ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] See through B's trick (chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #24 : - CH 19 : fate ♡ -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.9K
      26
      12 ก.ค. 59

    chapter 19



     

    สักวันหนึ่งเราจะได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่แน่นอนที่สุดคืออดีต

    อยากกลับไปแก้ไข อยากกลับไปเปลี่ยนแปลง แต่ก็ทำได้เพียงแค่อยาก

    …..

     

    ออกมาเจอกับพี่หน่อยสิ จื่อเทา

     

    ด้วยประโยคนั้นเมื่อสิบห้านาทีที่แล้วส่งผลให้ผมมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้

     

    เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้พบกับคนตรงหน้า แม้ว่าผมจะสนิทกับลูกชายของเขาถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นดังพี่น้อง แต่สำหรับเขาแล้ว ผมก็ยังเป็นเพียงแค่คนอื่นที่ไม่ได้จำเป็นมากพอจะให้เขาสนทนาด้วย

     

    สวัสดีครับ

     

    ผมโค้งทักทายอย่างที่คิดว่านอบน้อมที่สุดแต่เขาก็ยังรักษาความนิ่งเฉยเอาไว้ ใบหน้าน่าเกรงขามทำให้ผมประหม่าเล็กน้อย ไหนจะเสื้อผ้าของเขาที่เรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ไม่มีแม้แต่รอยยับหรือแม้กระทั่งรองเท้าหนังขึ้นเงาที่บ่งบอกถึงความมีระเบียบ เขายังคงเป็นผู้ชายที่ใช้ความเงียบสร้างความอึดอัดได้อย่างดีเยี่ยม คนตรงหน้าทำเพียงแค่ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ข้อมือโดยที่ไม่ได้ละสายตาออกจากใบหน้าของผม ตอนนั้นเองที่ผมคิดได้ว่าควรบอกจุดประสงค์ของการมาที่นี่

     

    ผมทราบมาว่าเทาไม่สบาย ท่านจะอนุญาตให้ผมขึ้นไปพบเทาได้ไหมครับ?

     

    ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวนอกจากคิ้วทั้งสองข้างที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมรู้ว่าคนตรงหน้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายของตัวเองป่วย เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากเมื่อหลายปีก่อน ทั้งท่าทางวางอำนาจ และการเอาใจใส่ลูกของตัวเอง

     

    พ่อของหวงจื่อเทาที่ผมเคยรู้จักเมื่อสิบปีก่อนเป็นยังไง ณ ปัจจุบัน เขาก็ยังคงเป็นแบบนั้น

     

    ผมไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะเจอเขาในวันนี้ แต่ผมจำได้ว่าทุกครั้งที่มาบ้านของเทา ถ้าหากพบกับพ่อของน้องชายเมื่อไหร่นั่นหมายความว่าทุกๆอย่างที่เรากำลังจะทำจะต้องขออนุญาตจากเขาเสียก่อน ถ้าเขาบอกว่าไม่ก็คือไม่ ผมจำเป็นต้องยอมรับในทุกๆกฎที่เขาเป็นคนตั้งไว้ถ้าหากว่าผมยังอยากที่จะพบกับเทาอีก เป็นเพราะความน่าอึดอัดเหล่านี้ เทาจึงเลือกที่จะไปบ้านของผมมากกว่าที่จะปล่อยให้ผมมาที่นี่

     

                คนตรงหน้าไม่พูดอะไรสักคำเดียวก่อนจะรับสูทจากแม่บ้านมาพาดไว้ที่แขน เขาสบตากับผมและเพียงแค่ครู่เดียวเขาก็เดินเข้ามาใกล้จนน่าจะได้กลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้ แต่ผมกลับไม่รู้ว่าเขาใช้น้ำหอมกลิ่นอะไรเพราะสิ่งที่ผมได้กลิ่นมีแต่ความถือตัว ความหยิ่งจองหองและความบ้าอำนาจ

     

                เด็กนั่นยังคงเชื่อเธอมากกว่าฉันไม่เปลี่ยนเลยสินะ

     

                เสียงมีอายุนั่นพ่วงมาด้วยความดูแคลน เขาไม่ได้สนใจว่าผมจะมีท่าทีตอบรับกับประโยคนั้นยังไง เขาเพียงแค่พูดแล้วเดินผ่านไป สรรพนาม เธอที่เขาใช้เรียกผมนั้นแสดงได้ดีถึงความห่างเหิน ตั้งแต่ที่รู้จักกัน ผมไม่เคยคุยกับพ่อของเทาได้เกินสามประโยค แต่มันกลับเป็นเรื่องน่าประหลาดที่คนแบบเขายอมให้ผมติดต่อกับลูกชายของเขาได้

     

                เสียงรถที่แล่นออกไปทำให้ผมรู้ว่าเขาคงจะออกไปจากบ้านไปแล้ว แน่นอนว่าตำรวจยศสูงย่อมไม่มีเวลามากพอที่จะมาสนใจเรื่องไร้สาระ พ่อของเทาไม่เคยถามไถ่ว่าผมทำงานที่ไหนหรือเป็นเพราะอะไรที่ทำให้เทาสนิทกับผมมากขนาดนี้ เขาไม่เคยสนใจอย่างอื่นนอกจากตัวเอง และผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินถ้อยคำที่แสดงถึงความเป็นห่วงต่อลูกชายจากปากคนอย่างเขาเพราะเทาก็นับว่าเป็นเรื่องไร้สาระอย่างหนึ่งในชีวิตของเขาด้วย

     

                ตั้งแต่เด็กที่ผมได้เห็นน้องชายร้องไห้นับครั้งไม่ถ้วนและสาเหตุหลักของความเสียใจก็ไม่ใช่สิ่งอื่นนอกจากคนที่เพิ่งนั่งรถออกไปเมื่อครู่นี้ ผมรู้ว่าเทาโดนพ่อของตัวเองทำอะไรบ้างและมันเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดที่ผมไม่มีสิทธิ์มากพอที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่ง มีเพียงแค่การปลอบใจและการทำแผลให้กับเทาเท่านั้นที่ผมพอจะทำได้

     

                จะรับเครื่องดื่มก่อนไหมคะ? วันนี้ป้าทำน้ำมะนาวไว้ด้วย รับรองว่าชื่นใจแน่นอนเลยนะคะแม่บ้านที่ยืนเงียบอยู่นานถามผมอย่างอ่อนโยน เธอเป็นแม่บ้านที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เด็กๆ ทุกครั้งที่ผมมาที่นี่เธอมักจะนำของอร่อยๆมาให้ผมกินเสมอ

     

    ไม่เป็นไรครับ ผมอยากขึ้นไปหาน้องเลยมากกว่า

     

                ผมตอบรับก่อนที่เธอจะขอตัวไปทำงานต่อ ถ้าให้พูดถึงฐานะครอบครัวของเทาผมคงต้องบอกว่าพวกเขาอยู่ในระดับมีกินมีใช้ไปทั้งชาติซึ่งนั่นช่างสวนทางกับระดับความสุขที่พวกเขามีเสียเหลือเกิน

     

     แผนของผมผิดไปนิดหน่อยตรงที่ผมต้องเป็นฝ่ายมาหาเทาเสียเองเพราะเขาไม่สบาย ตอนที่คุยโทรศัพท์กันผมก็พอจะเดาได้ว่าเขาป่วย เทาเป็นคนป่วยยาก แต่ถ้าได้ป่วยแล้วก็หายยากเช่นกัน

               

     

                ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกกี่ปี บ้านหลังใหญ่ก็ยังคงถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบเหงา เทาเคยบอกผมไว้ว่าที่นี่เป็นแค่ที่พักผ่อนกายแต่ไม่ใช่ที่พักผ่อนใจ มันเป็นประโยคที่น่าเจ็บปวดสำหรับผม เพราะแม้กระทั่งบ้านยังไม่ใช่ที่ที่พักผ่อนใจได้ แล้วอย่างนั้น ยังจะมีที่ไหนอีกหรือ?

     

    ใช้เวลาไม่นานผมก็เดินมาถึงห้องของน้องชาย เราไม่ได้เจอกันมากี่วัน กี่อาทิตย์หรือกี่เดือนแล้วผมเองก็ไม่แน่ใจ ปกติถ้าผมว่างเราก็จะใช้เวลาร่วมกันเสมอ ตอนนั้นเองที่ผมเคาะประตูเบาๆกระทั่งได้ยินเสียงแหบๆขานรับผมจึงเดินเข้าไป

     

                พี่แบคฮยอน...ภาพที่คิดไว้ว่าเทาจะต้องนอนซมอยู่บนเตียงหายวับไปทันทีที่ผมปิดประตู เทาที่รออยู่ก่อนแล้วถลาเข้ามากอดผมแถมยังกระโดดโลดเต้นทำเอาผมหัวสั่นหัวคลอนไปด้วย ผมชกไหล่เบาๆให้เขาหยุดก่อนจะถามเสียงดุ

     

                ไหนบอกว่าไม่สบายไง ทำไมมีแรงเยอะแบบนี้ล่ะ?

     

                ก็มีไข้ไง เนี่ย ผมตัวร้อนนะไม่เชื่อพี่ลองจับดูว่าแล้วก็เอามือผมไปทาบกับหน้าผาก นั่นเองที่ทำให้ผมไม่ดุเขาอีกเพราะตัวของเด็กกะล่อนนั้นร้อนจริงๆ ไอความร้อนจากตัวของเทาทำให้ผมรู้สึกอุ่นไปด้วย แม่บ้านให้ผมกินแต่ข้าวต้ม กินยา แล้วก็ให้นอน ผมโคตรเบื่อเลย

     

                เทาส่งเสียงงุ้งงิ้งไปตามประสาเด็กขี้บ่นจนผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆ เขาพาผมไปนั่งลงบนเตียงก่อนที่จะนั่งตามลงมา จังหวะที่เทาทิ้งตัวลงนั่งทำให้ท่อนแขนของเขาสัมผัสมาโดนผมด้วย วินาทีนั้นเองที่ผมรู้ว่าเด็กนี่ไข้ขึ้นสูงพอตัว ผมมองไปที่ใบหน้าซีดๆของเทาซึ่งยังคงยิ้มตาปิด ดูก็รู้ว่าเขาดีใจมากแค่ไหนที่ผมมาหา เขาพยายามทำตัวร่าเริงเพื่อกลบอาการไข้ พยายามยิ้มเพื่อให้ผมสบายใจว่าไม่ได้เป็นหนักอย่างที่คิด

     

                ตอนนั้นเองที่ผมสงสัย...ว่าทำไมรอยยิ้มของเขานั้นซ่อนอะไรไว้ได้มากมายเสียเหลือเกิน

     

                พี่อุตส่าห์อยากเจอผม แต่ว่าผมดันไม่สบายเลยอดไปเที่ยวด้วยกันเลย ผมขอโทษนะเสียงหงอยๆแบบนั้นทำให้ผมยิ้มพร้อมกับส่ายหัวเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องแปลกที่ตั้งแต่รู้จักกันมา ผมไม่เคยโกรธเทาเลยสักครั้งเดียว ต่างจากน้องชายตัวดีที่งอนผมได้เป็นสิบๆเรื่อง

     

                ไม่เป็นไรหรอก ไว้คราวหลังเราก็ยังไปเที่ยวด้วยกันได้นี่

     

                “โห คราวหลังของพี่นี่เมื่อไหร่อ่ะ ชาติหน้ารึเปล่า?

     

                เสียงแหบๆของเทาฟังดูน่าตลกยามเมื่อเขาพูด แม้ว่าบ้านหลังนี้จะมีหลายสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ห้องนอนของเทากลับเปลี่ยนไปมาก ผมจำได้ว่ามันเคยมีสีสัน มีชั้นหนังสือสีฟ้า มีผ้าปูที่นอนสีน้ำตาล มีผ้าม่านสีครีม แต่ตอนนี้ทุกอย่างถูกแทนที่ด้วยสีดำ มันทำให้ห้องของเทาดูอึมครึมไม่สมกับนิสัยร่าเริงของเขา แต่บางทีนี่อาจจะเป็นผลของการเป็นวัยรุ่น เราล้วนเปลี่ยนรสนิยมเมื่อโตขึ้น ผมเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์

     

                พี่แบคฮยอน...ผมรู้ดีว่าประโยคต่อมาที่เทาจะพูดคืออะไร กระนั้นผมก็ยังทำเพียงแค่เลิกคิ้วเพื่อรอฟัง ใครทำอะไรพี่?

     

     ดวงตาคมสำรวจใบหน้าของผมอย่างเป็นกังวล เทาเปลี่ยนจากความสดใสให้กลายเป็นเคร่งเครียดได้ภายในไม่กี่วิ  เป็นดังคาดที่เทาจะต้องเห็นรอยแผลที่เอสฝากเอาไว้ แม้ว่าผมจะทาแป้งเพื่อกลบรอยแผลไปแล้วก็ตาม แต่การที่เรานั่งใกล้กันแบบนี้ไม่ว่ายังไงเทาก็ต้องเห็นมันอยู่ดี เขาจับใบหน้าของผมพลิกซ้ายขวา มือของเทาอุ่นจนเกือบร้อนแต่ผมเดาว่าใจของเขาคงร้อนรนยิ่งกว่าที่เห็นผมมีแผลแบบนี้

     

                พี่แบคฮยอน ผมถามว่าใครทำอะไรพี่?ความเป็นห่วงฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่คมของเขา เทาจับแก้มของผมอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าผมจะเจ็บมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ทำไมพี่ถึงมีแผล? ใครทำร้ายพี่? บอกผมมาสิ

     

                พี่ว่าเรานอนคุยกันดีกว่า เหมือนที่ชอบทำบ่อยๆตอนเป็นเด็กไง

     

                ผมหยุดความร้อนใจของเทาด้วยการใช้น้ำเสียงสงบ ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วง อย่างที่ผมเคยบอกว่าเราเป็นเหมือนครอบครัว มันไม่แปลกเลยที่เขาจะร้อนใจขนาดนี้เมื่อเห็นแผลบนหน้าของผม แต่ผมไม่อยากให้เขาโวยวายและผมก็ไม่อยากให้เขาตกใจหากจะต้องรู้ถึงที่มาของแผลพวกนี้ เทานิ่งไปเพียงครู่ก่อนที่จะยอมทำตาม เรานอนลงบนเตียงด้วยกันเหมือนสมัยเด็ก ถ้าเขามานอนที่บ้านผม เขาก็จะนอนที่เตียงของผมแล้วเราก็จะคุยกัน อาจจะเป็นเรื่องที่โรงเรียนบ้าง เรื่องเพลงที่ชอบฟัง ดาราสวยๆที่พวกเราชอบหรือแม้กระทั่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง บางครั้งเราก็เล่นกันแรงๆตามประสาเด็กผู้ชายจนได้รอยช้ำ หลังจากนั้นป้านาบีก็จะดุจนพวกเราต้องรีบแสร้งทำเป็นหลับเพราะไม่อยากฟังเสียงบ่น

     

                ไม่สบายมากี่วันแล้วเหรอ?ผมถาม เทานอนตะแคงมองผมที่นอนหงาย เขาเอาแต่จับจ้องใบหน้าของผมอย่างเฝ้ารอคำตอบว่าผมถูกใครทำร้าย และแน่นอนว่าผมเบี่ยงประเด็น

     

                สองสามวันแล้วครับ ตกลงพี่จะบอกผมได้ยังอ่ะว่าพี่โดนอะไรมา สนุกเหรอที่เห็นผมร้อนใจเนี่ย เทาเริ่มกระฟัดกระเฟียด เด็กบ้านี่เป็นแบบนี้ตลอดเลยเวลาที่ถูกขัดใจ มันทำให้เขาทั้งน่าขำและน่าเอ็นดูไปในคราวเดียวกัน

     

                ผมไม่ตอบคำถามของน้องชายแต่กลับเหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ยังมีเวลาอีกมากกว่าที่ชานยอลจะกลับบ้าน ซึ่งนั่นทำให้ผมสบายใจเพราะจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้อีกนาน

     

                พี่บอกแน่ๆล่ะว่าไปโดนอะไรมาแต่พี่อยากคุยเรื่องอื่นก่อนไม่ได้เหรอ? เป็นวัยรุ่นแล้วต้องใจร้อนเหรอ หือ? ผมพูดติดตลกพร้อมกับใช้ข้อศอกกระทุ้งท้องของเทาเบาๆ ยิ่งอยู่ในแนวราบแบบนี้ ผมก็ยิ่งสำรวจเทาได้อย่างชัดเจน เขาโตขึ้นมาก จากที่เคยเตี้ยกว่าผมก็สูงนำผมไปหลายเซ็น แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่แค่เขาโตขึ้นหรอก ผมรู้ว่ามีหลายอย่างในตัวของหวงจื่อเทาที่เปลี่ยนไป ทำไมอยู่ๆถึงไม่สบายล่ะ? ปกติเราถึกกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?

     

                “โห่ไรอ่ะ ทำไมพี่ใช้คำว่าถึกกับผมล่ะ ผมไม่ใช่วัวนะ เทาบ่นอุบคล้ายว่าจะกลับมาร่าเริงอีกครั้ง แต่ไม่หรอก ผมรู้ดีว่าเขาเป็นห่วงผมเกินกว่าที่จะร่าเริงในตอนนี้ วันนั้นผมไปเที่ยวกับไอ้เควินอ่ะ แล้วตากฝนตอนกลับบ้านเลยไม่สบาย

     

                ผมพยักหน้าเป็นการตอบรับ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบเพราะไม่มีใครพูดอะไรออกมา ตอนนั้นเองที่ผมหันหน้าไปสบตากับเทาที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว โครงหน้าที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กเด่นชัดเหลือเกินในเวลานี้ อย่างที่คุณรู้ ผมก็รู้และเทาก็รู้ว่าผมรักเขามากแค่ไหน ผมเป็นห่วงเขาไม่ต่างกับที่เขาเป็นห่วงผม ด้วยเหตุผลนี้ที่ทำให้ผมเอ่ยปาก

     

    พี่ตัดสินใจแล้วนะว่าพี่จะไม่รักษาต่อ

     

                แค่ผมพูดเพียงเท่านี้แต่เทาก็รู้ได้ว่าผมหมายถึงอะไร ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะไม่เข้ารับการรักษาโรคกลัวฟ้าร้องอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่ผมได้ปะทะกับเอสในโกดังมันทำให้ผมได้รู้ว่าการรักษาเหล่านี้แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย

     

                พี่จะบ้ารึไง? ถ้าพี่ไม่รักษาแล้วพี่จะหายได้ยังไง? พี่แบคฮยอน พี่บอกผมได้ไหมว่าพี่คิดอะไรอยู่กันแน่? มันแน่นอนอยู่แล้วที่เทาจะโวยวาย ความกังวลของเขายิ่งฉายชัดมากขึ้นไปอีกและนั่นทำให้ผมหัวเราะเบาๆ

     

                “ที่พี่จะไม่รักษาต่อ เพราะพี่เพิ่งค้นพบบางอย่างที่น่ากลัวกว่าเสียงฟ้าร้องไงล่ะ เทาไม่สามารถเก็บความสงสัยไว้ได้หลังจากที่ผมพูดประโยคนั้นออกไป แต่ผมไม่ได้ต้องการจะทำให้เขาเข้าใจไปมากกว่านี้

     

                มันมีอะไรที่พี่กลัวกว่าเสียงฟ้าร้องด้วยเหรอ? ไรอ่ะ? ผี? แมลงสาบ? หรือคนหล่อๆแบบผม?”

     

                ไม่สบายแบบนี้...ก็อย่าสูบบุหรี่เลยนะ

     

                “…”

     

                ถ้าพ่อจับได้ขึ้นมา พี่เป็นห่วงว่าเราจะโดนลงโทษ คล้ายว่าหน้าของเขาที่ซีดจากพิษไข้จะซีดหนักกว่าเดิม เทาชะงักไปหลังจากที่ผมพูดจบ ความตลกที่เขาพยายามสร้างขึ้นสลายไปกับอากาศอุ่นๆภายในห้อง

     

                ผม...ผมเพิ่งลองสูบราวกับว่าเขาเพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอหลังจากที่เวลาผ่านไปหลายวินาที ไม่มีการปฏิเสธจากคนเป็นน้องชาย ผมรู้นิสัยของเทาดี ตั้งแต่เด็กแล้วที่เทาไม่เคยกล้าปิดบังความผิดกับผม ถ้าเรื่องไหนที่ผมจับได้เขาจะไม่ปฏิเสธ แต่เขาจะโกหก...เหมือนในตอนนี้

     

                อย่าโกหกพี่เลย พี่รู้ว่าเราสูบมานานแล้ว แต่พี่ไม่พูดเพราะพี่รู้ว่าเราเครียด บุหรี่มันคงทำให้เราสบายใจขึ้น

     

                ไม่มีการหลบตาอย่างที่ผมคิดไว้ ผมบอกแล้วว่าเทาโตขึ้นมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะต้องหลบตา บ่ายเบี่ยง หนักเข้าหน่อยก็แสร้งทำเป็นงอนอย่างไม่มีเหตุผลเพื่อที่ผมจะได้ไม่คาดคั้นเขา แต่นั่นคือหวงจื่อเทาเมื่อหลายปีก่อน เพราะหวงจื่อเทาคนปัจจุบันนั้นมองหน้าผมอยู่ ไม่มีความตระหนกสักนิดในดวงตาของเขา คล้ายกับว่าเทาเตรียมใจมานานแล้วว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องรู้ในสิ่งที่เขาปกปิดเอาไว้

     

                พี่รู้มานานแค่ไหนแล้วว่าผมสูบ?

     

                เรารู้จักกันเป็นสิบปีแล้วนะเทา มีเรื่องไหนที่พี่ตามเทาไม่ทันบ้างเหรอ?”

     

                ดวงตาคู่คมจ้องผมนิ่ง มีประกายความรู้สึกบางอย่างฉายชัดอยู่ในนั้น ผมเดาว่าอาจจะเป็นประกายของความรู้สึกผิด เขาถอนหายใจเบาๆก่อนจะซุกใบหน้าลงมาที่ไหล่ของผมคล้ายเป็นการขอโทษ แต่อย่างที่ผมบอกคุณไว้ว่ามันเป็นเรื่องแปลกที่ผมไม่เคยโกรธเทาได้เลยสักครั้ง แล้วผมก็คิดว่าแค่การแอบสูบบุหรี่ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องร้ายแรงตรงไหน

     

                พี่เข้าใจว่าเทาคงมีเรื่องที่ต้องโกหกเพราะความจำเป็น เพราะพี่เองก็มีเหมือนกัน

     

    ผมเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อดูการตอบสนองของเขา และน่าแปลกที่เด็กไฮเปอร์อย่างจื่อเทากลับนิ่งสงบอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ที่ผมมาหาเขานอกจากความเป็นห่วงที่เทาไม่สบายแล้ว ผมยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะบอกกับน้องชายคนนี้

     

    จำตอนที่เรายังเด็กๆได้ไหม? ผมเกริ่นนำ เทาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมคล้ายถูกตรึงเอาไว้ ตอนนั้นหน้ากากอุลตร้าแมนน่ะฮิตน่าดู เราซื้อมาเล่นด้วยกันกับเด็กในหมู่บ้าน เล่นด้วยกันเป็นสิบๆคนจนเสียงดังลั่นไปหมดเลย

     

    ผมเล่าไปยิ้มไปต่างจากเทาที่ยังคงไว้เพียงแค่สีหน้าเรียบเฉย หวงจื่อเทาเด็กจอมร่าเริงที่ผมรู้จักหายไปแล้ว เหลือเพียงแค่นายหวงจื่อเทา คนที่เก็บสีหน้าทุกอย่างไว้ภายใต้ความเรียบนิ่งได้อย่างเหลือเชื่อ

     

    เราทุกคนใส่หน้ากากเหมือนๆกัน แต่พอถึงเวลากลับบ้านพี่ก็ยังวิ่งไปคว้ามือเทาให้กลับบ้านด้วยกันได้ เทาลองคิดดูสิ ถึงจะเล่นด้วยกันตั้งหลายคนแต่พี่ก็ยังจำได้ว่าคนไหนคือเทาและคนไหนที่ไม่ใช่เทา แค่หน้ากากอันเดียวน่ะไม่ทำให้พี่จำเทาไม่ได้หรอกผมได้ยินเสียงลมหายใจของเขาสะดุด ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลอะไร แต่น้องชายของผมมีสีหน้าไม่สู้ดีเลยในเวลานี้

     

    เทาทำท่าคล้ายจะพูดบางอย่าง แต่เขาเลือกที่จะกลืนประโยคนั้นลงคอไป ผมลูบหัวเขาช้าๆ อุณหภูมิความร้อนในร่างกายของเทาส่งผลให้หัวของเขาอุ่นไปด้วย ผมลูบหัวของเขาไปเรื่อยๆกระทั่งมือของผมไล้ลงมาจนเกือบจะถึงกกหูของเขา ตอนนั้นเองที่เทาส่งมือของตัวเองมากุมมือของผมไว้คล้ายเป็นเชิงห้าม ผมมองตาคู่คมและไม่ได้พยายามดึงดันที่จะสัมผัสร่างกายของเขาอีก

     

                เทารู้จักไนท์แมร์ไหม?

     

    เทาออกแรงบีบที่มืออย่างลืมตัว เขาคงไม่คิดว่าผมจะเอ่ยชื่อนี้ออกมา แน่นอนว่ามันเป็นชื่อที่คนเกาหลีล้วนรู้จักเป็นอย่างดีไม่เว้นแม้กระทั่งน้องชายของผม

     

    นั่นแหละคำตอบ ว่าใครเป็นคนทำร้ายพี่

     

    ตอนนั้นเองที่นิ้วยาวของคนข้างๆถูกส่งมาสัมผัสที่ใบหน้าของผม ที่ผ่านมา ผมรู้มาโดยตลอดว่าเทาคิดยังไง ผมรู้ว่าเขารักผม ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วงผม ผมรู้

     

    ผมรู้ทุกอย่าง

     

    เทาลูบแก้มของผมเบาๆ เป็นครั้งแรกที่ผมไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นคิดอะไรอยู่ เขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียวและทำเพียงแค่สบตาผมอยู่อย่างนั้น ผมสบตาเขากลับโดยพยายามเมินเส้นผมสีดำสนิท พยายามเมินรูปร่างที่สูงร้อยแปดสิบสามเซนติเมตรของเขา แล้วก็พยายามที่จะบังคับเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น

     

                พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะให้เทารู้ เทาเปลี่ยนจากการสัมผัสใบหน้าของผมแล้วขยับตัวมากอดผมไว้ ผมชินกับการที่ถูกเขาสกินชิพ แต่ผมก็สัมผัสได้ว่าในครั้งนี้เป็นการสกินชิพที่แตกต่างจากทุกครั้ง พี่มีเรื่องที่โกหกเทามาโดยตลอด...และพี่ขอโทษที่ปิดบังมาหลายปี แต่พี่ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทอย่างที่เคยบอกไว้

     

                คำว่าขอโทษทำให้เทากอดแน่นมากขึ้นไปอีกราวกับไม่ต้องการรับฟังสิ่งที่ผมอยากจะบอก ไอร้อนจากร่างกายของเขาถูกส่งผ่านเนื้อผ้ามายังผมด้วย ผมเดาว่าไข้ขึ้นสูงขนาดนี้เทาคงจะปวดหัวร่วมด้วยเป็นแน่ ในตอนนั้นเองที่มีบางอย่างที่อุ่นกว่าไอร้อนจากพิษไข้หยดกระทบกับไหล่ของผม จากหนึ่งหยดอุ่นๆ ก็กลายเป็นสอง สาม สี่ จนกระทั่งเนื้อผ้าเริ่มเปียกชุ่มคล้ายกับมีฝนตกลงมา ต่างกันตรงที่ฝนนี้ไม่ได้เกิดจากการกลั่นตัวของไอน้ำแต่เกิดจากดวงตาของใครบางคน

     

    แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังตัดสินใจที่จะพูดสิ่งที่คิดเอาไว้ เพราะไม่ว่าเหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ผมพูดในวันนี้ก็จะกลายเป็นเพียงอดีตเท่านั้น

     

                พี่เป็นสตาส

     

    30%

     

                บางครั้งคนเราก็เลือกใช้รอยยิ้มมาปิดบังความความผิดหวัง แต่น้ำที่ไม่มีวันหลอมรวมกับน้ำมันได้ฉันใด รอยยิ้มโง่ๆที่เราพยายามสร้างขึ้นก็ไม่มีวันปกปิดความเศร้าได้ฉันนั้น

     

                และเป็นเพราะหวงจื่อเทาเข้าใจกฎข้อนั้นดี เขาจึงไม่พยายามทำตัวร่าเริงอย่างที่เคยแสดงออก คำพูดจากคนที่เรียกได้ว่าเป็นสุดที่รักทำให้เด็กหนุ่มลืมวิธีมีความสุข ราวกับว่าเขายืนอยู่บนยอดตึกสูงและแค่กะพริบตา ความผิดหวังก็กระชากให้เขาร่วงลงมาที่พื้น หัวใจของเขาถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนมันบิดเบี้ยว แหลกละเอียด และทำให้เขาเจ็บเจียนตาย เทาทำเพียงแค่กอดพี่ชายเอาไว้และปล่อยให้น้ำตาค่อยๆเหือดแห้งไปเหมือนไม่เคยมีการร้องไห้เกิดขึ้นมาก่อน

     

                คล้ายว่าความเงียบนั้นฆ่าคนได้เพราะเด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ออกเหมือนใกล้จะตาย เทาแยกไม่ออกว่านี่เป็นอาการที่เขาคิดไปเองหรือมันเกิดขึ้นจริง เพราะสิ่งที่เด่นชัดที่สุดในโสตประสาทการรับรู้ของเขามีเพียงแค่เสียงแหบหวานอันคุ้นเคย

     

                ...โกรธพี่ไหม?

     

                เป็นเพราะเทาซุกใบหน้าอยู่บนลาดไหล่ของพี่ชายจึงไม่มีใครรู้ว่าสีหน้าของอีกฝ่ายนั้นเป็นยังไง แต่น้ำเสียงอ่อนโยนของแบคฮยอนทำให้ความคิดของเด็กหนุ่มปั่นป่วน หลากหลายความรู้สึกตีรวนอยู่ในอกของเขาเพราะคำถามข้อนั้น เทาไม่เคยคิดมาก่อนว่าแบคฮยอนจะบอกเขาและนั่นทำให้เขาสูญเสียตัวตนไป ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความโกรธที่ได้รู้ว่าแบคฮยอนเป็นสตาสเพราะว่าเขารู้มานานแล้วว่าพี่ชายทำอาชีพอะไร แต่เขากลัวนัยยะที่แฝงอยู่ในการบอกเล่า  เทาไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งที่แบคฮยอนพยายามจะสื่อและกลายเป็นคนขี้ขลาดโดยสมบูรณ์เพราะไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับพี่ชาย

     

                เจ้าหน้าที่ตัวเล็กมองน้องชายที่ยึดไหล่ของเขาเป็นที่หลบสายตา ภาพความไฮเปอร์ จอมโวยวายและเด็กขี้บ่นถูกแทนที่ด้วยความสงบอย่างที่แบคฮยอนไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อรอจนแน่ใจว่าเด็กหนุ่มยังคงนิ่งเงียบ แบคฮยอนจึงเลือกที่จะพูดต่อ อย่างที่เทาคงรู้ว่าการทำหน้าที่นี้มันไม่ปลอดภัย พี่กำลังคิดที่จะพาป้านาบีมาอยู่ที่โซลด้วย พี่จะบอกป้าว่าพี่ทำงานอะไรเหมือนอย่างที่บอกกับเรา

     

                คนฉลาดอย่างเทารู้ดีว่าจุดที่ลึกที่สุดในโลกคือก้นสมุทรมาเรียน่า แต่ตอนนี้เขาได้ค้นพบสิ่งที่ลึกกว่านั้น ความคิดของแบคฮยอนทั้งลึก ทั้งซับซ้อนจนยากที่เขาจะหาจุดสิ้นสุด เทาเคยคิดว่าตัวเองมีไหวพริบ มีแผนและมีความเก่งกาจเหนือคนอื่น แต่เขาคิดผิดมาโดยตลอด คนตัวเล็กต่างหากที่เก่งมากกว่าเขา เก่งโดยปราศจากเล่ห์เหลี่ยม ปราศจากความอยากเอาชนะ แบคฮยอนกำลังใช้ความผูกพันเจาะเปลือกนอกของเขาให้ค่อยๆปริออก กะเทาะทุกคำโกหกให้แหลกละเอียด และสุดท้าย เขาก็จะเหลือเพียงแค่ความเปลือยเปล่าอันน่าสะอิดสะเอียน เพราะมันเป็นความเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยความผิดบาป ความชั่วช้าและความต่ำทราม

     

                จื่อเทาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่เขาก็ไม่อาจสู้กับแรงของความผูกพันจากอีกฝ่ายได้

     

                วินาทีนั้นเองที่เทาเพิ่งรู้สำนึก ว่าเขาได้ดูถูกความผูกพันระหว่างเขาและแบคฮยอนมานานแค่ไหน

                ทำไม...พี่ไม่ลาออกในเมื่อพี่รู้ว่ามันไม่ปลอดภัย?

     

                เด็กหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อนว่าการเปล่งเสียงจะยากลำบากเท่านี้ เทารู้ว่าแบคฮยอนมีจุดประสงค์อื่นนอกจากการบอกว่าเป็นสตาส กระนั้นเขาก็ทำเพียงเฝ้ารอให้แบคฮยอนเอ่ยปาก

     

                มีสองอย่างที่จะทำให้พี่เลิกเป็นสตาส คือพี่ถูกไล่ออก

     

                “…”

     

              กับพี่ตาย

     

    ราวกับคำพูดของแบคฮยอนได้เปลี่ยนน้ำลายที่เทากลืนลงคอให้กลายเป็นน้ำกรด เด็กหนุ่มปล่อยให้แบคฮยอนลูบหัวของตัวเองและไร้การขัดขืนอย่างในคราวแรกเมื่อแบคฮยอนลูบผ่านกกหูของเขาที่ซึ่งมีแผลจากรอยข่วน นิ้วเรียวของพี่ชายลูบรอยแผลนั้นอย่างเบามือ และเพียงแค่กะพริบตาแบคฮยอนก็ผละมือออกไป จื่อเทาหลับตาลงอย่างยอมรับในสิ่งที่เขาเลือก แต่เสียงอันคุ้นเคยกลับฉุดให้เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง

     

    เทารู้จักเรื่องตลกร้ายไหม? แบคฮยอนเกริ่นนำ แต่เด็กหนุ่มไม่ได้ขานรับ กระนั้นแบคฮยอนก็ยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ พี่เคยเห็นคดีที่เป็นเรื่องตลกร้ายมานับไม่ถ้วนเลย อย่างตอนที่ผู้ชายคนหนึ่งขับรถชนคน เขารีบเหยียบเบรกและจมอยู่ในการตัดสินใจว่าจะทำยังไงต่อไปดี สุดท้ายฝ่ายความชั่วก็เอาชนะไปได้เพราะเขาเลือกที่จะถอยรถไปเหยียบเหยื่อซ้ำๆ แน่นอนว่าการทำให้ตายแล้วขับหนีน่ะมันง่ายกว่าการรับผิดชอบ แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาลงมาดูทั้งๆที่เหยื่อตายไปแล้ว แล้วเรื่องตลกร้ายก็เกิดขึ้น เพราะว่าคนที่เขาชนน่ะเป็นแม่ของเขาเอง

     

    “…”

     

    หรืออีกคดีหนึ่ง เป็นคดีแก๊งลักพาตัวผู้หญิง พวกนั้นจับผู้หญิงนับสิบมาไว้ในที่กบดานเพื่อรอส่งให้ลูกค้า แต่ผู้หญิงอยู่คนหนึ่งกลับอาละวาดอย่างหนัก ความดื้อดึงทำให้เธอโดนตัดนิ้ว ตัดลิ้น ตัดขา เพื่อส่งไปเป็นขอทานแทนที่จะเป็นโสเภณี แต่ก่อนที่จะโดนทรมานเธอถูกข่มขืนด้วย บาดแผลทั้งทางกายและทางใจทำให้เธอรับไม่ไหวและตายไปในที่สุด หัวหน้าแก๊งนี้ไม่เคยสนใจว่าลูกน้องของตัวเองจะทำอะไร จนกระทั่งวันที่เขาเห็นหน้าผู้หญิงโชคร้ายคนนี้ชัดๆ มันแย่ตรงที่เธอคือคนรักของเขาซึ่งกำลังท้องอ่อนๆได้สองเดือน ภาพความฝันที่เคยมีเหลือแค่ซากศพของเธอแล้วก็ชีวิตของเขาที่ต้องมาใช้ในคุก

     

    หวงจื่อเทาอยากให้แบคฮยอนหยุดเล่าเรื่องหดหู่พวกนี้สักที แต่คล้ายว่าแบคฮยอนมีเรื่องที่อยากเล่ามากมายเหลือเกิน เขาไม่เว้นช่องว่างให้น้องชายได้แทรกเรื่องตลกร้ายเหล่านี้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะพูดต่อไป

     

    คดีสุดท้าย เกี่ยวกับพี่น้องที่ไว้ใจกันและสนิทกันจนไม่เคยมีใครคิดว่าความไว้ใจนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขา จบแล้วล่ะ มันเป็นเรื่องสั้นที่พี่รู้สึกว่าแม่งโคตรจะตลกร้ายเลย

     

    ตอนนั้นเองที่ความกลัวคุกคามเด็กหนุ่มอย่างถึงแก่น เส้นประสาทของเขาเต้นตุบคล้ายใกล้ระเบิด เขากลัวเหลือเกินว่าแบคฮยอนจะนำอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดมาฆ่าเขา เด็กหนุ่มภาวนาให้แบคฮยอนมาหาเขาในฐานะพี่ชายที่แสนน่ารักไม่ใช่มือสังหาร แต่เมื่อจื่อเทาตัดสินใจเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับคนตัวเล็กกว่า วินาทีนั้นเขารับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เขากลัวที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว

     

                แบคฮยอนพกอาวุธมาเต็มมือ แสงของมันสะท้อนไปทั่วทุกที่ แม้แต่ประกายในดวงตาเรียวของคนตัวเล็กก็ยังมีอาวุธอยู่ในนั้น จื่อเทารู้สึกว่ามีบางอย่างบาดลึก จ้วงแทง และกัดกร่อนเขาจนรู้สึกชาไปทั้งร่าง มันทำให้เกิดแผลเหวอะหวะที่ไม่มีวันหาย และต่อให้พยายามหาที่กำบังเขาก็ไม่อาจหนีอาวุธร้ายแรงนี้ได้ เพราะอาวุธชนิดนี้มันมีชื่อว่า...ความจริง

     

    คนที่ทำร้ายพี่น่ะเขาใจร้ายมากเลยนะ เขาฆ่าเพื่อนสนิทของพี่ ฆ่าเพื่อนร่วมงานของพี่ ทั้งๆที่พี่คิดว่าพี่จะต้องเกลียดเขาให้สาสมกับชีวิตของทุกคนที่สูญเสียไป แต่พี่กลับเกลียดเขาไม่ลง

     

    “…”

     

    สิ่งที่พี่เกลียดคือตัวพี่เองที่เป็นส่วนหนึ่งให้เขาเป็นแบบนี้ พี่เกลียดตัวเองที่ไม่มีค่าพอจะให้เขาบอกความจริง ถ้าพี่รู้สักนิดว่าเขามีปัญหาอะไร พี่จะไม่ทิ้งเขา พี่จะไม่ปล่อยให้เขาทำเรื่องแบบนั้น แต่เป็นเพราะพี่แย่เองที่ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นอะไร พี่แย่เอง--”

     

    พี่แบคฮยอนพอเถอะ...พอเถอะครับ วินาทีนั้นเองที่จื่อเทาไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป เขายันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าแบคฮยอนมากอดเอาไว้ อาการปวดหัวจากพิษไข้แล่นจี๊ดไปทั่วจนต้องเบ้หน้า แต่ความเจ็บปวดทั้งหมดถูกกลบไปเพราะแบคฮยอน เทาพยายามอย่างหนักที่จะไม่ร้องไห้ แต่ความรู้สึกจากพี่ชายกลับพุ่งมากระแทกใจเขา มันทั้งหนักหน่วงและไม่ปราณีราวกับมีนักมวยฝีมือดีพุ่งหมัดฮุกตรงมาที่เขา

     

    แบคฮยอนรู้ ในสิ่งที่เขาไม่อยากให้รู้

     

     

    พี่จะไม่ใช้ในสิทธ์ในการเป็นสตาสไล่ตามจับเขา แต่พี่จะบอกเขาในฐานะของพี่ชาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...

     

    เด็กหนุ่มอยากให้ตัวเองหูหนวกหรือจะด้วยวิธีใดก็ได้ที่จะทำให้เขาไม่ต้องได้ยินคำพูดของแบคฮยอนในตอนนี้ แต่มันก็เป็นได้แค่ความคิด ในเมื่อความเป็นจริงเขาได้ยินทุกประโยคอย่างชัดเจน เทาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเสียงแหบหวานที่เขาชอบฟังจะบาดหัวใจของเขาให้เจ็บปวดขนาดนี้ เสียงนั้นกรีดลงบนใจเขา กระซวกเขาให้ทรมานเจียนขาดใจ แต่ประโยคต่อมากลับทำให้ความรู้สึกของเขาผันเปลี่ยน คล้ายกับการพลิกหน้าหนังสือ ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไปเป็นอีกด้านเช่นนั้น

               

    พี่จะอยู่ข้างเขาเสมอ

     

    มันผิดจากที่เขาคิดไว้ แบคฮยอนไม่ได้พูดอะไรอย่างที่หวงจื่อเทาจินตนาการสักประโยคเดียว ขอบตาของเด็กหนุ่มอุ่นร้อนอย่างที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษไข้หรือเป็นเพราะเขากำลังจะร้องไห้ ต่างจากแบคฮยอนที่ยังคงซ่อนความรู้สึกไว้ใต้ใบหน้าและมีเพียงแค่ความมุ่งมั่น ความเชื่อใจและความบริสุทธ์ใจ ราวกับว่าห้องนี้อุ่นขึ้นเพราะความหวังดีของพี่ชายนั้นกระจายไปในชั้นบรรยากาศ จื่อเทาผละอ้อมกอดออกจากแบคฮยอน พวกเขาสบตากัน เด็กหนุ่มเห็นเรื่องราวต่างๆของตัวเองและพี่ชายสะท้อนอยู่ในดวงตาเรียวคู่นั้น ตอนนั้นเองที่เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือสืบสวน เขาหยิบมันออกมาเล่มหนึ่งแล้วตัดสินใจนำมาให้กับแบคฮยอน

     

                คนตัวเล็กมองสิ่งที่อยู่ในมือ มันไม่ใช่หนังสืออย่างที่คิดไว้แต่กลับเป็นสมุดเล่มบาง หน้าปกสีน้ำตาลเรียบๆนั้นไม่มีชื่อเรื่อง มันมีขนาดเท่ากับสมุดฉีกเล่มเล็กที่เก็บไว้ในกระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์ได้

     

                ผมอยากให้พี่อ่านมัน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงแหบแห้งของคนป่วยฟังดูเว้าวอนเหลือเกิน แม้แบคฮยอนจะไม่เข้าใจนัก แต่เขาก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ ผมขอแค่อย่างเดียว ถ้าพี่อ่านมันแล้ว อย่า...อย่าเกลียดผมเลยนะ

     

                แบคฮยอนเคยเห็นเวลาที่หวงจื่อเทาน่าสงสารมากที่สุดมาแล้วนั่นก็คือตอนที่เทาทะเลาะกับผู้เป็นพ่อ แต่ความน่าสงสารเหล่านั้นก็ยังเทียบไม่ได้ในเวลานี้ หากเทาจะพูดอะไรสักอย่างให้แบคฮยอนได้ฟัง เขาก็คงจะบอกว่าเขารักแบคฮยอน แต่มันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเรื่องราวข้างหน้าจะเป็นยังไง แผนที่เขาเตรียมเอาไว้พังหมดแล้วอย่างนั้นหรือ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีโอกาสได้เจอกับแบคฮยอนอีกหรือไม่เพราะบางทีพวกสตาสอาจจะมาจับเขาในเย็นนี้เลยก็ได้ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าแบคฮยอนจะอ่านเนื้อความในสมุดเล่มนั้นเร็วแค่ไหน

     

                หวงจื่อเทาไม่ปฏิเสธสักประเด็นเดียว เขารู้ว่าสิ่งที่แบคฮยอนเข้าใจมันถูกต้องแล้ว แม้ว่าพี่ชายของเขาจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่เทาก็รู้ดีว่าแบคฮยอนรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกับการดิ้นรนเอาตัวรอดในทะเลของความจริง สิ่งที่จื่อเทาเลือกทำจึงเป็นแค่การให้สมุดเล่มนั้นและบอกรักแบคฮยอนผ่านทางสายตา

     

                ตอนที่ทั้งสองยังเป็นเด็ก เทาจำได้ว่าเขาทำแจกันของป้านาบีแตกแต่คนที่โดนตีกลับเป็นแบคฮยอน พี่ชายอยากให้เขาจำความรู้สึกของการถูกปกป้องเพื่อให้เขาใช้ความรู้สึกนั้นไปปกป้องคนอื่น เมื่อเด็กหนุ่มได้ลองทบทวน เขาก็ได้พบว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาแบคฮยอนนั้นรับโทษแทนเขานับครั้งไม่ถ้วน

     

                แล้วเขาล่ะ เคยทำอะไรดีๆให้แบคฮยอนบ้างไหม? เคยทำให้แบคฮยอนภูมิใจสักครั้งหรือเปล่า?

     

                พี่จะกลับเลยไหม? ให้ผมไปส่งที่ป้ายรถเมล์นะ

     

                ไม่ใช่ประโยคคำถามแต่เป็นประโยคขอร้อง เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองจะกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกนานแค่ไหน เขาไม่อยากให้แบคฮยอนเห็นฉากน่าสมเพชและเขาก็ไม่อยากให้แบคฮยอนพูดปลอบใจ เพราะคำปลอบใจรังแต่จะทำให้เขาร้องไห้หนักกว่าเดิม

     

                 ด้วยเหตุนั้นสองพี่น้องจึงมายืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ในตอนนี้ สีหน้าของเทาซีดเซียวจนแบคฮยอนอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ว่าน้องชายจะเป็นลม กระนั้นคนตัวเล็กก็ไม่ได้พูดอะไรและทำเพียงแค่จับไหล่เทาเอาไว้ พวกเขาปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้น

     

                รถเมล์คันที่แบคฮยอนต้องไปนั้นแล่นมาแล้ว จื่อเทาหันมามองพี่ชายเป็นครั้งสุดท้าย คำว่าไว้ไปเที่ยวด้วยกันที่แบคฮยอนได้พูดไว้คงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นอีกแล้ว วินาทีนั้นเองที่เด็กหนุ่มซุกใบหน้าลงกับหน้าอกของแบคฮยอน ตอนเด็กๆที่ตรงนี้เป็นที่อบอุ่นที่สุดที่เขาใช้พักพิง ปัจจุบันมันก็ยังคงเป็นแบบนั้น แบคฮยอนยังคงเป็นบ้านที่แท้จริงของเขา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ข้อเท็จจริงนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

     

                ถึงแม้หวงจื่อเทาจะไม่ใช่คนดี แต่เขาก็เป็นมนุษย์ เขามีหัวใจ มีความรู้สึก มีความรัก มีความต้องการ มีความเสียใจ มีในทุกๆอย่างที่มนุษย์พึงจะมี

     

                แบคฮยอนเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีเหตุผล แต่บางทีเหตุผลเหล่านั้นอาจจะขัดแย้งกับธรรมชาติ กับกฎหมาย กับศีลธรรม และกับบรรทัดฐานของคนอื่น แต่แบคฮยอนก็ยังคงเชื่อ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ล้วนมีเหตุที่ก่อให้เกิดผลทั้งสิ้น

     

              ไม่เว้นแม้แต่การกระทำของเอส...ผู้ชายที่แสนร้ายกาจคนนั้น

     

    ดูแลตัวเองดีๆนะเทา เรารู้ใช่ไหมว่าพี่รักเรานะ

     

                เทาพยักหน้ารับอย่างช้าๆ แม้คำว่าคำๆนั้นจะทำให้เขาเจ็บแปลบแต่เด็กหนุ่มก็ชินชาเสียแล้ว เพราะคำว่ารักที่มาจากปากของแบคฮยอนไม่เคยมีความหมายตรงกับคำว่ารักของเขาเลยสักครั้ง

     

                แบคฮยอน

     

    ตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นและมืออุ่นๆของใครบางคนจับก็มาที่ข้อมือเล็ก เทาผละออกจากแผ่นอกของพี่ชายในขณะที่แบคฮยอนนั้นเบิกตากว้าง เพราะคนที่เขาไม่คาดคิดว่าจะพบกลับมายืนอยู่ตรงหน้า

     

                ช...ชานยอล

     

    สีหน้าตกใจของแบคฮยอนทำให้เทาเข้าใจว่าการมาพบกันของพวกเขานั้นชานยอลไม่รับรู้มาก่อน เด็กหนุ่มพยายามอย่างหนักที่จะไม่พุ่งเข้าใส่ร่างสูงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยให้ความไว้ใจจนยกตำแหน่งมือขวาให้ หากต้องเล่าย้อนกลับไป ก็คงจะต้องเริ่มตรงที่เทารู้ว่าปาร์คชานยอลทรยศได้เพราะเขารู้สึกถึงความผิดปกติของจอแอลซีดีที่มีไว้เพื่อติดต่อกับไนท์แมร์ นั่นเองที่ทำให้เขาพบว่าระบบการติดต่อนั้นถูกแทรกแซงด้วยโปรแกรมอีกชนิดหนึ่งซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นคนติดตั้งมันไว้ เพราะในไนท์แมร์นั้นไม่มีใครฉลาดเท่าปาร์คชานยอลอีกแล้ว

     

    แม้ว่าหนอนบ่อนไส้ที่อยู่ในหน่วยจะมีเรื่องขุ่นเคืองใจต่อหัวหน้าของไนท์แมร์แต่ก็ยังทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ทุกๆข้อมูลของปาร์คชานยอลถูกส่งมาให้เด็กหนุ่ม ราวกับว่าไฟของความโกรธแค้นนั้นถูกเติมเชื้อเพลิงให้ลุกโชนมากไปอีกเมื่อจื่อเทาได้รู้ว่าชานยอลเป็นเจ้าหน้าที่ของสตาส มันทำให้เขาหัวเสียและต้องวางแผนทั้งหมดอีกครั้ง เขาร้อนใจและกลัวไปในคราวเดียวกันว่าชานยอลจะได้ข้อมูลของไนท์แมร์ไปได้มากแค่ไหน ยิ่งสมาชิกของไนท์แมร์ที่ลดลงเรื่อยๆก็ยิ่งทำให้แต่ละวันของเทาผ่านไปอย่างเป็นกังวล

     

    เป็นครั้งแรกที่ปาร์คชานยอลและหวงจื่อเทาได้สบตากัน ในตอนแรกนั้นเทาคิดว่าจะส่งสายตาท้าทายอย่างไม่ปิดบัง แต่ความคิดที่แล่นเข้ามาภายในหัวทำให้เขายังคงรักษาสีหน้าของคนป่วยเอาไว้ ถ้าเขาแสดงท่าทีก้าวราว คนฉลาดและช่างสังเกตอย่างชานยอลคงจับผิดเขาเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกใช้หน้ากากของหวงจื่อเทา เด็กหนุ่มผู้หัวอ่อนและนอบน้อมมาสนทนากับร่างสูงตรงหน้า

     

    นี่เพื่อนพี่แบคฮยอนเหรอครับ?” 

     

                “เปล่า ฉันไม่ได้เป็นเพื่อนของแบคฮยอน

     

    “…”

     

    แต่ฉันเป็นคนรัก

     

    อาจจะเป็นสามวินาทีหรือนานกว่านั้นที่ชานยอลมองน้องชายของคนรักอย่างเรียบนิ่ง แต่มันนานคล้ายนิรันดร์ในความคิดของเด็กหนุ่ม คำว่าคนรักกระเด้งกระดอนอยู่ในโสตประสาทของเขา จื่อเทาคิดอะไรไม่ออกและยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแม้ว่าชานยอลจะลากแบคฮยอนให้ไปขึ้นออดี้สีดำที่จอดอยู่จนกระทั่งมันแล่นหายไปจากกรอบสายตา

     

    เมื่อมีอะไรแทรกเข้ามา ทุกๆก็อย่างจะห่างออกไป เทารู้ซึ้งถึงทฤษฎีนี้เพราะเขาได้เรียนรู้ไปเมื่อครู่ ว่าเมื่อมีบางอย่างแทรกกลาง ระยะห่างนั้นจะเพิ่มมากแค่ไหน

     

                เด็กหนุ่มทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ตรงที่เดิม เก็บทุกความโกรธ ทุกความผิดหวังไว้ในหัวใจและปล่อยให้คนที่เป็นความรักเพียงหนึ่งเดียวของเขาหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา

     

    .....

     

                หลังจากที่ถูกชานยอลบ่นยกใหญ่เรื่องที่ออกไปพบกับหวงจื่อเทา ผมก็ได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้องเพราะไม่กล้าที่จะคุยกับเขา ผมยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้ชานยอลฟัง แต่ถึงกระนั้นผมก็รู้ดีว่าชานยอลไม่ใช่คนประเภทชอบคาดคั้น (ยกเว้นตอนที่เขาสอบปากคำผู้ต้องหาไว้ก็แล้วกัน) ชานยอลคงรอให้ผมบอกถึงเรื่องราวทั้งหมดและนั่นเองที่ทำให้เกิดสีหม่นๆระหว่างเรา อารมณ์ของชานยอลคาดเดายากไม่ต่างอะไรกับลมที่พัดแรงอยู่ข้างนอก ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเคลื่อนตัวไปในทิศทางไหนและไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ลมจะเปลี่ยนเป็นพายุ

     

                ภาพที่ชานยอลปิดประตูและหันหลังให้ผมยังคงเด่นชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เขาอาจจะคิดว่าผมไม่ฟังคำขอร้องและคล้ายว่าจะเมินความเป็นห่วงของเขาด้วย ยอมรับว่าผมผิดที่ออกไปโดยไม่บอกให้เขารู้ก่อนแต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของเขา ราวกับว่าผมกำลังอมของร้อนเอาไว้จนเต็มปาก ทำไม่ได้ทั้งคายทิ้งและกลืนลงคอ มันเป็นเรื่องน่าอึดอัดที่ผมไม่สามารถเล่าอะไรได้และต้องเก็บทุกความรู้สึกแย่ๆไว้คนเดียว แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมควรจะทำมากที่สุดในเวลานี้

     

                สมุดสีน้ำตาลเล่มบางที่ไม่ปรากฏแม้แต่ชื่อเรื่องดึงสายตาของผมเอาไว้นานแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกลัวหรืออะไรกันแน่ที่ทำให้ผมยังไม่กล้าเปิดอ่าน สมุดเล่มนั้นทำให้ผมนึกถึงกล่องแพนโดร่า กล่องที่รวบรวมทุกๆความชั่วร้าย ความผิดหวังและหายนะเอาไว้ ผมภาวนาว่าสิ่งที่น้องชายให้มาจะไม่เป็นแบบนั้น แต่ลางสังหรณ์กลับกระซิบบอก...ว่าคำภาวนาไม่มีวันเป็นจริง

     

                ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

     

                เสียงเคาะประตูทำให้ผมที่ยังจมอยู่ในความคิดสะดุ้งสุดตัว ผมพยายามปัดความรู้สึกแย่ๆออกไปก่อนคิดไปถึงคนที่ยืนรออยู่ ซึ่งก็คงจะไม่ใช่ใครนอกจากชานยอล แม้จะแอบบ่นในใจว่าเขาจะเคาะเสียงดังทำไมแต่ก็จำต้องรีบไปเปิดรับเพราะผมไม่อยากให้สีหม่นๆระหว่างเรานั้นเข้มไปมากกว่านี้

     

              กินข้าว

     

              ให้ตายเถอะ...

     

    ไอ้สีหม่นๆนั่นไม่ได้จางหายไปไหนแต่กลับเข้มขึ้นมาอีกสามเฉดเพราะเสียงเรียบนิ่งบวกกลับกลิ่นบุหรี่ที่คละคลุ้งออกมาจากคนตัวสูง ผมเบ้หน้าเพราะสูดเอากลิ่นเฝื่อนๆเข้าไปเต็มปอด ชานยอลมองผมแค่ครู่เดียวก่อนจะหันหลังแล้วเดินนำไปที่โต๊ะกินข้าว ไม่มีการกวนประสาทหรือการล้อเลียนอย่างในทุกๆวันและนั่นทำให้ผมขมวดคิ้ว นี่เขามาชวนผมไปกินข้าวหรือจะมาพาผมไปฆ่ากันแน่ ทำไมต้องทำหน้านิ่งด้วยวะ!

     

    ไม่มีบทสนทนาสักประโยคเดียวในมื้ออาหาร การกินข้าวด้วยกันไม่เคยเป็นเรื่องน่าอึดอัดเท่านี้มาก่อน ผมมองกับข้าวตรงหน้าไม่วางตาทั้งๆที่ในใจมีแต่เรื่องของเขา ผมลอบมองคนตัวสูงที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขาไม่ชำเลืองมองผมกลับอย่างที่คาดเอาไว้ แม้กระทั่งเศษเสี้ยวของความสนใจชานยอลยังไม่มีให้ผมเลยด้วยซ้ำ ผมอยากจะถามเขาว่าเหนื่อยหรือเปล่า การประชุมในวันนี้เป็นยังไงบ้าง อยากจะให้กำลังใจเขาเพื่อไม่ให้เครียด อยากทำหน้าที่คนรักที่ดี แต่ทุกอย่างที่คิดไว้ก็ต้องมาพังลงเพียงเพราะท่าทีของชานยอล

     

                ผมรู้ว่าชานยอลไม่ชอบใจที่ผมออกไปพบกับน้อง แต่ผมก็รู้อีกว่าเขาไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล ความย้อนแย้งระหว่างนิสัยกับสิ่งที่เขาแสดงออกกำลังทำให้ผมคิดหนัก หรือว่าชานยอลจะโกรธที่ผมไม่ยอมเล่าให้ฟังถึงเหตุผลที่ผมออกไปข้างนอก แต่นั่นเราก็คุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมยังไม่พร้อมที่จะเล่าในตอนนี้ หรือว่าผมรู้เรื่องอยู่ฝ่ายเดียว? แต่เขาก็ดูเข้าใจดีไม่ใช่เหรอ? ผมเคยเห็นความนิ่งเฉยของชานยอลมานับครั้งไม่ถ้วน แต่มันก็ไม่ใช่ความเรียบนิ่งในรูปแบบที่มีคำว่างอนลอยเต็มไปหมด วินาทีนั้นเองที่ผมเริ่มกังวลและคิดว่าควรจะทำยังไงดี

     

                กับข้าวไม่อร่อยรึไง?

     

                เป็นรอบที่สองของวันที่คนตัวเล็กสะดุ้งเพราะเสียงทุ้มต่ำ แบคฮยอนส่ายหน้าเป็นการตอบคำถามก่อนที่จะแสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาสนใจแต่อาหาร ชานยอลสังเกตมานานแล้วว่าคนรักของเขาเอาแต่เขี่ยข้าวในจานคล้ายมีเรื่องให้คิด เขาค่อนข้างมั่นใจว่าหนึ่งในนั้นมีเรื่องของเขาด้วย คนตัวสูงไม่ได้โกรธอย่างที่แบคฮยอนเข้าใจแต่เขาแค่หงุดหงิด ชานยอลพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เผลอพูดจาไม่ดีต่อคนตัวเล็กเพราะรู้ว่าแบคฮยอนเองกำลังเผชิญกับปัญหาบางอย่างซึ่งแน่นอนว่าคงเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มชาวจีนอย่างหวงจื่อเทา เขาอยากคุยกับแบคฮยอนเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมด แต่ท่าทีบ่ายเบี่ยงของคนตัวเล็กก็ทำให้เขาไม่อยากจะซักถามอะไรอีก วินาทีนั้นเองที่แบคฮยอนรวบรวมความกล้าเพื่อชวนคนตัวสูงคุย แต่ชานยอลกลับหยิบจานของตัวเองไปเก็บที่ซิงค์แล้วหนีหายเข้าไปในห้อง ทิ้งให้แบคฮยอนนั่งหงอย มองตามตาปริบๆอย่างคนที่ไม่เข้าใจนัก

     

                ความเงียบแผ่กระจายทั่วบ้านหลังเล็กมาหลายชั่วโมงแล้ว พระอาทิตย์บอกลาท้องฟ้าและถูกแทนที่ด้วยดวงจันทร์ แม้ว่าข้างนอกจะดำมืดไร้ซึ่งแสงของดวงดาว แต่ภายในห้องนอนของปาร์คชานยอลยังคงสว่างไปด้วยแสงไฟ ร่างสูงนั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊คที่ปรากฏรูปอพาร์ทเม้นท์ของอิมแจบอม สถานที่ที่เขาต้องไปค้นหาไฟล์สำคัญในวันพรุ่งนี้ เขาวางแผนไว้แล้วว่าเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งจะมาร่วมค้นหาไฟล์กับเขาพร้อมกับจับกุมอิมแจบอม ส่วนอีกทีมนั้นไปกับอี้ฝานเพื่อจับกุมคิมอูบิน ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้ทั้งหลักฐานและแผนการต่างๆไนท์แมร์จะถูกลดจำนวนสมาชิกอีกครั้งและชานยอลรู้สึกพอใจที่จะให้เรื่องราวดำเนินไปเช่นนั้น

     

                ควันสีขาวขุ่นถูกพ่นออกจากจมูกโด่ง ไม่รู้ว่าวันนี้เขาอัดนิโคตินไปเท่าไหร่แล้ว ตอนนั้นเองที่เขาดับบุหรี่ลงในที่เขี่ยสีดำแล้วสนใจกับไฟล์ข้อมูลที่เด้งเข้ามาในอีเมลล์ของเขา เป็นอู๋อี้ฝานที่ทำการส่งประวัติเชิงลึกของผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอย่างหวงจื่อเทามาให้ รูปของเด็กหนุ่มทำให้ชานยอลเผลอคิดถึงใครอีกคน ใบหน้าจิ้มลิ้มแทรกเข้ามาในห้วงความคิดของเขาด้วยความเร็วชนิดที่ทำให้ใจสั่น ร่างสูงชะงักก่อนจะนึกไปถึงบยอนแบคฮยอน คนที่เขาเป็นห่วงแทบบ้าแต่คนตัวเล็กนั้นกลับรั้นเสียยิ่งกว่าใคร ชานยอลคิดว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะสอนให้แบคฮยอนได้เรียนรู้ถึงผลที่เกิดจากการดื้อดึง แต่เขาอาจจะคิดผิด เพราะแบคฮยอนยังทำอะไรตามใจตัวเองเสมอ ชานยอลเข้าใจว่าแบคฮยอนคงมีเหตุผลในการดื้อรั้น แต่เขาก็ไม่อาจห้ามความขุ่นเคืองในใจได้

     

                ปาร์คชานยอลเพิ่งได้เข้าใจว่าเป็นห่วงจนหงุดหงิดนั้นมันเป็นแบบนี้นี่เอง

     

                แต่ถึงกระนั้นความไม่พอใจก็ยังต้องยอมแพ้ให้กับความเป็นห่วงที่มีมากกว่าหลายเท่า ถ้าเปรียบเทียบกับการชักเย่อ ความหงุดหงิดก็คงแพ้ราบคาบและถูกกระชากจนยับเยิน ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางเหลือบมองนาฬิกา เขาเดาว่าตอนนี้แบคฮยอนคงนอนหลับไปแล้ว ชานยอลคิดว่าจะแอบเข้าไปดูอีกฝ่ายเสียหน่อยว่าหลับสบายดีหรือไม่ บางทีเขาอาจจะนอนที่ห้องของแบคฮยอนด้วยก็ได้ ชานยอลยอมรับว่าต่อให้กำลังขุ่นเคืองใจเขาก็ยังอยากนอนกอดแบคฮยอนมากกว่าอยู่ดี

     

                แต่ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออก ความแปลกใจของชานยอลก็ทะยานขึ้นสูงคล้ายการปล่อยจรวด คนที่เขาคิดว่าหลับไปแล้วกำลังยืนอยู่ตรงหน้า แบคฮยอนทำท่าเหมือนเจอผีเมื่อเห็นชานยอล คนตัวเล็กไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าชานยอลจะเปิดประตูออกมาแบบนี้ นั่นเองที่ทำให้เขาปั้นหน้าไม่ถูก ถึงแม้ว่าภายในใจจะรู้สึกดีไม่น้อยที่คนตัวเล็กมาหา แต่ร่างสูงกลับทำเพียงแค่เลิกคิ้วมองอย่างเรียบเฉยตามแบบฉบับของเจ้าตัว เขาพิงกายกับขอบประตูแล้วจ้องตากับแบคฮยอนหลายวินาทีจนในที่สุดก็เป็นแบคฮยอนเสียเองที่ทำลายความเงียบด้วยการแทรกตัวเข้ามาในห้อง

     

                แบคฮยอนก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเข้ามาในห้องของชานยอลทำไม สมองของเขาขาวโพลนยิ่งกว่าหิมะในฤดูหนาว จากทีแรกที่ตั้งใจว่าจะมาเคลียร์กับชานยอลเรื่องอาการปั้นปึ่งของคนตัวสูง กลายเป็นว่าเขาลืมทุกคำพูดที่เตรียมไว้เพียงแค่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นมองมา แบคฮยอนเกาแก้มอย่างที่ไม่รู้ว่าจะวางมือไม้ไว้ตรงไหน และเป็นตอนนั้นเองที่ความอดทนของชานยอลได้สิ้นสุดลง

     

                มีอะไร? เจ้าของใบหน้าเหล่อเหลาถามด้วยน้ำเสียงปกติแต่มันช่างฟังบีบคั้นเหลือเกินในความรู้สึกของอีกฝ่าย แบคฮยอนไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์นี้มาก่อน สถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าชานยอลอยู่ในอารมณ์ไหน คนตัวเล็กไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้นเรียกว่าการง้อได้หรือเปล่าเพราะเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าชานยอลโกรธเขาอยู่หรือไม่

     

                คือ... ให้ตายเถอะ ใครสอนให้ชานยอลกอดอกตอนที่คนอื่นกำลังพูด ไหนจะการขมวดคิ้วน้อยๆนั่นอีก ท่าทางแบบนั้นมันทำให้ความมั่นใจของแบคฮยอนที่มีน้อยอยู่แล้วหายวับไป ข...ขอนอนด้วย

     

                ร่างสูงเริ่มเข้าใจเมื่อเห็นอาการของคนรัก นี่คือวิธีทำให้เขาหายหงุดหงิดแบบเนียนๆอย่างนั้นหรือ?

     

                เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบสนอง แบคฮยอนจึงถือวิสาสะล้มตัวลงนอนที่เตียงกว้าง นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในห้องของชานยอลและเป็นตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าเตียงใหญ่นี้นิ่มกว่าเตียงของเขาเสียอีก กลิ่นแรกที่ลอยเข้าจมูกของคนตัวเล็กคือกลิ่นบุหรี่และกลิ่นต่อมาก็คือกลิ่นกายของชานยอลที่ยังกรุ่นอยู่ในผ้าห่ม

     

                ตอนนั้นเองที่ดวงตาเรียวมองไปยังโน้ตบุ๊คที่ชานยอลเปิดทิ้งเอาไว้ ใบหน้าคมของคนในรูปทำให้ใจของแบคฮยอนวูบไหว แต่แล้วภาพนั้นก็ถูกบังด้วยร่างกำยำของเจ้าของห้อง ชานยอลยืนอยู่ข้างเตียงก่อนที่จะโน้มตัวลงมาหาเขา

     

                แค่นอนเฉยๆ...หรือว่าทำอย่างอื่นด้วย?

     

                นอนเฉยๆ!” ตอบโดยไม่ผ่านกระบวนการคิดใดๆทั้งสิ้น ชานยอลกระตุกยิ้มโดยที่แบคยอนไม่ทันสังเกต ความหงุดหงิดที่สั่งสมมาหลายชั่วโมงถูกแทนที่ด้วยความพึงพอใจ อย่างน้อยแบคฮยอนก็ยังใส่ใจความรู้สึกของเขา แม้ว่าการกระทำของร่างเล็กจะเป็นไปอย่างเงอะๆงะๆ แต่ชานยอลก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจในการพยายามที่จะง้อเขา ผู้ซึ่งไม่ได้โกรธอะไรคนตัวเล็กเลย

     

                ร่างสูงตัดสินใจปิดไฟแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างคนรัก แบคฮยอนเป็นเหมือนตัวยาสักชนิดที่ทำให้ชานยอลหายเหนื่อย มันเป็นเรื่องน่าประหลาดที่ใครบางคนกลับมีฤทธิ์ทำให้เขามีความสุขได้เสียยิ่งกว่าการสูบกัญชา เปล่า ชานยอลไม่ได้สูบกัญชา แต่เขาต้องการเปรียบเทียบให้เห็นว่าแบคฮยอนนั้นมีค่ากับเขามากแค่ไหน ตอนนั้นเองที่คนข้างกายส่งแขนขาวๆมากอดเขาไว้อย่างกล้าๆกลัวๆและนั่นทำให้ชานยอลเอ็นดูคนรักของเขามากขึ้นไปอีก

     

                ขอโทษนะ... เสียงแผ่วเบานั้นชัดเจนในห้องอันเงียบเชียบ แบคฮยอนเอ่ยขอโทษทั้งๆที่ไม่รู้ว่าชานยอลโกรธตัวเองหรือไม่ แต่เขาคิดว่าความขุ่นเคืองที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่ดี การเปิดอกและพูดคำว่าขอโทษเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์นั้นยืนยาว ...ที่ยังเล่าอะไรให้ฟังไม่ได้

     

                แบคฮยอนได้ยินเสียงถอนหายใจของชานยอลและนั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนร่างกายกำลังลีบเล็กกว่าที่เป็นอยู่ อะไรที่ทำให้คนตัวสูงถอนหายใจแรงแบบนั้น หรือเป็นเพราะคำขอโทษของเขาจะไม่ได้ผล ด้วยความร้อนใจทำให้แบคฮยอนเขยิบเข้าไปชิดชานยอลมากขึ้น มันใกล้เสียจนคนตัวสูงได้กลิ่นครีมอาบน้ำที่ยังคงหอมกรุ่นและเป็นกลิ่นที่เขาชอบที่สุดเสมอ วันนี้แบคฮยอนไม่ได้ใส่เสื้อกล้ามอย่างในทุกๆวัน ซึ่งชานยอลอยากจะขอบคุณคนตัวเล็กที่ทำดีแล้ว

     

                ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง ไม่ได้ตั้งใจจะดื้อหรือว่าไม่ยอมฟังคำขอร้องของนายเลย ฉันมีเหตุผลจริงๆ เพียงแต่ยังไม่พร้อมที่จะเล่า หัวกลมๆนั่นซบลงมาที่แผ่นอกกว้าง แบคฮยอนเป็นผู้ชาย แน่นอนว่าเรื่องการง้อหรืออ้อนใครสักคนมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขา แต่ก็เป็นเพราะความเป็นธรรมชาติเหล่านี้ที่ทำให้ชานยอลหันหน้าเข้าหาคนตัวเล็ก พวกเขาสบตากันใต้แสงสลัวของดวงจันทร์ที่สะท้อนมาจากด้านนอก ยามเมื่อแบคฮยอนช้อนตาขึ้นมอง ตอนนั้นเองที่ชานยอลถูกการดึงดูดระดับร้ายแรงที่สุดเข้าเล่นงานหัวใจของเขาและเป็นเพราะอาการนิ่งไปของคนตัวสูงที่ทำให้แบคฮยอนเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

     

                นาย...เหนื่อยไหม? ถ้าเหนื่อยก็พักบ้าง เชื่อเถอะว่าฉันไม่อยากเห็นนายวูบไปเพราะโหมทำงานหนักหรอกนะ

     

                “…”

     

    ชานยอล ฟังอยู่หรือเปล่า?

     

                ไม่มีคำตอบนอกจากสัมผัสหยุ่นที่ประทับลงมาบนเรียวปากเล็ก แบคฮยอนกำลังทำให้ชานยอลกลายเป็นคนนิสัยไม่ดี ทั้งๆที่ร่างเล็กกำลังพยายามพูด พยายามแสดงความใส่ใจที่มีต่อเขาแต่ชานยอลกลับไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว อย่างที่บอกว่าเขาไม่ได้โกรธแบคฮยอน มันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่แบคฮยอนจะต้องง้อเขาแต่คนตัวเล็กก็ยังทำ ซึ่งนั่นเพิ่มความเอ็นดูของชานยอลให้มากขึ้นไปอีก

     

                ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันเข้าใจ

     

                เสียงทุ้มนั้นกระซิบชิดริมฝีปากบาง ชานยอลจูบหนักๆก่อนจะผละออก เขากังวลว่าจะมีบางอย่างถูกปลุกขึ้นมาและนั่นคงไม่ดีต่อแบคฮยอนคนที่เพิ่งแสดงออกอย่างเปิดเผยว่ากลัวการทำรักมากแค่ไหน แต่คนตัวเล็กที่ส่งสายตาไม่ประสีประสามานั้นทำให้ชานยอลอดไม่ได้ที่จะครอบครองกลีบปากนิ่มเอาไว้อีกครั้ง ชานยอลดูดดึงและขบเม้มราวกับว่าปากของแบคฮยอนคือของอร่อย กลิ่นบุหรี่ที่อยู่ในลมหายใจของคนตัวสูงยิ่งเพิ่มความดิบเถื่อนของรสจูบให้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆและวินาทีที่แบคฮยอนตัดสินใจจูบตอบคนรักนั่นคือวินาทีที่ชานยอลเปลี่ยนจากการนอนข้างๆมาเป็นการคร่อมร่างเล็กเอาไว้

     

                แบคฮยอนไม่ได้ตกใจกับท่าทางล่อแหลมเพราะชานยอลเคยคร่อมแล้วจูบเขาแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่คนตัวเล็กไม่รู้ตัวเลยว่าครั้งนี้มันแตกต่างจากครั้งอื่นๆเพราะมีบางอย่างที่ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟกำลังลุกโชน มันโหมกระพืออย่างบ้าคลั่ง จนสุดท้าย ความเร่าร้อนนั้นก็ถูกส่งไปยังแบคฮยอนด้วยเมื่อริมฝีปากของชานยอลกำลังทำหน้าที่เป็นนักเดินทาง เขาใช้เครื่องมืออันอ่อนหวานแตะไปที่เรียวปากสีระเรื่อและแบคฮยอนยอมเผยอกลีบปากให้ชานยอลสำรวจอย่างเต็มใจ การต่อสู้ของส่วนที่อ่อนนุ่มที่สุดในร่างกายเกิดขึ้นเมื่อชานยอลแตะลิ้นของตัวเองลงบนลิ้นของแบคฮยอน มันฟาดฟันกันอย่างที่ไม่มีใครยอมใคร หากดาบของนักรบคืออาวุธที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามนั้นขาดใจ ลิ้นของชานยอลเองก็คงไม่ต่าง แบคฮยอนหอบหายใจถี่เมื่อคนตัวสูงผละริมฝีปากออกไป ปกติแล้วการสำรวจจะสิ้นสุดลงตรงนี้แต่ชานยอลกำลังทำตัวเป็นนักเดินทางหัวรั้น เขาพรมริมฝีปากไปที่จุดเล็กๆน่ารักเหนือเรียวปากของแบคฮยอน ก่อนจะพรมไปที่แก้มนุ่มและไต่ขึ้นไปจุมพิตเบาๆที่สันจมูกโด่ง

     

                มีคำกล่าวที่ว่า ชีวิตนั้นคือการเดินทาง ชานยอลคิดว่าเขาคงจะเป็นผู้สอนให้แบคฮยอนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้

     

                พ...พอได้แล้ว

     

                ร่างเล็กเอ่ยห้ามเมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะมากกว่าที่เคยเป็น แต่การปรามกลับเหมือนเป็นอะไรสักอย่างที่ทำให้ชานยอลรู้สึกว่าแบคฮยอนกำลังเชิญชวนเขา คนตัวเล็กไม่รู้หรือไงว่าการใช้เสียงกระเส่าแบบนั้นมันมีความหมายว่าให้ทำต่อ ทำเร็วๆและทำเดี๋ยวนี้

     

                โอเค ชานยอลรู้ว่าเขากำลังคิดไปเอง แต่สัญชาตญาณดิบบอกให้เขาคิดแบบนั้น และเขาก็เลือกที่จะเชื่อมันเสียด้วย

     

     

     

    CUT

    (ลิงค์อยู่ที่ไบโอในทวิตเตอร์ รหัสคือนามปากกาเราเอง เป็นภาษาอังกฤษตัวเล็ก 6)


                



    แบคฮยอนตื่นขึ้นกลางดึกพร้อมกับความไม่สบายตัว เขารู้สึกเหนียวเหนอะและต้องการจะไปอาบน้ำเสียเหลือเกิน แต่เพียงแค่ขยับ คนตัวสูงที่นอนอยู่ข้างกายกลับกระชับอ้อมกอดไม่ให้เขาลุกเสียอย่างนั้น


    มือเรียวเอื้อมไปลูบหัวของชานยอลอย่างแผ่วเบา มันเต็มไปด้วยความรักใคร่จนร่างสูงลืมตาขึ้นมามอง ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นสะท้อนทุกความรู้สึกให้แบคฮยอนรับรู้ได้ พวกเขามอบรอยยิ้มให้กันก่อนที่ชานยอลจะจับมือนิ่มๆของคนรักไปจุมพิตอย่างเอาใจ


    ทั้งคู่กำลังเรียนรู้ซึ่งกันและกัน พวกเขาเป็นทั้งผู้สอนและผู้ถูกสอนไปในคราวเดียวกัน ชานยอลสอนให้แบคฮยอนรู้ เช่นเดียวกับที่แบคฮยอนได้สอนให้ชานยอลรู้ว่าคำว่ารักนั้นไม่ได้มีไว้หาความหมาย แต่มีไว้เพื่อรู้สึก


    ความรักไม่ใช่ใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงที่เกลื่อนกลาดตามพื้นถนน ไม่ใช่คำเพียงคำเดียวที่ถูกบัญญัติขึ้น แต่รักคือดอกไม้กลางสมรภูมิ คือฝนหยดเดียวในฤดูแล้ง คือแสงจากไม้ขีดในหุบเขา คือความอบอุ่นกลางมหาสมุทร


    รัก...คือคุณ

     

     

     

    TBC

    **รบกวนคนที่สนใจรวมเล่มอ่านทอล์คข้อที่ 7 หน่อยนะคะ

    1.ถึงแบคฮยอนจะรู้ แต่คนอื่นไม่รู้ ฉะนั้น ผลเลือด is coming soon บางคนอาจจะงงว่าเอ๊ะ พี่ชานว่าแบคเรื่องดื้อตอนไหน อะไร ยังไง จำไม่ได้ใช่มั้ยเอ่ย ย้อนไปจ้า แชปที่แล้ว

    2.ยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้เกลียดเทาค่ะ อย่าเข้าใจเราผิด

    3.เป็นแชปเตอร์ที่เรารู้สึกดีมากๆ ไงล่า อัพได้แชปหนึ่งแล้วนะเดือนนี้ (ทำเป็นอวด) 

    4.ในส่วนของเอสและปมสุดท้ายที่เหลือเราขอไม่พูดถึงนะคะ เอาเป็นว่าจบตอนที่ 26 ค่ะ อีกนิดเดียว เย่

    5. ไม่รู้ว่ามีใครสังเกตไหม (ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมี) ชานยอลและแบคฮยอนไม่เคยบอกรักกันเลย และเราตั้งใจให้เป็นแบบนี้จนจบเพราะการบอกรักมันทำได้นอกเหนือจากการพูด ฉะนั้นฉากบอกรักหวานๆอย่างฉันรักนายไม่มีแน่นอนค่ะ ฟิคอะไรก็ไม่รู้ เครียดแล้วยังไม่ให้เขาบอกรักกันอีกกกกกกกกก

    6.ใครมีคำถามอะไร ถามได้เหลย เราเต็มใจตอบเสมอแต่คงไม่ได้ตอบในกล่องคอมเมนท์เพราะเรากลัวว่าจะไม่เห็นอ่ะ ส่วนใหญ่เราจะตอบที่ทอล์คหรือใส่ในเนื้อเรื่องเลย แต่เราตอบทุกคำถามแน่นอนนะ

    7.สำหรับคนที่สนใจรวมเล่ม รบกวนเข้าไปที่ลิงค์นี้จ้า  จิ้มเลย

    8.ขอบคุณคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้นะคะ

    9.พิมพ์ทอล์คยาวทุกแชป รำคาญตัวเองเหมือนกันนะเนี่ย วู้

    Up : 10/01/2016 (30%) 17 /01/2016 (100%)



    © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×