คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : - CH 13 : hard -
It's difficult not impossible
แค่ยากไม่ใช่เป็นไปไม่ได้
คุณคงรู้ ว่าผมหมายถึงความรักระหว่างเรา
.
.
.
.
แบคฮยอนไม่แน่ใจว่าชานยอลเพียงแค่จูบหรือกำลังทำให้เขาจมน้ำกันแน่
คนตัวเล็กรู้สึกคล้ายว่าจะหายใจไม่ออก ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆและสิ่งสุดท้ายก็คือการจมไปกับรสสัมผัสที่ชานยอลเป็นผู้มอบให้
ความอ่อนหวานนี้กินเวลาเพียงไม่นาน เป็นความละมุนละไมที่เกิดขึ้นเพียงแค่หนึ่งช่วงลมหายใจแต่ตราตรึงยิ่งนักในความรู้สึกของทั้งสอง
เกิดความเงียบเมื่อริมฝีปากของพวกเขาผละออกจากกัน แบคฮยอนไม่แม้แต่จะเงยหน้าสบตากับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ต่างจากชานยอลที่มองในทุกๆการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้า ไหล่เล็กที่สั่นน้อยๆกับแก้มขาวที่ขึ้นสีระเรื่อก่อให้เกิดกระแสของความเอ็นดูแล่นไปทั่วทั้งร่าง กระนั้น สิ่งที่ชานยอลทำก็เป็นแค่การเชยคางเรียวของคนที่ทำตัวน่ารักเกินกว่าปกติให้เงยหน้าเพื่อสบตาเพียงเท่านั้น
แบคฮยอนคนที่วางท่าอวดดีมาตลอดถูกแทนที่ด้วยแบคฮยอนที่ทั้งประหม่าและสับสน ดวงตาเรียวที่กะพริบถี่เพราะหัวใจยังคงทำงานหนักนั้นเป็นตัวบ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่าเขาไม่ได้เฉยชากับจูบเมื่อครู่
“นายรู้รึยังว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา?” เสียงทุ้มห้าวทำให้แบคฮยอนลืมการหายใจไปชั่วขณะ ในเสี้ยววินาทีนั้นเขารู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินถ่วงริมฝีปากเอาไว้ มันหนักเกินกว่าที่จะเอื้อนเอ่ยและคิดว่าคงดีซะกว่าที่จะปล่อยให้คำถามนั้นถูกละเลยไปโดยไร้ซึ่งคำตอบ
แต่ภายในใจของแบคฮยอนกลับมีคำตอบอัดแน่นอยู่ในนั้น มันสั่นระรัวและส่งเสียงดังก้องราวกับระฆังจากหอคอยซักแห่ง เหมือนกับว่ามันกำลังกดดันเขาให้ตอบคำถามออกไปและตอกย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อหัวใจเขาอย่างไรบ้าง
รู้
คือคำตอบที่เขามีให้กับชานยอล
แบคฮยอนรู้ดีว่าได้เผลอมอบบางสิ่งให้แก่ชานยอล ไม่ว่าจะยามเมื่อคนตัวสูงประทับจุมพิตหรือแม้แต่ตอนที่ถอนจูบออกไปแล้วก็ตาม เขาได้ทำบางสิ่งหลุดลอยไปหาร่างสูงแต่ร่องรอยของมันนั้นกลับประทับหนักแน่นอยู่ในหัวใจของเขา
เขาได้เผลอมอบความหวั่นไหวให้แก่ชานยอลไปแล้ว
แบคฮยอนรู้ว่าที่ชานยอลทำลงไปก็เพื่อพิสูจน์ความรู้สึกทั้งของเขาและของคนตัวสูงเอง เขาเข้าใจดีว่าความหวั่นไหวนี้จะผันเปลี่ยนไปเป็นอะไร แน่นอน เขาตระหนักถึงทุกๆความรู้สึกที่เกิดขึ้น แบคฮยอนไม่ได้อ่อนต่อโลกจนไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่นั้นคืออะไร
เพียงแค่แบคฮยอนอยากให้ทุกอย่างชัดเจนกว่านี้
ชัดเจนจนกว่าจะแน่ใจว่าสิ่งนี้...คือความรัก
“ฉันจะคิดว่าการเงียบคือคำตอบก็แล้วกัน”
ร่างสูงเอ่ยออกไปแบบนั้นก่อนจะปล่อยคางเรียวให้เป็นอิสระ เขาไม่ได้ต้องการคาดคั้นคำตอบจากแบคฮยอนเพราะรู้ดีว่าในตอนนี้คนตัวเล็กรู้สึกยังไง เขาเพียงแค่อยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง สมควรที่จะพัฒนาต่อไปหรือหยุดไว้ตั้งแต่ตอนนี้
ชานยอลยอมรับว่าสิ่งที่ทำอาจจะดูรวดเร็วไปซักหน่อย แต่เขาไม่ชอบความไม่ชัดเจนโดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แม้ว่าเท่าที่ผ่านมา แบคฮยอนจะแสดงท่าทีต่อต้านมาโดยตลอด แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคนตัวเล็กเองก็เกิดความรู้สึกประหลาดเช่นเดียวกับเขา
ชานยอลเข้าใจดีว่าไม่ควรสร้างพันธะหรือมีความรู้สึกพิเศษต่อใครทั้งๆที่ยังปฏิบัติหน้าที่สำคัญเช่นนี้
แต่คนเราจะห้ามตัวเองไม่ให้รักคนที่หัวใจเลือกแล้วได้ยังไง?
แม้ว่าความรักระหว่างเขาและแบคฮยอนอาจจะดูเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน...แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ซะเมื่อไหร่
“นี่” แบคฮยอนเอ่ยสั้นๆเพื่อเรียกคนตัวสูง ดวงตาเรียวคู่นั้นถูกเคลือบไปด้วยความสั่นไหว แต่ท่าทางทะนงตนก็ยังคงเป็นสิ่งที่เขาเลือกแสดงออก “เราจะหนีกันได้รึยัง?”
ชานยอลเลิกคิ้วหลังจากฟังคำถามนั้น มือที่กอบกุมกันจนชื้นเหงื่อถูกปล่อยอย่างง่ายด่ายเพียงแค่คนตัวเล็กดึงข้อมือออกมา
แบคฮยอนอยากจะบ้าตาย เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแท้ๆกลับมาจูบเพื่อพิสูจน์ความรู้สึกบ้าบอเนี่ยนะ ตลกมากไหมล่ะ !
“โอเค งั้นก็ว่าแผนของนายมาสิ” ไม่ว่าอะไรจะดลใจให้ชานยอลทำเช่นนั้นกับเขาก็ตาม แต่แบคฮยอนไม่อยากยอมรับเลยว่าชานยอลมีชั้นเชิงในการจูบอย่างร้ายกาจ คนตัวสูงรู้ว่าต้องหนักหน่วงหรืออ่อนโยนจังหวะใดจึงจะทำให้คนน้อยประสบการณ์กว่าคล้อยตามได้
มันน่าเจ็บใจตรงที่แบคฮยอนเผลอคล้อยตามนี่แหละ...
“ฉันคิดว่าเราควรจะออกที่ประตูด้านหลังของชั้นหนึ่ง มันน่าจะใช้เวลาประมาณสองนาทีที่จะเดินไปถึงลานจอดรถ”
คนตัวสูงพยักหน้าคิดตามทั้งๆที่ภายในใจนึกขำแบคฮยอนไม่น้อย ก็ดูสิ ทำเป็นพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึมเพื่อต้องการเปลี่ยนเรื่องแต่แก้มนุ่มสองข้างรวมทั้งใบหูขาวนั้นกลับแดงระเรื่อซะจนอยากล้อเลียนให้ได้อายกันไปข้าง
ชานยอลเข้าใจว่าแบคฮยอนก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง แต่ไอ้การทำเป็นเคร่งเครียดกลบความเขินอย่างนี้มันก็ทำให้เขาเกิดความเอ็นดูอย่างช่วยไม่ได้
“นายขับรถเป็นไหม?”
คนตัวเล็กพยักหน้าถี่ๆเป็นการตอบคำถาม ซึ่งการกระทำเหล่านั้นได้ก่อให้เกิดรอยยิ้มขึ้นภายในใจของคนตัวสูง ชานยอลไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดช่วงหลังๆมานี้เขาจึงอารมณ์ดีนักเมื่ออยู่กับแบคฮยอน บางสถานการณ์ที่ควรกดดันกลายเป็นความผ่อนคลายเสียอย่างนั้นเพียงแค่มีแบคฮยอนอยู่ข้างกาย จากคนเฉยชาเริ่มมีรอยยิ้มมากขึ้น คล้ายว่าเขาได้สูญเสียบางอย่างไป
ชานยอลคิดว่าเขาได้สูญเสียความเป็นตัวตนให้กับแบคฮยอนไปเสียแล้ว
“งั้นเอานี่ไป” กุญแจรถถูกยัดใส่มือเรียวโดยที่เจ้าของไม่ทันตั้งตัว แบคฮยอนขมวดคิ้วแน่นส่งสายตาเป็นคำถาม “พวกตำรวจคงยังจำหน้านายไม่ได้ เพราะงั้นนายจึงต้องไปเอารถมารับฉันแทน ส่วนฉันจะรีบหนีไปรอที่หน้าทางออกใหญ่ มีเวลาห้านาทีนะ ทำได้ไหม?”
“จะพยายาม” แม้ว่าแบคฮยอนจะไม่มั่นใจนักว่าเขาจะทำทุกอย่างตามที่ชานยอลบอกได้หรือไม่ แต่เขาเห็นด้วยกับแผนของคนตัวสูงทุกประการ มันคงดีกว่าถ้าจะให้เขานำรถมารับชานยอลเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับไปทั้งสองคน
“ฉันจะรอนะ”
แบคฮยอนพยักหน้ารับคำก่อนจะออกไปจากบันไดหนีไฟ สิ้นเสียงปิดประตูของคนตัวเล็ก ชานยอลจึงล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากอี้ฝาน พวกเขาเคยตกลงกันไว้แล้ว ว่าถ้าเมื่อใดที่เขาถูกตำรวจหรือหน่วยงานใดก็ตามตามจับกุม อี้ฝานจะเป็นผู้เจรจาให้เองว่าชานยอลไม่ใช่ผู้ร้ายและจะทำการกำชับให้ตำรวจเหล่านั้นปิดข่าวเรื่องที่พบกับชานยอลอีกด้วย
ชานยอลตัดสินใจเดินลงบันไดไปจนถึงชั้นหนึ่ง ตำรวจคงกระจายกำลังเพื่อเตรียมจับเขาไว้แล้ว แม้ว่าจะมีอี้ฝานที่ช่วยเขาได้ แต่การถูกจับกุมก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและเสียเวลา สิ่งที่ต้องทำก็คือการหนีจนกว่าเพื่อนรักจะเจรจากับพวกตำรวจได้สำเร็จ
ดวงตาคมมองซ้ายขวาก่อนจะออกมาจากประตูด้วยท่าทีที่เป็นปกติที่สุด แต่เพียงแค่ไม่ถึงสิบก้าว สายตาก็สบเข้ากับตำรวจสองนายที่ยืนดักรออยู่ก่อนแล้ว
“โถ่เว้ย !”
เขาสบถเบาๆก่อนขายาวทั้งสองข้างจะทำการวิ่งหนีไปตามทางเดิน ชานยอลรู้ว่าการเอาชนะตำรวจสองนายนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขาไม่อยากทำร้ายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเดียวกัน เขาคิดเสมอว่าการใช้หมัดควรใช้กับพวกคนเลวจะดีกว่า
“พบปาร์คชานยอลที่ชั้นหนึ่ง กำลังมุ่งหน้าไปที่ทางออก ดักรอไว้ด้วย!”
เสียงสั่งการเป็นตัวเร่งให้ร่างสูงเคลื่อนตัวเร็วขึ้น เขาวิ่งมาจนถึงประตูทางออกพร้อมๆกับตำรวจอีกนับสิบนายที่วิ่งมาจากทุกทิศทางเพื่อจับตัวเขาไว้
ราวกับเวลาได้ถูกวางจังหวะของมันไว้แล้ว...
เอี๊ยดดดดด!!!
“ชานยอล เร็วเข้า!!”
เพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนที่เหล่าตำรวจจะถึงตัว ออดี้คันคุ้นตาก็พุ่งทะยานมาตรงหน้า ก่อนน้ำเสียงที่คุ้นเคยจะทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขาควรดีใจไม่ใช่หรือที่แบคฮยอนยอมช่วยเขาถึงเพียงนี้?
ร่างสูงโปร่งแทรกตัวเข้าไปในรถที่คนตัวเล็กเปิดประตูไว้รออยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่แบคฮยอนจะเหยียบคันเร่งจนเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม ออดี้สีดำเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็วสูงและทิ้งไว้เพียงแค่ควันสีขาวจางๆจากการที่ล้อบดกับถนนเท่านั้น
“ขับช้าๆหน่อยก็ได้”
เสียงทุ้มเอ่ยบอกอย่างใจเย็นเมื่อออกห่างจากตัวโรงพยาบาลได้ระยะหนึ่งแล้ว เขารู้ว่าตำรวจคงไม่ตามมาได้ทันและอี้ฝานเองก็คงได้รับข้อความจากเขาแล้ว แต่แบคฮยอนนั้นยังคงว้าวุ่นใจ เขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ เป็นคนของสตาส แต่ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
กำลังช่วยให้คนร้ายหลบหนีได้อย่างนั้นเหรอ..?
“จอดรถก่อน เดี๋ยวฉันขับต่อเอง”
แม้ร่างสูงจะเอ่ยบอกแบบนั้นแต่แบคฮยอนไม่มีทีท่าว่าจะทำตาม หัวใจของเขายังคงเต้นระรัวเพราะความกังวล หากตำรวจจับพวกเขาได้ล่ะ? คนอื่นจะคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกับไนท์แมร์ด้วยหรือเปล่า? เกียรติยศของการเป็นเจ้าหน้าที่คงไม่เหลือชิ้นดีหากเขาถูกจับได้ จะมีคนซักกี่คนกันนะที่ผิดหวังในตัวเขา?
คำถามมากมายผุดขึ้นภายในห้วงความคิดของแบคฮยอน คนตัวเล็กไม่ปริปากพูดใดๆอีกทั้งยังขมวดคิ้วจนเห็นเส้นเลือดจางๆที่ขมับ การกระทำเหล่านั้นอยู่ในสายตาของชานยอลทุกอย่าง เขารู้ว่าแบคฮยอนคงจะกังวลและร้อนใจไม่น้อยที่ต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
คล้ายว่าความว้าวุ่นทั้งหมดจะถูกปัดเป่าเพียงแค่มือใหญ่ที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ถูกเคลื่อนมาเพื่อลูบหัวกลมของคนตัวเล็กราวกับต้องการปลอบประโลม เส้นผมนิ่มของแบคฮยอนเคลื่อนไหวช้าๆไปตามแรงสัมผัสนั้น
และมันเป็นเรื่องจริงที่ว่าการกระทำที่อ่อนโยนมักจะมาพร้อมกับคำพูดที่แสนหวานเสมอ
“ไม่ต้องคิดมากนะแบคฮยอน เชื่อฉันว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร”
เอี๊ยดดดด
แบคฮยอนจอดรถเข้าข้างทางพร้อมกับปัดมือใหญ่ออกไป แม้ว่าเขาจะรู้สึกดีต่อถ้อยคำเหล่านั้น แต่จะไม่ให้เขาคิดมากอย่างนั้นเหรอ ชานยอลคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?
“ทุกอย่างจะไม่เป็นไรงั้นเหรอ? เหอะ นายก็พูดได้นี่”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดแบคฮยอนถึงแสดงท่าทางฉุนเฉียวใส่ชานยอล แต่คนตัวสูงกลับไม่ได้มีทีท่าขุ่นเคืองแม้แต่น้อย กลับกัน สิ่งที่เขาทำคือการส่งมือของตัวเองไปหาคนตัวเล็กอีกครั้ง
และคราวนี้ชานยอลตั้งใจที่จะกอบกุมมือเล็กเอาไว้
“ทุกอย่างมันจะไม่เป็นไร”
“…”
“เชื่อฉันได้ไหมแบคฮยอน?”
แบคฮยอนรู้สึกว่ามีกระแสความอบอุ่นอันน่าประหลาดแล่นผ่านเข้าสู่ร่างกายของเขา มันไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างจนกระทั่งมารวมตัวกันอยู่ภายในหัวใจ
เขาคิดว่าตัวตนของชานยอลกำลังเข้ามาถึงหัวใจของเขาอย่างช้าๆ
ไม่เร่งรีบ ไม่รวดเร็ว แต่หนักแน่นและสุดแสนจะลึกซึ้ง
และเป็นอีกครั้งที่แบคฮยอนไม่เคยคิดเลยว่าชื่อที่ป้านาบีใช้เรียกเขาจนติดปากจะทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนจนหัวใจกระตุกได้เพียงแค่มันออกมาจากริมฝีปากหยักของคนร้ายกาจตรงหน้า
“ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้นะ”
“…”
“ไอ้ลูกหมา”
โดพามีนคือชื่อของฮอร์โมนที่หลั่งขึ้นยามที่คนเราได้อยู่ใกล้กับคนที่เรารู้สึกดีด้วยจนมันได้ชื่อว่าเป็นฮอร์โมนแห่งความรัก
เอ็นโดรฟินคือชื่อของฮอร์โมนที่หลั่งขึ้นยามเมื่อคนเราไม่มีความทุกข์และมีแต่ความอิ่มเอมใจจนมันได้ชื่อว่าเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข
แบคฮยอนคิดว่าฮอร์โมนทั้งสองชนิดนั้นแย่งกันหลั่งไหลเวียนอยู่ในร่างกายจนเขาแทบจะแยกไม่ออกว่าสิ่งใดที่มีมากกว่ากัน
แต่มันทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ความกังวลต่างๆค่อยๆจางหายไป เขารู้สึกเหมือนถูกร่ายเวทมนตร์ยามเมื่อชานยอลส่งยิ้มให้ เป็นยิ้มที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนและมันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนสั่นรัวไปทั้งอก
แบคฮยอนไม่ใช่ผู้ชายอ่อนหวานและไม่ใช่คนที่จะแสดงท่าทียอมแพ้ต่อใครง่าย ๆ แต่ ณ เวลานี้เขากลับยอมแพ้เอาเสียดื้อ ๆ ว่ามีฮอร์โมนเพียงชนิดเดียวที่ได้หลั่งอยู่ในหัวใจของเขา
ฮอร์โมนที่ชื่อว่า...ชานยอล
40 %
“ไปนอนได้แล้วนะลูก พรุ่งนี้ต้องเดินทางไม่ใช่รึไง?”
ป้านาบีเอ่ยบอกผมที่นอนอยู่บนตักก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านผมและชานยอลก็ไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ความเป็นปกติของเขาส่งผลให้ผมไม่แสดงท่าทีอะไรออกไปด้วย เราไม่ได้คุยกันแม้แต่คำเดียวหลังจากกลับมาจนกระทั่งตอนนี้ที่ผมเข้ามานอนเล่นในห้องป้านาบีได้ซักพักใหญ่แม้จะดึกแล้วก็ตาม
“ทำไมป้ารีบไล่ผมจังอ่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็ไม่ได้เจอกันแล้วนะ”
ผมแสร้งทำเป็นหงอยแล้วซุกหน้าลงกับตักอุ่นๆ อย่างที่คุณเข้าใจ พรุ่งนี้ผมต้องกลับโซลแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะถูกพักงานหนึ่งอาทิตย์แต่คล้ายว่าเวลาจะผ่านไปเร็วเหลือเกิน
“ป้าไม่ได้ไล่ แต่ถ้าพรุ่งนี้เราไม่ตื่นจะทำไงฮึไอ้ลูกหมา?”
“ก็กลับเย็นๆหน่อยก็ได้ หรือถ้าผมไม่ตื่นจริงๆก็ไม่ต้องกลับ อยู่ต่ออีกซักเดือนนึงไปเลย”
ป้านาบีหัวเราะเบาๆให้กับคำพูดที่เป็นไปไม่ได้ก่อนจะดันผมให้ออกจากตัก “ถ้าเราออกจากที่นี่ช้าก็จะไปถึงโซลช้า เราก็รู้แบคฮยอน ว่าป้าไม่อยากให้เดินทางตอนมืดๆ อุบัติเหตุน่ะมันเกิดในช่วงกลางคืนนี่แหละ”
“ขี้ระแวงจังเลยเนอะคนเรา” ผมอมยิ้มก่อนจะหอมแก้มป้าไปเสียหนึ่งที ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการบ่นแต่นัยยะของท่านคือความเป็นห่วงและความใส่ใจ ผมรู้ว่ามันอาจจะมากกว่าปกติทั้งๆที่ผมเป็นผู้ชาย แต่ผมไม่เคยอึดอัดกับความเป็นห่วงที่ป้ามีให้ผมเลยซักครั้ง เรามีกันแค่สองคนและผมเข้าใจป้านาบีเสมอว่าท่านรู้สึกยังไง “ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผมไม่ได้ขับกลับเองซักหน่อย ยังไงชานยอลก็พาผมกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยอยู่แล้ว หายห่วงได้”
“เชื่อใจเขาขนาดนั้นเชียว?”
รอยยิ้มของผมค่อยๆหายไปหลังจากสิ้นคำถามนั้น ผมรู้ว่าป้าหมายถึงเรื่องฝีมือการขับรถของชานยอล แต่สำหรับผม คำว่าเชื่อใจเหมือนอะไรซักอย่างที่พุ่งตรงปักกลางใจและทำให้สมองเริ่มประมวลเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ระยะหลังมานี้ผมได้เห็นหลากหลายแง่มุมของปาร์คชานยอล เขาเปิดเผยตัวตนผ่านการกระทำอย่างช้าๆ ผมเรียนรู้นิสัยของชานยอลได้โดยการมองเห็น เขาฉลาด มีไหวพริบ มีโป๊กเกอร์เฟซที่ซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เขามักมีแผนซ้อนแผนและก้าวนำหน้าผมไปหนึ่งก้าวเสมอ ผมคิดว่าชานยอลไม่ชอบความคลุมเครือแต่ตัวเขาเองกลับแสนลึกลับ มันเป็นความขัดแย้งที่ทำให้ผมสงสัยในตัวเขา
แต่ความสงสัยของผมค่อยๆถูกลบเลือน...มาระยะหนึ่งแล้ว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมไม่ได้คิดว่าเขาเป็นศัตรูแสนร้ายกาจเหมือนก่อนหน้านี้ แม้ผมจะพยายามเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเขาเป็นไนท์แมร์ แต่การกระทำของชานยอลกลับค่อยๆเปลี่ยนความคิดนั้นและทำให้ผมเริ่มที่จะมองเขาใหม่
เขาแสดงความปกป้อง เขามีสัญชาตญาณแห่งการช่วยเหลือ เขาไม่ทำร้ายใครก่อนและมีคุณธรรมเกินกว่าคนเลวทั่วไป บางครั้งการกระทำและฝีมือของเขาก็ทำให้ผมคิดว่าเขาไม่ใช่ผู้ร้ายอย่างที่เป็น ไม่รู้สิ บางที...ถ้าผมไม่รู้จักเขามาก่อน ผมอาจจะคิดว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ฝีมือดีก็ได้
“อ้าว ถึงกับเงียบไปเลยเหรอเรา?” ป้านาบีเอ่ยซ้ำ ดูท่าแล้วท่านคงไม่ได้ถามเพื่ออยากได้คำตอบว่าผมเชื่อใจชานยอลหรือไม่ แต่กลับเป็นผมที่คาดคั้นตัวเองเพื่อให้ได้คำตอบนั้น ผมไม่ได้เป็นคนหัวอ่อนที่จะยอมให้ใครเข้ามาปั่นหัวได้ง่ายๆ แต่กับชานยอล ทั้งๆที่เขาก็ยังคงความกวนประสาทไว้อย่างเคย แต่สัมผัสจากรสจูบและคำพูดที่แสนอ่อนโยนเหล่านั้นมันช่างปั่นหัวผมเหลือเกิน
และผมคงต้องยอมรับ ว่าผมได้เชื่อใจเขาไปมากกว่าครึ่งแล้ว อย่างน้อยก็ในฐานะที่เขาคอยปกป้องผม
“งั้น...ผมไปนอนแล้วก็ได้ มาครับเดี๋ยวผมห่มผ้าให้ ดึกๆแล้วมันจะหนาว”
สายตาเอ็นดูถูกส่งมาจากคนที่ผมรัก ผมปิดไฟแล้วบอกฝันดีท่านเบาๆก่อนจะออกจากห้องไป ตลอดทางเดินสั้นๆที่มุ่งหน้าสู่ห้องนอนของตัวเองผมกลับคิดถึงวันพรุ่งนี้ ถ้าผมกลับโซลไปแล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป ผมยังต้องอยู่บ้านชานยอลอีกหรือเปล่า แล้วไหนจะเรื่องภารกิจติดตามจองอึนจีอีก ถึงแม้ว่าระยะนี้เอสจะเงียบไปก็ตามแต่ผมกลับมั่นใจเหลือเกินว่าผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนั้นต้องมีแผนร้ายกาจอย่างคาดไม่ถึงรอท้าทายพวกเราอยู่อย่างแน่นอน
เห้อ ให้ตายเถอะ แค่คิดผมก็ปวดหัวจะบ้าแล้ว
“...”
เรื่องปวดหัวสิ้นสุดลงเมื่อผมเปิดประตู ชานยอลยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปยังวิวด้านนอก เส้นผมสีแดงของเขาโดดเด่นเสมอไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ก็ตาม ผมยืนโง่ๆอยู่หน้าประตูจนกระทั่งสายตาคมและใบหน้าได้รูปที่หันมามองจะเป็นตัวกระตุ้นให้ผมขยับกาย
ผมเดินผ่านเขาไปที่ฟูกนอน กลิ่นฉุนๆที่ลอยอยู่ในอากาศทำให้รู้ว่าชานยอลสูบบุหรี่ ผมแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มก่อนจะแอบมองเขาอย่างเงียบๆ ชานยอลไม่แม้แต่จะปรายตามองผมอีกและเอาแต่พ่นควันสีขาวออกทางจมูก เขายังคงเดาใจได้ยากเสมอสำหรับผม ทั้งเรื่องจูบ เรื่องที่เขาพูดหรือแม้แต่ความนิ่งเฉยในตอนนี้ผมก็ยังเดาไม่ออกว่าชานยอลคิดอะไรอยู่
การยอมช่วยเขาหนีจากตำรวจทำให้ผมรับรู้ว่าชานยอลมีอิทธิพลต่อผม เขาเองก็ยอมรับว่ามีบางความรู้สึกเกิดขึ้นระหว่างเรา แต่การที่ชานยอลเพิกเฉยดังเช่นตอนนี้ก็ทำให้ผมไม่มั่นใจว่าความอ่อนหวานที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงแค่แผนการของเขาอีกหรือเปล่า
เหมือนเขาจะเปิดเผย แต่เขาก็ปิดบัง เหมือนเขาจะอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วก็ยังคงเย็นชา
มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าผมรู้ความคิดของชานยอลบ้าง ไม่ใช่แค่เขาที่รู้ทันผมอยู่ฝ่ายเดียว
“เหรียญกล้าหาญของสตาสมันมีคุณค่ามากแค่ไหนแบคฮยอน?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามหลังจากที่เขาจุดบุหรี่มวนที่สอง ชานยอลไม่ได้หันมามองหน้าผมแต่เขากลับรู้ว่าผมนั้นไม่ได้หลับอย่างที่แสดง ผมยันกายลุกขึ้นนั่ง ไม่เข้าใจว่าเขาจะถามถึงสิ่งนั้นทำไม
“ฉันคิดว่ามันมีคุณค่าต่อพวกนายมาก” ควันสีขาวขุ่นถูกพ่นออกทางจมูก ชานยอลสูบบุหรี่บ่อยจนผมนับครั้งไม่ได้ เขาสูบมันราวกับว่าบุหรี่คืออาหารที่ต้องกินวันละสามมื้อ “แต่ทำไมมันถึงไปอยู่ในที่แบบนั้น?”
ผมขมวดคิ้ว ยิ่งฟังที่ชานยอลพูดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ เหมือนเขาพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะสื่อสารกับผม
“นายหมายถึงอะไร?”
“เหรียญของหน่วยสตาสน่ะมันก็ควรอยู่กับสตาสไม่ใช่เหรอ?”
“นายพูดบ้าอะไรเนี่ย?”
ผมลุกเดินไปหาเขา ชานยอลพลิกตัวพิงหน้าต่างก่อนจะส่งสายตาเรียบเฉยมาให้ ยิ่งใกล้กันมากเท่าไหร่กลิ่นบุหรี่ที่เขาคีบไว้ด้วยนิ้วยาวก็ยิ่งแรงขึ้นจนผมย่นจมูก เหมือนว่าชานยอลมีเรื่องหนักใจแต่เขาไม่ตอบคำถามแล้วเลือกที่จะสูบบุหรี่เข้าไปเต็มปอด
“นาย...เป็นอะไรรึเปล่า?” ผมถามเสียงแผ่วก่อนจะแตะแขนแกร่งเบาๆชานยอลมองหน้าผมก่อนจะกระตุกยิ้ม
“ห่วงรึไง?”
ผมปั้นหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะก่อนจะละเลยคำถามนั้นถึงแม้ว่าจะเกิดแรงสั่นไหวในแผ่นอกก็ตาม
“ฉันจะห่วงนายทำไม?”
“นั่นสินะ”
ชานยอลหัวเราะในลำคอ เขาดูผ่อนคลายกว่าในตอนแรก ประกายความเจ้าเล่ห์กลับมาฉายชัดในแววตาของเขาอีกครั้งจนคล้ายว่าจะเป็นคนละคน แม้ว่ามันจะเป็นบทสนทนาแรกระหว่างเราหลังจากกลับมาถึงบ้าน แต่มันกลับเป็นเรื่องของเหรียญกล้าหาญที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมชานยอลถึงได้สนใจมันนัก
“...”
ความเงียบปกคลุมบรรยากาศไว้อีกครั้งหลังจากสิ้นเสียงทุ้ม ผมไม่รู้ว่าชานยอลเป็นอะไรและต้องการจะสื่อถึงอะไร แต่ผมรู้ว่าเขามีเรื่องไม่สบายใจซึ่งมันอาจจะเกี่ยวโยงกับเรื่องของไนท์แมร์
“ถ้านายอยากรู้เรื่องเหรียญของสตาส เพียงแค่นายถาม ฉันก็จะตอบ” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมพูดแบบนั้น แต่ผมเดาว่าชานยอลคงอยากรู้เรื่องนี้ เขาปล่อยให้ขี้บุหรี่ร่วงกระทบกับพื้นห้องเพราะเอาแต่มองใบหน้าผม ชานยอลไม่เอ่ยถามใดๆจนความอึดอัดผลักดันให้ผมเป็นฝ่ายพูดซะเอง “เหรียญนั้นจะมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เสียสละ---”
“เหรียญนั้นมอบให้กับเจ้าหน้าที่ที่เสียสละและปกป้องชาติ”
“…”
“หน่วยสตาสของเกาหลีมีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเหรียญกล้าหาญเพียงแค่สามสิบสามคน ยี่สิบเอ็ดคนได้รับมันไปแต่กลับตายในหน้าที่ สามคนกลายเป็นคนไข้จิตเวช อีกแปดคนอยู่ที่บ้านพักคนชรา และคนสุดท้ายเพิ่งตายด้วยโรคมะเร็งไปเมื่อสามเดือนที่แล้ว”
คำพูดของชานยอลทำให้ผมเบิกตาด้วยความประหลาดใจ ผมรู้ว่าชานยอลมีฝีมือในการเจาะข้อมูลแต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่เขาก็รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญกล้าหาญและหน่วยสตาสดีขนาดนั้นแล้วทำไมชานยอลถึงได้แสดงท่าทางไม่สบายใจเล่า
“นายพูดมาตรงๆเลยดีกว่าชานยอลว่านายเป็นอะไรกันแน่ ทำไมอยู่ๆถึงมาพูดเรื่องเหรียญนี่?”
“นายไม่ควรรู้มันหรอกแบคฮยอน”
“แต่นายเข้าหาฉันก็เพราะเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เหรอ นายก็ควรให้ฉันรู้ด้วยสิ”
ชานยอลหันกลับไปนอกหน้าต่างดังเดิมก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นสูบ เขาทำเหมือนไม่สนใจจนผมถอนหายใจแรงๆ ผมคิดว่าสิ่งที่พูดมันก็ถูกแล้ว เขาเข้าหาผมเพราะเรื่องของเอส ไนท์แมร์ และสตาส แต่เท่าที่ผ่านมาผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเครื่องมือของเขาเลย เขาไม่เคยบังคับให้ผมบอกข้อมูลของสตาส ในทางกลับกันมีแต่เขาต่างหากที่นำข้อมูลของไนท์แมร์มาให้ผมรู้
“ฟังนะ” ท่ามกลางความคับข้องใจ ชานยอลได้เปล่งประโยคสั้นๆแต่มันสามารถดึงความสนใจของผมไปได้ เขาเอ่ยประโยคถัดมาทั้งๆที่ยังคงหันหลังให้ผม “ถึงแม้ว่านายจะคิดว่าฉันเข้าหานายเพราะอะไรก็ตาม แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่อยากให้นายเจอกับเรื่องอันตราย”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมคิดไปเองหรือเป็นเพราะความหนักแน่นในน้ำเสียงนั้นกันแน่ที่ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงกระแสของความห่วงใย
มันคือเหตุผลที่ทำให้ผมหวั่นไหวต่อเขา แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่การที่เขาปกป้องมันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เข้มแข็งตลอดเวลา
ผม...คนที่เป็นเสาหลักมาโดยตลอด เป็นเสาหลักให้แก่ป้า คอยปกป้องเทาและปกป้องประชาชน ผมห่วงใยคนอื่นมาเนิ่นนาน มันจึงไม่แปลกนักเมื่อถึงคราวที่ผมมีใครซักคนมาคอยปกป้องบ้างแล้วผมจะเกิดความอิ่มเอมและสั่นไหวในหัวใจ
เหมือนผมจะเข้มแข็ง แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้เป็นคนเข้มแข็ง ผมแค่เป็นคนที่ไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอก็เท่านั้น และหลังจากหัวหน้าอี้ฝานก็มีเพียงชานยอลที่มองทะลุผ่านความแข็งกระด้างจนเห็นความอ่อนนิ่มที่ผมซ่อนมันเอาไว้
“นายอย่ายุ่งกับเรื่องของไนท์แมร์หรือเอสอีกได้ไหมแบคฮยอน ฉันเป็นห่ว--”
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นขัดให้ชานยอลพูดไม่จบประโยค ผมสะดุ้งก่อนจะผละไปหาโทรศัพท์ที่ฟูกนอน ผมรู้ว่าชานยอลจะพูดว่าอะไรแต่ก็อดที่จะเสียดายไม่ได้ที่ไม่ทันได้ฟังเสียก่อน
[หัวหน้าอี้ฝาน]
รายชื่อของคนโทรเข้าทำให้ผมแอบลอบมองชานยอลก่อนจะพบว่าเขาก็มองผมอยู่เช่นเดียวกัน ผมยังไม่ได้คุยกับหัวหน้าอี้ฝานเลยซักครั้งหลังจากที่ถูกพักงาน เสียงโทรศัพท์ที่ดังอย่างต่อเนื่องทำให้ผมชั่งใจว่าจะรับสายหัวหน้าอี้ฝานดีไหม แต่สุดท้าย สิ่งที่ผมทำก็คือการปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่แบบนั้นจนกระทั่งมันตัดไปเอง
“ใจคอนายจะใส่เสื้อกล้ามนอนทุกวันเลยรึไง?”
ชานยอลไม่พูดเรื่องโทรศัพท์และไม่ได้สานต่อประโยคก่อนหน้านี้แต่เลือกที่จะสนใจเสื้อผ้าของผมแทน เขาขมวดคิ้วถาม ทำหน้าราวกับว่าผมทำเรื่องขัดใจอะไรนักหนา ควันสีขาวที่ลอยละล่องทำให้ผมรู้ว่าบุหรี่มวนที่สามได้ถูกจุดขึ้นแล้ว
“ก็ไม่เกี่ยวกับนายซักหน่อย”
ในเมื่อเขาต้องการที่จะเปลี่ยนเรื่องผมก็ไม่อยากจะพาเขากลับไปสู่บทสนทนาที่ทำให้เกิดความกระอักกระอ่วน ผมกดปิดโทรศัพท์แล้วแสร้งทำเป็นเมินชานยอล กะว่าจะไปเข้าห้องน้ำก่อนจะมาเข้านอน แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวถึงประตู คนตัวสูงกลับเดินมาประชิดอยู่ข้างหลังผมเสียแล้ว
“มันคงไม่เกี่ยวกับฉันหรอก” เขาวางมือข้างหนึ่งลงบนเอวของผมก่อนจะลูบมันเบาๆเล่นเอาผมตัวเกร็ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงกล้าหันไปเผชิญหน้า แต่ตอนนี้ ตอนที่ผมรู้ว่าเขาคิดยังไงกับผม ทุกอย่างมันก็ดูเป็นเรื่องยากไปเสียหมด “…ถ้าฉันไม่ต้องห่มผ้าให้นายที่นอนหนาวเป็นหมาสั่นทุกคืน”
“แล้วมีใครใช้ให้นายมาห่มให้ฉันรึเปล่าล่ะ?”
“ไม่มี” ลมอุ่นๆที่รินรดหลังคอและเสียงทุ้มแผ่วเบาทำให้ลมหายใจของผมสะดุด ผมไม่แน่ใจว่าชานยอลขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นหรือเปล่าเพราะไม่กล้าหันไปมอง แต่สัมผัสหยุ่นๆที่ประทับท้ายทอยเมื่อครู่ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรู้ว่าผมโดนปาร์คชานยอลเล่นเข้าแล้ว
เขาจุ๊บท้ายทอยผม!
“ย่าห์! ใครให้นายทำแบบนั้--” ผมสะบัดตัวออกทันทีพร้อมกับอ้าปากโวยวายแต่ประโยคของผมถูกจบลงเมื่อชานยอลพ่นควันบุหรี่ใส่หน้า เล่นเอาผมสำลักจนแสบไปทั้งลำคอ “แค่กๆ! นายทำบ้า แค่ก! อะไรเนี่ย!”
“พ่นควันบุหรี่ไง ก็เห็นๆอยู่”
การตอบหน้าตายเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมคิดว่ากวนตีนที่สุดในโลก สาบานได้ว่าถ้าคนตรงหน้าเป็นคิมจงอินผมคงกระหน่ำโบกหัวไปแล้ว ปาร์คชานยอลคนเคร่งเครียดถูกแทนที่ด้วยปาร์คชานยอลคนเจ้าเล่ห์เช่นเดิม ผมไอโขลกอยู่หลายครั้งก่อนจะเอ่ยปากสั่งทั้งๆที่ยังฉุนในจมูกไม่หาย
“เลิกสูบเดี๋ยวนี้ แค่ก! มันเหม็น!”
“ใครๆเขาก็สูบกันทั้งนั้น สูบแก้หนาวน่ะรู้จักไหม หรือว่านายสูบไม่เป็น?”
ควันบุหรี่รูปวงแหวนถูกพ่นออกมาอย่างช้าๆจากปากหยัก คนตัวสูงแค่ต้องการแกล้งแบคฮยอนก็เท่านั้น เวลาที่ทำให้แบคฮยอนโวยวายมันก็เหมือนกับการได้ทำเรื่องสนุกนั่นแหละ แต่พอเห็นดวงตาเรียวที่เริ่มฉ่ำน้ำและจมูกที่ขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะการไอหลายครั้งก็ทำให้เขาอดที่จะสงสารไม่ได้
ทั้งๆที่ชานยอลคิดที่จะดับบุหรี่แล้วแต่มือเรียวที่เข้ามาคว้าแท่งนิโคตินก็ทำให้เขาชะงัก
“นายว่าใครสูบไม่เป็น?”
ชานยอลรู้ว่าแบคฮยอนไม่เคยยอมแพ้ให้ใคร แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้ คนตัวเล็กถลึงตาใส่เขาก่อนจะสูบเอาควันของบุหรี่รสเฝื่อนเข้าไปหนึ่งทีเพราะหวังจะพ่นมันออกจากปากใส่หน้าชานยอลบ้าง แต่ก็ล้มเหลวเพราะดันสำลักทำให้ไอออกมาอีกระลอก
“แค่กๆ!! ปัดโถ่! แค่ก! โว้ย!”
สิ่งที่ชานยอลทำก็คือการกระตุกยิ้มมุมปากมองดูคนอวดดีตรงหน้าที่ไอจนแดงก่ำไปทั้งผิวแก้ม คนตัวเล็กบี้บุหรี่ลงกับขอบหน้าต่างก่อนจะโยนมันออกไปอย่างไม่ใยดี ดวงตาเรียวหันมาสบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาแล้วก็นึกอายในความเสียฟอร์มของตัวเอง
“ยิ้มอะไร ตลกมากนักเหรอ?!”
แบคฮยอนก็เป็นซะแบบนี้ แม้ว่าจะมีเกราะชั้นนอกเป็นทั้งความทะนงตน ความเข้มแข็งหรืออะไรก็ตาม แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ อ่านง่ายและความน่ารักที่เจ้าตัวเผยมันออกมาอย่างไม่รู้ตัว ชานยอลคิดว่าแบคฮยอนเป็นดังกุหลาบ แม้จะมีหนามที่ทำให้เจ็บปวดยามเมื่อถูกทิ่มแทง แต่กุหลาบก็ยังเป็นดอกไม้ มันงดงามและน่าทะนุถนอมเสมอ
“ที่นายสูบบุหรี่ต่อจากฉัน เป็นเพราะนายอยากจูบฉันทางอ้อมสินะ”
คำพูดเรียบๆแต่กลับทำให้คนที่กำลังจ้องเขม็งปั้นหน้าไม่ถูก แบคฮยอนไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อนจนกระทั่งชานยอลเอ่ยถึง ภาพที่ประตูหนีไฟถูกฉายชัดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความรู้สึกร้อนที่พวงแก้ม ใบหน้าที่แดงก่ำอยู่แล้วจากการสำลักทวีความแดงเรื่อลามไปจนถึงใบหู ชานยอลเล่นงานจนแบคฮยอนใจสั่นรัว และคนตัวเล็กไม่ชอบการที่ตนเองเป็นแบบนี้เลย
“อย่ามาพูดเรื่องจูบนะ!”
ดวงตาของชานยอลแพรวพราวกว่าที่เคย แบคฮยอนรู้สึกแบบนั้น มันทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้และต้องยอมรับว่าชานยอลนั้นเป็นแบดบอยตัวพ่อ เป็นวายร้ายที่ใช้คำพูดและสายตาหลอกล่อให้เหยื่อทุรนทุราย
“ออกไปห่างๆ!” แบคฮยอนตะโกนดังลั่นโดยไม่ได้คิดเลยว่าป้านาบีจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ แต่คนตัวเล็กรู้สึกระแวงขึ้นมาเสียอย่างนั้นเพียงแค่ชานยอลสาวเท้าเข้ามาหา ร่างโปร่งมองแบคฮยอนราวกับล้อเลียนก่อนที่จะเดินผ่านคนตัวเล็กไปที่ฟูกนอน ทิ้งให้แบคฮยอนยืนตั้งสติอยู่ตรงนั้น
“นายนี่ก็ตลกดีนะแบคฮยอน ชอบวางท่าโหดนักโหดหนา แต่ความจริงแล้วก็แค่ลูกหมาอ้วนๆตัวหนึ่ง”
แบคฮยอนคิดว่าเส้นความอดทนของเขาใกล้จะขาดผึง เขากำลังคิดว่าจะลองต่อยปากชานยอลซักทีสองทีดีไหม ยังไงซะเขาก็เคยกระโดดถีบชานยอลมาครั้งหนึ่งแล้วนี่
“เลิกเรียกฉันว่าลูกหมา แล้วก็เลิกพูดเรื่องอ้วนซักที”
“งั้นแสดงว่าพูดเรื่องจูบได้”
“ไม่ได้!!”
ชานยอลหัวเราะน้อยๆเป็นการชอบใจ เสียงทุ้มนั้นต่ำราวกับเสียงเบส มันฟังดูมีเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์อย่างที่แบคฮยอนจำได้ขึ้นใจแล้วว่าเสียงทุ้มแบบนี้เป็นเสียงของชานยอลเพียงคนเดียว
แบคฮยอนสาวเท้าไปลากฟูกนอนของตัวเองออกมาให้ห่างจากชานยอลก่อนจะล้มตัวลงนอน เขาล้มเลิกความคิดที่จะไปห้องน้ำแล้วพยายามทำเป็นไม่สนใจสายตาคู่นั้นที่ยังคงมองเขาไม่วางตา ชานยอลไม่ต่อปากต่อคำกับเขาอีกซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วในความคิดของคนตัวเล็ก
“มองไร?” สุดท้ายแบคฮยอนก็ทนไม่ไหว ชานยอลนอนตะแคงมองหน้าเขามาร่วมๆห้านาทีแล้ว ถึงแม้ว่าฟูกจะห่างกันถึงหนึ่งช่วงแขนแต่คล้ายว่าสายตาของคนตัวสูงจะทำให้เขานอนไม่หลับ คล้ายว่าชานยอลใช้ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นทำให้เขาปั่นป่วน
“มองปากนาย”
“มองทำไม?”
“ฉันเพิ่งสังเกตว่านายมีไฝเล็กๆที่ข้างปากด้วย” แบคฮยอนคลุมผ้าห่มจนมิดศีรษะเพื่อหลบหนีสายตาแพรวพราวนั่นซะ เขาไม่เชื่อหรอกว่าชานยอลเพิ่งจะสังเกตเห็นจุดเล็กๆที่มุมปากของเขาในวันนี้ “มิน่าล่ะนายถึงได้...”
“นายจะบอกว่าฉันปากจัดงั้นสิ เหอะ”
“เปล่า ฉันจะบอกว่ามิน่าล่ะ... ปากนายมันถึงได้นิ่มแล้วก็อุ่นมากขนาดนั้นตอนที่ถูกฉันจูบ”
“…”
เสียงหัวเราะในลำคอของชานยอลทำให้แบคฮยอนรู้สึกเหมือนเป็นผู้แพ้ทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มต่อสู้เลยด้วยซ้ำ แบคฮยอนเลือกที่จะไม่ตอบโต้ถึงว่าแม้ภายในใจจะร้องเถียงว่าสิ่งที่ร่างสูงพูดออกมานั้นมันไม่เกี่ยวข้องกันเลยซักนิด จังหวะที่สั่นระรัวของหัวใจทำให้แบคฮยอนไม่อยากแม้แต่จะเปิดผ้าห่มออกไปต่อกรกับชานยอล
เขาไม่อยากถูกคนเจ้าเล่ห์หน้านิ่งนั่นกวนประสาทอีกแล้ว พอกันทีสำหรับวันนี้!
แบคฮยอนคิดว่าการถูกล้อเรื่องจูบจะเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน แต่มันกลับไม่ได้เป็นดังที่เขาคาดไว้ เพราะเสียงทุ้มเสน่ห์ที่เปล่งออกมาแผ่วเบานั้นกลับดังเหลือเกินในโสตประสาทของเขา
และแบคฮยอนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า คำธรรมดาๆคำนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับเขายามเมื่อได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
“ฝันดีนะ...แบคฮยอน”
ดวงจันทร์ไม่หลับไหล ปาร์คชานยอลเองก็เช่นกัน
แผ่นอกเล็กที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแบคฮยอนหลับสนิทแล้ว เขามองใบหน้าเรียวของคนตัวเล็กที่นอนหลับไม่รู้เรื่องราวก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ร่างสูงเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากออกให้อย่างเบามือแล้วห่มผ้าห่มให้จนถึงคอ เขาไม่เข้าใจแบคฮยอนนัก ทั้งๆที่เป็นคนขี้หนาวแต่กลับใส่เสื้อกล้ามนอนได้ทุกคืน
ฟูกทั้งสองกลับมาติดกันอีกครั้งด้วยฝีมือของคนตัวสูง เขาลากฟูกของตัวเองเข้ามาชิดแบคฮยอนเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว และเขามั่นใจว่าหากคนตัวเล็กยังไม่หลับคงได้โวยวายใส่เขาเป็นแน่
แรงสั่นจากโทรศัพท์ข้างกายดึงความสนใจของร่างโปร่งให้ออกจากใบหน้าขาว เขาคว้ามันมาไว้ในมือก่อนจะเดินออกจากห้องนอนมุ่งสู่มุมเงียบๆภายนอกตัวบ้าน ดวงตาคมตวัดมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับอีกฝ่ายก่อนจะกดรับสายหลังจากที่มันสั่นเป็นครั้งที่สาม
“ว่าไง”
“อึนจีไม่แสดงท่าทีผิดปกติต่อลู่หานว่ะ แต่ยังพอจะมีพิรุธเพราะเธอไม่เข้ามาผูกมิตรกับลู่หานเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ”
ร่างสูงชินเสียแล้วกับการพุ่งเข้าประเด็นโดยไร้ประโยคปลายเปิดจากเพื่อนรัก อี้ฝานเป็นแบบนี้เสมอ ไม่ชอบพูดยืดเยื้อ พยายามกระชับเวลาและพูดสั้นๆเพื่อให้เขาเข้าใจ
“กูแน่ใจว่าเธอต้องแสดงพิรุธออกมาอีก อึนจีรู้ว่าลู่หานไม่ใช่นักเรียน เธอด้อยเรื่องการเอาตัวรอดมากที่สุดในไนท์แมร์ กูเชื่อว่าไม่เกินสามวัน เราคงมีหลักฐานมากพอที่จะจับเธอได้”
ชานยอลเอ่ยคำสันนิษฐาน เรื่องการแฝงตัวเพื่อจับอึนจีนั้นดูจะเป็นวิธีที่ดีและทำให้จับอึนจีได้ง่ายกว่าไนท์แมร์คนอื่นๆเพราะหญิงสาวมีจุดอ่อนมากเกินไป ชานยอลสามารถให้ข้อมูลไนท์แมร์พร้อมกันทั้งสี่คนได้ แต่ร่างสูงคิดว่าถ้าเขาทำแบบนั้นเพื่อจะจับไนท์แมร์ที่ทราบตัวตนแล้ว เอสกับไนท์แมร์คนที่ยังเป็นปริศนาก็จะไหวตัวทันและหนีไปได้เสียก่อน แผนที่ดีที่สุดก็คือการเก็บลูกกระจ๊อกทีละคนเพื่อสาวถึงตัวการใหญ่จะดีกว่า
“สิ่งที่กูอยากรู้คือหลังจากที่เราจับเธอได้มันจะเกิดอะไรขึ้น การที่ลูกน้องที่เคยป่วนประสาทร่วมกันมาเป็นปีๆถูกจับได้เอสก็น่าจะร้อนใจจนเผยไต๋ออกมาบ้าง”
“เรื่องอึนจี ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดกูมั่นใจว่าเราต้องจับเธอได้ร้อยเปอร์เซ็นต์” ชานยอลเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนที่จะชำเลืองมองดูทางประตู เขากังวลเหลือเกินว่าแบคฮยอนจะตื่นขึ้นมาเจอเขาที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงนี้ “สิ่งที่มึงควรกังวลอีกเรื่องคือลูกทึมของมึง คิมจงอิน”
อี้ฝานเงียบไปหลังจากได้ยินประโยคนั้น เขาทั้งสองรู้ว่าเอสได้มอบหมายคำสั่งใดให้แก่ไนท์แมร์ ระบบที่ชานยอลติดตั้งไว้ได้ส่งสัญญาณให้เขารับรู้ทุกคำสั่งของเอส และมันไม่ใช่เรื่องตลกเลยสำหรับอี้ฝานที่ต้องมารู้ว่าลูกทีมของเขานั้นได้ถูกหมายหัวไว้แล้ว
เขาเคยพลาดที่คิมฮโยยอนต้องตายและลู่หานต้องบาดเจ็บ อี้ฝานคิดเสมอว่าลูกทีมนั้นก็เปรียบดังครอบครัวของเขา และแน่นอนว่าเขาเองยอมไม่ได้ที่จะต้องสูญเสียใครไปอีก
“กูพยายามเต็มที่ที่จะรักษาชีวิตลูกทีมของกูชานยอล จงอินเป็นเจ้าหน้าที่ฝีมือดี กูไม่ยอมปล่อยให้ลูกทีมกูเป็นอะไรไปแน่”
“ขอให้มึงโชคดีแล้วกัน พรุ่งนี้กูจะกลับโซลแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดกูอาจจะแวะไปหา แค่นี้นะ”
“เดี๋ยว”
เสียงทุ้มของอี้ฝานฟังดูแข็งกร้าวกว่าที่เคย ชานยอลชะงักมือที่กำลังจะกดตัดสายก่อนจะเงียบเพื่อรอฟังสิ่งที่เพื่อนรักจะพูด บางทีคิดอี้ฝานอาจมีแผนที่จะปรึกษากับเขา
“กูจะคุยกับมึงเรื่องแบคฮยอน” มันไม่ใช่เรื่องที่ชานยอลคาดไว้ เพียงแค่ชื่อของคนตัวเล็กก็ทำให้ชานเขาสูดลมหายใจเข้าลึก อี้ฝานเว้นจังหวะเพียงครู่ก่อนจะเอ่ยต่อ “ กูคิดว่าคงมึงลำบากที่จะต้องดูแลแบคฮยอนพร้อมทำหน้าที่ไปด้วย มึงส่งเขามาให้กู กูจะดูแลเอง”
“กูเคยพูดตอนไหนว่ากูลำบาก?”
อี้ฝานรู้มาโดยตลอดว่าเขาและชานยอลนั้นมีรสนิยมคล้ายคลึงกัน ทั้งเรื่องการแต่งกาย น้ำหอม อาหารจานโปรดหรือแม้กระทั่งแนวเพลงที่ฟัง อี้ฝานรู้สึกดีเสมอที่เขาและเพื่อนรักชอบสิ่งที่เหมือนๆกัน มันทำให้เขาทั้งสองคนรู้สึกสนิทใจที่จะพูดคุยต่ออีกฝ่าย แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่อี้ฝานได้แต่หวังว่าชานยอลจะไม่ชอบเหมือนกับเขา
“กูเคยบอกมึงแล้วไงอี้ฝาน”
สิ่งๆนั้นที่อี้ฝานสุดแสนจะรักและมีค่าเกินกว่าที่เขาจะบรรยายออกมาเป็นรูปธรรมได้ สิ่งที่อี้ฝานเรียกว่า บยอน แบคฮยอน
“ว่ากูยินดี”
การสนทนาจบลงตรงนั้น ชานยอลมองโทรศัพท์ในมือก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกง เหมือนกับที่เก็บความรู้สึกขุ่นมัวให้ลงไปลึกที่สุดของก้นบึ้งหัวใจ เขาไม่พอใจเท่าไรนักที่อี้ฝานทำเหมือนแบคฮยอนเป็นสิ่งของ คิดจะให้เขาดูแลก็ยื่นมาให้ แต่จู่ๆก็จะมาเอากลับคืนไปตามใจชอบ มันดูเป็นการไม่ให้เกียรติแบคฮยอนผู้ซึ่งเป็นมนุษย์หาใช่สิ่งไร้ความรู้สึก
ชานยอลยอมรับว่าเขาใส่ใจในความรู้สึกของแบคฮยอน คนตัวเล็กนั้นไม่รับรู้เรื่องราวหลายอย่างและเป็นคนที่มีความคิดซับซ้อนพอสมควร ชานยอลเคยจินตนาการถึงวันที่แบคฮยอนรู้ความจริงทั้งหมด แต่ก็ไม่มีสิ่งใดแน่ชัด แบคฮยอนอาจจะโวยวาย เฉยเมยหรือที่ร้ายแรงที่สุดก็คือเกลียดเขาเพราะความโกรธ
เรื่องของเอสดูจะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆอย่างที่ชานยอลเองก็ยังหาจุดเริ่มต้นในการสืบสวนไม่ได้ ถึงแม้จะรู้ว่ามีเหรียญของหน่วยสตาสอยู่ในห้องของเอส แต่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบเหรียญเหล่านั้นกลับเป็นบุคคลที่ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มอาชญากร เอสยังหนุ่มและแข็งแรงไม่ใช่คนที่เป็นคนไข้จิตเวชหรือคนชรา
แต่ร่างสูงเชื่อในสิ่งที่ตนเองคิดเสมอ
เอสอาจจะซ่อนตัวตนไว้ในความมืดได้ แต่การจะซ่อนความจริงไว้ในโลกใบนี้...มันไม่มีทางเป็นไปได้
ร่างสูงเดินกลับเข้าตัวบ้านอีกครั้งพร้อมกับหัวใจอันหนักอึ้ง ทั้งเรื่องภารกิจและเรื่องความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ดูจะหนักหนาพอกันสำหรับเขา
แต่ชานยอลนั้นแสนเต็มใจที่จะแบกรับภาระเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่หรือบยอน แบคฮยอน โดยเฉพาะคนตัวเล็กที่พิเศษต่อเขามากขึ้นในทุกๆวัน เขายังคงเก็บสร้อยรูปแม่กุญแจของแบคฮยอนเอาไว้และทำเพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสม
ชานยอลหวังว่าซักวันหนึ่ง เขาจะมีโอกาสคืนสร้อยเส้นนี้ให้แก่แบคฮยอนเหมือนกับที่เขาเคยมอบมันให้คนตัวเล็กดังเช่นในอดีต
ในขณะที่อี้ฝานยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาสังเกตมาตลอดระยะนี้ เขาไม่อยากเก็บมันมาเป็นสิ่งที่บั่นทอนความสุขแต่เขารับรู้ได้ว่าเพื่อนรักมีปฏิกิริยาเสมอยามเมื่อเอ่ยชื่อแบคฮยอน
มันเป็นความจริงที่เขาเลิกรากับแบคฮยอนไปแล้ว คนตัวเล็กไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีสิทธ์ที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้แบคฮยอนกลับมาเป็นของเขาดังเดิม
อี้ฝานยังคงไม่แน่ใจว่าชานยอลคิดกับแบคฮยอนในเชิงรักใคร่หรือไม่ แต่เขาเชื่อว่าคนตัวเล็กจะไม่รู้สึกดีต่อชานยอล เขารู้จักนิสัยของอดีตคนรักดี แบคฮยอนที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ไม่มีทางหวั่นไหวต่อคนที่คิดว่าเป็นศัตรู
แต่อี้ฝานอาจจะลืมอะไรบางอย่าง
ว่าแบคฮยอนซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
แต่ก็ซื่อสัตย์ต่อหัวใจด้วยเช่นเดียวกัน...
◥ ◤
จองอึนจีคิดมาเสมอว่าชีวิตของเธอนั้นไร้ซึ่งจุดหมาย
การเป็นลูกรัฐมนตรีไม่ได้มีความหมายใดๆต่อหญิงสาวเลย กลับกันมันกลายเป็นรูโหว่ในชีวิตที่ทำให้เธอไม่เหมือนกับวัยรุ่นและครอบครัวของคนอื่นๆ
“ดีใจที่เธอมานะ อึนจี”
เสียงนั้นเอ่ยต้อนรับทันทีเมื่อเธอก้าวเท้าเข้ามาในห้อง น้ำเสียงแสนอบอุ่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นยามเมื่อเธอกลับถึงบ้าน เธอไม่อยากเรียกสถานที่แห่งนั้นว่าบ้านเลยด้วยซ้ำ ที่นั่นเหมือนเป็นแค่โครงเหล็กอันโสมมไร้ซึ่งความสุขและมีแต่ผู้คนที่เธอสะอิดสะเอียน
หญิงสาวหย่อนร่างอรชรของตนลงบนโซฟา ตรงข้ามของเธอคือชายหนุ่มผู้ที่มีท่าทางสง่างามยิ่งนักในความคิดของเธอ
“อยากดื่มอะไรไหม? จะเป็นไวน์ น้ำผลไม้หรือแม้แต่เตกีล่า ฉันก็ยินดีสั่งให้”
ไม่เคยมีเลยซักครั้งที่พ่อแม่จะให้เธอเลือกอะไรด้วยตัวเองดังเช่นคนตรงหน้า การถูกบังคับดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เธอคลุกคลีมาตั้งแต่ยังเด็ก ถูกบังคับให้เรียนสิ่งที่เกลียด ถูกบังคับให้คบเพื่อนไฮโซ ถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ พ่อและแม่เธอเก่งกาจในเรื่องบงการแต่ไร้ซึ่งทักษะในเรื่องง่ายๆอาทิเช่นปลอบโยนเธอยามเมื่อเธอร้องไห้หรือให้คำชื่นชมยามที่เธอประสบความสำเร็จ
คำว่าครอบครัวอาจจะหมายถึงกลุ่มคนที่ถูกผูกเข้าด้วยกันโดยสายใยแห่งความรัก ความอบอุ่นหรืออะไรก็ช่างเถอะ แต่สำหรับอึนจีมันไร้ซึ่งความหมายและเธอไม่เคยศรัทธากับความรักในรูปแบบนั้นเลย
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉ..ฉัน คือ เอ่อ...ฉันไม่อยากดื่ม ขอโทษนะคะ”
ความตื่นเต้นทำให้เธอเผลอพูดตะกุกตะกักจนน่าอาย คนที่นั่งตรงโซฟาเปล่งเสียงขำเล็กน้อยยามเมื่อเห็นท่าทีประหม่าเหล่านั้น
“ขอโทษทำไมกัน ฉันไม่ได้บังคับให้เธอดื่มซักหน่อย”
เธอไม่อยากเปรียบพ่อแม่กับคนตรงหน้าอีกแล้ว แต่การให้อภัยพร้อมเสียงหัวเราะเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอเลยซักครั้งจากบุพการี ชีวิตเธอมีแต่คำว่าต้องทำให้ได้ อย่าทำ และเชื่อฟังเท่านั้นที่ครอบครัวพยายามยัดเยียดให้เธอเสมอมา
“คงจะตกใจไม่น้อยสินะที่ฉันเรียกเธอมาแบบนี้”
อึนจีสะดุ้งเล็กน้อยยามเมื่อเสียงทุ้มนั้นกล่าวกับเธอ จะว่านี่เป็นความฝันเธอก็คงเชื่อ คนที่อยู่ตรงหน้ามีน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าที่เธอเคยได้ยินมาตลอดยามไร้เครื่องปลอมแปลงเสียงเช่นนี้
“ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากกว่าที่ได้มาพบกับบอ.. เอ่อ กับคุณ”
แม้หน้ากากสีขาวนั้นจะยังคงปกปิดใบหน้าแต่เพียงเท่านี้อึนจีก็รู้สึกปริ่มเปรมมากพอแล้ว ไม่เคยมีไนท์แมร์คนไหนเลยที่ได้พบกับชายคนนี้โดยไม่ผ่านจอแอลซีดี ตรงหน้าของเธอตอนนี้คือเขา เขาคนนั้น คนที่เธอเต็มใจที่จะรักและเชื่อฟัง
เขาที่ชื่อว่าเอส
“เธอนี่ไร้เดียงสากว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีกนะ”
หัวใจของอึนจีเต้นแรงเพียงแค่คำว่าไร้เดียงสาถูกเปล่งออกมาจากปากของเขา เธอไม่รู้ว่าเอสต้องการอะไรจากตัวเอง แต่เธอรู้สึกเป็นเกียรติตามที่ได้กล่าวออกไปแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดในรอบปีของเธอเลยก็ว่าได้กับการได้พบกับบุรุษผู้นี้ เสื้อผ้าโทนสีดำยังคงเป็นเอกลักษณ์อันแสนคุ้นตา เอสใส่เสื้อผ้าโทนนี้เสมอ มันทำให้เขาดูมีอำนาจและน่าเกรงขามโดยเฉพาะช่วงไหล่กว้างที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขานั้นแข็งแรงมากแค่ไหน
“เอาล่ะ อึนจี ที่ฉันเรียกเธอมาวันนี้เพราะฉันมีเรื่องจะให้เธอทำ”
ประโยคนั้นเหมือนเป็นแค่ประโยคบอกเล่าหาใช่การสั่ง เธอคลายมือที่กำไว้แน่นเพราะความตื่นเต้นออกก่อนจะตั้งใจฟังสิ่งที่เอสต้องการพูด
“ฉันลองมาคิดดูแล้ว เธอไม่เคยทำผลงานด้วยตัวคนเดียวเพื่อไนท์แมร์เลยใช่ไหม?”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างไม่อาจปฏิเสธ ที่ผ่านมาทุกคนในไนท์แมร์ล้วนมีหน้าที่และงานของตัวเองแต่เธอทำได้แค่ติดสอยห้อยตามไปเท่านั้น เอสประสานมือเข้าหากันก่อนจะโน้มลำตัวเข้ามาหาเธอเพียงเล็กน้อย แม้จะไม่เห็นใบหน้าแต่อึนจีกลับรู้สึกได้ว่าดวงตาหลังหน้ากากนั้นคงจะมีเสน่ห์ไม่ใช่น้อย
“นี่จะเป็นงานแรกและงานสุดท้ายของเธอ อยู่ที่ว่าเธอจะตกลงทำมันรึเปล่า”
คำว่า ’งานสุดท้าย’ ทำให้หญิงสาวอดที่จะสงสัยไม่ได้ แต่เธอเต็มใจเสมอที่จะทำงานให้แก่คนตรงหน้าไม่ว่าเขาจะสั่งให้เธอทำอะไรก็ตาม
“ตกลงค่ะ... ฉันจะทำมัน”
“ฉันแค่อยากให้เธอ...มอบตัวต่อพวกสตาสซะ”
“อ..อะไรนะคะ”
เหมือนมีเสียงหวีดแหลมในโสตประสาทของอึนจีไปชั่วครู่หลังสิ้นคำสั่ง เธอไม่แน่ใจว่าหูฝาดหรือไม่ แต่ถ้าเธอเข้าใจไม่ผิด เอสกำลังบอกให้เธอมอบตัวอย่างนั้นหรือ?
“อย่างที่รู้อึนจี สตาสแฝงตัวอยู่ในห้องเรียนของเธอ มันกล้ามากที่โผล่มาหยามกันต่อหน้าแบบนี้ แต่แน่นอนว่าฉันคงไม่ปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปอย่างที่พวกมันต้องการ” เอสขยับกายเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “เยาวชนอย่างเธอได้รับโทษน้อยกว่าคนอื่นๆหากถูกจับได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงได้รับเลือกให้ทำงานนี้”
อึนจีก้มมองพื้นหลังจากสิ้นประโยค เธอไม่เคยได้รับมอบหมายงานให้ฆ่า ไม่เคยต้องออกไปทำงานอันตรายเหมือนคนอื่นๆ นี่เป็นการตอบแทนเดียวที่เธอจะทำให้เอสได้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและสบตาผ่านหน้ากากกับคนตรงหน้า
“ค่ะ ฉันจะมอบตัว”
เอสไม่กล่าวอะไรต่อหลังจากเธอพูดจบ อึนจีคิดว่าการตัดสินใจของเธอนั้นถูกต้องแล้ว ถ้าให้เธอทนอยู่กับครอบครัวอันสุดแสนอึดอัดและไร้ซึ่งความรักนั่นกับการที่ได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อตอบแทนคนที่เห็นคุณค่าของเธอ แน่นอนว่าเธอต้องเลือกที่จะทำอย่างหลัง
“ฉันขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะเพราะนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้พบกับคุณ”
เอสพยักเบาๆเป็นเชิงให้เธอพูด อึนจีบีบมือที่ชื้นเหงื่อเข้าหากัน เธอรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะพูดมันแทบมีค่าความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์ แต่เธอก็อยากลองจะขอสิ่งนี้ซักครั้ง
“ฉันขอเห็นหน้าคุณได้ไหมคะ?”
เอสนิ่งไปหลายวินาทีจนเธอเริ่มใจหาย อึนจีคิดไว้แล้วว่าสิ่งที่เธอขอมันมากเกินไป เอสไม่เคยเปิดเผยใบหน้านั่นคือความจริงที่เธอรู้อยู่แล้วตั้งแต่เข้ามาเป็นไนท์แมร์ แต่เสียงทุ้มนั้นกลับทำให้เธอประหลาดใจจนแทบเก็บอาการทางสีหน้าไว้ไม่อยู่
“ได้สิ”
ใบหน้าของคนตรงข้ามยื่นเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ อึนจีตกใจไปชั่วครู่เมื่อรู้ว่าเอสจะให้เธอเป็นฝ่ายถอดหน้ากากนั้นด้วยตัวเอง มือเรียวยื่นไปหาใบหน้าของเอสอย่างช้าๆ มือของเธอสั่นมากแต่เทียบไม่ได้กับหัวใจในตอนนี้ หน้ากากสีขาวที่ประดับอยู่บนใบหน้าของชายผู้นี้ตลอดเวลากำลังค่อยๆถูกอึนจีปลดมันออก
และเพียงแค่ไม่ถึงสิบวินาทีใบหน้าของชายผู้เป็นที่รักก็ประจักษ์ต่อสายตาเป็นครั้งแรก
ภาพของเอสช่างเบลอเหลือเกินสำหรับจองอึนจีเพราะม่านน้ำตาได้บดบังเอาไว้จนคล้ายว่าคนตรงหน้าเป็นแค่ภาพจากในความฝัน
เธอพยายามปาดน้ำตาออกด้วยสองมือเล็กๆนั่นเพื่อที่จะมองหน้าเขาได้อย่างชัดเจน แต่เช็ดเท่าไหร่ก็ดูคล้ายว่าสายน้ำแห่งความดีใจนั้นจะไม่ได้ลดลงเลย จนกระทั่งร่างบอบบางถูกดึงให้เข้าไปหาอย่างช้าๆ เอสกอดหญิงสาวเอาไว้และโยกตัวน้อยๆราวกับจะปลอบประโลม
“ทำไมขี้แยล่ะหือ? เป็นไนท์แมร์เธอต้องเข้มแข็งสิ”
“ฮืออออออ”
อึนจีบังคับตัวเองให้หยุดร้องไห้ไม่ได้ ในตอนแรกเธอร้องไห้ด้วยความดีใจที่ในที่สุดเธอก็ได้เห็นใบหน้าของชายผู้เป็นที่รัก แต่หลังจากที่อึนจีตระหนักได้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าเขาเธอก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้อีก กลิ่นกายของเอสละมุนผิดคาด มันอบอุ่นเหมือนแสงแดดที่ทิ้งตัวลงทุ่งดอกเดซี่ แต่น่าเสียดาย ที่เธอเองไม่ใช่ดอกเดซี่ที่จะได้รับความอบอุ่นนี้อย่างถาวร
เอสกอดปลอบอึนจีเงียบๆจนกระทั่งหญิงสาวเลิกร้องไห้ เธอเช็ดน้ำตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเพื่อพบกับรอยยิ้มของเขา
จองอึนจีค้นพบ ว่าเธอตกหลุมรักเอสอีกครั้ง เพียงแค่รอยยิ้มนั้น รอยยิ้มแรกจากเอสที่เธอได้รับมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแปลงดอกไม้ที่ได้รับน้ำหล่อเลี้ยง
“ฉันอยากให้เธอฟังสิ่งนี้ไว้”
เอสก้มลงกระซิบข้างใบหูขาว เธอคิดว่ามันคงเป็นประโยคปลอบใจอีกซักประโยคที่เอสจะเมตตามอบให้เธอ แต่ไม่ อึนจีขมวดคิ้วสงสัยหลังจากคำพูดนั้นจบลง เอสผละออกจากเธอไป ดวงตาคมยังคงมองมาที่เธอ แต่อึนจีไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย
“ฉันไม่เข้าใจ..”
“เธอไม่จำเป็นต้องเข้าใจมันหรอกอึนจี เพราะประโยคนี้ฉันไม่ได้พูดกับเธอ”
“…”
“แต่ฉันต้องการให้เธอนำมันไปบอกกับ... บยอน แบคฮยอน”
ชื่อของเจ้าหน้าที่ที่ไนท์แมร์ทุกคนรู้ถูกเอ่ยออกมาจากคนตรงหน้า เธอไม่รู้ว่าหลังจากมอบตัวเธอจะมีโอกาสได้บอกประโยคนี้กับแบคฮยอนไหม และถึงแม้จะไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม แต่สิ่งที่เธอทำก็คือการพยักหน้าตกลง เอสใช้ดวงตาเสน่ห์คู่นั้นมองเธอและมือกร้านก็ถูกส่งมาลูบที่ผมของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา รวมทั้งรอยยิ้มอ่อนโยนที่ถูกส่งมาหลอมละลายหัวใจเธออีกครั้ง ราวกับว่าทั้งหมดนี้จะเป็นการบอกลาจากคนตรงหน้า
แต่หารู้ไม่
ว่ามันก็เป็นเพียงแค่ความอ่อนโยนจอมปลอมที่เขาสร้างขึ้นมา ก็เท่านั้น
“ขอบคุณที่เชื่อฟังจนวินาทีสุดท้ายนะ อึนจี”
◥ ◤
กระเป๋าสัมภาระถูกเก็บเข้าออดี้ของชานยอลเรียบร้อยแล้ว ผมมองนาฬิกาที่บอกว่าเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง วันนี้ป้านาบีใส่ชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน ชายกระโปรงเคลื่อนไหวคล้ายมีชีวิตยามที่ลมพัดผ่าน ผมใส่รองเท้าเตรียมตัวออกเดินทางก่อนที่จะหันไปมองชานยอลที่ยืนรออยู่หน้าประตูแล้วเพื่อให้ผมร่ำลากับป้านาบี
ผมสีแดงของเขาต้องกับแสงอาทิตย์ซึ่งผมคงต้องพูดเป็นรอบที่ล้านแปดว่ามันทำให้เขาดูโดดเด่นเหลือเกิน บางทีผมควรจะเสนอให้เขาเปลี่ยนสีผมใหม่ การเป็นผู้ร้ายก็ควรทำตัวให้กลมกลืนไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงได้ทำตัวให้เด่นแบบนี้กัน
“เดินทางปลอดภัยนะลูก” ป้านาบีอวยพรแต่ผมกลับกางแขนทั้งสองข้างออก
“ขอกอดหน่อย” มันก็เป็นดังเช่นทุกครั้งเวลาที่ผมจากกับท่าน เรากอดกันแล้วโยกตัวไปมาจนผมได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะเบาๆราวกับขำอะไรนักหนา ผมผละออกจากป้าก่อนจะมองหน้าท่าน ป้าไม่เคยบอกว่าผิดหวังยามเมื่อรู้ว่าคนรักของผมไม่ใช่ผู้หญิง ป้ายอมฟังความคิดเห็นของผมที่อยากอยู่ที่โซล ป้ารักผม ห่วงผมและให้อิสระแก่ผม ท่านเป็นคนสำคัญที่ผมคิดไม่ออกเลยว่าถ้าวันหนึ่งที่ไม่มีท่านอยู่ตรงนี้ ผมจะมีชีวิตต่อไปได้ยังไง
“ผมไปแล้วนะ”
“เจอกันคราวหน้านะลูก ป้าจะรอ”
ผมกอดท่านแน่นๆเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปหาชานยอล ผมไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงคราวหน้าตามที่ป้านาบีหวัง แต่ตอนนี้ผมไม่อยากกลับโซลเลยแม้แต่น้อย ผมหันมาโบกมือให้ป้าก่อนจะขึ้นรถ ท่านยิ้มและโบกมือให้ผมจนกระทั่งรถค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา
“เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะหือ?”
ชานยอลที่จับได้ถึงกระแสความกังวลของผมเอ่ยถามขึ้น ผมเลือกที่จะไม่ตอบแล้วพิงหัวเข้ากับกระจกรถแทน
“ง่วงอ่ะ ถึงโซลแล้วค่อยปลุกนะ”
“จะนอนให้อ้วนไปถึงไหนกัน”
“ย่าห์...”
ผมหยุดการต่อปากต่อคำก่อนจะค่อยๆปิดเปลือกตาลง ถึงแม้ว่าครั้งนี้มันก็เหมือนกับครั้งก่อนๆที่ผมจากป้านาบีเพื่อเดินทางกลับโซล แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันแปลกออกไป
ไม่รู้ว่าทำไม อ้อมกอดจากป้านาบีในครั้งนี้....มันถึงทำให้ผมรู้สึกหวิวไปทั้งช่วงอก ผมไม่อยากจะเป็นคนคิดมาก แต่ว่า...
มันเหมือนกับว่านี่จะเป็นการกอด...ครั้งสุดท้าย
TBC
ยังไงก็ได้รู้แน่ๆว่าเอสและไนท์แมร์คนสุดท้ายคือใคร แต่เราไม่อยากให้ทุกคนคาดหวังมากเลยอ่ะ เรากดดัน 55555555555555555555555555555555555555
แล้วก็.. เราเห็นมีหลายคนกลัวว่าเรื่องนี้มันจะดราม่า เราก็สงสัยว่าตรงไหนที่มันจะดราม่า 55555555555 เราเคยบอกว่าแบคฮยอนซวยที่สุดในเรื่อง เราก็ยังยืนยันคำเดิมนะ
เราตอบไม่ได้ว่าตรงไหนคือจุดพีคของเรื่อง เพราะทั้งชีวิตเรารู้จักอยู่พีคเดียวคือพีคแฟนพี่เต๋อ และใช่ บางทีเราไม่ควรจะเล่นมุก
เห็นว่ามีคนกดโหวตหน้าฟิคให้ด้วย 55555555 เรานี่น้ำตาแทบหลั่ง แล้วก็เห็นว่ามีคนแนะนำฟิคเราให้เพื่อนๆด้วย อยากจะกราบแบบทิเบตให้มากๆ ขอบคุณนะคะ T_T
สุดท้ายนี้ขอบคุณกำลังใจและการสนับสนุนที่มีให้ฟิคน้อยๆเรื่องนี้นะคับ ♥ เจอกันตอนหน้าเมื่อเราแต่งฟิควันเกิดแบคฮยอนเสร็จ (จริงๆละอายใจมากที่อัพช้าแต่แบบจะแต่งสองตอนรวดมาขอโทษก็ปั่นไม่ได้ เราจะแทงลิ้นปี่ตัวเองเดี๋ยวนี้ เอื้อออออออออออออออออ)
Up : 09/04/2015 (40%) 03/05/2015 (100%)
ความคิดเห็น