ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] See through B's trick (chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #19 : - CH 15.1 : hurt -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.64K
      27
      10 เม.ย. 60

    ch 15.1


    I’m pleased to meet you

    ดีใจจริงๆที่เราได้พบกัน

    .

    .

    .

    .

     

                เรานั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดมาร่วมหนึ่งชั่วโมงจนเสื้อผ้าที่เปียกโชกทิ้งไว้เพียงแค่ความชื้น

     

                คิมจงอินนั่งอยู่ข้างๆผม เขากอดอก ก้มหน้าและไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว นั่นทำให้บทสนทนาของเราทั้งสองจึงเป็นแค่เสียงลมหายใจของกันและกัน  

     

                เขาเลิกร้องไห้มาซักพักแล้วเมื่อพอที่จะตั้งสติและสงบลง แต่ผมเชื่อ ว่าถึงแม้ดวงตาของจงอินจะไร้ซึ่งน้ำตาแต่หัวใจของเขานั้นคงท่วมไปด้วยหยดน้ำมหาศาล

     

                หัวใจของเขาคงร้องไห้หนักกว่าที่ร่างกายแสดงออก ผมรู้ว่าจงอินรักน้องชายมากเพราะครอบครัวของเขาเหลือกันอยู่เพียงแค่สองคน จงอินและแทมินเหมือนกับกระจกที่สะท้อนครอบครัวของผมซึ่งก็เหลือเพียงแค่ผมกับป้าเท่านั้น ผมจึงเข้าใจความเจ็บปวดของเขาอย่างถ่องแท้ และนั่นเองที่เป็นสาเหตุให้ผมแตะไหล่เขาเบาๆเป็นการบอกให้จงอินรู้ ว่าเพื่อนอย่างผมยังคงอยู่ตรงนี้

     

                เหมือนกับเขา ที่อยู่ข้างผมเสมอมา

     

                จงอินหันมายิ้มบางๆก่อนที่จะหม่นหมองอีกครั้งอย่างไม่เหลือคราบจอมกวนประสาท เรานั่งกันเงียบๆเพราะผมรู้ดี ว่าบางครั้งความเงียบก็ดังกว่าคำพูดและคำปลอบใจก็ไม่สำคัญเท่ากับการอยู่ข้างกัน

     

                เพราะไล่ล่าไนท์แมร์อีกคนที่หนีไป หัวหน้าอี้ฝานจึงไม่ได้มาโรงพยาบาลกับเรา เขาทำเพียงแค่ส่งข้อความมาบอกว่าให้ผมและจงอินรอดูอาการของแทมิน ส่วนตัวเขาเองมีเรื่องที่ต้องไปตรวจสอบก่อนจะตามมาในภายหลัง ผมไม่รู้ว่าหัวหน้าจะจับไนท์แมร์คนนั้นได้ไหม แต่เท่าที่ดูจากสถานการณ์แล้ว ผมคิดว่าเราไปช้าเกินไปที่จะตามจับตัวหมอนั่นได้ทัน

     

    คำว่าผู้ต้องหากลายเป็นสถานะใหม่ของแทมินอย่างไม่อาจปฏิเสธและแน่นอนว่าหัวหน้าอี้ฝานคงไม่ปล่อยให้ผู้ต้องหาลอยนวลไปแม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นหนึ่งในครอบครัวของใครก็ตาม

     

                พวกเราล้วนเป็นแบบนี้ ต้องจับกุมคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย แม้ว่าผู้ต้องหาบางคนอาจมีเหตุผลที่บีบบังคับให้เขาต้องทำ แต่เราต้องกดความสงสารให้ลงไปอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดแล้วใช้เพียงแค่ความถูกต้อง คนผิดก็คือคนผิด เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้ นั่นเองที่ทำให้ผมนึกถึงชื่อเพลงๆหนึ่งที่ผมกับจงอินชอบฟังด้วยกันในวันที่เสร็จสิ้นภารกิจ มันชื่อเพลงว่า angel with a shotgun แปลง่ายๆก็คือเทวดาผู้มาพร้อมปืนลูกซอง เราอาจจะดูเป็นคนดี แต่ในขณะเดียวกันเราก็หยิบยื่นความเจ็บปวดให้ผู้อื่นด้วย

     

     ส่วนชานยอล...

     

    เขาหายไปหลังจากที่ส่งแทมินถึงมือหมอแล้ว นับเป็นความโชคดีที่เขาไม่พบกับหัวหน้าอี้ฝานแต่เป็นความโชคร้ายที่จงอินจ้องเขาเขม็งในตอนที่ชานยอลช่วยห้ามเลือดให้แทมินหรือแม้แต่ตอนที่ชานยอลมากับพวกเราจนถึงหน้าห้องผ่าตัดก่อนที่จะแยกตัวไป

     

                ถ้าเป็นเวลาปกติ จงอินคงจะพุ่งเข้าไปรวบตัวชานยอลแล้วพยายามจับวายร้ายเอาไว้ให้ได้ แต่เป็นเพราะปาร์คชานยอลที่พบในวันนี้ช่วยชีวิตน้องชายของเอาเอาไว้ ผมว่านั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้จงอินยอมปล่อยผ่านราวกับว่าเขาไม่เห็นการปรากฏตัวของชานยอลเลย

     

                “…แบคฮยอน

     

                ชื่อของผมเป็นประโยคแรกที่จงอินเอ่ยออกมาหลังจากที่เราเงียบมานาน เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะมองผมด้วยความคลางแคลง ผมรู้อยู่แล้วว่ายังไงสถานการณ์นี้ก็ต้องมาถึง จงอินต้องถามผมถึงชานยอลและสมองของผมในตอนนี้กำลังประมวลผลอย่างหนักเพื่อเลือกหาเหตุผลที่ฟังดูเข้าท่ามากที่สุด แต่ประโยคที่จงอินเอ่ยนั้นกลับทำให้เป็นผมเสียเองที่ต้องขมวดคิ้วกลับไป

     

                กูจะไม่ถามว่าทำไมชานยอลถึงได้โผล่มาแบบนั้น

     

                “...

     

                “ทั้งท่าทาง ทั้งคำพูดคำจาระหว่างมึงกับชานยอล มันแสดงออกให้กูรู้ว่าพวกมึงไม่ได้พบกันอย่างฐานะเจ้าหน้าที่และผู้ต้องหาจงอินเลิกกอดอกก่อนจะหันมามองผมอย่างเต็มสายตา มันทำให้กูรู้แบคฮยอน ว่าพวกมึงรู้จักกันมาก่อนและมันเกินกว่าที่กูจะนึกออกว่าพวกมึงไปทำความสนิทสนมกันได้ยังไง

     

                กลายเป็นคราวของจงอินบ้างที่วางมือมาบนไหล่ของผมเมื่อผมเริ่มนิ่งไปเพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด ผมหลบตาจงอินเหมือนเด็กที่ทำความผิดและพยายามหลบซ่อนไม่ให้พ่อแม่รู้แต่ก็ไร้ผล

     

                “มึงไม่มีวันคิดทรยศพวกเรา กูเชื่อแบบนั้นและกูจะรอวันที่มึงอธิบาย

     

                มึงจะบอกเรื่องชานยอลกับหัวหน้าอี้ฝานไหม?”  ผมถามเสียงแผ่ว จงอินยิ้มอย่างเหนื่อยล้าก่อนจะตบลงมาที่ไหล่ของผมสองสามทีมันเป็นท่าทางที่เราใช้ระหว่างกันบ่อยๆ การตบไหล่ของเราหมายถึงว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร

     

                “ทำไมกูต้องบอกล่ะ?จงอินพูดช้าๆและวินาทีนั้นเองที่ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับเพื่อนรัก กูไว้ใจมึงเสมอแบค อย่างที่มึงรู้ ว่าอะไรที่เป็นการทำให้มึงไม่สบายใจ กูจะไม่ทำ

     

                ผมเผลอกำขากางเกงของตัวเองแน่น ความรู้สึกผิดตีตื้นเข้ามาที่อกจนผมทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลายลงคอ คิมจงอินไว้ใจผมมาก การที่เขาไม่บอกหัวหน้าอี้ฝานก็เท่ากับว่าเขายอมช่วยผมปิดบังเรื่องของชานยอล เขายอมเอาตัวเองเข้ามาพัวพันในความผิดนี้ ถ้าวันหนึ่งที่ความลับถูกเปิดเผยนั่นเท่ากับว่าจงอินเองก็มีส่วนผิดด้วยที่ร่วมกันปิดบังคนร้าย

     

    แม้จงอินจะพยายามซ่อนเร้นมากแค่ไหนก็ตาม แต่ภายใต้ความเชื่อใจที่เขามีต่อผมมันแฝงความผิดหวังเอาไว้ด้วย สายตาของเขาบอกว่าเขาเองก็ไม่อยากเชื่อที่ผมเป็นพันธมิตรกับหนึ่งในไนท์แมร์ตัวร้าย กลุ่มอาชญากรที่ทำให้น้องชายของเขาต้องมานอนอยู่ในห้องผ่าตัดแบบนี้

     

    ทั้งๆที่ผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับชานยอล ผมยังทำให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวผิดหวังได้ถึงเพียงนี้ แล้วถ้าผมยังคิดที่จะดำเนินความสัมพันธ์ต่อไปล่ะ คนอื่นจะไม่ผิดหวังตัวในผมไปมากกว่านี้หรือ?

     

                ชั่วขณะหนึ่ง ผมได้คิด...ว่าผมควรจะออกห่างจากชานยอล ห้ามความรู้สึกดีของตัวเองที่มีต่อเขาแล้วก็จับเขาเข้าคุกซะ

     

                แต่การลงมือทำมันไม่เคยง่ายเท่ากับความคิดเลยซักครั้ง

     

                ถ้าผมไม่ได้เห็นอีกด้านของชานยอล คนที่ปกป้อง คนที่มีมุมอ่อนโยนและไม่ทำร้ายผมแม้จะมีโอกาส ถ้าผมไม่ได้เห็นด้านดีๆของเขา ผมคงจะไม่รู้สึกเช่นนี้

     

                จู่ๆผมก็เกิดความย้อนแย้งในตัวเอง ผมอยากต่อยหน้าชานยอลแรงๆซักครั้ง ให้ความรู้สึกดีๆที่มีต่อเขากระเด็นหายไปตามแรงหมัด แต่ผมก็รู้ว่าผมใจไม่แข็งพอที่จะทำร้ายเขา ชานยอลมีอิทธิพลต่อผมมากเกินไปและผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย

     

                ทำไมหน้าที่กับคนที่ผมพร้อมเปิดใจที่จะรักต้องสวนทางกันด้วยนะ?

     

                “มึงอย่ามาทำเป็นหงอย นี่กูยังไม่ได้ด่าอะไรมึงเลยนะจ๊ะ จงอินว่าติดตลก เป็นการพูดจากวนประสาทที่ดูเศร้าที่สุดในชีวิตของเขา ผมรู้ว่าในตอนที่ครอบครัวกำลังเผชิญกับความเป็นความตายคงไม่มีใครอารมณ์ดีได้ แต่จงอินก็ยังพยายามจะทำเพื่อให้ผมสบายใจ กูว่ามึงกลับไปก่อนดีกว่า เสื้อผ้ามึงยังชื้นๆอยู่เลย เดี๋ยวหวัดแดกแล้วก็มาโทษกูอีก

     

                “มึงจะให้กูทิ้งมึงไปได้ยังไงวะจงอินเป็นคนเข้มแข็ง ข้อนี้ผมรู้ ทุกๆครั้งที่คนเราร้องไห้ เราจะได้รับความเข้มแข็งที่มากขึ้นเป็นการตอบแทน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่จงอินพยายามยิ้มให้ผมแล้วทำราวกับว่าเรื่องของแทมินเป็นเรื่องธรรมดาๆที่ไม่ใหญ่โตนัก กูจะรอจนกว่าจะรู้อาการของแทมิน จงอิน

     

                “กูรู้แบคว่ามึงห่วงกู แต่กูไม่อยากเพิ่มเรื่องให้มึงไม่สบายใจ

     

                “กูเคยพูดเหรอว่าไม่สบายใจ?

     

                “…”

     

                “ถ้าเป็นมึง กูพร้อมอยู่ข้างๆเสมอ เหมือนอย่างที่มึงอยู่ข้างๆกูนั่นแหละ

     

    จงอินยิ้มน้อยๆก่อนที่ผมจะยิ้มกลับ เราตบไหล่เบาๆเพื่อเป็นการบอกว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร คำว่ามิตรภาพสำหรับบางคนอาจจะยิ่งใหญ่ สำหรับบางคนอาจจะไร้ค่า แต่สำหรับผมนั้นมันไม่มีความหมายใดๆที่จะมาเปรียบเทียบได้เลย เพราะคำว่ามิตรภาพของผมมีคำนิยามเดียว คือคำว่าคิมจงอิน

     

    ทุกอย่างมันเกือบจะดีแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเสียงจากใครบางคนจะเข้ามาทำลายบรรยากาศ

     

                ทำไมมานั่งมองตากันแบบนี้ล่ะ ถ่ายซีรี่ส์เรื่องปิ๊งรักวัยใสกับนายเพื่อนสนิทกันอยู่รึไง?

     

                ผมขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นคนที่ยืนค้ำหัวพวกเราอยู่อย่างชัดเจน ทำไมเขาถึงมาที่นี่?

     

                เซฮุน?ผมเอ่ยชื่อของเขาเบาๆ จงอินเองก็ดูจะสงสัยไม่ต่างกัน พวกเรามองเซฮุนเป็นตาเดียวแต่เซฮุนก็ทำเพียงแค่ยักไหล่

     

                “ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าเป็นใครล่ะ? คิมซูฮยอนเหรอ? ฉันดูดีกว่านั้นเยอะว่ะ คิดว่านะ

     

                “นายมาที่นี่ทำไม?ผมเมินกับคำพูดหลงตัวเองและท่าทางมั่นหน้าของคนตัวสูง ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงมาโผล่ที่นี่ได้

     

                “คิดว่าฉันอยากมานักเหรอ? หัวหน้าอี้ชิงให้ฉันมาที่นี่ไง อยากรู้ไหมว่าเพราะอะไร?”

     

                “เลิกลีลาเถอะจงอินเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เขายังไม่พร้อมที่จะได้รับการกวนประสาทใดๆ แต่เหมือนว่าโอเซฮุนจะไม่รู้เอาซะเลย

     

    เพราะหัวหน้าทีมเอแม่งบอกว่าไม่อยากให้ลูกทีมตัวเองมาที่นี่ยังไงล่ะ ถึงต้องเดือดร้อนทีมอื่นแบบนี้ แล้วฉันก็ดันแจ็คพอตที่ต้องมาร่วมคุ้มกันผู้ต้องหาด้วย คิดว่าเซ็งไหมล่ะ?

     

                ปากหมายังคงเป็นคำจำกัดความของเซฮุนไม่เปลี่ยน ผมกลอกตาอย่างรำคาญก่อนจะเบนหน้าหนีเขาที่นั่งลงมาข้างๆ

     

                ผมคิดว่าผมพอจะรู้ว่าทำไมหัวหน้าอี้ฝานถึงไม่อยากให้สมาชิกในทีมของเรามาที่นี่

     

                เพราะแทมิน ไนท์แมร์คนนั้นเป็นน้องชายของหนึ่งในทีมเอ เขาคงไม่อยากให้คิมจงอินต้องรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ถ้าหากว่าคนในทีมคนอื่นๆจะมาที่นี่เพื่อปลอบใจ เพื่อร่วมจับกุมหรือเพื่อร่วมคุ้มกันน้องชายของเขาก็ตาม

     

                แต่ผมอยากจะบอกเขาเหลือเกิน ว่าการที่ส่งโอเซฮุนมามันก็แย่ไม่ได้ต่างกันเลย

     

                หือ นี่พวกนายร้องไห้เหรอ?เซฮุนเชยคางผมเพื่อสำรวจใบหน้า เดาว่าเขาคงเห็นว่าตาของผมกับจงอินบวมจากการที่ร้องไห้อย่างหนักเมื่อก่อนหน้านี้ ผมปัดมือเขาออก ก่อนที่เซฮุนจะถามคำถามที่ทำให้ผมอยากตั๊นหน้าเขาแรงๆ มีใครตายรึไง?

     

                “เดี๋ยวฉันมานะจงอินว่าก่อนจะลุกออกไป เขาคงทนไม่ไหวแล้วกับคำพูดของตัวยั่วโมโห โอเซฮุนนี่มันอะไรของแม่งวะ!

     

                นายรู้รึเปล่าว่ากำลังปล่อยหมาจากปากออกมากัดความรู้สึกของคนอื่น?

     

                “อะไร? ฉันพูดผิดรึไง? แล้วมันเรื่องอะไรล่ะที่พวกนายต้องร้องไห้?

     

    เซฮุนเอามือล้วงกระเป๋าก่อนจะเอนหลังพิงกับกำแพง ผมรู้ดีว่าเขาคงยังไม่รู้เรื่องที่แทมินเป็นน้องจงอิน แต่การที่เขาอยากจะพูดอะไรก็พูดทั้งๆที่ขาดการไตร่ตรองและไม่คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด

     

                “จับไนท์แมร์ได้แต่กลับมานั่งหน้าเครียดอยู่หน้าห้องผ่าตัดเนี่ยนะ? ทำอย่างกับว่าไอ้คนร้ายนั่นเป็นญาติของตัวเองกันไปได้  ถ้าเป็นฉันคงวางแผนฉลองไปแล้ว จับไนท์แมร์สองคนได้ภายในสองวัน ว้าว อะเมซิ่ง!”

     

                “ไนท์แมร์ที่จับได้ในวันนี้เป็นน้องชายแท้ๆของจงอิน

     

                “…”

     

                “ทีนี้นายรู้รึยังว่าการพูดโดยไม่คิดของนายมันทำร้ายคนอื่นยังไง

     

                เซฮุนชะงักรอยยิ้มกวนประสาทก่อนจะมองหน้าผม คงไม่มีคำไหนอธิบายสีหน้าของเขาได้ดีไปกว่าคำว่าเจื่อนอีกแล้ว

     

                ฉันไม่รู้นี่หว่าว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้...

     

                “ช่างมันเถอะ คนที่นายควรรู้สึกผิดด้วยคือจงอินไม่ใช่ฉัน

     

                เราเงียบกันไปครู่หนึ่ง ดูจากทางที่คิมจงอินเดินไปผมเดาว่าเขาคงไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ ผมอยากตามเขาไปแต่มันคงจะดีกว่าที่ปล่อยให้เขาได้ใช้เวลากับตัวเองบ้างหลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้าย

     

                ผมกับเซฮุนปล่อยให้เวลาผ่านไป ไฟหน้าห้องผ่าตัดสื่อถึงว่าการผ่าตัดยังคงดำเนินอยู่และเป็นตอนนั้นเองที่เซฮุนเอ่ยขึ้น

     

                “แล้ว...คนร้าย เอ่อ...น้องของจงอินอาการหนักไหม?เหมือนว่าเซฮุนจะสลัดคราบจอมกวนไปได้ชั่วคราวเพราะตอนนี้เขานิ่งกว่าที่ผมเคยรู้จัก

     

                ฉันสังเกตบาดแผลแล้ว กระสุนถูกเข้าที่ชายโครงและไม่ได้ทะลุออกจากร่าง ฉันไม่แน่ใจว่าปืนที่ใช้ยิงเป็นแบบเดียวกับของน้องจงอินรึเปล่าเพราะคนร้ายเอามันไปด้วย แต่ถ้าใช่ก็คือปืนพกกึ่งอัตโนมัติที่มีกระสุนแบบลูกโดด นั่นหมายความว่ากระสุนจะไม่แตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยแต่มันก็เสี่ยงที่จะแฉลบไปโดนอวัยวะสำคัญ อย่างที่นายรู้เซฮุน...ว่าการที่กระสุนฝังในร่างแบบนี้โอกาสตายมีมากกว่ารอด

     

                ผมบอกเซฮุนโดยที่เขานั่งฟังอย่างตั้งใจ ผมไม่ได้เป็นคนเห็นบาดแผลของแทมิน แต่เป็นคนที่ห้ามเลือดให้เขาต่างหากที่รู้ ปาร์คชานยอลสังเกตบาดแผลและบอกผมเหมือนกับที่ผมบอกเซฮุน

     

                ไม่ว่าจะรอดหรือตายจงอินก็เจ็บปวดอยู่ดีเซฮุนบอกและผมไม่ได้ตอบโต้กลับ มันเป็นจริงอย่างที่เขากล่าว ไม่ว่าจะทางไหนเพื่อนของผมก็เสียใจเหมือนเดิม พอนายคุยกับฉันดีๆแบบนี้ ทำให้ฉันนึกถึงตอนที่เรายังเป็นแค่เจ้าหน้าที่ฝึกหัดเลย

     

                “...งั้นเหรอ?

     

                คำพูดของเซฮุนทำให้ผมนึกย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ผมยังเป็นแค่เจ้าหน้าที่ฝึกหัด เราเคยเจอสถานการณ์กดดัน เคยฝึกฝน เคยทำอะไรหลายอย่างๆร่วมกัน นั่นเองที่ทำให้ผมรู้ว่าครั้งหนึ่งผมกับเซฮุนเคยเป็นมิตรกันมากกว่านี้

     

    ผมกับเซฮุนเคยนั่งคุยกันได้อย่างสบายใจ แต่นั่นมันก็หลายปีมาแล้ว ผมจำไม่ได้แล้วว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เซฮุนจ้องแต่จะเหน็บแนมและพูดจากวนประสาททุกครั้งที่เจอหน้า ถ้าเขายังคงเป็นเช่นเดิม บางทีเราอาจจะเป็นเพื่อนกันได้เหมือนแต่ก่อน

     

                ถ้าไม่มีคิมจงอิน ป่านนี้ฉันกับนายอาจจะเป็นคู่หูประจำหน่วยด้วยกันก็ได้นะ ว่าไหม?

     

                ผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาพูดประโยคนั้นออกมา ความเงียบและกลิ่นสะอาดๆของโรงพยาบาลส่งผลต่างกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วย มันทำให้หมอสงบแต่ทำให้ผู้ป่วยและญาติฟุ้งซ่าน ก็คงเหมือนกับเราในตอนนี้ที่เซฮุนคงจะจิตใจฟุ้งซ่านจนนึกย้อนไปยังอดีต แต่ผมกลับสงบกว่าที่เคยเป็นเพราะไม่ได้ตอบด้วยโทสะหรือความหมั่นไส้ใดๆ

     

                “ฉันบอกเหรอว่าอยากเป็นเป็นคู่หูกับนายอ่ะ?

     

                ผมพูดติดตลก แต่มันก็จริงดังที่เขาว่า โอเซฮุนคือเพื่อนคนแรกของผมในการฝึก เขาเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาทำความรู้จักกับผมในยามที่ผมยังไม่คุ้นเคยกับสังคมใหม่ แต่อาจจะเป็นเพราะผมเข้ากับจงอินได้ดีกว่า ประกอบกับเซฮุนทิ้งระยะห่างระหว่างผมไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็ไม่สนิทกันเหมือนเดิม ยิ่งเมื่อเราอยู่กันคนละทีมแบบนี้แล้ว การเป็นเพื่อนกันในครั้งหนึ่งก็ดูเหมือนว่าจะถูกลืมเลือนไป

     

                ฉันเป็นคนสอนให้นายดื่มเป็นนะเว้ย นี่ลืมบุญคุณกันเหรอ? แล้วเมื่อก่อนนายก็พูดจากับฉันดีกว่านี้ด้วย

     

                “ก็ตอนนั้นนายไม่กวนส้นตีนแบบนี้นี่

     

                เป็นครั้งแรกที่ผมยิ้มบางๆให้กับคนตรงหน้า ตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าจงอินกำลังเดินมาตามทางเดิน มันทำให้ผมใจชื้นที่เขามีสีหน้าดีขึ้นต่างจากหลายนาทีที่แล้ว

     

                ตอนนั้นมันดีจริงๆนะ น่าเสียดาย...

     

                เป็นเพราะสมาธิที่พุ่งไปยังเพื่อนรัก ทำให้ผมได้ยินคำพูดของเซฮุนไม่ถนัดนัก ผมหันกลับมาสบตาเรียวของเขาก่อนจะเอ่ยปากถาม

     

                “เมื่อกี๊ว่าไงนะ?

     

              ฉันบอกว่าเหนียงที่คางนายย้อยเกินไปแล้วนะ

     

                “ไอ้...ผมละคำด่าเอาไว้ เพราะจงอินเดินมาจนถึงพวกเราแล้ว เขาไม่ได้นั่งลงตามเดิมแต่กลับบอกผมด้วยน้ำเสียงติดจะอ่อนล้า

     

                แบคฮยอน มึงกลับไปก่อนดีกว่า

     

                “อะไร? เมื่อกี๊เราก็คุยกันแล้วนี่ว่ากูจะอยู่จนกว่าหมอจะออกมาอ่ะ

     

    มึงก็รู้ว่าการผ่าตัดไม่ได้ใช้เวลาแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง กูว่ามึงกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า กูไม่อยากให้มึงไม่สบายเพราะกู

     

    แต่ว่า--”

     

    กูมีเซฮุนอยู่เป็นเพื่อนแล้วนี่ไง มึงกลับไปก่อนเถอะ ไม่งั้นกูคงไม่สบายใจว่ะ ถือว่ากูขอร้อง

     

    ทั้งแววตาและน้ำเสียงของคิมจงอินทำให้ผมกลืนทุกคำพูดลงไป ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วงผมและผมเองก็ไม่อยากให้เขาไม่สบายใจไปมากกว่านี้ ผมเหลือบมองเซฮุนอย่างคิดไม่ตก จงอินจะอยู่กับเขาโดยที่ไม่ทะเลาะกันได้หรือเปล่า แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจทำตามที่เพื่อนรักบอก

     

    ก็ได้ เสร็จแล้วกูจะกลับมาหานะ พอกูมามึงก็ต้องกลับบ้านไปอาบน้ำด้วย กูก็ไม่อยากให้มึงไม่สบายเหมือนกัน โอเคไหม?จงอินพยักหน้าให้ผมช้าๆก่อนที่ผมจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

     

                “ให้ไปส่งไหม?เซฮุนถาม ผมว่าหมอนี่อาจจะยังไม่เข้าใจว่าเขาต้องอยู่เป็นเพื่อนจงอิน ผมเมินคำถามนั้นก่อนจะตบไหล่เพื่อนรักเบาๆ

     

                แล้วเจอกันนะ

     

                “อือ เจอกัน

     

                ผมส่งสายตาเป็นการลาคนทั้งสองก่อนจะผละออกมาจากหน้าห้องผ่าตัด

     

                ผมก็แค่กลับบ้านไปอาบน้ำแล้วกลับมาหาจงอินอีกครั้ง

     

                ใช่ มันจะเป็นแบบนั้น ยังไงซะเพื่อนรักของผมก็จะรออยู่ที่นี่

               

     

    (Chanyeol’s part)

     

                เบื้องหน้าของผมคือบานประตูสีเทาของคอนโดชั้นที่สิบแปด แน่นอนว่ามันอาจฟังดูคุ้นหู เพราะที่นี่คือที่นัดหมายของเหล่าไนท์แมร์ ผมกดรหัสผ่านที่จำได้ขึ้นใจก่อนที่เสียงติ๊ดสั้นๆจะเป็นสัญญาณบอกว่าประตูถูกปลดล็อคแล้ว

     

                อี้ฝานผละออกจากกล้องวงจรปิดตรงทางเดินที่เขาใช้ความสูงเบนทิศทางกล้องเพื่อไม่ให้จับภาพพวกเราได้ นับว่าเป็นความโชคดีที่ห้องนี้ใช้ระบบรหัสผ่านไม่ใช่แบบคีย์การ์ดที่จะทำให้การเข้ามาในห้องยากเป็นหลายเท่าตัว

     

                ตามจริงผมกับอี้ฝานตกลงกันไว้แล้วว่าจะมาที่นี่ภายในวันนี้ ทุกอย่างมันคงราบรื่นถ้าไม่ติดตรงที่ผมเห็นข้อความที่เขาส่งให้แบคฮยอนเพื่อนัดไปเจอกันที่ริมแม่น้ำฮัน ผมตัดสินใจตามไปและไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่เราพบจงอิน หนึ่งในเป้าหมายที่เอสจ้องเล่นงาน มันผิดคาดตรงคนที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นไม่ใช่คิมจงอินแต่เป็นอีแทมิน

     

                อี้ฝานเป็นคนไล่ตามอูบินไป แต่ผมประเมินจากสถานการณ์ก็พอจะเดาได้ว่าคงจับไม่ทัน เรามาช้าเกินไปและอูบินก็คงจะหลบหนีออกไปจากย่านนั้นแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นจริงเพราะอี้ฝานไม่เห็นแม้แต่เงาของคิมอูบินเลยด้วยซ้ำ

     

                ผมตัดสินใจเข้าไปช่วยอีแทมินเพราะแบคฮยอนและจงอินดูจะสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้า แน่นอนว่าการปรากฏตัวของผมสร้างความกังวลให้แบคฮยอนไม่น้อย แต่ถ้าผมไม่ทำแทมินก็จะเสียเลือดมากกว่านี้ ไหนจะสายฝนที่ตกกระหน่ำจะทำให้อุณหภูมิร่างกายของเขาต่ำลง ผมต้องการช่วยชีวิตเขา เพราะมั่นใจว่าถ้าเราทำการสอบสวน แทมินจะต้องให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้มากกว่าจองอึนจีผู้ที่ไม่ยอมปริปากบอกข้อมูลใดๆเลย

     

                มึงสงสัยอะไรวะชานยอลถึงต้องให้กูมาที่นี่ด้วย?

     

                เขาถามหลังจากที่เข้ามาข้างในแล้ว จุดประสงค์ของการมาที่นี่คือการคลายข้อสงสัยบางอย่างที่ผมสงสัยมาเป็นสัปดาห์แล้ว

     

                เดี๋ยวมึงก็รู้

     

                ผมตอบแล้วสวมถุงมือเพราะไม่ต้องการทิ้งรอยนิ้วมือเอาไว้ก่อนจะทำการเปิดจอแอลซีดีที่เอสใช้เป็นเครื่องมือติดต่อกับไนท์แมร์ ถึงแม้ว่าจะมั่นใจได้ว่าตอนนี้เอสจะยังไม่เคลื่อนไหว แต่ผมไม่อยากประมาทและอยากทำทุกอย่างให้รอบคอบเท่าที่จะเป็นได้

     

                ผมสังเกตมาซักระยะแล้วว่าเอสไม่เรียกใช้งานหรือติดต่อผมเท่าเมื่อก่อนทั้งๆที่ผมได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เอสมั่นใจในฝีมือมากที่สุด และจากเหตุการณ์เมื่อเช้าก็ดูเหมือนจะเพิ่มความสงสัยของผมให้มากขึ้นไปอีก เหตุใดผมจึงไม่รู้ว่าเอสสั่งให้ไนท์แมร์ลงมือฆ่าจงอินในวันนี้ทั้งๆที่ผมติดตั้งระบบไว้แล้ว มันไม่มีเหตุผลอื่นเลย นอกเสียจากระบบจะถูกทำลาย

     

                และถ้ามันถูกทำลายจริง นั่นหมายความว่า...เอสรู้แผนของผมแล้ว

     

                อี้ฝานเดินสำรวจรอบห้อง เขากวาดมองไปรอบๆก่อนจะหยิบกล่องเพลงที่ประดับอยู่บนโต๊ะเล็กๆขึ้นมาดูอย่างสนใจ ผมชะงักไปเพราะแปลกใจกับการกระทำของเขา การที่เราแอบเข้ามาในห้องของเป้าหมายไม่ควรที่จะหยิบหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของใดๆเพราะถ้าไนท์แมร์คนใดคนหนึ่งเข้ามาหลังจากที่เราออกไป ตำแหน่งที่ผิดไปของวัตถุนั้นก็จะทำให้พวกมันรู้ว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในห้องนี้

     

                ทั้งๆที่มันเป็นสิ่งพื้นฐานที่เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างรู้กันเป็นอย่างดี แต่เหตุใดอี้ฝานถึงทำในสิ่งที่พวกเราไม่ควรทำแบบนั้น

     

                ผมแปลกใจตั้งแต่ที่เขาเรียกแบคฮยอนออกไปพบแล้ว ผมไม่รู้ว่าทำไมเวลาและสถานที่ที่เขาเลือกมันจึงได้ดูเหมาะเจาะกับที่ไนท์แมร์ลงมือฆ่าจงอินเสียเหลือเกิน

     

                มันอาจจะเป็นความบังเอิญก็ได้ ผมบอกตัวเองแบบนั้น แต่แน่นอนว่าผมไม่ใช่คนที่จะยอมให้ความสงสัยหายไปโดยไม่ได้รับการพิสูจน์ และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมมาที่นี่ มาเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยของตัวเอง

     

                ส่วนอี้ฝาน เขายังคงเป็นเพื่อนรัก...แต่ผมคงต้องสังเกตเขามากขึ้นกว่าปกติ ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจ แต่ผมก็แค่อยากได้คำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่ผมข้องใจเหมือนที่ผมบอกคุณไปแล้วก่อนหน้านี้

     

                ถ้าแทมินไม่ตาย เราคงได้ประโยชน์จากเขามากกว่าจองอึนจีใช่ไหม?

     

                อี้ฝานถามขึ้นขณะที่ผมทำการเปิดระบบที่เชื่อมต่อกับจอแอลซีดีในโทรศัพท์ของตัวเอง สตาสเรียกมันว่าระบบ SIC มันเป็นระบบที่เราใช้แทรกแซงการสื่อสารรวมทั้งใช้ขโมยข้อมูลจากเป้าหมายได้เพียงแค่ทำการติดตั้ง แน่นอนว่ามันเป็นระบบที่สามารถป้องกันตัวเองจากการทำลายสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ถูกทำลายเลย ไม่มีสิ่งใดบนโลกที่สมบูรณ์แบบ รวมทั้งเจ้า SIC นี่ด้วย

     

                คิดว่าใช่ แต่มึงน่าจะเห็นว่าจงอินดูช็อคกับเหตุการ์เมื่อเช้ามากกว่าปกติ มึงควรคุยกับเขาว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับแทมินรึเปล่า

     

                อี้ฝานพยักหน้าตอบรับก่อนจะวางกล่องเพลงในมือลง ผมสังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้วางลงตำแหน่งเดิม นั่นทำให้ผมยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของผมกันแน่เขาจึงได้สะเพร่าไม่สมกับเป็นอี้ฝานเอาเสียเลย แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่ผมเลือกแสดงออกก็คือการทำเป็นเหมือนว่าไม่สนใจ

     

                ผมทำการดาวน์โหลดไฟล์จากจอแอลซีดีสู่โทรศัพท์เพื่อดูวิดีโอทั้งหมดที่เอสติดต่อมา แต่แทนที่ผมจะได้รับไฟล์วิดีโอหลายสิบไฟล์อย่างที่คาดไว้ ผมกลับได้รับเพียงแค่ไฟล์เดียวและนั่นทำให้ผมรู้สึกไม่ดีนัก

     

              “มึงคิดอะไรกับแบคฮยอนใช่ไหม?

     

              ในระหว่างรอให้ไฟล์ทำการเปิดตัวเอง อี้ฝานกลับถามผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ผมละสายตาจากโทรศัพท์ในมือก่อนจะมองหน้าเพื่อนรักด้วยความเรียบนิ่งไม่แพ้กัน

     

                มึงอยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ?

     

                ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งอี้ฝานจะถามผมเรื่องนี้ เขาเป็นคนฉลาดที่พอจะเดาเรื่องระหว่างผมกับแบคฮยอนได้ ใช่ เขาน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วแต่เขาก็ยังเลือกที่จะถามเพื่อสร้างความอึดอัดระหว่างกัน

     

                กูรู้ว่ามึงคิดอะไรกับแบคฮยอน ไฟล์ค่อยๆทำการโหลดมาถึง 57% อีกไม่นานผมก็จะได้รู้ว่าวิดีโอนี้มันคือวิดีโออะไรกันแน่ ทั้งๆที่มึงก็รู้ว่ากูรักแบคฮยอน แต่มึงก็ยังคิดไม่ซื่อกับคนของกูอย่างนั้นเหรอวะ?

     

                เป็นอีกครั้งที่ผมละสายตาออกจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วหันไปมองอี้ฝานที่เดินมายืนข้างๆ เขาไม่แสดงอารมณ์อะไรทางใบหน้าแต่ในใจของเขาคงคุกรุ่นไม่น้อย นี่เขาคิดอะไรกันอยู่ คิดว่าผมแย่งแบคฮยอนมาจากเขาอย่างนั้นรึไง?

     

                มึงรู้อะไรไหมอี้ฝาน มึงไม่ใช่หมาป่าที่จะต้องรักคู่ของตัวเองไปตลอดชีวิตแม้ว่าผมจะเริ่มไม่สบอารมณ์แต่ก็ยังคงแสดงไว้เพียงแค่ความสุขุมเท่านั้น มึงถามตัวเองดีๆเถอะว่ะ ว่ามึงยังรักแบคฮยอนจริงๆหรือมึงแค่เสียดายเขากันแน่ ที่มึงทำอยู่มันทำให้เขาอึดอัดใจมาตลอดมึงก็น่าจะรู้ตัว

     

                “…”

     

    ถ้ามึงรักเขาจริง มึงจะอยากให้เขามีความสุขไม่ใช่คิดแต่จะเก็บเขาไว้เป็นของตัวเองคนเดียวแบบนี้

     

    “…”

     

    ถ้าแบคฮยอนยังรักมึงอยู่ กูจะไม่แตะต้องเขาเลยกูสาบาน แต่เป็นเพราะแบคฮยอนไม่ได้รักมึงแล้วและที่มึงทำอยู่ในตอนนี้ก็เป็นแค่การหวงก้างว่ะอี้ฝาน

     

    อี้ฝานกลืนน้ำลายช้าๆหลังจากที่ฟังผมพูดจบ ผมไม่เคยพูดความคิดของตัวยาวขนาดนี้มาก่อน แต่เป็นเพราะผมอยากเตือนสติเพื่อนรัก ผมรู้ว่าเขาสองคนเลิกกันเพราะอะไรและเลิกกันเมื่อไหร่ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้แสดงความคิดเห็นออกไปเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องของพวกเขาสองคน อย่างที่ผมเคยบอกว่าอี้ฝานเล่าเรื่องระหว่างเขาและแบคฮยอนให้ฟังอยู่บ่อยๆ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมคิดว่าการที่เขาบอกเลยง่ายๆเพียงเพราะอยากปกป้องแบคฮยอนมันถูกต้องแล้วหรือ แบคฮยอนจะดีใจไหมตอนที่รู้ว่าตัวเองถูกบอกเลิกเพราะสาเหตุนั้น

     

    ถ้าเขารู้จักแบคฮยอนดีพอจริงๆเขาจะไม่บอกเลิกแบคฮยอน แต่จะบอกแบคฮยอนว่าเกิดอะไรขึ้น ผมคิดว่าแบคฮยอนคงจะดีใจกว่าที่ได้รับรู้เรื่องราวไปด้วยกันกับคนรัก ไม่ใช่การที่ถูกทิ้งโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิด

     

                “แต่กูรู้จักเขาก่อนมึง

     

                “แต่มึงรู้จักเขาไม่ดีพอ อี้ฝาน

     

                “แล้วมึงล่ะ รู้จักแบคฮยอนดีนักรึไง?

     

                ผมเสยผมของตัวเองลวกๆเมื่อพบว่าอี้ฝานเข้าใจอะไรยากกว่าที่คิด ผมอยากจะบอกอี้ฝานว่าผมต่างหากที่รู้จักแบคฮยอนก่อนเขา รู้จักก่อนเป็นสิบปี แต่ผมก็เลือกที่จะไม่พูดเพราะไม่ต้องการให้เพื่อนรักรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ผมหายใจเข้าลึกๆเป็นการลดความขุ่นมัวในอารมณ์และได้แต่หวังว่าวันหนึ่งอี้ฝานจะรู้ว่าเขาทำพลาดตรงไหนแบคฮยอนถึงได้ไม่คิดที่จะกลับมาร่วมทางกับเขาอีก

     

                [Download Complete]

     

                อักษรที่ปรากฏบนหน้าจอเรียกให้กลับไปจดจ่อกับโทรศัพท์อีกครั้ง อี้ฝานก็ดูจะรู้ว่าผมทำการดาวน์โหลดไฟล์เสร็จแล้วและมันสำคัญกว่าประเด็นก่อนหน้าที่เราสองคนถกเถียงกัน

     

               

                วิดีโอถูกฉายขึ้นทันที่ที่ผมกด play มันไม่มีอะไรเลยอย่างที่ผมคาดหวังไว้ กลับกันมันเป็นแค่หน้าจอสีดำ ซึ่งนั่นทำให้อี้ฝานสบตากับผมด้วยความสงสัย ผมดูออกว่าความขุ่นข้องใจของเขายังไม่ลดลงแต่สำหรับเราแล้ว หน้าที่มาก่อนเรื่องส่วนตัวเสมอ

     

                อะไรวะ?อี้ฝานเอ่ยถามแต่ผมไม่มีคำตอบให้เขา แต่ในตอนนั้นเองที่ตัวหนังสือสีขาวแทรกขึ้นมาจากพื้นหลังสีดำ มันเป็นประโยคสั้นๆแต่ทำให้ทั้งผมและอี้ฝานแสดงหน้าสีหน้าไม่ถูก

     

                ผมรู้สึกชาไปทั้งร่างก่อนที่จะอ่านทวนข้อความในมืออีกครั้ง

     

                [สนุกพอรึยังล่ะ ชานยอล]

     

                ผมได้คำตอบสำหรับข้อสงสัยแล้ว ว่าเหตุใดเอสถึงไม่ติดต่อผมมาเหมือนเมื่อก่อน รวมทั้งคำถามที่ว่าทำไมผมจึงไม่รู้ว่าไนท์แมร์จะลงมือฆ่าจงอินวันนี้

     

    เอสรู้แผนของเราแล้ว

     

    ผมบอกอี้ฝานเสียงเครียด เขาเองก็คงเครียดไม่ต่างกัน เอสไม่เพียงแค่รู้ว่าผมคิดจะทำอะไรแต่กลับทำลายระบบ SIC แล้วแทรกไฟล์วิดีโอของตัวเองเข้ามาแทน มันเป็นการหยามหน้าอย่างหยาบคาย เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนดูถูกฝีมือ

     

    ผมไม่รู้ว่าเอสรู้แผนการของเราตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ถ้าให้ผมเดา คงหลังจากช่วงวางระเบิดที่สนามเบสบอลไปแล้ว เพราะหลังจากงานนั้นก็ดูเหมือนว่าเอสจะตัดขาดกับผมไปโดยสิ้นเชิง

     

                แล้วมึงจะทำยังไงต่อล่ะทีนี้?



                ผมสูดลมหายใจเข้าเป็นการเรียกสติก่อนจะเก็บโทรศัพท์เจ้ากระเป๋ากางเกง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกแล้วและเราควรจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ผมเดินไปหยิบกล่องเพลงที่อี้ฝานเคลื่อนย้ายมันให้กลับสู่ตำแหน่งเดิมก่อนจะเดินนำอี้ฝานออกไปจากห้อง

     

                กูจะไปพบคุณคิม แล้วหลังจากนั้นกูอาจจะคิดแผนการจับกุมและสืบสวนใหม่ เราคงต้องร่วมมือกันแล้วล่ะ

     

                ผมบอกเมื่อเราลงมาจนถึงลานจอดรถ การที่ยิ่งปล่อยเวลาให้ผ่านไปนั่นก็เท่ากับว่าเราได้ปล่อยให้ตัวอันตรายอย่างเอสคิดแผนการมากขึ้นเช่นกัน

     

     มึงจะบอกทุกคนว่าเป็นสตาสเหรอวะ ถ้ามึงบอกทุกอย่างที่ทำมามันก็ไม่มีประโยชน์

     

                “ให้กูปิดบังต่อไปก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน มึงอย่าลืมว่าอย่างน้อยกูก็รู้ว่าลูกกระจ๊อกของเอสเป็นใครบ้าง ภารกิจครั้งนี้ไม่ถือว่าล้มเหลวซะทีเดียวหรอก

     

                ผมสวมหมวกกันน็อคก่อนจะสตาร์ทดูคาติคาดว่าอีกไม่ถึงหนึ่งนาทีอี้ฝานก็คงขับมาร์เซราติตามมา

     

                ชานยอลขี่ดูคาติออกไปแล้ว อู๋อี้ฝานจึงสตาร์ทมาร์เซราติของตัวเองบ้างก่อนจะขับตามออกไป เขาตกใจไม่น้อยที่เอสจะรู้แผนการได้เร็วขนาดนี้ มันยิ่งทำให้เขารู้ว่าความร้ายกาจของหมอนั่นมันยากต่อการประเมินว่าจะร้ายกาจได้ถึงเพียงไหน

     

     แต่สิ่งที่อี้ฝานคิดนอกเหนือจากเรื่องของเอสคือเรื่องของบยอน แบคฮยอน

     

    เขาน่ะหรือที่รู้จักแบคฮยอนไม่ดีพอ เหอะ น่าขำเป็นบ้า

     

    เขายอมให้แบคฮยอนมีคนรักใหม่เป็นใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ปาร์ค ชานยอล

     

                คนที่เหมือนว่าเขาจะหยิบยื่นแบคฮยอนให้ด้วยตัวเอง

     

     

                นับว่าเป็นอีกวันที่หวงจื่อเทาไม่ได้พบหน้าหรือแม้แต่พูดคุยกับบยอน แบคฮยอน

     

                เขาไม่รู้ว่าช่วงนี้พี่ชายคนสนิทเป็นอย่างไรบ้างหลังจากที่กลับมาจากบูชอน ไม่ว่าจะการคุยไลน์หรือการคุยโทรศัพท์ก็เป็นไปได้ยากเพราะคล้ายว่าแบคฮยอนจะยุ่งจนไม่มีเวลาแม้แต่จะพักผ่อนด้วยซ้ำ

     

    เทาเดินไปตามทางเท้าอย่างไม่เร่งรีบ มันเป็นอีกวันที่เขาโดดเรียนเพราะทะเลาะกับพ่อ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกเป็นแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เด็กที่เทาถูกบังคับให้ทำในหลายๆอย่างทั้งๆที่ไม่ต้องการ การเลี้ยงดูแบบนั้นมันทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างที่เกลียดชังความเผด็จการ เกลียดอำนาจและสุดท้าย เกลียดพ่อของตัวเอง

     

    แต่ถึงกระนั้นเด็กตัวสูงกลับยอมทำในสิ่งที่ถูกบังคับทั้งการเรียนวิชาป้องกันตัว การเรียนเปียโน หรือแม้แต่การเรียนโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ที่เขาเกลียดแสนเกลียด เขายอมเดินไปตามเส้นทางที่พ่อกำหนดไว้ แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เขารับไม่ได้และไม่มีวันที่จะทำตาม

     

    คือการที่จะต้องเรียนตำรวจเพื่อไปเป็นเหมือนกับพ่อของตัวเอง...

     

    เรื่องมันแย่กว่านั้นตรงที่ครั้งนี้พ่อยื่นทางเลือกให้เขา

     

    เขายังจำประโยคเมื่อครึ่งขั่วโมงก่อนได้ พ่อพูดมันออกมาเรียบๆแต่กลับสร้างความปั่นป่วนในหัวใจของเด็กหนุ่มจนเขาทนไม่ไหวและลุกออกมาจากโต๊ะทานข้าว

     

    ฉันไม่ได้เลี้ยงแกมาเพื่อให้นอกคอกหรอกนะ สิ่งที่แกควรทำคือเชื่อฟังฉัน เพราะสิ่งที่ฉันเตรียมไว้ให้แกมันดีกับตัวแกที่สุดแล้ว

     

    ทำไมพ่อถึงไม่ให้ผมเลือกเส้นทางด้วยตัวเองบ้างล่ะครับ? พ่อก็รู้ว่ามันคือชีวิตของผม พ่อบังคับทุกอย่างไม่ได้หรอก

     

    เหอะ แกก็เป็นซะแบบนี้ เถียงแล้วก็พยายามจะแหกกฎทุกข้อที่ฉันตั้งไว้

     

    พ่อก็เหมือนกัน ไม่เคยฟังผมแล้วก็ชอบแต่บังคับ

     

    อย่ามาต่อปากต่อคำนะ! ที่แกโตมาได้ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เพราะฉันรึไง? ถ้าแกอยากได้ทางเลือกมากนักล่ะก็ ได้ ฉันมีให้แกอยู่แล้ว

     

    ‘…’

     

    ฉันมีทางเลือกให้แกแค่สองทาง ทางแรกคือการเป็นตำรวจและทางที่สองเป็นสตาส แกเลือกได้เท่านี้

     

    เขารู้ดีว่าอาชีพทั้งสองทรงเกียรติแค่ไหน แต่พ่อหวังอะไรจากตัวเขาอยู่หรือ? พ่อเป็นคนเลี้ยงเขามาจริงๆรึเปล่าถึงได้ไม่รู้ว่าเขาชอบศิลปะมากกว่าที่จะไปต่อสู้หรือเอาตัวเองไปปกป้องใคร

     

    เหมือนกับว่าพ่อของเขาเองที่ก่อให้เกิดผลกระทบที่ทำให้เขาอคติกับหน่วยงานรัฐบาลทุกหน่วยของเกาหลีใต้ เพื่อนของพ่อเองก็เป็นเจ้าหน้าที่ในหลายๆหน่วยและเท่าที่เขาเห็นมันก็เป็นแค่มิตรภาพที่น่าขยะแขยงเสียเหลือเกิน

     

     วันนี้จื่อเทาสวมฮู้ดสีน้ำเงินที่แบคฮยอนเคยซื้อให้เขาเมื่อตอนอายุสิบห้า เขาจำได้ว่าเขาดีใจแค่ไหนที่พี่แบคฮยอนรู้ว่าเขาชอบสีน้ำเงินทั้งๆที่ไม่เคยบอก ในอ้อมแขนของเทามีเจ้าหมาตัวเล็กที่เขาเลี้ยงมาได้ร่วมห้าเดือนแล้ว แบคฮยอนช่วยเขาตั้งชื่อให้กับมัน เราเถียงกันอยู่นาน แต่สุดท้าย มันก็ได้รับชื่อว่าแคนดี้ ซึ่งเป็นชื่อที่ไม่เท่เอาซะเลยในความคิดของเด็กหนุ่ม กระนั้นเขาก็ไม่ได้ทักท้วงและเรียกเจ้าหมาน้อยว่าแคนดี้มาตลอด

     

                จุดมุ่งหมายของเทาไม่ใช่ที่ไหน แต่เป็นบ้านหลังเล็กที่เขามักใช้เป็นที่พักพิงเสมอหลังจบศึกจากผู้เป็นพ่อ

     

                บ้านของแบคฮยอนยังคงเป็นที่พักพิงของเขาเสมอ

     

                หากแบคฮยอนรู้ว่าเขาแอบปั๊มกุญแจเอาไว้ เชื่อได้เลยว่าเขาคงถูกถลกหนังหัวแน่

     

                แต่ก็เป็นเพราะแบบนั้นเขาจึงได้ค้นพบบางอย่างในบ้านของแบคฮยอน...

     

                เทาทรุดตัวลงนั่งที่ป้ายรถเมล์พร้อมกับลูบขนนุ่มๆของแคนดี้ไปด้วย แคนดี้เป็นหมาที่ไม่ชอบอยู่นิ่งและบางทีมันก็ทำใหเขานึกถึงแบคฮยอน

     

                เด็กหนุ่มจำได้ว่าเขาเคยขโมยหอมแก้มแบคฮยอนตรงนี้ แน่นอนว่าแบคฮยอนโวยวายเหมือนพร้อมจะเอาเลือดหัวของเขาออกให้ได้ คิดแล้วมันก็ตลกดีที่เมื่อเดือนก่อนเขายังเจอหน้าพี่แบคฮยอนบ่อยครั้ง แต่ตอนนี้แม้แต่การคุยกันก็ยังเป็นไปได้ยาก ตอนนั้นเองที่เขาละมือจากแคนดี้แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าฮู้ด

     

                เขาคลำวัตถุบางอย่างในนั้นราวกับกลัวว่ามันจะหายไป เด็กหนุ่มรู้ว่าสิ่งนี้คงแสนสำคัญและมันคงไม่ดีแน่ถ้าหากว่ามันตกไปอยู่ในมือของคนอื่น

     

                เมื่อสามวันก่อนคือครั้งล่าสุดที่หวงจื่อเทาไปนอนบ้านของแบคฮยอน อาจจะเป็นเพราะความคิดถึงหรือความโหยหาที่ทำให้เด็กหนุ่มเลือกที่จะเข้าไปนอนในห้องของพี่ชายตัวเล็ก เสื้อผ้าและของใช้บางส่วนที่หายไปทำให้เขารู้ว่าแบคฮยอนไปนอนที่อื่นตามที่ได้บอกเอาไว้ เด็กหนุ่มทิ้งตัวนอนบนเตียงก่อนจะสูดกลิ่นจางๆที่เขาแสนคิดถึงจากหมอนนุ่ม เขาลูบหมอนช้าๆราวกับจินตนาการว่านี่คือแบคฮยอนที่เขาแสนคิดถึงและมันเป็นตอนนั้นเองที่เขาค้นพบอะไรบางอย่างใต้หมอนใบนั้น

     

                เทาหยัดตัวขึ้นก่อนจะหยิบมันออกมา เขาเป็นเด็กสมัยใหม่แต่กลับรู้จักของในมือเพราะเขาเคยเห็นว่าพ่อก็มีเจ้านี่อยู่บนโต๊ะทำงาน

     

                ทำไมพี่แบคฮยอนถึงเอาเครื่องบันทึกเสียงมาไว้ใต้หมอน?

     

                เด็กหนุ่มกดปุ่ม play อย่างไม่ใส่ใจนัก แต่บทสนทนาที่แล่นเข้าสู่โสตประสาททำให้เทาขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งฟังนานเท่าไหร่ก็ดูคล้ายว่าเขาความสงสัยจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

     

                เด็กหนุ่มจำได้ว่าเสียงของหนึ่งในสองนั้นเป็นเสียงของบยอน แบคฮยอน แต่เสียงทุ้มต่ำของอีกคนนั้นไม่คุ้นหูเขาเอาเสียเลย

     

                และชื่อที่แบคฮยอนเปล่งออกมาก็ยิ่งทำให้เทาไม่เข้าใจเรื่องราวที่ได้ฟังมากขึ้น มันเป็นชื่อของบุคคลที่เทามั่นใจว่าเขาไม่รู้จักคนๆนี้เป็นแน่

     

    ปาร์ค ชานยอลเป็นใคร?

     

                ความสับสนตีรวนในความรู้สึกของจื่อเทาจนเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เนื้อความที่ปาร์คชานยอลพูดในเครื่องบันทึกเสียงนั้นมีทั้งการข่มขู่ การใช้น้ำเสียงฟังดูมีอำนาจแต่บางครั้งก็ราวกับว่าเด็กหนุ่มจะรับรู้ความอ่อนโยนออกมาจากน้ำเสียงนั้นด้วย

     

                ฉันไม่ได้เป็นเกย์!’

    ถ้าแบบนายไม่เรียกว่าเกย์ แล้วควรเรียกว่าอะไรล่ะ?

              ฉะ...ฉันก็แค่รัก คนที่ฉันอยากจะรัก

     ‘รักคนที่อยากจะรักงั้นเหร?’ 

    ใช่ 

    มันหมายความว่ายังไง?’ 

    ก็...นายจะรักคนๆนั้นโดยที่สามารถมองข้ามทุกเหตุผลได้ แล้วก็เชื่อฟังแค่หัวใจของตัวเอง’ 

    แล้วถ้าคนๆนั้นเป็นคนที่เลวมากๆล่ะ นายจะรักรึเปล่า?

     

     

                แม้ว่าบางคำจะฟังดูกวนประสาทหรือบางครั้งก็ฟังดูบีบบังคับ แต่ประโยคที่เทาได้ยินเมื่อครู่นั้นทำให้เขารู้สึกราวกับว่าชานยอลไม่ได้อยากถามแบคฮยอนว่าจะรักคนเลวได้รึเปล่า

     

                แต่เขาคิดว่าชานยอลอยากจะถามว่า แล้วถ้าคนๆนั้นเป็นฉันล่ะ นายจะรักรึเปล่า?” เสียมากกว่า

     

              เพราะมันเป็นประโยคที่ครั้งหนึ่งเด็กหนุ่มเองก็เคยคิดที่จะถามบยอน แบคฮยอนเช่นกัน...

               

                ทั้งๆที่เขารู้จักกับแบคฮยอนก่อนใครอื่น ได้เห็นการเติบโตของพี่ชายคนสนิทและรู้หัวใจตัวเองว่ารักแบคฮยอนแค่ไหน

     

                เด็กหนุ่มรู้ตัวเองตั้งนานแล้วว่าเขารักแบคฮยอนในรูปแบบที่ไม่ใช่พี่ชายและน้องชาย

     

    แต่หวงจื่อเทาก็ทำได้เพียงแค่ยืนมองเมื่อตอนที่แบคฮยอนคบกับอี้ฝาน เขาทำได้แค่ยิ้มให้แบคฮยอนยามที่พี่ชายคนสนิทบอกว่าจะไปนอนบ้านของคนรักและเขาเองไม่มีโอกาสแม้แต่จะรั้งไว้เลยด้วยซ้ำ

     

    เขาเคยเสียแบคฮยอนให้อู๋ อี้ฝานไปแล้ว และคราวนี้ก็คงจะเป็นปาร์ค ชานยอล

     

                น้องชายคือกรอบที่เขาสมควรอยู่ เป็นฐานะที่เขาสมควรเป็น และไม่เคยมีเลยซักครั้งที่เด็กหนุ่มจะเรียกร้องในเมื่อแบคฮยอนไม่เคยรู้สึกเช่นเดียวกับเขา

     

                ป๊าทำถูกแล้วใช่ไหมแคนดี้? ป๊าควรจะเก็บไอ้เครื่องนี้ไว้ใช่ไหม? พี่แบคฮยอนคงไม่สบายใจแน่ถ้ามันไปอยู่กับคนอื่นใช่ไหมแคนดี้?

     

                เด็กหนุ่มพึมพำกับแคนดี้ก่อนที่รถเมล์จะมาจอดตรงหน้า เขาลุกขึ้นก่อนที่จะก้าวขึ้นไปอย่างช้าๆเพื่อมุ่งหน้าไปสู่บ้านของคนที่เขารัก

     

                ความรักบางครั้งก็ไม่ใช่การครอบครอง แต่เป็นการที่ได้ทำอะไรดีๆเพื่อคนที่รัก แม้จะเพียงน้อยนิดแต่จื่อเทาก็ยินดีที่จะทำ

     

                แม้ว่าตัวเองจะไม่ใช่คนที่แบคฮยอนเลือกแต่จื่อเทาก็พยายามที่จะไม่ให้ตัวเองมีแม้แต่น้ำตาซักหยด เพราะเขาได้ให้สายฝนในแต่ละวันร้องไห้แทนเขาไปแล้ว

     

    ด้วยเหตุผลนั้นจื่อเทาจึงยอมปล่อยหัวใจของตัวเองไป เขายอมปล่อยแบคฮยอนไป เพื่อให้รักกับคนที่แบคฮยอนเป็นผู้เลือกด้วยตัวเอง

     

     

     

                ผมกลับมาถึงบ้านตอนที่นาฬิกาบอกว่าเป็นเวลาสิบโมงแล้ว คุณคิมไม่อยู่ที่หน่วยเพราะถูกเรียกตัวไปเรื่องคดีฆาตกรรมอำพรางที่สน.กังนัมและนั่นทำให้การคุยกันของเราถูกเลื่อนไปเป็นเย็นนี้

     

                ทันทีที่ผมเดินเขาไปในหน่วย แน่นอนว่าทุกคนต่างตกใจและทำท่าว่าจะพุ่งเข้ามาจับแต่เป็นเพราะอี้ฝานที่เดินอยู่ข้างกับผมด้วยจึงทำให้ทุกคนทำได้เพียงแค่มองอย่างข้องใจ ผมยังไม่ได้อธิบายให้ใครรู้และอี้ฝานเองก็คิดว่าเราควรคุยกับคุณคิมก่อนนั่นจึงทำให้ทุกคนก็ยังคงสงสัยต่อไปว่าเหตุใดวายร้ายอย่างผมถึงเดินเข้าไปในสตาสได้อย่างหน้าตาเฉย

     

     ประตูบ้านที่ไม่ได้ล็อคทำให้ผมรู้ว่าแบคฮยอนกลับมาแล้ว ผมใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยหลังจากที่คิดได้ว่าเขาอาจจะกลับมาเพื่ออาบน้ำแล้วจคงจะกลับไปยังโรงพยาบาลอีกครั้ง ผมคิดว่ายังไงแล้วเขาก็คงไม่ยอมปล่อยให้คิมจงอินเผชิญกับความยากลำบากเพียงคนเดียว

     

    ผมยังไม่รู้ว่าอีแทมินมีความเกี่ยวข้องยังไงกับคิมจงอินแต่ผมเดาว่าอาจจะเป็นญาติเพราะสังเกตจากโครงหน้าที่คล้ายคลึงกันแล้ว องค์ประกอบของร่างกายก็ยังดูคล้ายกันอีกด้วย

     

                กลับมาแล้วเหรอ?

     

                ทันทีที่ผมเดินเข้าไปในบ้านแบคฮยอนก็ถามด้วยคำถามที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นการชวนคุยมากกว่าต้องการคำตอบ

     

                “ฉันซื้อจาจังมยอนมาเผื่อนายด้วย แต่ไม่รู้ว่านายจะกลับมาเมื่อไหร่ก็เลยเอาใส่ไว้ในตู้เย็นอ่ะ ถ้าจะกินก็เวฟเอานะ อ้อ แล้วก็มีข้าวผัดไก่เกาหลีด้วยนะ เผื่อว่านายจะไม่อิ่ม นั่นแหละ อย่างที่นายรู้ว่าฉันทำกับข้าวไม่เป็น ก็...เวฟเอาละกัน

     

                “…”

     

                “นายก็ยังไม่ได้อาบน้ำใช่ไหม? รีบๆไปอาบล่ะเดี๋ยวก็เป็นหวัด ฉันไม่อยากอยู่ร่วมกับคนที่แพร่เชื้อหรอกนะ

     

                ผมเดินเข้าไปใกล้แบคฮยอนที่กำลังจัดผมตัวเองอยู่หน้ากระจก เขาไม่รู้เลยหรือว่าที่เขาพูดมาทั้งหมดเมื่อครู่มันทำให้ผมอยากยิ้มออกมามากแค่ไหน

     

                มันเหมือนกับว่าเรากลับมาจากที่ทำงาน แล้วก็มีใครบางคนรอเราอยู่ที่บ้าน เตรียมอาหาร เตรียมความอบอุ่นไว้ให้ถึงแม้จะเป็นไปอย่างเงอะๆงะๆก็ตาม

     

              แต่นี่แหละคืออะไรที่ผมต้องการมาทั้งชีวิต

     

                ทั้งๆที่ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแบคฮยอนยังไม่ถึงขั้นที่จะเรียกได้ว่าคนรัก แต่บางการกระทำของเราทั้งสองก็ไม่ต่างจากคู่รักเท่าไหร่และผมรู้ตัวเองดีว่าผมรู้สึกกับแบคฮยอนมากแค่ไหน

     

                แค่รอให้ทุกอย่างมันลงตัวกว่านี้ ผมจะเป็นคนทำให้ความสัมพันธ์ของเราชัดเจนเอง

     

                “ฉันอาบมาแล้ว

     

                “หือ ไปอาบที่ไหน?

     

                ผมไม่ได้ตอบเขาแต่ทำเพียงแค่เดินไปทิ้งคางของตัวเองไว้กับไหล่เล็กๆแล้วกอดเอวแบคฮยอนเอาไว้ เขาสะดุ้งน้อยๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ซึ่งนั่นทำให้ผมเอ็นดูคนในอ้อมแขนมากขึ้นไปอีก กลิ่นหอมอ่อนๆของแบคฮยอนทำให้ผมรู้ว่าเขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จได้ไม่นาน เราสบตากันผ่านกระจกและเป็นตอนนั้นเองที่ผมเห็นประกายความหม่นหมองฉายออกมากจากดวงตาเรียว

     

                ผมจะไม่ถามว่าเขาเป็นอะไรเพราะผมรู้อยู่แล้ว แบคฮยอนแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้าเสมอและผมรู้ว่าเขาไม่สบายใจเกี่ยวกับเพื่อนของเขา...คิมจงอิน

     

                อยากต่อยฉันไหม?

     

    ผมถามและนั่นเองที่ทำให้คิ้วเรียวของคนตรงหน้าเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ

     

    ต่อยฉันไง เพราะฉันเป็นไนท์แมร์ นายคงโมโหน่าดูที่ไนท์แมร์อย่างฉันทำให้เพื่อนนายเป็นแบบนั้น เร็วเข้า ต่อยเลย ต่อยจนกว่านายจะพอใจ

     

                ผมปล่อยเขาออกจากอ้อมกอดก่อนที่แบคฮยอนจะหันหน้ามาหาแล้วมองหน้าผมอย่างสงสัย เขาคงคิดว่าผมเป็นบ้าอะไรล่ะมั้งที่อยู่ๆก็ให้ต่อยแบบนี้ แต่ถ้ามันจะเป็นการให้เขาได้ระบายอารมณ์ออกมาบ้างมันก็ดีกว่าการที่แบคฮยอนจะเศร้าซึม

     

                ฉันหมัดหนักนะ

     

                “ฉันรู้ หนักเหมือนโดนสำลีฟาดหน้าเลย

     

                “ย่าห์..

     

                ผมหัวเราะเบาๆกับหน้าตาบูดบึ้งของคนตรงหน้า หมัดของแบคฮยอนหนักสมราคาคุยจริงๆและผมเคยได้ลิ้มรสมันมาแล้วเวลาที่เขาแค่จะทุบผมหรืออะไรก็เถอะ มันเจ็บพอดูแต่ผมไม่เคยปริปากบ่น

     

                เตรียมโหนกแก้มซ้ายไว้ได้เลยปาร์คชานยอล

     

                แบคฮยอนหักนิ้วดังกร๊อบแกร๊บ ผมรู้ว่าเราต่างก็แค่พยายามทำตัวไร้สาระเพื่อลบความรู้สึกแย่ในใจ แบคฮยอนไม่ใช่คนที่จะมายอมต่อยผมเพื่อระบายอารมณ์ คนอย่างแบคฮยอน ถ้าใครทำให้เขาเจ็บเขาก็คงจะไปเอาคืนที่คนๆนั้น

     

                จะต่อยแล้วนะ

     

                แบคฮยอนง้างหมัด ผมหลับตาลงเมื่อกำปั้นนั้นพุ่งเข้ามาหา แต่สัมผัสที่ได้รับมันไม่ใช่ความเจ็บที่โหนกแก้มซ้ายอย่างที่แบคฮยอนขู่เอาไว้ แต่กลับเป็นสัมผัสหนักๆที่หน้าอก

     

                เปล่า ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บ แบคฮยอนไม่ได้ต่อยหน้าอกผม กลับกัน เขาทำเพียงแค่ซบหน้าผากลงมา ผมลืมตาขึ้นก่อนจะพบกลุ่มผมอยู่ที่ปลายคางของตัวเอง กลิ่นหอมๆนั่นทำให้ผมก้มลงไปจุมพิตอย่างห้ามใจไม่อยู่

     

                แบคฮยอนเข้มแข็งเกินกว่าที่จะร้องไห้ แต่ท่าทางอ่อนล้าที่แสดงออกก็ทำให้เขาที่ตัวเล็กอยู่แล้วดูเปราะบางมากกว่าที่เคยเป็น เขาเป็นแค่ผู้ชายตัวเล็กๆที่แบกรับอะไรหลายอย่างเอาไว้ ทั้งการเลี้ยงดูครอบครัว ทำหน้าที่เพื่อชาติและโรคโฟเบียที่เขาต้องเผชิญ มันทำให้ผมทั้งสงสารและอยากปกป้องเขาไปในคราวเดียวกัน

     

                “บางทีฉันก็คิดนะว่านายเป็นใคร

     

                เขาพูดอู้อี้อยู่กับแผ่นอก ผมวาดมือจะไปกอดเขาไว้แต่แบคฮยอนฟาดแขนผมดังเพี้ยะ ผมจึงจำต้องยืนนิ่งๆให้เขาซบอยู่แบบนั้น

     

                นายเป็นไนท์แมร์แต่กลับมีอะไรหลายๆอย่างที่บอกกับฉันว่านายไม่ใช่ นายไม่ได้เลวร้ายแบบนั้น นายเป็นใครเหรอชานยอล บอกฉันได้ไหม?

     

     

                ผมรู้ว่าที่ผ่านมาแบคฮยอนรู้สึกอย่างไรบ้าง ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกแย่ที่ทำให้เขาต้องรู้สึกแบบนั้น แต่ด้วยหน้าที่ผมจึงไม่อาจบอกตัวตนของตัวเองได้

     

    แต่อีกไม่นานหรอก...แบคฮยอนจะไม่ต้องรู้สึกแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

     

                ผมขอแค่เวลา ไม่แน่ว่าพ้นเย็นนี้ไป แบคฮยอนอาจจะรู้เรื่องราวทุกอย่าง เขาอาจจะโกรธที่ผมปิดบังเขามานาน มันอาจทำให้เขาดูเหมือนคนโง่ แต่อย่างน้อยผมอยากให้เขารู้ความจริงจากปากของผมเอง

     

                “ฉันเคยดูหนังซอมบี้เรื่องหนึ่ง ในแต่ละภาคมีตัวละครที่ต้องตาย มันเศร้านะที่ต้องมาเห็นใครตายไปแบบนั้น แต่ทุกคนก็ยังคงมีความหวัง

     

                “...ผมเงียบเพื่อฟังสิ่งที่แบคฮยอนพูด เขาคงเก็บความสงสัยและความเหนื่อยล้าไว้นานแล้วและมันเป็นธรรมชาติที่วันหนึ่งมนุษย์เราก็ต้องระบายมันออกมา เขาหยิบยกหนังออกมาเปรียบเปรยและหนังที่เขาว่าอาจจะหมายถึง อืม...วอล์คกิ้งเดธล่ะมั้งไม่ก็คงจะเรสซิเดนท์อีวิล

               

                “และฉันเองก็ยังไม่ได้ตายในตอนนี้ ดังนั้น ฉันจึงพยายามจะไม่หมดหวังว่าวันหนึ่งนายจะบอกให้ฉันรู้ ว่านอกเหนือจากการเป็นไนท์แมร์แล้ว ตัวตนของนายเป็นยังไงบ้าง

     

                “…”

               

    แต่ความคิดอีกอย่างกลับบอกฉันว่าในความจริงแล้วภายใต้ความหวังมันก็มีความเจ็บปวดซ่อนอยู่เสมอนั่นแหละ

     

                “…”

     

                “แล้วก็ไม่ใช่ทุกๆความหวังหรอกนะที่จะเป็นอย่างที่ใจคิดเสมอไป เพราะแบบนั้นฉันจึงพยายามที่จะไม่รู้สึกดีกับนายไปมากกว่านี้ แต่ชานยอล...ฉันทำไม่ได้

     

                “…ทำไมอยู่ๆพูดแบบนี้ ไปเจออะไรมารึไง? เขาส่ายหัวก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตา ผมไม่รู้ว่าผมเคยชมเขาไหม แต่หางตาตกๆกับเวลาที่เขาทำหน้าหงอยๆแบบนี้มันทำให้แบคฮยอนดูน่ารัก

     

    ใช่ น่ารักเป็นบ้า

     

    อีกไม่นานหรอกนะแบคฮยอน นายจะได้รู้ทุกอย่าง อีกไม่นาน

     

    ผมลูบหัวเขาและแบคฮยอนทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ เขาไม่ถามว่าผมไปไหนมาถึงได้กลับมาเอาตอนนี้ เขาไม่ถามว่าทำไมผมจึงไปโผล่เข้าไปช่วยแทมิน เขาคงรู้ดีว่าถ้าผมอยากให้เขารู้ผมจะเป็นฝ่ายบอกเอง มันเหมือนกับว่าเราค่อยๆเรียนรู้และมันทำให้เข้าใจอีกฝ่ายโดยที่ไม่ต้องแสดงออกมาเป็นคำถาม การกระทำของผมและแบคฮยอนเป็นตัวสอนให้เราเข้าใจในนิสัยของกันและกัน

     

    ตอนนั้นเองที่ผมเห็นความผิดปกติ เสื้อของแบคฮยอนดูแปลกตากว่าที่เคยและไม่กี่วินาทีผมก็หายสงสัย

     

    แบคฮยอนใส่เสื้อกลับด้าน

     

     นาย...ใส่เสื้อผิดด้าน

     

                ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรีบร้อนหรืออะไรกันแน่ที่ทำให้แบคอยอนใส่เสื้อผิดแบบนี้ แต่มันก็เป็นมุมน่ารักๆอย่างหนึ่งและใบหน้าของแบคฮยอนตอนที่เขินอายมันก็ดู...อืม...น่าหมั่นเขี้ยว ใช่ ผมคงต้องใช้คำๆนี้

     

    เสื้อยืดของแบคฮยอนถูกถอดออกแล้วใส่ใหม่ให้ถูกต้อง ชั่วขณะหนึ่งที่ผมเห็นยอดอกและผิวขาวๆของเขามันทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบไปทั้งร่าง

     

                แบคฮยอนก็เป็นผู้ชายแบบนี้อยากถอด อยากใส่ตรงไหนก็ทำ ชอบใส่เสื้อกล้าม ชอบโชว์เรือนร่างของตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว ผมรู้ว่ามันไม่แปลกหรอกเพราะผู้ชายส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยอายอะไรต่อกันอยู่แล้ว

     

                แต่เขาลืมไปหรือเปล่าว่าผู้ชายอย่างผมคิดไม่ซื่อต่อเขาอยู่...

     

                ผมไม่ใช่คนที่อดทนอะไรได้นานนัก ยอมรับก็ได้ว่าแต่ละครั้งที่เราจูบกัน ผิวเนื้อและกลิ่นกายของแบคฮยอนมันกระตุ้นให้ผมอยากทำมากกว่านั้น แต่เพราะคำว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนผมจึงต้องหยุดแล้วจัดการกับบางอย่างที่ตื่นตัวด้วยตัวเอง

     

                สาบานเลยว่าถ้าแบคฮยอนเป็นผู้หญิงผมคงอดทนไม่ได้มาจนถึงตอนนี้

     

                ตอนนั้นเองที่เสียงข้อความเรียกให้แบคฮยอนเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา เขาอ่านมันเพียงครู่และนิ่งไปจนผมเดินเข้าไปหาเพื่อดูว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า แต่แบคฮยอนก็เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงแล้วหันมาพูดกับผมเสียก่อน

     

                จงอินส่งข้อความมาน่ะ ฉันคงต้องไปแล้ว

     

                ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจและไม่ได้ซักถามเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนดูรีบร้อนที่จะออกไป เขาคงกลับบ้านมานานแล้วและคงไม่ดีนักที่จะปล่อยจงอินไว้คนเดียว ผมเดินเข้าครัวไปในระหว่างที่แบคฮยอนกำลังใส่รองเท้า ตอนนี้เพิ่งจะเป็นช่วงสายเท่านั้น อีกหลายชั่วโมงกว่าที่ผมจะได้พบกับคุณคิม

     

                แบคฮยอนออกไปแล้วก่อนที่ผมจะอุ่นจาจังมยอนตามที่เขาบอก ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านของอี้ฝานมาก่อนหน้านี้ เสื้อที่ผมใส่อยู่ก็เป็นของเขา เราใส่เสื้อผ้าไซส์เดียวกันและแบคฮยอนคงไม่ได้สังเกต

     

                ผมเดินมานั่งที่โซฟา เรื่องที่เอสรู้แผนของผมแล้วสร้างความกังวลจนผมรู้สึกหนักที่หัวใจ เหมือนว่าผมมีภาระเพิ่มและเรื่องราวมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คาดหวังไว้

     

    ตอนนั้นเองที่ลางสังหรณ์บางอย่างสั่งให้ผมเหลือบตาไปมองที่ลิ้นชักซึ่งเป็นที่บรรจุปืนของแบคฮยอนเอาไว้ มันปิดไม่สนิททั้งๆที่ผมจำได้ว่ามันถูกล็อคไว้อย่างดีและนั่นเองที่ทำให้ผมลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและภาวนาว่าสิ่งที่ผมคิดมันจะไม่เป็นจริง

     

                ปืนไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว...

     

                ผมรับรู้ว่ามันผิดปกติ แบคฮยอนไม่ใช่คนที่พกปืนไปทั่ว และการที่เพียงแค่เขาจะไปโรงพยาบาลมันก็ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องพกปืนไปเช่นนี้

     

    บางทีแบคฮยอนอาจจะไม่ได้ออกไปหาจงอินอย่างที่บอกผมเอาไว้

     

                ผมกดโทรหาแบคฮยอนด้วยความร้อนใจแต่เขาปิดเครื่องไปแล้ว นั่นยิ่งเป็นสิ่งทำให้ข้อสงสัยของผมชัดเจนขึ้น เขาไม่ได้ไปหาจงอิน ผมมั่นใจ แต่ผมไม่รู้ว่าเขาไปไหนและมันทำให้ผมหงุดหงิดแทบบ้า

     

                บ้าเอ๊ย!” ผมสบถก่อนจะรีบโทรหาอี้ฝานเพื่อตรวจสอบว่าเขานัดแบคฮยอนออกไปเหมือนเมื่อเช้าอีกหรือไม่

     

                มึงนัดแบคฮยอนไปไหนอีกรึเปล่า?ผมไม่เปิดโอกาสให้อี้ฝานพูดเลยด้วยซ้ำ ความร้อนใจทำให้ผมขมวดคิ้วแน่นและคำตอบของอี้ฝานก็ทำให้ผมรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก

     

                [เปล่า ทำไมวะ?]

     

    ผมกดวางสายโดยไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อนรักก่อนจะหยิบกุญแจรถ เหมือนว่ามีกองไฟสุมอยู่ในหัวใจของผม มันกำลังเผาไหม้และทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง

     

    ผมสูญเสียความเป็นตัวเองไปเพียงแค่รู้ว่าแบคฮยอนอาจจะออกไปทำเรื่องอันตรายและผมคงยอมไม่ได้ที่จะให้มันเป็นไปแบบนั้น

     

                เหมือนกับว่าร่างกายของผมไม่ได้ขับเคลื่อนเพราะสมองสั่งการ แต่เป็นเพราะความเป็นห่วงต่างหากที่ทำให้ผมทะยานดูคาติออกไปด้วยความไวเช่นนี้

     

                แบคฮยอน นายไปไหนกันแน่?

     

    (end chanyeol’s part)

     

     

    TBC

    แบคฮยอนไปซื้อน้ำปลาหน้าปากซอย เราใช้ไปเองแหละ สบายใจได้ๆ

    แบคฮยอนเสน่ห์แรงไหม ก็นิดนึง... เราชอบให้แบคฮยอนถูกรุมรัก อย่างที่ทุกคนคิดตั้งแต่แรกอ่ะ เทาคิดไม่ซื่อแอบรักพี่ชาย

    เรารู้ว่าหลายๆคนลืมไปแล้วล่ะ ว่าแบคเคยอัดเสียงชานยอลกับตัวเองสมัยที่ยังไม่เชื่อใจอ่ะ ตอนแชป6-7

    แต่ก็นั่นแหละ พี่เทาสอยเครื่องบันทึกเสียงไปอยู่ในมือละ

    ไม่รู้ว่ายาวอะไรขนาดนี้ นี่ฟิคหรือสันหลังเรากันแน่ ชักสงสัย ยาวกว่าผมเราอีก เราจึงแยกพาร์ทเพื่อป้องกันการอ้วกของทุกคน ขอบคุณที่อ่านนะคะ :D

    Up : 04/07/2015 #ficsee2b

     

               

     

               

               

     

     

     

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×