นแต่เคลือบไปด้วยการบังคับ
แบคฮยอนยังคงนั่งนิ่ง อี้ฝานไม่แสดงความรีบร้อน
ไม่มีความตระหนกหรือความเกรงกลัวว่าหน่วยสตาสจะบุกมาที่นี่เลยแม้แต่น้อย
คนตัวสูงพูดและทำอย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายกับว่านี้คือการพักผ่อนอยู่บ้านในวันหยุด อี้ฝานทำเหมือนว่าพวกเขายังรักกันดีและนั่นคือสิ่งที่แบคฮยอนเกลียดที่สุด
เขาเกลียดที่อี้ฝานอยากฆ่าเขา แต่ตอนนี้กลับทำเหมือนว่ายังรักเขาเสียเต็มประดา
“มานั่งเถอะ
พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก”
“เหรอครับ” แบคฮยอนรับรู้ว่าน้ำเสียงของตัวเองช่างเย้ยหยัน
เขาไม่เข้าใจว่าอี้ฝานต้องการอะไร
ในเมื่อถ้าอยากฆ่าเขาแล้วจะยืดเยื้อรับบทเป็นคนดีทำไม
.”พี่ไม่เคยต้องการจะทำร้ายเรา”
“…”
“เชื่อใจพี่เถอะนะ”
“ก็เพราะว่าเชื่อใจไม่ใช่เหรอ
ผมถึงต้องเจอกับเรื่องแบบนี้”
อี้ฝานนิ่งไปครู่หนึ่ง
คำพูดของคนตัวเล็กทำให้เขาหน้าชาแต่เขาก็ยังยิ้มให้คนที่เอาแต่ทำหน้าบึ้ง “นั่งลงแล้วคุยกับพี่ก่อนเถอะนะ เราชอบโกโก้ไม่ใช่เหรอ”
“ก็แค่เคยครับ
ตอนนี้ผมไม่อยากแตะต้องมันด้วยซ้ำ”
แบคฮยอนเอ่ยเนิบนาบ
อี้ฝานเข้าใจได้ในทันที่ว่าคำว่า ‘มัน’ ของแบคฮยอนหมายถึง ‘เขา’
ไม่ใช่โกโก้แก้วนั้น ดวงตาคมมองไปยังคนตัวเล็กกว่าด้วยความเจ็บปวด
การกระทำและคำพูดของแบคฮยอนแสดงออกอย่างชัดเจนเสมอว่าคนตัวเล็กไม่หลงเหลือความรู้สึกดีๆ
ต่อกันในรูปแบบคนรักอีกแล้ว แต่ถึงกระนั้น
อี้ฝานก็ยังคงเชื่อว่าเขาสามารถเปลี่ยนใจแบคฮยอนได้
“พี่ขอโทษ...สำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา”
“…”
“แต่พี่แค่อยากให้รู้ไว้ว่าพี่ไม่เคยเลิกรักเราเลยนะ”
อี้ฝานพูดอย่างเชื่องช้าราวกับต้องการให้ทุกคำพูดแทรกซึมเข้าไปถึงหัวใจของแบคฮยอน
เขาหมายความอย่างที่พูดและอยากให้แบคฮยอนเข้าใจ
เขายกโกโก้ขึ้นจิบก่อนทอดสายตาไปทางอื่นเพื่อไม่ให้แบคฮยอนเห็นความเสียใจบนใบหน้า
รสชาติของความรักที่ไม่สมหวังนั้นขมนักจนเกินกว่าที่ความหวานใดจะมาเจือจางได้
แม้ว่าโกโก้จะหวานหอมสักแค่ไหน แต่ลิ้นของอี้ฝานกลับขมปร่า หัวใจของเขาเองก็เช่นกัน
ในขณะเดียวกันนั้น
ร่างเล็กที่ได้ยินคำพูดชวนเลี่ยนจากอดีตคนรักก็ขมวดคิ้วมุ่น
เขารับรู้ได้ถึงความจริงใจและจริงจังจากประโยคนั้น สิ่งที่อี้ฝานทำมาตลอดก็พอจะบอกให้เขารู้ว่าอี้ฝานยังรู้สึกดีต่อเขา
ทว่าเสียงทุ้มต่ำจากหัวหน้าทีมเอในวันวานก็ลอยเข้าในโสตประสาท
‘แบคฮยอน...พี่ขอโทษ’
‘…’
‘แต่พี่คิดว่าพี่รักอี้ชิง’
แบคฮยอนเกือบลืมไปแล้วว่าอี้ฝานเคยพูดประโยคนี้เพื่อขอจบความสัมพันธ์
วินาทีนั้นเองที่ประโยคนี้ทำให้ร่างเล็กเกิดคำถาม ถ้าอี้ฝานรักเขา
แล้วจะขอเลิกทำไม? ถ้าอี้ฝานรักอี้ชิงอย่างที่เคยพูดเอาไว้
ทำไมตอนที่อี้ชิงถูกจับกุม อี้ฝานถึงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลย?
แล้วถ้าอี้ฝานรักเขาจริง ทำไมถึงอยากฆ่าเขาล่ะ?
แต่อดีตก็คืออดีต
แบคฮยอนไม่ต้องการค้นหาคำตอบ เพราะเมื่อไรก็ตามที่เขาเอ่ยปากถาม
อี้ฝานก็จะได้โอกาสพูดคุยกับเขามากขึ้นเท่านั้น
และนั่นเป็นสิ่งที่แบคฮยอนไม่อยากให้เกิด
เขาไม่อยากเสวนากับคนตัวสูงตรงหน้าเท่าไรนัก
“สงสัยอะไรก็ถามพี่สิ”
สาบานว่าแบคฮยอนไม่เคยเกลียดความอ่านง่ายของตัวเองเท่าวันนี้
สีหน้าของเขาบอกฝ่ายตรงข้ามให้รู้ทุกอย่างว่าเขากำลังคิดอะไร แต่ให้ตายยังไงเขาก็จะไม่ปริปาก
“ไม่เป็นไรถ้าเราจะไม่พูดกับพี่”
มือใหญ่วางแก้วโกโก้ลงก่อนจะเดินช้าๆ เข้ามาหาแบคฮยอน “แค่ฟังพี่ก็พอ”
“ผมไม่อยากฟัง”
“เราเคยบอกว่าอยากมีบ้านหลังเล็กๆ
นอกเมืองไว้อยู่ด้วยกัน จำได้ไหม?”
ราวกับว่าคำพูดของแบคฮยอนเป็นแค่เสียงกระซิบ
คนตัวสูงจึงไม่สนใจ
อี้ฝานจับมือเรียวของแบคฮยอนอีกครั้งโดยที่ร่างเล็กไม่ทันได้ตั้งตัว
และต่อให้อยากสะบัดออกมากแค่ไหน แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเดิมเมื่อแบคฮยอนไม่อาจหนีจากมือใหญ่คู่นี้ได้
“พี่ซื้อบ้านหลังนี้ไว้ตั้งแต่ตอนที่เรายังคบกัน
เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นและการตกแต่งทุกอย่างถูกออกแบบตามสิ่งที่เราชอบทั้งนั้น” อี้ฝานก้มมองมือของตัวเองที่กุมมือสวยของแบคฮยอนเอาไว้
เมื่อก่อนเราเคยจับมือกันอย่างมีความสุข แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับทำสีหน้าอมทุกข์และโกรธเคืองเพียงเพราะเราสัมผัสกันเท่านั้น
“พี่ยังจำได้ว่าเราชอบอะไร พี่ไม่เคยลืม”
“ผมไม่อยากรู้
และต่อให้คุณจะเล่าเรื่องหรือพูดถึงเหตุผลอะไรอีก ผมก็ไม่อยากอยู่กับคุณ”
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่บทสนทนาระหว่างเราสองคนถึงน่าอึดอัดขนาดนี้
อี้ฝานจำได้ว่าเมื่อก่อนเราเคยหยอกล้อและหัวเราะด้วยกัน แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากที่ทั้งสองเลิกรา
แม้จะเข้าใจว่าทำไมแบคฮยอนถึงแสดงออกเยี่ยงนี้แต่อี้ฝานก็ไม่อยากยอมรับ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
เขาสาบานว่าจะไม่มีวันปล่อยมือจากแบคฮยอน
แต่เป็นเพราะอดีตคือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง
ต่อให้อยากย้อนกลับไปแก้ไขมากแค่ไหน...ก็คงทำได้เพียงแค่อยาก
“คุณจะมัวพูดเรื่องเก่าๆ
ทำไม ในเมื่อตอนนี้คุณไม่ได้รู้สึกแบบนั้น” อี้ฝานอ้าปากจะเถียง
แต่แบคฮยอนไม่ปล่อยให้คนตัวสูงได้เอ่ยคำที่คิด “ผมรู้ว่าหัวหน้าอยากฆ่าผม”
“พี่ไม่เคยอยากฆ่าเรา”
“เหรอครับ”
ร่างเล็กแค่นหัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งที่หัวหน้าทีมเอบอก เขารู้สึกชาวาบในชั่ววินาทีหนึ่ง
มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่เขาทั้งสมเพชและสงสารตัวเองที่ถูกหักหลังจากคนที่ไว้ใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“อี้ชิงสารภาพหมดแล้ว”
“…”
“คุณเองไม่ใช่เหรอที่ยืมมือเขามาฆ่าผม”
คำถามนั้นทำให้อี้ฝานหลุบตาลงและยอมปล่อยมือขาวของคนตัวเล็กอย่างช้าๆ
เขาเดินกลับไปวางแก้วโกโก้ที่โต๊ะกินข้าวแล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
แบคฮยอนมองหน้าอดีตคนรักด้วยความผิดหวังผสมความหงุดหงิด เขาไม่ชอบอะไรที่มันยืดเยื้อ
และตอนนี้อี้ฝานก็กำลังประวิงเวลาอย่างไร้เหตุผล แบคฮยอนรู้จุดประสงค์ของอี้ฝานดีว่าทำไมคนตัวสูงกว่าจึงพาเขามาที่นี่
แล้วทำไมจึงยังพยายามพูดคำหวาน ผลาญเวลาไปโดยไร้ประโยชน์
อี้ฝานถอนหายใจหนักๆ
คล้ายกับคนที่แบกโลกเอาไว้ทั้งใบ สีหน้าของร่างสูงบ่งบอกว่ามีเรื่องมากมายวิ่งวุ่นอยู่ในหัว
เรื่องต่างๆ เหล่านั้นผลัดกันปั่นป่วนให้อี้ฝานขมวดคิ้วมุ่น เผยอปากคล้ายกับจะพูด แล้วก็ปิดริมฝีปากตามเดิมเหมือนคนขี้ขลาด
สิ่งที่อี้ฝานทำเป็นเพียงแค่การสบตาแบคฮยอน ราวกับว่ามีหลายสิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้ในดวงตาคมคู่นั้น
แบคฮยอนไม่รู้ว่าอี้ฝานคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งที่อี้ฝานพยายามปิดบังนั้นราวกับเด็กแสนดื้อรั้นที่ต่อให้พยายามบังคับมากเท่าไรก็ไม่ฟัง
ดวงตาคมที่มองสบมาด้วยความนิ่งเฉย จึงค่อยๆ เผยความอ่อนแอและความสิ้นหวังให้แบคฮยอนได้เห็น
แม้จะเป็นเวลาเพียงแค่ไม่นาน แต่ก็มากพอที่จะทำให้แบคฮยอนรู้ว่าอี้ฝานกำลังเจ็บปวด
“รักชานยอลมากเลยเหรอ”
คำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินทำให้แบคฮยอนตั้งรับไม่ถูก
อี้ฝานไม่ได้ใช้น้ำเสียงคาดคั้นแต่ถามด้วยความเรียบนิ่ง ไร้ซึ่งท่าทีตัดพ้อหรือไม่พอใจ
ราวกับว่าคนตัวสูงเพียงแค่ถามเรื่องลมฟ้าอากาศ ต่อให้ไม่เข้าใจว่าทำไมร่างสูงถึงถามคำถามนี้
แต่แบคฮยอนก็ยังเลือกที่จะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง
“ใช่”
อี้ฝานไม่เคยคิดเลยว่าคำสั้นๆ
จะมีอานุภาพรุนแรงยิ่งกว่าอาวุธสงคราม คำว่า ใช่ คำเดียวทำให้เขาเจ็บเสียยิ่งกว่าถูกกระสุนเจาะร่าง
คำตอบของแบคฮยอนนั้นเป็นเหมือนกระสุนหนึ่งนัดที่พุ่งเข้ามาเจาะขั้วหัวใจของเขาอย่างตรงเป้า
แม้จะรู้อยู่แล้วว่าแบคฮยอนจะต้องตอบเช่นนี้ แต่ผลลัพธ์ของคำตอบกลับร้ายแรงกว่าที่คาดเอาไว้หลายเท่านัก
หัวหน้าทีมเอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยถามคำถามทำร้ายหัวใจของตัวเองต่อไป
“มากกว่าที่รักพี่หรือเปล่า”
“หัวหน้ารู้ตัวหรือเปล่าว่าคำถามนั้นมันไร้สาระมาก”
“พี่ก็แค่อยากรู้
ว่าเราลืมพี่ได้จริงๆ ใช่ไหม”
“เมื่อก่อนผมเคยรักคุณ
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว จะต้องให้ผมพูดอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจว่าผมไม่ได้รักคุณแล้ว”
แบคฮยอนรู้ว่าคำตอบนี้อาจทำให้อี้ฝานเสียใจหรือโมโห
และนั่นอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นให้คนตัวสูงลงมือทำในสิ่งที่ต้องการเร็วขึ้น แต่แบคฮยอนไม่อยากให้คำพูดรักษาน้ำใจทำให้อี้ฝานเข้าใจผิด
หากวันนี้เขาจะต้องตาย ก็ขอให้เขาตายโดยที่ไม่มีเรื่องใดติดค้าง
อี้ฝานควรเข้าใจว่าเขาไม่ได้รู้สึกรักใคร่ในเชิงนั้นอีกแล้ว และคนเดียวที่แบคฮยอนจะรักคือปารค์ชานยอลเท่านั้น
ความเงียบเป็นตัวเร่งให้บรรยากาศภายในบ้านน่าอึดอัดขึ้นเป็นทวีคูณ
ไม่มีคำพูดใดจากคนทั้งสอง พวกเขาใช้สายตาสื่อสารกันภายใต้ความน่าอึดอัด
ในขณะที่ดวงตาคมพยายามส่งสัญญาณขอความเห็นใจ ความเสียใจ
และเรียกร้องให้อีกฝ่ายเข้าใจ ดวงตาเรียวรีกลับแสดงออกถึงความแน่วแน่ ความเฉยชา และความโกรธ
แบคฮยอนตั้งป้อมปราการผ่านทางสายตาอย่างชัดเจน
เขาขีดเส้นแบ่งระหว่างตัวเองและอี้ฝาน แต่ต่อให้ป้อมปราการนั้นจะเด่นชัดสักแค่ไหน
ผู้ที่จนตรอกอย่างอี้ฝานก็ยังพยายามพังทลายป้อมปราการนั้น ร่างสูงก้าวช้าๆ
เข้ามาหาแบคฮยอน เจ้าหน้าที่ตัวเล็กสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายไม่วางตา ต่อให้เขาจะสู้แรงของอี้ฝานไม่ได้
แต่อย่างน้อยการยื้อเวลาก็คงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรนัก
“เลิกรักชานยอลไม่ได้เหรอ”
แบคฮยอนขมวดคิ้วมุ่น เขาพยายามใจเย็นมาโดยตลอด แต่ ณ วินาที
เส้นความอดทนของเขาสั่นสะท้านอย่างหนักราวกับจะขาดออกได้ทุกเมื่อ ทำไมอี้ฝานถึงเอาแต่พูดอะไรที่ทำให้เขาหงุดหงิด
จากตอนแรกที่เขาสมเพชตัวเองที่ถูกคนไว้ใจทำร้าย ตอนนี้เขาสมเพชคนตรงหน้ามากกว่า อะไรกันที่ทำให้หัวหน้าของทีมเอกล้าเอ่ยปากเช่นนี้
“พี่รู้ว่าที่พี่พูดมันฟังดูบ้ามาก แต่ถ้าเรากลับมารักกัน
พี่สัญญาว่าจะไม่ทำให้เราเสียใจอีก”
“หัวหน้าเคยถามตัวเองไหมว่าเลิกรักผมได้หรือเปล่า”
“…”
“ถ้าแม้แต่หัวหน้ายังเลิกรักผมไม่ได้
แล้วผมจะเลิกรักชานยอลได้ยังไง”
คำตอบนั้นคือน้ำเย็นจัดที่สาดใส่หน้าของอี้ฝาน
ร่างสูงนิ่งไปราวกับโดนสะกด เป็นเรื่องยากที่จะห้ามพายุ แผ่นดินไหวและคลื่นทะเล หัวใจเองก็เช่นกัน
เมื่อหัวใจเลือกที่จะรักใครไปแล้ว แม้แต่เจ้าของหัวใจนั้นเองก็ยังไม่อาจจะควบคุมมันได้
แล้วเขาเป็นใครกันถึงกล้าบอกให้แบคฮยอนเลิกรักชานยอล ต่อให้เขาจะรู้สึกแย่แค่ไหน แต่เขาก็มีสติมากพอว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นผิดมหันต์
และเป็นเพราะว่าเขารู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นผิด อี้ฝานจึงทิ้งคำว่ายอมแพ้และถอยกลับไว้ข้างหลัง
หากเขายอมแพ้ในตอนนี้ สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดจะเปล่าประโยชน์ไปในพริบตา ทว่าความจริงกลับเข้ามาตอกย้ำ
ว่าต่อให้เขาสู้ต่อยังไงก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
เพราะไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่อาจเปลี่ยนหัวใจของแบคฮยอนได้
อี้ฝานลูบแก้มของแบคฮยอนอย่างเบามือ
และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือการสะบัดออกอย่างไม่ใยดี หน้าตาบูดบึ้งของแบคฮยอนที่อี้ฝานคิดว่าน่ารักกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวน่ารังเกียจที่ไม่สมควรจะแตะต้องคนตรงหน้า
ในขณะที่หัวหน้าทีมเอเจ็บไปทั้งใจจนไม่อาจประมวลผลได้ว่าจะทำอย่างไรกับร่างเล็ก วินาทีนั้นเองที่ดวงตาคมสังเกตเห็นวัตถุประหลาดตรงรังดุมบนเสื้อของแบคฮยอน
ไฟจากวัตถุนั้นริบหรี่และกะพริบช้าๆ คล้ายการกะพริบตาของมนุษย์ หากไม่มองใกล้ๆ เขาคงไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองได้ทำพลาดครั้งใหญ่
ที่เสื้อของแบคฮยอนมีกล้องจิ๋วซ่อนเอาไว้
และไฟกะพริบนั้นทำให้รู้ว่ากล้องกำลังทำงาน
อี้ฝานชะงักค้างก่อนจะขบกรามแน่น
เขามองหน้าอดีตคนรักด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งโกรธและสิ้นหวัง กล้องจิ๋วที่แบคฮยอนติดไว้ที่ตัวตอนจับกุมอี้ชิงนั้นยังไม่ถูกส่งคืนให้ทางตำรวจ
ที่เลวร้ายกว่านั้นคือแบคฮยอนยังไม่ถอดออกจากเสื้อเลยด้วยซ้ำ
นั่นหมายความว่าตอนนี้ชานยอลคงรู้ตัวแล้วว่าแบคฮยอนอยู่ที่ไหน อี้ฝานพยายามข่มโทสะเอาไว้แต่ก็ไร้ผล
เขากำหมัดแล้วทุบลงบนโซฟาอย่างหัวเสีย แบคฮยอนที่ตามอารมณ์คนตรงหน้าไม่ทันก็ได้แต่สงสัย
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีอี้ฝานเปลี่ยนความเจ็บปวดบนใบหน้าให้กลายเป็นความโมโหคล้ายพลิกฝ่ามือ
ง่ายดายและรวดเร็ว ซึ่งแบคฮยอนไม่เคยเห็นอี้ฝานในมุมนี้มาก่อน
แต่หัวหน้าของทีมเอก็ยังไม่ทิ้งความสุขุม
คนตัวสูงปล่อยให้ความโกรธทำงานเพียงชั่วครู่ ความนิ่งเฉยก็ประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง
ทว่าในช่วงที่แบคฮยอนไม่ได้ตั้งตัว จังหวะนั้นเองที่ฝ่ามือใหญ่ตรงเข้ามากระชากรังดุมเสื้อของแบคฮยอนอย่างว่องไว
ทั้งกล้องจิ๋วและกระดุมบางเม็ดหลุดติดมืออี้ฝานไปอย่างง่ายดาย เขาทิ้งกล้องลงกับพื้นก่อนจะใช้ปลายเท้าขยี้มันช้าๆ
แบคฮยอนมองการกระทำนั้นด้วยความตื่นตระหนก เขาเห็นว่าทางรอดสุดท้ายของเขาถูกเท้าของอี้ฝานเหยียบย่ำจนแตกหักไปแล้ว
นอกจากปาฏิหาริย์ แบคฮยอนก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะมีทางใดที่ทำให้ชานยอลหาเขาพบได้อีก
กระดุมที่หลุดไปทำให้เสื้อของเขาแหวกออก
แม้ว่ามือเรียวจะพยายามดึงเสื้อให้กลับมาปิดตามเดิม แต่ก็สายเกินไปเมื่อคนตาไวอย่างอี้ฝานเห็นรอยสีกุหลาบที่แต่งแต้มบนท้องขาว
ลมหายใจของอี้ฝานสะดุดไปชั่วครู่ เขารู้สึกเหมือนคนจมน้ำเมื่อเห็นร่องรอยเหล่านั้น
แม้จะเป็นรอยสีจางแต่ก็ชัดเจนมากพอให้รู้ว่าแบคฮยอนมีรอยเหล่านั้นได้ยังไง
“นอนกับมันแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
ร่างเล็กเผลอก้าวถอยหลังเมื่ออี้ฝานสืบเท้าเข้ามา
ถ้าให้เปรียบเทียบความโกรธ หวงจื่อเทาคงเป็นดังภัยพิบัติสักอย่างที่มักจะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้าให้รู้
แต่อู๋อี้ฝานนั้นเป็นคนที่เก็บซ่อนความรู้สึกเก่งและไม่ค่อยพูดความในใจเท่าไรนัก
แบคฮยอนจึงไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าตอนนี้ร่างสูงอยู่ในอารมณ์ใด เท่าที่เคยเผชิญหน้ากับไนท์แมร์คนอื่นๆ
มานั้น แบคฮยอนพอจะบอกได้ว่าสมาชิกของอาชญากรกลุ่มนี้มักมีอารมณ์ที่คล้ายคลึงกันคือเกรี้ยวกราดและเอาแต่ใจ
ทว่าอี้ฝานนั้นแตกต่าง แบคฮยอนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมอี้ฝานจึงอยากให้อี้ชิงฆ่าเขา
แล้วทำไมกลับพูดเหมือนรักเขานักหนา ทุกอย่างมันย้อนแย้งจนทำให้เขาสับสน แต่ก็ไม่อาจได้เอ่ยถามเมื่อหัวหน้าชาวจีนเดินเข้ามาประชิดตัวก่อนจะถามย้ำ
“เรานอนกับมันแล้วใช่ไหม”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
ถึงจะหวาดหวั่นแต่แบคฮยอนก็ไม่ยอมเผยท่าทีใดๆ
นอกจากนิ่งเฉย ในขณะที่แบคฮยอนตระหนกนั้นเอง เปลวไฟแห่งโทสะได้ก่อขึ้นในใจของอี้ฝานอย่างช้าๆ
เขาเฝ้าทะนุถนอมและดูแลแบคฮยอนมาตลอดในช่วงเวลาที่พวกเขาคบหากัน ทั้งสองไม่เคยมีอะไรกันทั้งๆ
ที่อยู่ร่วมเตียง แต่ในเมื่อแบคฮยอนไม่อยากทำเขาก็ไม่เคยบังคับ แล้วทำไมกับชานยอลร่างเล็กถึงยอมง่ายนัก
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ และเมื่อเจ็บก็ยิ่งโกรธ
ตอนนั้นเองที่เปลวไฟในใจของอี้ฝานได้แปรเปลี่ยนเป็นกองเพลิง
ในเมื่อความรักไม่อาจเปลี่ยนหัวใจของแบคฮยอนได้ เขาก็ควรทำตามใจตัวเองสักครั้ง
และเป็นวินาทีนั้นเองที่แบคฮยอนรับรู้ได้ว่าความสุขุมของอี้ฝานน่ากลัวกว่าความเลวร้ายทั้งหมดที่เขาเคยพบเจอ
…..
สายฝนที่ตกกระหน่ำไม่อาจดับกองเพลิงในใจของชานยอลได้
แต่กองเพลิงนี้ไม่ได้ทำให้เขาโกรธเกรี้ยว
มันเป็นกองเพลิงของความเป็นห่วงที่ทำให้เขาร้อนรุ่มไปทั้งใจ
สายฝนทำให้การมองเห็นแย่ลงและขับรถได้ช้าลง
คยองซูที่นั่งอยู่ข้างๆ เหลือบมองชานยอลอย่างเงียบๆ แม้ใบหน้าจะยังเรียบนิ่งแต่เขาก็เดาได้ว่าชานยอลนั้นร้อนใจกว่าใคร
พิกัดของแบคฮยอนจากกล้องจิ๋วที่ขึ้นบนหน้าจอภายในรถเป็นความหวังเดียวของทุกคนในเวลานี้
จุดวงกลมเล็กๆ บนหน้าจอแสดงตำแหน่งของแบคฮยอนซึ่งทำให้รู้ว่าแบคฮยอนอยู่ห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่เพียงแค่สองกิโลเมตรเท่านั้น
สมาธิทั้งหมดถูกใช้ไปกับการขับรถ
ชานยอลพยายามไม่คิดฟุ้งซ่านแม้ว่าความเป็นห่วงที่มีต่อคนรักนั้นจะมากจนแทบล้นออกจากอก
รถของเซฮุนที่มุ่งหน้าไปก่อนนั้นประสานงานมาบอกว่าพวกเขาอยู่ห่างจากแบคฮยอนแค่สี่ร้อยเมตรเท่านั้น
ส่วนรถพยาบาลที่ชานยอลต้องการนั้นกำลังขับตามมา
หลังจากตอบรับเซฮุนแล้วภายในรถก็เงียบลงอีกครั้ง
คยองซูมองตำแหน่งของแบคฮยอนที่ปรากฎอยู่แล้วก็อดเห็นใจเพื่อนร่วมหน่วยงานไม่ได้
ตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มทำคดีไนท์แมร์ แบคฮยอนเป็นหนึ่งเดียวในเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่รับบทหนักที่สุด
แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนิทกับคิมจงอินหรือคิมจงแดเท่าแบคฮยอน
แต่เขาก็รู้สึกแย่เกินกว่าจะบรรยายได้เมื่อรู้ว่าคิมจงอินจากไปแล้วและคิมจงแดยังคงโคม่าอยู่ในห้องไอซียู
เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าความรู้สึกของแบคฮยอนจะพังยับเยินแค่ไหนที่คนรอบตัวต้องมาพบกับชะตากรรมเช่นนี้
ในขณะที่กำลังจดจ่ออยู่กับตำแหน่งของแบคฮยอนนั้นเอง
เพียงแค่กะพริบตาวงกลมเล็กๆ บนหน้าจอก็หายไป
คยองซูชะงักก่อนจะบอกชานยอลด้วยความตระหนก
“คุณชานยอลครับ
ตำแหน่งของแบคฮยอนหายไปแล้วครับ!”
เสียงของเจ้าหน้าที่ตาโตข้างกายทำให้คนตัวสูงละสายตาจากถนนมายังหน้าจอที่เคยเป็นเครื่องบอกทาง
ในเวลานี้ จุดเล็กๆ ที่บอกที่อยู่ของแบคฮยอนได้หายไปแล้ว ชานยอลจำได้ว่าพวกเขาอยู่ห่างจากแบคฮยอนราวสองกิโลเมตรก่อนหน้าที่สัญญาณจะหายไป
แต่ในเวลานี้ สองกิโลเมตรก็ดูไกลเกินกว่าจะไปถึงเมื่อไร้ที่พึ่ง แม้ว่าใจจะว้าวุ่น
แต่ร่างสูงก็รีบติดต่อโอเซฮุนทันที
“ทริซเรียกแซงค์”
“แซงค์ทราบ”
“ถึงจุดหมายหรือยัง”
“ห่างจากจุดหมายสองร้อยเมตรก่อนสัญญาณจะหายไป
ตอนนี้ขับตรงมาเรื่อยๆ”
สตาสใช้นามแฝงเสมอเมื่อปฏิบัติภารกิจ
ครั้งนี้เองก็เช่นกัน การพูดคุยของพวกเขาเป็นไปอย่างกระชับ ได้ใจความ
และไม่ต้องคำนึกถึงความอาวุโสใดๆ
เพื่อประหยัดเวลาในการสื่อสารให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ชานยอลกำลังจะเอ่ยสั่งการนั้นเองที่เซฮุนพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“พบจุดหมายแล้ว! ซอยนี้ตัน ตามมาได้เลย”
“รับทราบ”
ออดี้สีดำทะยานฝ่าสายฝนตามความร้อนใจของผู้เป็นเจ้าของ
ชานยอลใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก่อนจะมาถึงจุดหมาย
ตรงหน้าของเขาคือรถของเซฮุนและลู่หานที่ดับเครื่องสนิท
ชานยอลดับเครื่องเช่นเดียวกันก่อนจะลงจากรถพร้อมคยองซู ไม่กี่อึดใจรถของเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ
ก็มาถึง สายฝนทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดตัวเปียกโชกแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาต่างหากคือสิ่งที่พวกเขาต้องสนใจ
ดวงตากลมโตของปาร์คชานยอลมองไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่ประมาณหนึ่งร้อยเมตร
มือใหญ่เสยผมเพื่อไล่หยดน้ำก่อนจะมองตรงไปยังเบื้องหน้า และเมื่อทุกคนได้เห็นบ้านหลังนั้นก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเราถึงจอดรถตรงนี้
เพราะถ้าแบคฮยอนอยู่ในบ้านหลังนั้นกับอู๋อี้ฝานจริง
เสียงรถของพวกเขาอาจทำให้อี้ฝานไหวตัวทัน เมื่อทุกคนเข้าใจสถานการณ์โดยทั่วกันแล้ว
ชานยอลจึงส่งสัญญาณมือแบ่งทีมอย่างว่องไว ก่อนจะเดินไปยังบ้านปริศนาที่ที่แบคฮยอนถูกเพื่อนรักของเขาพามา
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแบคฮยอน เขาจะไม่มีวันปล่อยอู๋อี้ฝานไปแน่…ชานยอลสาบานกับตัวเอง
แม่กุญแจที่ล็อคแน่นหนาตรงประตูรั้วทำให้ลู่หานสบสายตากับชานยอลเพื่อขอความคิดเห็น
หากบ้านหลังนี้ไม่ใช่จุดหมายที่พวกเขาต้องการ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดอาจถูกแจ้งความข้อหาบุกรุก
แต่เมื่อชานยอลพยักหน้า ลู่หานก็ทำการสะเดาะแม่กุญแจท่ามกลางสายฝนอย่างเบามือทันที
แต่ละย่างก้าวของเจ้าหน้าที่สตาสนั้นเงียบเชียบและไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ราวกับการเดินของเสือ
พวกเขาเคลื่อนที่ตามคำสั่งจากสัญญาณมือของปาร์คชานยอล และเมื่อสำรวจดูครบทั่วทั้งบ้านแล้วพวกเขาก็ต้องฉงนพร้อมๆ
กับกองเพลิงในใจของชานยอลที่ทำให้เขาร้อนรนขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะสิ่งที่ชานยอลเจอหาใช่แบคฮยอน...แต่เป็นเพียงแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น
80%
หายไปนานแล้วยังกล้าตัดแชปแบบนี้อีกเหรอ
#นังหน้าด้าน
ชานยอลใช้เวลาเดินทางจากหน่วยไปช่วยแบคตั้งแต่
2017 จน 2020 555555 (ขำกลบเกลื่อน) แถมยังไม่เจออะไรอีก แต่มันต้องหลังนี้แหละ
มีหลังเดียวแล้วทั้งซอย ขอเวลาหาก่อน ธูธธธธ
ไม่ตอนหน้าจบ ก็อีก 2 ตอนจบค่ะ
มาช่วยกันสวดภาวนาให้คนอ่านกันนะคะ เราจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนได้อ่านกันในภพนี้
ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ผ่านมาที่มีให้เราด้วยนะคะ
ช่วงที่หายไปเป็นเพราะมีเรื่องให้ทำและคิดเยอะมาก เราเริ่มแต่งเรื่องนี้ตอนเราอายุ
19 จนตอนนี้เรา 24 แล้วค่ะ และเป็นเพราะเราโตขึ้นภาษาอะไรต่างๆ
อาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ต้องขออภัยในจุดนี้ด้วยนะคะ อย่างเช่นในตอนนี้เองก็อาจมีบางจุดที่ภาษายังน่าขัดใจอยู่บ้าง
ยังไงเราก็จะมาเกลาอีกทีนะคะ อีกเรื่องหนึ่งคือเราดีใจที่พลอตของเราจะยังคงเดิม
ที่เคยคิดอยากให้จบยังไงก็จะเป็นอยู่อย่างนั้น
ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนาน
แต่กลับมาแล้วค่ะ อาจจะอัพช้าบ้าง แต่ยังไงจะจบค่ะ มาเอาใจช่วยชานยอลและแบคฮยอนกันนะคะ ซึ่งก็อาจจะมีคนคิดว่าทำไมมึงไม่ลงร้อยเปอร์เซ็นต์ทีเดียวเลยวะ
อยากจะบอกว่าอีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็ยาวมากค่ะ ให้เวลาเราหน่อยนะคะ ;_;
ชั้นให้เวลาเทอมาจะ 3 ปีแล้วนะ ยังไม่พออีกเรอะ!! #คนอ่านไม่ได้กล่าว #แต่อาจคิดบ้างเล็กน้อย
ความคิดเห็น