ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] See through B's trick (chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #16 : - CH 12 : blade -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.25K
      41
      21 มี.ค. 59

    chapter 12




     

    I wanna say I love you, but babe I'm terrified

    ผมอยากพูดออกไปว่าผมรักคุณ แต่ที่รัก...ผมกลัวเหลือเกิน

    .

    .

    .

    .

     

    หนูขอหอมน้องได้ไหมคะคุณน้า?

     

    เสียงเล็กๆของเด็กหญิงในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนเอ่ยถามหญิงสาวเจ้าของดวงตาเรียว ประกายความอ่อนโยนถูกส่งผ่านมาทางดวงตาเรียวรีคู่นั้น เธอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มให้เด็กหญิงเป็นเชิงอนุญาตก่อนจะถักผ้าพันคอในมืออย่างตั้งใจ

     

    แก้มน้องหอมจังเลยค่ะ หนูอยากให้น้องมาเป็นน้องแท้ๆจัง

     

    มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่หญิงสาวจะเอ็นดูเด็กหญิงคนนี้ไม่ต่างจากลูกของตัวเอง เธอทั้งช่างพูดช่างคุยแถมยังปากหวานและเอาใจผู้ใหญ่เก่ง

     

    ถ้าอย่างนั้นก็มาเล่นกับน้องบ่อยๆสิจ๊ะยูรา น้องจะได้ไม่เหงา

     

    หนูมาบ่อยๆได้เหรอคะ?เด็กหญิงเจ้าของเปียสองข้างเอ่ยถามพร้อมทำตาโต คำพูดของคนที่เธอเรียกว่าคุณน้าทำให้ดีใจจนแทบกระโดดแต่แม่สอนเธอไว้ว่าเป็นผู้หญิงต้องสำรวมกิริยา

     

              ได้แน่นอนจ้ะ  น้าดีใจซะอีกถ้าเรากับชานยอลจะมาบ่อยๆ บ้านก็อยู่ติดกันแค่นี้เอง นอนค้างก็ได้นะ น้ายินดีเสมอ

     

              ความอ่อนโยนจากหญิงสาวทำให้เด็กน้อยยิ้มกว้าง เธอหันไปหาเด็กชายตัวเล็กที่ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในรถหัดเดิน แก้มยุ้ยๆที่เธอเพิ่งได้สัมผัสไปนั้นทำให้น้องดูน่ารักจนเธออยากจะจับมาฟัดให้รู้แล้วรู้รอด ดวงตาเรียวรีใสแจ๋วของน้องมองเธออย่างไร้เดียงสา เธออยากให้ลูกของคุณน้าเกิดมาเป็นน้องแท้ๆของเธอ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ในเมื่อเธอมีเด็กอ้วนเป็นน้องชายอยู่แล้วในตอนนี้

     

              และเด็กอ้วนคนนั้นก็กำลังมองเด็กชายตัวน้อยในรถหัดเดินตาไม่กะพริบ

     

              อยากหอมน้องเหมือนกันล่ะสิ

     

              เด็กอ้วนทำเพียงแค่ปรายตามองมาที่เธออย่างเฉยเมยนั่นทำให้เด็กหญิงแทบจะทึ้งหัวน้องชายตัวดีด้วยความหมั่นไส้แต่แม่สอนเธอไว้ว่าเป็นผู้หญิงไม่สมควรจะมีอารมณ์รุนแรง

     

              พี่รู้ว่านายก็อยากหอม คุณน้าอนุญาตแล้ว หอมได้ แต่ห้ามแรงนะ เดี๋ยวแก้มน้องช้ำเธอสั่งก่อนจะเขยิบตัวให้เด็กอ้วนเข้ามาใกล้น้องได้มากขึ้น  เป็นเพราะเธอรู้ว่าน้องน่ะน่ารัก ไม่ว่าจะเป็นเธอ เด็กอ้วนคนนี้ หรือจะใครหน้าไหนก็คงอยากหอมแก้มยุ้ยๆนี่ทั้งนั้นแหละ

     

              แอ้ เสียงเล็กๆจากริมฝีปากจิ๊ดริ๊ดทำให้เด็กชายตัวอ้วนสะดุ้งเล็กน้อย หญิงสาววางมือจากการถักผ้าพันคอก่อนจะยิ้มขำให้กับท่าทางของเด็กข้างบ้านที่เธอเอ็นดูทั้งสองคน

     

              กลัวน้องเหรอจ๊ะชานยอล?หญิงสาวถามติดตลกเมื่อเห็นว่าเด็กชายได้แต่เงอะงะอยู่หน้ารถหัดเดินปล่อยให้เจ้าตัวน้อยยื่นมือมาหาพร้อมส่งเสียงอ้อแอ้อย่างน่ารักอยู่นานสองนาน

     

              เปล่าครับคุณน้า

     

              เด็กชายตอบคำถามอย่างฉะฉานก่อนจะหันมาสนใจกับใบหน้าจิ้มลิ้มตรงหน้า น้องน่ารักมาก ข้อนี้เขายอมรับ ดวงตาเรียวและจมูกเล็กๆเข้ากันได้ดีกับใบหน้า ทุกอย่างของน้องดูเล็กกระจิดริดและน่าทะนุถนอม ไหนจะแก้มกลมที่ขึ้นสีชมพูอ่อนตามผิวของเด็กยิ่งทำให้น้องดูน่าฟัดมากขึ้นไปอีก ในตอนนั้นเองที่เขาเลื่อนสายตาจากแก้มยุ้ยๆมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากเล็กนั่น

     

              แอ้..

     

              ปากเล็กๆที่ดูชุ่มฉ่ำและเป็นสีสดอย่างเป็นธรรมชาติทำให้เขานึกถึงเยลลี่หยุ่นๆที่ชอบกิน ดวงตาเรียวใสแจ๋วมองเขาไม่วางตาแถมยังส่งมือเล็กๆนั่นมาปัดป่ายไปทั่วใบหน้าของเขาอีก วินาทีนี้เด็กอ้วนไม่ได้สนใจแก้มยุ้ยๆนั่นอีกต่อไปแล้ว

     

              เพราะเขา...

     

              จุ๊บ

     

              ถูกดึงดูดด้วยริมฝีปากเล็กจิ๊ดริ๊ดเข้าให้แล้ว

     

              คุณน้าคะ ชานยอลจุ๊บแบคฮยอนค่ะ!!!!’

     

              และนั่นเป็นครั้งแรกที่ เขาได้รู้ว่าริมฝีปากของคนอื่นไม่ได้นุ่มหยุ่นเหมือนเยลลี่ ไม่ได้มีรสชาติหอมหวานเหมือนผลไม้ชนิดใดๆ

     

              แต่ริมฝีปากได้สร้างบางอย่างที่ทำให้ใจของเขาผูกเข้ากับเด็กน้อยตั้งแต่วันนั้น

     

              บางอย่างที่เขาในตอนนั้นยังไร้เดียงสาเกินกว่าจะรู้...ว่ามันคืออะไร

     

     

     

     

     

    (chanyeol’s part)

     

    คุณอาจจะเคยรู้สึกว่าโลกใบนี้มันไม่ได้กว้างอย่างที่คิด

     

    ได้เจอกับคนแปลกหน้า แต่กลับมารู้ทีหลังว่าเคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน

     

    หรืออาจจะเป็นเพราะโชคชะตาผสมกับความตั้งใจของพระเจ้า เล่นตลกให้คนที่เราคิดว่าหายไปจากชีวิตกลับมาพบเจอกับเราอีกครั้ง

     

    มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าทฤษฎีหกองศา ได้อธิบายว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกต่างมีสายใยเชื่อมโยงกันโดยผ่านบุคคลที่เป็นตัวกลาง ตัวอย่างเช่น แฟนของเพื่อนสนิทอาจจะเป็นญาติห่างๆทางฝ่ายพ่อ หรือคุณครูที่โรงเรียนอาจจะเป็นคนๆเดียวกันกับที่สอนแม่ของคุณมาก่อน

     

    ทฤษฎีนี้ได้ตั้งชื่อไว้ให้เรียกอย่างง่ายๆโดยการเรียกตามชื่อของนักแสดงฮอลลีวู้ดคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเควิน เบคอน

     

    ผมไม่ได้ต้องการให้คุณสนใจทฤษฎีน่าปวดหัวนั่น สิ่งที่ผมจะสื่อคือผมไม่เชื่อเกี่ยวกับโชคชะตาหรือพระเจ้าบ้าบอใดๆทั้งสิ้น ดังนั้น การที่ผมได้เจอกับเขามันสามารถอธิบายได้ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์อย่างที่ผมได้เอ่ยไปแล้วก่อนหน้านี้

     

    ใช่ การที่ผมได้พบกับบยอนแบคฮยอนอีกครั้ง...มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

     

                กูฝากแบคฮยอนไว้กับมึงด้วยนะ

     

                คำพูดจากเพื่อนรักผมยังคงจำได้อย่างขึ้นใจ ผมรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอี้ฝานและแบคฮยอนนั้นเป็นเช่นไร ตลอดระยะเวลาที่ประจำการอยู่ในอเมริกา ผมติดต่อกับอี้ฝานบ่อยครั้ง ทั้งถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ แลกเปลี่ยนเรื่องภารกิจ และแน่นอนว่ารวมไปถึงเรื่องส่วนตัว

     

                ครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อบยอน แบคฮยอนจากอี้ฝานคือตอนที่เขาเป็นครูฝึกอยู่ในโรงฝึกพิเศษ  ในตอนนั้นผมไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะรู้ดีว่าชื่อของประชากรเกาหลีมีโอกาสซ้ำกันได้ ผมไม่ได้คิดว่าแบคฮยอนที่อี้ฝานเอ่ยถึงจะเป็นคนเดียวกับเด็กผู้ชายตัวเล็กจอมดื้อที่ผมเคยสนิทสนมด้วย ผมได้ซึมซับหลากหลายเรื่องราวของแบคฮยอนจากอี้ฟาน พวกเขารักกัน คบกัน และเลิกกัน ผมรับรู้ในทุกช่วงความสัมพันธ์ของเขาทั้งสอง อี้ฝานไม่เคยมีความลับต่อผมซึ่งสิ่งนี้เป็นนิสัยเพียงข้อเดียวที่ทำให้เราแตกต่าง

     

                อี้ฝานพร้อมจะเปิดเผยเรื่องของตัวเองต่อคนที่เขาสนิทใจด้วย แต่ผมมักปกปิดเอาไว้มากกว่าจะบอกกล่าวให้คนอื่นได้ฟัง

     

                ชื่อของบยอน แบคฮยอนหายไปจากชีวิตของผมตั้งแต่อี้ฝานตัดสินใจยุติความสัมพันธ์นั้นลง ผมเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอ่ยถึงชื่อคนรักเก่าของเพื่อนสนิท สิ่งที่ผมทำคือการตั้งใจทำงาน ใช้ชีวิตตามปกติจนกระทั่งวันที่ผมได้รับคำสั่งเรียกตัวจากทางเกาหลี

     

    ผมได้รับมอบหมายภารกิจเกี่ยวกับการจับกุมกลุ่มอาชญากรที่มีชื่อว่าไนท์แมร์ ผมเคยได้ยินกิตติศัพท์ของคนกลุ่มนี้มาแล้วผ่านคำบอกเล่าจากอี้ฝาน ซึ่งนั่นทำให้ผมคิดได้ ว่าการปฏิบัติภารกิจนี้ไม่สามารถทำได้ด้วยความรีบเร่งแต่มันจำเป็นต้องใช้เวลา ดังนั้น การแฝงตัวเข้าไปเป็นหนึ่งในกลุ่มของศัตรูจึงเป็นวิธีที่ผมคิดว่าดีที่สุด แม้ว่ามันจะมีทั้งความเสี่ยงและอันตราย แต่มันก็เป็นสิ่งควรค่าที่สุดที่จะทำ

     

    ผมปกปิดตัวตนที่แท้จริงและปล่อยให้ทุกคนเข้าใจว่าผมคือปาร์ค ชานยอลแห่งไนท์แมร์ ไม่ใช่ทริซ เจ้าหน้าที่คนเก่งของสตาส คนที่รู้ว่าผมเป็นใครนั้นก็มีเพียงแค่คุณคิม อี้ฝานและบุคคลที่เกี่ยวข้องบางส่วนเท่านั้น ผมต้องการให้ตัวตนของผมเป็นความลับที่สุดเพื่อความปลอดภัยและความแนบเนียนในการทำภารกิจ ดังนั้นคนอื่นๆก็จะคิดว่าผมเป็นคนร้ายไม่เว้นแม้แต่หน่วยสตาสด้วยกัน

     

                การวางแผนทำทีเป็นไล่ล่าจับกุมผมประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ พวกไนท์แมร์เชื่อใจว่าผมเป็นวายร้ายฝีมือดีและลบความคลางแคลงใจในตัวผมไปจนหมดสิ้น แต่เป็นเพราะแผนนี้นั่นเองที่ทำให้ผมได้รู้ถึงความจริงบางอย่าง

     

                เจ้าหน้าที่สตาสคนที่พยายามจับกุมผมด้วยตัวคนเดียว คนที่มีแววความมุ่งมั่นและฉายความอยากเอาชนะในดวงตาเรียวเล็ก คนที่ชื่อว่า บยอนแบคฮยอนคนนั้น

     

                วินาทีแรกที่ผมเห็นเขา ผมเพียงแค่คิดว่าเขาคือคนรักเก่าของเพื่อนสนิทและคงเป็นคนอวดดีที่ไม่ฟังใคร สังเกตได้จากการที่เขากล้าจะเผชิญหน้ากับผมเพียงลำพังโดยปราศจากเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ แต่เค้าโครงหน้าและเส้นโลหะที่ห้อยอยู่บนลำคอของคนตัวเล็กกลับเป็นสิ่งที่ทำให้ผมใจกระตุกและในตอนนั้นเองที่ความจริงบางอย่างพุ่งชนความทรงจำให้ผมตระหนักรู้

     

                ว่าแบคฮยอนที่ผมเคยรู้จักในอดีต คือคนเดียวกับแบคฮยอนที่ยืนอยู่ตรงหน้า     

     

                เราต่อสู้กันจนแบคฮยอนได้แผลและรอยฟกช้ำ ผมไม่ได้อยากทำร้ายเขา แต่ผมจำเป็นจะต้องทำ  มันคงดูผิดสังเกตที่ไนท์แมร์จะไม่ต่อสู้ขัดขืนกับคนที่พยายามจะเข้ามาจับกุม

     

                ตัวนาย...หอมดีนะ

     

                ประโยคแรกที่ผมพูดกับเขามันช่างฟังดูไร้สาระสิ้นดี ใช่ มันฟังดูบ้ามาก แต่แบคฮยอนตัวหอมดังที่ผมกล่าวออกไป ผมเคยได้กลิ่นแป้งเด็กจากตัวเขาเมื่อนานมาแล้ว แต่ในตอนนี้เขาโตขึ้น แข็งแรงขึ้น กลิ่นของเขาแปรเปลี่ยนจากความไร้เดียงสาเป็นความทะนงตน  แต่กระนั้นมันก็ยังคงหอมดังเช่นในอดีต

     

                ผมไม่โกรธที่แบคฮยอนจำผมไม่ได้ ความทรงจำของเด็กอายุไม่ถึงห้าขวบที่สมองยังเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่กับความทรงจำของผมที่อยู่ในวัยประถมมันแตกต่างกันและผมเข้าใจข้อเท็จจริงนี้ดี

     

     คำว่า ฝาก ของอี้ฝานไม่ได้หมายถึงการตามติดหรือการเฝ้าดูให้อยู่ในสายตาตลอดเวลา ผมคิดว่าการฝากในที่นี้ อี้ฝานฝากผมด้วยหน้าที่มากกว่าจะเป็นเรื่องของความรู้สึก แบคฮยอนผลีผลามและใจร้อน สิ่งนี้อาจจะเป็นสาเหตุให้อี้ฝานเป็นกังวล  

     

    ที่ผ่านมา ผมคิดว่าผมทำตามคำฝากฝังนั้นได้เป็นอย่างดี แต่เพียงแค่เห็นรอยแผลจางๆบนใบหน้าของคนตัวเล็ก ผมก็ตระหนักได้ว่าผมยังบกพร่องต่อแบคฮยอนอีกมาก ทั้งๆที่ผมพยายามเข้าหาเขาด้วยการผูกมัดด้วยคำขู่หรือการตามติดไปในสถานที่ต่างๆ แต่เขาก็ยังถูกทำร้ายได้ซึ่งนั่นสร้างความไม่พอใจแก่ผม

     

    ผมไม่พอใจ ที่ผมปกป้องแบคฮยอนไม่ดีพอ

     

    ผมนอนนิ่งอยู่บนฟูกนอนมาร่วมชั่วโมงแล้ว แบคฮยอนที่นอนอยู่ข้างกายยังคงจมอยู่ในห้วงนิทรา เมื่อคืนนี้เราแยกกันนอนคนละฟูกแต่เพียงแค่ผมตื่นขึ้นมา ร่างเล็กๆของแบคฮยอนกลับบดเบียดอยู่บนฟูกเดียวกับผมแถมยังยื่นทั้งแขนและขาเข้ามากอดก่ายผมไว้อีก ผมไม่อยากจะยอมรับนักว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้ผมได้แต่นอนนิ่งอยู่แบบนี้

     

    ตัวของแบคฮยอนเย็นชืดเพราะอากาศและเสื้อกล้ามที่สวมใส่ แต่ลมหายใจของเขากลับอุ่นร้อนรินรดอยู่ใกล้กับต้นคอของผม ผมไม่อยากรบกวนการนอนของแบคฮยอนแต่ป้านาบีได้กำชับไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าให้ปลุกไอ้ลูกหมาเพื่อให้ไปโรงพยาบาล ส่วนท่านเองจะออกไปตลาดอย่างที่ทำในทุกๆเช้า

     

    จะไม่บอกน้องจริงๆเหรอลูก ว่าเราเป็นใครน่ะ?

     

     

    ป้านาบีทิ้งคำถามไว้หลังจากที่เราได้คุยกัน แน่นอนว่าท่านจำผมได้และดีใจที่ผมได้พบกับแบคฮยอนอีกครั้ง แต่ในตอนนี้แบคฮยอนไม่ได้คิดว่าผมเป็นมิตร สำหรับเขา ผมคือคนเจ้าเล่ห์ เป็นวายร้ายที่เขาคงคิดวิธีตลบหลังอยู่ทุกเวลา

     

    ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมคือพี่ชายข้างบ้าน คือคนที่ให้สร้อยเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาไม่สมควรรู้ว่าผมคือสตาส แม้แบคฮยอนจะไว้ใจได้แก่การบอกความจริง แต่สิ่งที่ผมไม่ไว้ใจคือคนรอบข้างของเขา ผมมั่นใจว่าต้องมีไนท์แมร์แฝงตัวอยู่ในสตาส หากตัวตนของผมถูกเปิดเผยนั่นก็เท่ากับว่าสิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่าภายในพริบตา

     

    แบคฮยอน

     

    ผมเรียกเขาเสียงแผ่ว ไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองเพราะรู้ว่าใบหน้าของแบคฮยอนอยู่ใกล้มากเพียงใด ตามจริงผมก็รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยที่มีผู้ชายมานอนกอดก่าย แน่นอน ว่าผมคงไม่เคยไปนอนกอดกับผู้ชายที่ไหนมาก่อน แต่การที่ผมยอมให้แบคฮยอนทำอยู่แบบนี้อาจจะเป็นเพราะสายใยอย่างหนึ่งที่ผมเคยมีต่อเขาในอดีตและมันยังคงส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงเวลานี้

     

    สายใยที่เรียกว่า...ความผูกพัน

     

    แบคฮยอนผมตัดสินใจหันใบหน้าไปเรียกเขาด้วยเสียงที่ดังขึ้น ผมชะงักไปเสี้ยววิเมื่อใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่เซ็น แพขนตายาวและแก้มขาวที่ชัดเจนต่อสายตาทำให้ผมเกิดความปั่นป่วนไปชั่วครู่ แบคฮยอนขยับก่อนจะเบียดร่างเข้ามาชิดผมมากขึ้น ตอนนั้นเองที่ผมตัดสินใจจะปลุกเขาให้ตื่นก่อนที่เราจะใกล้กันไปมากกว่านี้

     

    แบค...

     

    เสียงทุ้มของผมถูกกลืนลงคอเมื่อคนตัวเล็กขยับกายเพียงเล็กน้อยแต่มากพอที่จะทำให้ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน

     

    มันเกิดขึ้นภายในไม่กี่วิแต่กลับกินเวลายาวนานในความรู้สึก ผมเด้งตัวออกจากอ้อมแขนของแบคฮยอนราวกับถูกกระแสไฟฟ้าผลัก หัวใจของผมเต้นรัวจนน่ากลัวว่ามันจะกระดอนออกจากแผ่นอก เหมือนกับว่าผมถูกไฟฟ้าแรงสูงช็อตเข้าตรงกลางหัวใจ มันเต้นเร็วจนทรมาน แต่ผมรู้..

     

    ว่าการที่หัวใจเต้นแรงเช่นนี้ มันเป็นความทรมานที่แสนงดงาม

     

    แบคฮยอนลืมตาหลังจากที่ผมเด้งตัวออกจากเขา เขายันกายลุกขึ้นก่อนจะปรือตามองผมอย่างคนที่ตื่นไม่เต็มตา ความนุ่มหยุ่นจากริมฝีปากเล็กนั่นยังคงตราตรึงอยู่บนปากของผม และในวินาทีนี้เองที่ผมได้คำตอบว่าปากของแบคฮยอนนิ่มเหมือนตอนเด็กอย่างที่ผมเคยสัมผัสหรือไม่

     

    คำตอบคือ...นิ่มเหมือนเดิม

     

    ไม่สิ

     

    นิ่มมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

     

    ทำไมลงไปนั่งอยู่ตรงนั้นล่ะ?

     

    แบคฮยอนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผมนั่งอยู่บนพื้น ผมจัดท่าทางของตัวเองให้เข้าที่ก่อนจะหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม

     

    ป้านายบอกว่านายต้องไปโรงพยาบาลตอนเจ็ดโมงไม่ใช่รึไง?

     

    แบคฮยอนหันไปมองนาฬิกาบนผนังก่อนจะพยักหน้าช้าๆแล้วลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำ เดาว่าเป็นเพราะเพิ่งตื่นจึงทำให้เขาไม่ต่อปากต่อคำหรือแสดงท่าทีต่อต้าน

     

    ทั้งที่หัวใจของผมยังคงสั่นระรัวราวกับมีภูเขาไฟปะทุอยู่ใต้แผ่นอก แต่การเก็บสีหน้าของผมนั้นยังคงเป็นไปอย่างดีเยี่ยม คนตัวเล็กถอดเสื้อกล้ามต่อหน้าผมก่อนจะโยนไว้บนพื้น แผ่นอกขาวและติ่งไตเล็กๆสองจุดนั่นทำให้ผมรู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมก็แค่คิด ว่าแบคฮยอนควรจะออกไปจากห้องนี้ได้แล้ว

     

    แบคฮยอนเอาผ้าเช็ดตัวคล้องคอก่อนจะเดินเข้ามาหาผมด้วยสายตาใคร่รู้ นิ้วชี้เรียวถูกส่งมาชี้ที่ใบหน้าของผมก่อนประโยคสั้นๆที่เขาเอ่ยออกมาจะทำให้ผมเบลอไปชั่วขณะ

     

    แก้มนายแดง

     

    เขาเอียงคอมองผมอย่างสงสัยก่อนจะเลิกสนใจผมแล้วออกจากห้องไป ทิ้งผมไว้กับความรู้สึกประหลาดที่แล่นไปทั่วทั้งร่าง ผมหาข้ออ้างมาแก้ต่างความรู้สึกของตัวเองได้ แต่มันคงไม่เกิดประโยชน์ เพราะผมรู้ว่าอาการที่เป็นอยู่นั้นมันคืออะไรและมันเคยเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อตอนที่ผมเผลอไปสัมผัสริมฝีปากของเขาเป็นครั้งแรกในวัยเด็ก

     

    แต่ในตอนนี้ผมไม่ได้ไร้เดียงสาที่จะไม่รู้ว่ามีบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น มันค่อยๆแทรกซึมเข้ามาอย่างช้าๆแต่หนักแน่น มันเป็นบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกละมุนละไมและหวั่นใจไปในคราวเดียวกัน

     

    เพราะมันเป็นบางอย่าง ที่แสนงี่เง่า...แต่กลับมีอานุภาพเหนือเหตุผล

     

    45 %

     

    อาคารสีขาวและกลิ่นแอลกอฮอล์อันเป็นเอกลักษณ์ของโรงพยาบาลที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศส่งผลให้ผมอึดอัดไม่น้อย ผมไม่ชอบบรรยากาศของโรงพยาบาลซักเท่าไหร่ ซึ่งแตกต่างจากคนข้างกายที่ดูชินชาเสียแล้วกับบรรยากาศเหล่านี้

     

    นายไปหาร้านกาแฟนั่งรอก็ได้นะ เดี๋ยวเสร็จแล้วฉันค่อยโทรตามให้มารับ

     

    แบคฮยอนหันมาบอกผมก่อนที่นิ้วเรียวจะกดเรียกลิฟท์ ตอนนี้เราอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งเป็นสถานที่ตรวจโรคประจำตัวของเขา ผมไม่แน่ใจนักว่าเขาเป็นโรคอะไร แต่เดาว่าคงเกี่ยวกับอาการกลัวฟ้าร้องที่มากกว่าคนปกติ อี้ฟานเองก็เคยพูดถึงโรคของแบคฮยอนอยู่สองสามครั้ง แต่แน่นอนว่าในตอนนั้นผมไม่ได้ใส่ใจนัก

     

    ไม่เป็นไร ฉันจะขึ้นไปด้วยผมบอกเขาพลางมองตัวเลขที่ลดลงเรื่อยๆตามลำดับชั้น

     

    แต่นั่งรอฉันตรวจนานๆมันน่าเบื่อจะตาย

     

    ฉันรอได้

     

    แต่ว่ามัน...

     

    ฉันรอได้

     

    แต่ว่า..

     

    ฉันรอได้ แล้วที่บอกว่าจะโทรตามน่ะ นายมีเบอร์ฉันแล้วรึไง?

     

    แบคฮยอนเม้มปากหลังจากที่ผมถามออกไป เขากลอกตาก่อนจะหันไปสนใจลิฟท์แทน ผมรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงแล้วเขาไม่ได้กลัวผมจะเบื่อที่ต้องนั่งรอเขาแต่เป็นเพราะแบคฮยอนไม่อยากให้ผมรับรู้เรื่องส่วนตัวของเขาไปมากกว่านี้ต่างหาก

     

    ความจริงแล้วผมเข้าใจดี ว่าแบคฮยอนไม่อยากเปิดเผยเรื่องของเขาให้ผมได้รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรค ครอบครัว ภารกิจหรือแม้กระทั่งความคิดของเขาก็ตาม

     

    งั้นก็เอาเบอร์นายมาสิ

     

    ติ๊ง!

     

    เสียงลิฟท์เป็นดังสัญญาณตัดการสนทนา ผมเดินนำเข้าไปในลิฟท์เพื่อหลีกเลี่ยงคำขอจากแบคฮยอน ใช่ว่าจะมีแต่เขาที่ต้องการจะปกปิดชีวิตส่วนตัว ผมเองก็เช่นกัน ยิ่งแบคฮยอนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผมน้อยเท่าไหร่ มันก็เป็นผลดีต่อเขามากเท่านั้น

     

    ชานยอล เอาเบอร์นายมาสิ ไว้ฉันตรวจเสร็จแล้วจะโทรตาม โอเคไหม?

     

    ชั้นอะไร?ประตูลิฟท์ปิดลงเมื่อแบคฮยอนก้าวเข้ามาแล้ว เขาพูดคล้ายกับประโยคเดิมซึ่งแน่นอนว่าผมยังคงหลีกเลี่ยงที่จะตอบและเปลี่ยนเป็นถามถึงชั้นที่เราจะต้องไปแทน

     

    แค่เบอร์เอง นายคิดว่าฉันจะเอาเบอร์นายไปทำอะไรได้?

     

    ชั้นอะไร?

     

    อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องได้ไหม นายมีเบอร์ฉันฝ่ายเดียวแบบนี้ฉันก็เสียเปรียบสิ

     

    ชั้นอะไร?

     

    แบคฮยอนส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกจากริมฝีปากแล้วกดไปที่เลขแปดด้วยตัวเอง เขาถอนหายใจก่อนที่จะเลิกสนใจผม  ผมคิดว่าท่าทางเวลาที่เขาถูกขัดใจมันดูตลกดี อย่างเช่นตอนนี้ที่เขาขมวดคิ้วแล้วทำตาขวาง สีหน้าของแบคฮยอนซื่อตรงเสมอต่ออารมณ์ เขาไม่เคยปกปิดความรู้สึกของตัวเองได้เลยเพราะเขาแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านใบหน้า นั่นทำให้ผมคิดว่าบางเวลาเขาก็ดูดื้อรั้นและไร้เหตุผล แต่บางเวลาผมคิดว่าเขาก็.. ไม่รู้สิ คงน่ารักดีล่ะมั้ง

     

    ผมชอบเวลาที่แบคฮยอนทำหน้าตาบูดบึ้ง หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาพยายามจะเถียงแต่กลับสู้ผมไม่ได้ เขาจะทำปากยื่นแล้วก็กลอกตาเหมือนเหนื่อยหน่าย บางทีแบคฮยอนก็ทำให้ผมนึกถึงเจ้ามาร์คัส สุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยนที่ผมเลี้ยงไว้แก้เหงาที่อเมริกา เวลาที่มันหิวแต่ผมแกล้งไม่ให้มันกิน มันก็จะทำหน้าเหมือนดังที่แบคฮยอนทำอยู่ในตอนนี้

     

    ผมเอาหัวเป็นประกันเลยว่าถ้าแบคฮยอนรู้ว่าถูกเปรียบเทียบกับสุนัขคงได้โวยวายไม่หยุดแน่

     

    แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเขาเหมือนสุนัขจริงๆ อาจจะไม่เหมือนเจ้ามาร์คัสขนาดนั้นหรอก ผมมองว่าเขาเหมือนลูกหมามากกว่า

     

    มองไร?แบคฮยอนตวัดเสียงถามเมื่อลิฟท์เคลื่อนตัวมาจนถึงชั้นห้า ผมยักไหล่ก่อนจะทำทีเป็นไม่สนใจ แต่พอเขาเผลอผมก็แอบลอบมองเขาอีกครั้ง

     

    แบคฮยอนไม่ใช่คนยอมคน ข้อนี้ผมรู้ เขาออกจะไม่ฟังใครและผลีผลาม ถ้าคุณสั่งให้เขาไปทางซ้าย แน่นอนว่าเขาจะทำตาม แต่ทางขวาก็เป็นทางที่เขาจะกลับมาสำรวจเช่นกัน แบคฮยอนเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งและพยายามแก้ไขปัญหาเพียงลำพัง เขามีความเชื่อมั่นในทัศนคติของตัวเองว่าสิ่งที่กำลังจะทำนั้นถูกต้อง ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ในบางครั้งมันก็ส่งผลเสีย

     

    นี่คือตัวตนของแบคฮยอนที่ผมเรียนรู้ได้ด้วยการสังเกต เขาไม่ใช่คนอ่านยาก แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยตัวตนอย่างโจ่งแจ้ง ถ้าคุณอยากรู้ว่าแบคฮยอนมีนิสัยยังไง คุณต้องสังเกตเขา จดจำรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขาแล้วคุณจะเข้าใจเขา...เหมือนที่ผมเป็น

     

    ...

     

    เสียงที่ดังที่สุดภายในลิฟท์คือความเงียบระหว่างเราทั้งสอง แบคฮยอนมองตัวเลขที่ผนังทั้งๆที่ยังทำหน้าลูกหมาอยู่แบบนั้น แต่เพียงแค่เขาแลบลิ้นเพื่อเลียริมฝีปากที่แห้งผาก ผมที่แอบมองอยู่ก็ถึงกับใจกระตุกโดยไม่อาจห้ามได้

     

    และเป็นอีกครั้งที่ผมรู้ซึ้ง

     

    ว่าเรื่องบ้าได้เกิดขึ้นกับใจของผมแล้ว

     

     

     

    พี่ว่าเราอ้วนขึ้นนะแบคฮยอน

     

    โห ดูพี่หมอทักดิ

     

    แบคฮยอนทักทายคุณหมอที่ผมทราบจากป้ายชื่อว่านายแพทย์ปาร์ค จองซูอย่างสนิทสนม ภายในห้องสีขาวสะอาดตานั้นไม่มีอะไรมากนักนอกจากโต๊ะและเก้าอี้สำหรับหมอและคนไข้ รวมทั้งโซฟาขนาดเล็กที่มีไว้เพื่อให้ญาติผู้ป่วยนั่งรอ เดาว่าห้องนี้น่าจะเป็นเพียงแค่ห้องถามไถ่อาการไม่ใช่ห้องตรวจ

     

    วันนี้พาใครมาด้วยล่ะ?

     

    หมอจองซูถามแบคฮยอนแต่สายตาใจดีกลับมองมาที่ผมซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาเรียบร้อยแล้ว แบคฮยอนปรายตามองผมก่อนจะหันกลับไปตอบด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย

     

    เพื่อนน่ะครับ

     

    ปาร์ค ชานยอลครับผมแนะนำตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีใครถาม แบคฮยอนถอนหายใจเบาๆ เดาว่าเขาคงไม่อยากให้คนในชีวิตรู้จักกับผมมากนัก คุณหมอถอดสเตธโธสโคปอออกจากหูแล้วยิ้มให้ผมเป็นเชิงตอบรับ

     

    ผมหมอปาร์ค จองซูนะครับคุณหมอแนะนำตัวเองสั้นๆ ผมจึงโค้งเพื่อเป็นการเคารพก่อนที่เขาจะหันไปพูดกับแบคฮยอนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หลายปีเลยนะที่เราไม่พาใครมาด้วยน่ะ หือ?”

     

    แล้วพี่หมอจะมาจับผิดอะไรผมเนี่ยแบคฮยอนว่าก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่าย ผมรู้ว่าเขากำลังไม่ชอบใจที่คล้ายว่าจะถูกหมอจองซูแซวเกี่ยวกับผม แต่แบคฮยอนเพียงแค่แสดงออกด้วยการทำหน้าบึ้งอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้

     

    เปล่า ใครจับผิดอะไรกันหมอจองซูยิ้มขำก่อนจะพูดกับผมอย่างสุภาพ เชิญคุณชานยอลนั่งรอก่อนนะครับ หมอขอใช้เวลากับแบคฮยอนซักครู่

     

    นานแค่ไหนเหรอครับ? ผมถามออกไปก่อนที่เขาจะนำแบคฮยอนไปที่ห้องทางด้านหลังที่มีฉากกั้นอยู่ เดาว่าตรงนั้นคงจะเป็นห้องตรวจ

     

    ไม่รู้ แต่ถ้ารอไม่ไหวก็กลับไปก่อนเลย ฉันกลับเองได้แบคฮยอนหันมาตอบแทนก่อนจะไม่สนใจผมอีก หมอจองซูยิ้มขำในท่าทางของแบคฮยอนก่อนที่จะพากันเดินไป ทิ้งให้ผมอยู่กับความเงียบเพียงลำพัง

     

    ผมอยากจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบเป็นการฆ่าเวลาแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะไม่เหมาะสมต่อสถานที่ ดังนั้นสิ่งที่ผมทำจึงเป็นเพียงแค่การมองตามแผ่นหลังเล็กๆของแบคฮยอนจนกระทั่งเขาหายเข้าไปในห้องตรวจแล้วหันมาสนใจกวาดสายตาสำรวจรอบห้องอย่างเบื่อหน่าย

     

    ที่นี่ก็เป็นเหมือนโรงพยาบาลทั่วไป สีขาว กลิ่นของความสะอาดและบรรยากาศเย็นชืดทำให้จิตใจของผมสงบมากกว่าที่เคยเป็น หลากหลายเหตุการณ์และความคิดที่สั่งสมมาหลายวันได้ถูกจุดขึ้นในสมองและนั่นเองที่เป็นสาเหตุให้ผมขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่

     

    ผมหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง มีข้อความจากอี้ฝานส่งมาเมื่อสามสิบนาทีที่แล้ว ผมรีบกดเข้าไปอ่านทันทีเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องฉุกเฉิน

     

    -เริ่มภารกิจตามสืบจอง อึนจีแล้ว กูส่งลู่หานแฝงเข้าไปในห้องเรียนของเธอด้วย คิดว่าเธอน่าจะจำหน้าของลู่หานได้ พวกเราจะจับตาดูว่าเธอจะมีปฎิกิริยายังไงเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ในห้องเรียนของตัวเอง ระหว่างนี้ถ้าเอสมีความเคลื่อนไหวก็ให้รีบรายงานกูทันที-

     

    ผมพ่นลมออกจากปากช้าๆคล้ายกับบรรเทาความเหนื่อยล้า แต่ละวันของผมไม่เคยได้นอนหลับอย่างเต็มที่เพราะมีเรื่องที่ต้องเป็นกังวลตลอดเวลา อี้ฝานยังไม่รู้ว่าผมพาแบคฮยอนกลับมาที่บ้านเกิดซึ่งนั่นอาจจะเป็นจุดบกพร่องที่ทำให้เขาเริ่มภารกิจโดยไม่บอกผมล่วงหน้า

     

    -ตอนนี้กูอยู่บูชอน แต่กูติดตั้งระบบไว้ที่แหล่งกบดานของพวกมันแล้ว ถ้าเอสติดต่อมามึงก็จะเห็นวิดีโอนั้นทันที-

     

    ตอบกลับไปเพียงเท่านั้นก่อนที่ความเครียดจะกัดกินจิตวิญญาณของผมอย่างช้าๆจนต้องหลับตาลง ผมได้แอบทำการติดตั้งระบบการเชื่อมต่อสัญญาณในคอนโดของพวกไนท์แมร์เรียบร้อยแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เอสติดต่อมาผ่านทางจอแอลซีดี วิดีโอที่บันทึกภาพของเอสไว้ก็จะถูกฉายไปที่โทรศัพท์ของอี้ฝานและโทรศัพท์ของผมเช่นกัน

     

    มันเป็นเรื่องยากที่จะทำทุกอย่างให้เป็นความลับ ความรอบคอบ ความไม่ประมาทและการทำตัวให้เป็นปกติ คือคุณสมบัติสำคัญที่ผมจะต้องมีเมื่ออยู่ต่อหน้าไนท์แมร์

     

    ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะปล่อยให้ความคิดแล่นไปมาเพื่อตอกย้ำว่าสิ่งที่ผมกำลังเผชิญมันอันตรายและซับซ้อนมากแค่ไหน

     

    อย่างที่คุณรู้ว่า เอส หัวหน้าของกลุ่มอาชญากรนั้นร้ายกาจและเจ้าเล่ห์มากเพียงใด แต่ตลอดระยะเวลาที่ผมแฝงอยู่ในไนท์แมร์ทำให้ผมได้รู้ข้อเท็จจริงบางอย่าง ถึงแม้ว่าเอสจะชอบการปั่นประสาทและสร้างความวุ่นวาย แต่กลับไม่เคยสั่งให้ไนท์แมร์ฆ่าใคร และน่าแปลกที่รายแรกที่เอสสั่งสังหารนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของสตาส

     

    คิม ฮโยยอน คือศพแรกที่ไนท์แมร์ลงมือฆ่าจนถึงตาย

     

    หากยังจำได้ถึงการที่ผมลอบยิงคิม จีฮุนด้วยสไนเปอร์ คุณอาจจะคิดว่านั่นเป็นคำสั่งของเอส

     

    แต่ไม่ใช่

     

    การลอบยิงในคราวนั้นเป็นภารกิจของสตาส และคิมจีฮุนคือเอเย่นต์ค้ายาเสพติดที่ถูกคำสั่งวิสามัญฆาตกรรม เอสไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แต่อย่างใด

     

    ซึ่งการที่ผมได้รู้ข้อเท็จจริงที่ว่าไนท์แมร์ไม่ลงมือฆ่าใครก่อน  ทำให้ผมเกิดความสงสัยว่าเหตุใด เอสจึงได้เจาะจงไปที่หน่วยสตาสนัก โดยเฉพาะกับ...แบคฮยอน

     

    ทุกครั้งที่เอสมอบหมายงานให้กับไนท์แมร์ แน่นอนว่าผมรับรู้ทุกคำสั่ง ซึ่งการปั่นประสาทครั้งใหม่ก็คือฆ่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยสตาสทีละคน ผมไม่รู้ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุเปลี่ยนแปลงให้เอสสั่งฆ่า อีกทั้งพวกไนท์แมร์ก็ยังเห็นว่าเป็นเรื่องสนุกราวกับถูกล้างสมอง

     

    ลู่หาน คือเจ้าหน้าที่คนแรกที่เป็นเหยื่อในการเล่นสนุก นับว่าเป็นโชคดีนักที่ผมสามารถช่วยไว้ได้แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บก็ตาม รายที่สองคือ คิม ฮโยยอน อาจจะเป็นเพราะความสะเพร่าหรือเป็นคำสั่งลับที่ทำให้ผมไม่รู้ว่าเธอถูกสั่งฆ่า และผมยังคงรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้ที่ช่วยเธอเอาไว้ไม่ทัน

     

    และรายที่สาม บยอน แบคฮยอน

     

    เท่าที่ผมสังเกต คล้ายว่าเอสจะมีจุดประสงค์อื่นกับแบคฮยอน ราวกับว่าไม่ได้ต้องการฆ่าแต่ต้องการจับตัวแบคฮยอนด้วยเหตุผลบางอย่างซึ่งผมยังไม่อาจรู้ได้

     

    ตอนที่เอสวางแผนที่จะวางระเบิดที่สนามเบสบอล ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมได้ส่งปริศนาไปให้อี้ฟานก่อนหน้าแล้ว และมั่นใจว่าเขาคงแก้ปริศนาได้ก่อน แต่กลายเป็นว่าแบคฮยอน คนที่ผมส่งรหัสลับให้เพื่อซื้อความเชื่อใจกลับสามารถแก้ไขปริศนาเหล่านั้นได้ด้วยตนเอง

     

     แต่ที่สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น คือเอสได้ส่งไนท์แมร์มาจับตัวแบคฮยอนไปโดยไม่ได้ต้องการฆ่าเช่นเดิม

     

    ผมคิดว่ามันมีบางอย่างที่แปลก

     

    เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้เริ่มทำการส่งข้อมูลของไนท์แมร์ให้แก่อี้ฝาน ซึ่งประกอบไปด้วย จอง อึนจี ลูกสาวของท่านรัฐมนตรี ทั้งที่เป็นแค่เด็กมอปลายและยังเป็นลูกคนใหญ่คนโตแต่กลับเลือกเส้นทางที่ไม่เหมาะกับเธอเลยซักนิด และดูคล้ายว่าเธอจะไม่ชอบหน้าผมในระดับหนึ่ง

     

     คนที่สองคือ คิมอูบิน นักข่าวช่องกีฬาที่มีชื่อเสียงพอสมควร ด้วยหน้าตาและบุคลิกอันดูดี ทำให้เขาเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังของเขานั้นจะชอบการทรมานและความโกลาหล ทุกครั้งที่เอสสั่งงานใหม่ อูบินจะเป็นคนที่นิ่งที่สุดแต่กลับฉายแววความสนุกในดวงตามากกว่าคนอื่นเสมอ

     

     คนที่สามและสี่ อิม แจบอมและอี แทมิน เด็กมหาลัยสองคนที่ไม่ได้มีประวัติโดดเด่นมากนัก แจบอมเป็นดังคนฉลาดที่ไร้สมองเพราะยอมทำตามคำสั่งของเอสอย่างไม่มีข้อกังขา ส่วนแทมินก็แค่คนหัวอ่อนที่ไม่สามารถโต้แย้งกับใครได้

     

    ทั้งๆที่ในรายงานบอกไว้ว่าไนท์แมร์มีเจ็ดคนซึ่งนั่นรวมผมกับเอสไปด้วย แต่เท่าที่รู้ตัวตนในตอนนี้มีเพียงหกคนเท่านั้น

     

    ไนท์แมร์ไม่เคยเอ่ยปากถึงสมาชิกอีกคนเลย ผมจำได้ว่าตอนที่วางแผนเรื่องระเบิด แจบอมได้พูดว่ามีไนท์แมร์แฝงอยู่ในสนามเบสบอลด้วย แต่จากการสอบสวนคังมินฮยอกและคนอื่นๆที่เกี่ยวข้องกลับไม่พบเบาะแสใดๆที่เป็นประโยชน์ได้เลย

     

     ผมรู้ดีว่าควรทำอย่างไรต่อไป ผมอาจถามข้อมูลได้จากแทมินเกี่ยวกับไนท์แมร์คนสุดท้าย หมอนี่ดูจะเป็นมิตรกับผมที่สุดแล้ว และคิดว่าเขาคงจะบอกสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่ผมได้ ไม่มากก็น้อย

     

    ตามความคิดของผม คาดว่าไนท์แมร์ที่ผมยังไม่รู้ตัวตนนั้นน่าจะเป็นคนชี้ทางที่ช่วยให้สมาชิกคนอื่นๆหลบหนีได้หลังจากก่อความปั่นป่วน ผมคิดว่าเขาคงเป็นคนที่มีหน้าที่สำคัญต่อไนท์แมร์ และมั่นใจว่าบุคคลนั้นจะต้องเป็นมีฝีมือและชั้นเชิงที่ร้ายกาจพอสมควร

     

    ส่วนเอส

     

    ทุกครั้งที่เอสต้องการติดต่อกับไนท์แมร์หรือมอบหมายคำสั่ง เขาจะติดต่อมาแค่ช่วงเวลาเดียวเท่านั้น คือหลังจากสี่โมงเย็นไปแล้ว ซึ่งเวลาก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเวลาที่เอสมีบางอย่างที่จะต้องทำ นั่นหมายความว่าตัวตนของเอสอาจจะทำอาชีพเป็นพนักงาน ข้าราชการหรือนักศึกษาที่ต้องทำงานเป็นเวลา

     

    หลังจากที่ผมได้นำไฟล์วิดีโอที่บันทึกไว้เมื่อครั้งที่เอสติดต่อมา สิ่งที่เห็นก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งใส่หน้ากากสีขาวอำพรางใบหน้า เขามีผมสีดำสนิทและไหล่กว้างเหมาะกับชายชาตรี เอสมักวางมือประสานกันไว้บนโต๊ะเพื่อให้มีลักษณะน่าเกรงขามและใส่เสื้อผ้าโทนสีเทาหรือดำเท่านั้น

     

    ผมได้ลองซูมภาพเพื่อสังเกตรายละเอียดให้มากขึ้น ครั้งนั้นเองที่ได้พบว่าหลังมือของเอสไม่มีรอยเหี่ยวย่น รวมทั้งผิวพรรณก็ดูดีจนเกินกว่าที่จะมีอายุ จึงเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะมีอายุอยู่ในช่วงสิบแปดถึงสามสิบห้าปีโดยประมาณ

     

    อีกหนึ่งข้อสำคัญที่ผมมั่นใจว่าอู๋ อี้ฝานก็คงสังเกตเห็นนั่นคือ...ทุกครั้งที่เอสติดต่อมา เขาจะนั่งอยู่บนเก้าอี้และวางมือไว้บนโต๊ะตัวเดิม ไม่เคยเปลี่ยนสถานที่และไม่เคยเปลี่ยนตำแหน่ง นั่นทำให้ผมเห็น

     

    เห็น...ว่าฉากหลังในห้องของเอสมีชั้นวางหนังสือสีขาวเป็นระเบียบที่บรรจุหนังสือไว้อย่างอัดแน่น อีกทั้งภาพวาดประหลาดๆที่เสริมให้ห้องดูอึมครึมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ไม่มีสิ่งใดสะดุดตาไปมากกว่ากรอบไม้สีน้ำตาลซึ่งห้อยอยู่บนผนัง กรอบไม้ที่บรรจุเหรียญเอาไว้ เหรียญที่เป็นรางวัลอันน่าภูมิใจซึ่งไม่สมควรจะไปอยู่ในห้องของเอสได้

     

    คนอื่นอาจจะมองว่ามันก็เป็นเพียงแค่เหรียญธรรมดาๆ แต่เพราะว่าผมเป็นสตาส ผมจึงรู้ดีว่าเหรียญนั้นมันพิเศษขนาดไหน

                     

    เหรียญกล้าหาญสำหรับเจ้าหน้าที่ดีเด่นแห่งหน่วย S.T.A.S.’

     

    เหรียญของสตาสห้อยอยู่ในห้องของไนท์แมร์...มันฟังดูเป็นเรื่องบ้าที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

     

     

    ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เอส สตาส และไนท์แมร์คนสุดท้ายที่ผมยังไม่ทราบตัวตน อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ทั้งสามสิ่งนี้อาจเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดกระจ่าง และผมยังคงต้องดำเนินการค้นหาคำตอบต่อไปจนกว่าจะค้นพบความจริง

     

    และแน่นอน ว่าผมไม่สามารถปล่อยแบคฮยอนให้หลุดไปถึงมือของเอสได้ ไม่ว่าเอสจะมีจุดประสงค์ใดอยู่ก็ตาม

     

     

    อย่าลืมที่แนะนำไปนะแบคฮยอน ฟังที่พี่บอกบ้างจะได้หายไวๆ

     

    เสียงบทสนทนาทำให้ผมหลุดออกจากเรื่องน่าปวดหัว ผมลืมตาขึ้นแล้วก้มดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะพบว่าผ่านไปราวๆหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แบคฮยอนและคุณหมอเดินออกมาจากห้องตรวจพลางพูดคุยกัน ผมเองที่นั่งรออยู่จึงลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวกลับหลังจากเห็นแบคฮยอนกำลังล่ำลาหมอจองซู

     

    คุณชานยอลครับ ขอหมอคุยด้วยซักครู่ได้ไหม?

     

    ผมชะงักหลังจากได้ยินประโยคนั้น ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามใส่แบคฮยอนที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งแบคฮยอนเองก็ดูจะสงสัยไม่ต่างไปกันเขาจึงได้หันไปถามหมอจองซูทันที

     

    คุยไรอ่ะพี่หมอ?

     

    เอาหน่า เรื่องนี้พี่ต้องการคุยกับคุณชานยอล ไม่เกี่ยวกับเรา

     

    จะไม่เกี่ยวได้ยังไง ในเมื่อ...

     

    รับรองนะแบคฮยอน ว่ามันจะเป็นผลดีต่อตัวเราเองนั่นแหละ

     

    แบคฮยอนถอนหายใจก่อนจะยอมแพ้และออกจากห้องไป แต่ก็ยังไม่วายที่จะหันมามองผมตาขวาง

     

    เขาจะทำหน้าลูกหมาไปถึงเมื่อไหร่กันนะ?

     

    นั่งลงก่อนสิครับคุณหมอเอ่ยอย่างสุภาพเรียกให้ผมเดินจากโซฟามานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามเขาแทน แม้ความใคร่รู้จะมีมากเพียงใดแต่ผมก็ยังเก็บมันไว้ได้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย หมอขอไม่อ้อมค้อมนะครับคุณชานยอล คุณรู้เกี่ยวกับโรคของแบคฮยอนมากแค่ไหน พอจะบอกหมอได้ไหมครับ?

     

    ผมขมวดคิ้วหลังจากสิ้นคำถาม ดูท่าว่าหมอเองก็คงจะเป็นห่วงแบคฮยอนไม่น้อยเช่นกัน ผมคิดว่าเขาคงรักษาแบคฮยอนมาหลายปีแล้วถึงได้สนิทสนมกับคนตัวเล็กในระดับหนึ่ง

     

    ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นโรคอะไร แต่คิดว่าคงเกี่ยวกับการกลัวฟ้าร้อง

     

    ผมบอกคุณหมอไปตามตรง ซึ่งนั่นทำให้หมอจองซูยิ้มอย่างใจดีก่อนจะเอ่ยช้าๆราวกับต้องการให้ผมจดจำรายละเอียด

     

    โรคของแบคฮยอนมีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่าบรอนโทโฟเบีย ซึ่งมีสาเหตุเกิดมาจากเหตุการณ์บางอย่างที่ฝังใจ และความฝังใจนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นความกลัว

     

    หมอจองซูเอนตัวไปกับพนักพิงแต่ก็ยังรักษาความสุขุมเอาไว้ ผมเลิกคิ้วใส่คุณหมอเป็นการให้เขาอธิบายต่อ

     

    มนุษย์เรามีสมองส่วนที่เรียกว่าอมิกดาลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับประสบการณ์ทางอารมณ์ และเป็นตัวควบคุมความทรงจำของเราด้วย อาทิเช่นว่าหากเคยแสดงความหวาดกลัวต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างสุดขีด แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ถ้าเจอเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันก็จะแสดงความหวาดกลัวเช่นนั้นออกมาอีก ในกรณีนี้แบคฮยอนเคยหวาดกลัวต่อเสียงฟ้าร้องในวัยเด็ก  และอมิกดาลาได้ส่งผลให้ความกลัวนั้นต่อเนื่องมายังปัจจุบัน

     

    ผมวางแขนไว้บนโต๊ะแล้วโน้มตัวเข้าหาคุณหมอเล็กน้อย ความอยากรู้เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม ผมประจักษ์แล้วว่าหมอจองซูอยากคุยกับผมเกี่ยวกับแบคฮยอน แต่ผมกลับไม่เข้าใจซักนิดว่าเหตุใดเขาถึงอยากให้ผมรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ ทั้งๆที่แบคฮยอนต้องการที่จะปกปิดผมเอาไว้

     

    แล้วทำไมเขาถึงกลัวฟ้าร้องขนาดนี้ล่ะครับ?

     

    ความจริงเรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของแบคฮยอน แต่หมอคิดว่าถ้าได้บอกคุณไปมันคงเป็นอีกหนึ่งหนทางในการรักษาคุณหมอถอนหายใจอย่างช้าๆคล้ายคนที่กำลังตัดสินใจว่าจะพูดถึงเรื่องของแบคฮยอนดีไหม แต่สุดท้ายริมฝีปากหยักก็เปล่งเสียงออกมา

     

    พ่อของแบคฮยอนฆ่าแม่ของเขาก่อนจะฆ่าตัวตายตามในวันที่ฝนตกหนักและฟ้าร้องน่ะครับ และแบคฮยอนเองก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วย คุณคงเข้าใจใช่ไหม?

     

    ผมชะงักค้างไปชั่วครู่ ความสงสัยที่ว่าคุณน้าทั้งสองคนหายไปไหนได้รับคำตอบในวินาทีนั้น ผมไม่เคยรู้เลยว่าแบคฮยอนต้องต่อสู้หรือผ่านอะไรมาบ้าง แค่ผมคิดถึงคนตัวเล็กที่ร้องไห้ท่ามกลางกองเลือดของพ่อและแม่ก็ทำให้ผมปวดหนึบที่หัวใจอย่างห้ามไม่อยู่

     

    ตอนนั้นเองที่ผมนึกถึงเขาตอนที่ยังเป็นแค่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ แบคฮยอนที่โดนแกล้งแล้ววิ่งร้องไห้เสียงดังมาฟ้องผมเสมอ ตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา น้ำตามักเป็นสิ่งแรกที่เขาแสดงออก และชานยอล ชื่อของผมก็เป็นสิ่งแรกที่เขาร้องเรียกหา

     

    และในวินาทีนั้นเองที่ผมตระหนักรู้ ว่าแบคฮยอนคงได้รับบทเรียนของชีวิตหลายอย่าง ซึ่งเป็นบทเรียนที่มากพอที่จะเปลี่ยนความอ่อนแอของเขาให้กลายเป็นความเข้มแข็งได้

     

    ซึ่งนอกจากสมองส่วนอมิกดาลาที่ส่งผลต่อโรคนี้ ยังมีการทำงานของจิตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อดีตที่เลวร้ายต่างๆจะถูกกดและกักเก็บไว้ในส่วนที่เรียกว่าจิตไร้สำนึก นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้แบคฮยอนแสดงอาการหวาดกลัวออกมาโดยขาดการยั้งคิดหรือไม่มีสติเวลาได้ยินเสียงฟ้าร้อง

     

    ผมคิดภาพตามเป็นฉากๆ ภาพที่เขาตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงฟ้าคำราม เสียงลมหายใจหอบถี่ราวกับนักวิ่งมาราธอน หรือแม้กระทั่งภาพที่เขาจิกเล็บลงไปบนมือของตัวเองซ้ำๆเพื่อเป็นการระบายความหวาดกลัว

     

    แบคฮยอนดูเปราะบางเสมอยามเมื่อพบเจอกับเสียงฟ้า และสิ่งที่ผมสงสัยเกี่ยวกับเขามาตลอดก็ได้รับคำเฉลยในวันนี้

     

    แต่โชคดีที่แบคฮยอนแสดงอาการเหล่านี้เมื่ออยู่ในบ้านเท่านั้น เพราะเรื่องราวฝังใจนั้นเกิดขึ้นที่บ้าน ไม่อย่างนั้นหมอไม่อยากจะคิดเลยว่าการใช้ชีวิตของแบคฮยอนจะยากซักแค่ไหน

     

    แล้วมีวิธีรักษาให้หายขาดไหมครับ?

     

    ความจริงโรคโฟเบียจะใช้เวลารักษานานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับผู้ป่วยเพราะโรคเหล่านี้รักษาไม่ได้ด้วยยาเพียงอย่างเดียว ตัวหมอเองก็รักษาแบคฮยอนมาตั้งแต่เขาอายุสิบเจ็ดซึ่งมันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว

     

    หมอจองซูเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบางเบาคล้ายกับคิดไปถึงวันแรกที่ได้รักษาแบคฮยอน ดวงตาของคุณหมออ่อนโยนและแฝงไว้เพียงแค่ความใจดี จากคำบอกเล่าทำให้ผมรู้ว่าหมอจองซูเองคงเห็นแบคฮยอนเติบโตและรู้เรื่องราวชีวิตของแบคฮยอนพอสมควร

     

    วิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือการให้ผู้ป่วยแข็งใจที่จะเผชิญกับความกลัวที่ตนเองมีอยู่หรืออาจจะฉีดสารทางชีววิทยาเพื่อช่วยกระตุ้นปฏิกิริยาทางร่างกายเสริมไปด้วย แต่ว่าด้วยหน้าที่การงานของแบคฮยอนที่ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน จึงไม่เอื้ออำนวยให้หมอได้รักษาอย่างเต็มที่

     

    ผมเพิ่งรู้ว่าคนตัวเล็กที่พยายามแสดงออกว่าตัวเองเข้มแข็งนั้นน่าสงสารมากแค่ไหน เขาต้องอดทนต่อสู้กับเรื่องราวในอดีต อาการหวาดกลัวหรือแม้กระทั่งภาระอันหนักหน่วงจากหน้าที่การงาน ผมคิดไม่ถึงเลยว่าแบคฮยอนจะมีใจเป็นนักสู้ได้มากถึงเพียงนี้

     

    นอกเหนือจากความสงสาร  ความชื่นชม และความเห็นใจ ความเป็นห่วงก็เข้ามาตีตื้นจนผมแทบสั่นไหวไปทั้งอก

     

    ที่หมอบอกผมเกี่ยวกับโรคของแบคฮยอน แสดงว่าผมมีส่วนช่วยเขาได้ใช่ไหมครับ?

     

    หมอจองซูพยักหน้าเป็นการตอบคำถาม เขาประสานมือกันไว้บนโต๊ะก่อนจะมองหน้าผมและส่งสายตาที่คล้ายกับว่าเป็นการคาดหวังถึงบางสิ่ง

     

    แม้ว่าแบคฮยอนจะดูเป็นคนเข้ากับคนอื่นง่าย แต่แท้จริงเขาค่อนข้างจะปิดกั้นตัวเองพอสมควร คุณอาจจะเห็นการต่อต้านจากเขาบ่อยๆใช่ไหมครับ?ผมพยักหน้าน้อยๆ ราวกับเข้าใจคำว่าต่อต้านเป็นอย่างดี ผมที่เป็นหมอยังถูกเขาต่อต้านในช่วงแรกเลยครับ บอกว่าไม่จำเป็นต้องรักษาอย่างนู้นอย่างนี้ แต่อย่างว่าล่ะ ตอนนั้นเขาเพิ่งจะสิบเจ็ด จะไปเถียงใครได้

     

    หมอจองซูพูดพลางยิ้มขำ ในสายตามีแต่ความเอ็นดูการรักษายากขึ้นอีกระดับเพราะนิสัยของแบคฮยอนนั่นแหละครับ ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องใช้คนรอบข้างเข้ามาช่วย

     

    รอยยิ้มหายไปจากสีหน้าของคุณหมอแล้ว ประกายความคาดหวังฉายชัดขึ้นเรื่อยๆในดวงตาของเขา ผมเดาว่าเรื่องต่อไปคงสำคัญมาก มากถึงขนาดเปลี่ยนคุณหมอผู้อ่อนโยนให้กลายเป็นคนจริงจังขึ้นมาได้

     

    เอาล่ะครับคุณชานยอล สิ่งสำคัญที่หมอจะบอกก็คือ หมอได้ทำการตรวจคลื่นสมองและอาการของแบคฮยอนทุกครั้ง อาการของแบคฮยอนไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยทั้งๆที่เขาเคยใกล้หายดีมาแล้ว

     

    ใกล้หาย? ทำไมล่ะครับ?

     

    ผมส่งสายตาเป็นคำถาม เสียงเครื่องปรับอากาศแล่นเข้าสู่โสตประสาทของผมแต่นั่นยังดังไม่เท่ากับเสียงของคุณหมอที่เอ่ยประโยคต่อมา

     

    แบคฮยอนมีความรัก คุณหมอคลายมือที่ประสานกันออกก่อนจะสบตากับผม ผมเข้าใจในทันทีว่าความรักที่คุณหมอว่านั้นหมายถึงอู๋ อี้ฝาน แบคฮยอนเคยมีคนรัก อ่า ความจริงหมอไม่น่าเอาเรื่องส่วนตัวของเขามาพูดแต่เป็นเพราะคุณหมอจึงต้องอธิบาย

     

    ผม?

     

    ใช่ครับ การที่คนรักพาแบคฮยอนฝ่าความกลัวและคอยปลอบประโลมช่วยให้แบคฮยอนมีความกล้าที่จะต่อสู้กับเสียงฟ้าร้องและเข้มแข็งมากขึ้น ในตอนนั้นแบคฮยอนดูสดใสแล้วก็ดูมีกำลังใจในการรักษามากกว่านี้

     

    ถ้ามันเกี่ยวกับความรัก แล้วทำไมหมอถึงบอกผมล่ะครับ? ในเมื่อความรักมันอาจจะหมายถึงครอบครัวที่ช่วยให้แบคฮยอนฝ่าความกลัวไปได้เช่นกัน

     

    ผมโต้แย้งพลางเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการนั่งไขว่ห้าง สิ่งที่คุณหมอพูดมันก็มีส่วนที่ถูกต้องแต่ผมไม่เห็นด้วยที่เขาจะพูดถึงความรักในเชิงพิศวาสเพียงอย่างเดียว ครอบครัว เพื่อน สิ่งเหล่านั้นก็ถือว่าเป็นความรักเช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ?

     

    แล้วคุณคิดว่าครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่กับตัวของแบคฮยอนเองที่ต้องไปทำงานที่โซลจะช่วยเหลือกันได้มากแค่ไหนล่ะครับ?

     

    ผมนิ่งไปหลังจากคำถามนั้นย้อนกลับมาทำให้ผมมองเห็นความจริง ถ้าป้านาบีอยู่ที่โซลหรือแบคฮยอนออกจากการเป็นสตาส คงมีโอกาสในการรักษามากกว่านี้ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

     

    แล้วทำไม หมอถึงเจาะจงผม?แม้ว่าผมจะเข้าใจถึงเหตุผลของคุณหมอแล้วแต่ก็อดไมได้ที่จะตั้งคำถาม ผมกอดอกมองหมอจองซูที่ลบความจริงจังออกไปแล้วแทนที่ด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม

     

    เพราะแววตาที่คุณชานยอลมองแบคฮยอนเหมือนกับที่คนรักของแบคฮยอนเคยมองเขาไงล่ะครับ

     

    ผมมองหน้าหมอจองซูที่ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคยแต่ในเวลานี้เหมือนว่ายิ้มของเขาจะเป็นรอยยิ้มของคนรู้ทันซะมากกว่า

     

    อะไรทำให้หมอคิดแบบนั้น?

     

    สัญชาตญาณของคนเป็นแพทย์น่ะครับ เขาตอบเพียงเท่านั้นและไม่เปิดโอกาสให้ผมได้โต้แย้ง มือข้างหนึ่งของคุณหมอก็แบไว้บนโต๊ะแล้วเอ่ยอย่างสุภาพซะก่อน หมอขอดูมือของคุณหน่อยได้ไหมครับ

     

    ผมชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าคุณหมอแสนอ่อนโยนที่แฝงไว้ซึ่งความฉลาดจะทำอะไรต่อไป แต่สุดท้ายผมก็ยอมส่งมือไปให้เขา

     

    หมอไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวหรอกนะครับ แต่ว่ารอยจิกจางๆที่หลังมือเนี่ยคุณคงไม่ได้จิกตัวเองแน่นอนใช่ไหมครับ?หมอจองซูหัวเราะน้อยๆซึ่งทำให้ผมคิ้วกระตุก หมอรู้ดีว่าแบคฮยอนมีนิสัยจิกมือในขณะเผชิญกับความกลัว

     

    ทำไมครับ คนรักเก่าของแบคฮยอนก็เคยให้จิกมืองั้นสิ?

     

    ผมชักมือกลับ รู้สึกไม่สบอารมณ์ตั้งแต่ที่หมอจองซูเอาผมไปเปรียบกับอี้ฝาน อย่างที่พวกคุณรู้ ว่าอี้ฝานเป็นเพื่อนสนิทของผม และถึงแม้เราจะมีนิสัยคล้ายกันแต่ก็ใช่ว่าจะเหมือนกันไปทุกอย่างในเมื่อเราไม่ใช่คนๆเดียวกัน และผมไม่ชอบใจนักกับการที่ถูกบอกว่าตัวตนของผมเหมือนกับใครซักคนหนึ่ง

     

    เปล่าครับ เท่าที่หมอรู้ คนรักของแบคฮยอนไม่เคยทำแบบนั้น

     

    หมอจองซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่กลับเหมือนการย้ำเตือนในสิ่งที่ผมได้ทำลงไป

     

    ราวกับเขากำลังจะย้ำเตือน ว่าผมยอมช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดของแบคฮยอนมาที่ตัวเอง แม้จะเป็นแค่การเจ็บปวดทางกายก็ตาม

     

    ผมก็แค่ไม่อยากให้เขาเจ็บ ผมแค่เป็นห่วงเขาในฐานะเพื่อนร่วมโลกก็เท่านั้น

     

    คุณชานยอลอาจจะบอกกับหมอได้ว่าคุณไม่ได้รู้สึกกับแบคฮยอนในเชิงนั้น

     

    และผมเพิ่งรู้ในวันนี้ว่ารอยยิ้มของหมอ

     

    แต่คุณชานยอลหลอกความรู้สึกของตัวเองไม่ได้หรอกนะครับ

     

    เป็นรอยยิ้มที่ย้ำเตือนถึงความสั่นไหวในใจของผมได้อย่างหนักหน่วง

     

    การโกหกที่ไม่น่าให้อภัยมากที่สุด ก็คือการโกหกตัวเองนะครับคุณชานยอล

     

    เป็นรอยยิ้มที่ต้อนให้ผมจนมุมต่อความรู้สึกของตัวเอง

     

    (end chanyeol’s part)

     

    ◢◣◥◤◢◣◥◤

     

     

    ผมโยนแก้วกาแฟในมือลงถังขยะหลังจากที่ดูดมันจนหมดแล้ว นาฬิกาในข้อมือบ่งบอกว่าเวลาผ่านไปกว่ายี่สิบนาทีที่ชานยอลยังคงอยู่ในห้องกับพี่หมอ ผมไม่รู้ว่าพี่หมอต้องการคุยอะไรกับเขาทั้งๆที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกซึ่งนั่นสร้างความสงสัยและความหงุดหงิดให้แก่ผมไม่น้อย 

     

    ผมตัดสินใจเดินเล่นไปตามทางเดินเพื่อเป็นการคลายกล้ามเนื้อจากการนั่งเป็นเวลานาน แค่ต้องเข้าห้องตรวจร่วมชั่วโมงผมก็เมื่อยล้ามากพอแล้ว ในตอนนั้นเองที่ผมนึกถึงเพื่อนรัก ผมต่อสายหาคิมจงอินหลังจากที่เราคุยกันครั้งสุดท้ายไปเมื่อวานนี้

     

    [โหล..]

     

    น้ำเสียงง่วงๆของมันทำให้ผมเดาไม่ถูกว่ามันยังไม่ตื่นหรือไม่ได้นอนกันแน่ แต่ในช่วงเวลาที่เพิ่งจะผ่านภารกิจค้นหาระเบิดในสนามเบสบอล ผมจึงคิดว่าหัวหน้าอี้ฝานไม่น่าจะเรียกตัวเจ้าหน้าที่ให้เข้าหน่วยแต่เช้า ดังนั้น ผมขอเดาว่ามันคงยังไม่ตื่นก็แล้วกัน

     

    ตื่นยังวะ กูเบื่อ

     

    [มึงเบื่อแล้วมันใช่หน้าที่ที่กูจะต้องมารู้ไหม?] มันบ่นกระปอดกระแปดไปตามประสาก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงประกาศลอดออกมาจากปลายสาย นั่นเองที่ทำให้ผมรู้ว่าคิมจงอินตื่นแล้วและไม่ได้อยู่ที่บ้านอย่างที่ผมคิดเอาไว้

     

    มึงว่างรึเปล่าวะ?

     

    [ไม่ว่าง แต่คุยได้]

     

    ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรเว้ย เดี๋ยวกูหาไรทำแก้เบื่อเอง วางละ

     

    [เห้ยอย่าเพิ่ง! กูมีเรื่องจะเล่าให้ฟังโว้ย] น้ำเสียงตื่นเต้นของจงอินทำให้ผมที่กำลังจะกดวางชะงักค้าง ผมขมวดคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถามถามทั้งๆที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้เห็น

     

    ไรวะ

     

    [ตอนนี้กูอยู่โรงเรียนมัธยมปลายว่ะ มึงจำแผนที่เราจะต้องตามสืบจอง อึนจีผู้ต้องสงสัยของไนท์แมร์ได้ไหม?]

     

    จำได้ เห้ย นี่หัวหน้าอี้ฝานให้เริ่มทำภารกิจเลยเหรอวะ?

     

    ความฉงนเกิดขึ้นหลังจากจงอินบอกผมแบบนั้น หัวหน้าอี้ฝานไม่เคยเริ่มภารกิจติดต่อกันเช่นนี้มาก่อนเพราะเขามักบอกพวกเราเสมอว่าความเหนื่อยล้าจะทำให้งานเสีย แต่ผมรู้ว่านัยยะแท้จริงที่หัวหน้าอี้ฝานต้องการจะสื่อก็คือเขาเป็นห่วงลูกทีม แต่ครั้งนี้เขากลับเริ่มภารกิจใหม่โดยไม่ปล่อยให้ลูกทีมพักอย่างนั้นน่ะเหรอ?

     

    [เออ ตอนนี้กูกับลู่หานปลอมตัวเข้ามาเนี่ย] จากคำบอกเล่าของจงอินทำให้ผมรู้ว่าลู่หานออกจากโรงพยาบาลและคงหายดีแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกกังวลใจอยู่ดีที่เขาต้องกลับมาทำงานไวถึงเพียงนี้

     

    มึงอ่ะนะปลอมไปเป็นนักเรียน? เนียนเหรอวะ?

     

    [ลู่หานอ่ะเป็นนักเรียน ส่วนกู...เป็นภารโรง แม่งเอ๊ย! เดินร่อนไปร่อนมาเนี่ย ไม่งั้นไม่ว่างคุยกับมึงหรอก]

     

    ผมคิดภาพจงอินใส่ชุดภารโรงสีกรมท่าถือไม้กวาดเดินทำหน้าง่วงแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้ นับว่าหัวหน้าอี้ฝานทำร้ายจงอินไม่น้อยที่เลือกบทบาทนี้ให้แก่เขา แต่อย่างที่คุณคงเข้าใจว่าเราเลือกปฏิบัติไม่ได้

     

    แต่หน้ามึงให้อยู่นะจงอิน มึงเหมาะสุดแล้วว่ะหน้าที่นี้

     

    [ถ้ากลับมาแล้วช่วยมารับตีนกูด้วยครับเพื่อน]

     

    ผมขำใส่จงอินก่อนตัดสินใจว่าจะกลับไปนั่งรอชานยอลหน้าห้องตามเดิม ภาวนาว่าขอให้พี่หมอคุยกับเขาเสร็จแล้วเพราะผมไม่ชอบการรอคอย ผมคิดเอาไว้แล้วว่าถ้ากลับบ้านเมื่อไหร่คงได้ทำการซักถามชานยอลถึงเรื่องที่พี่หมอคุยกับเขาอย่างแน่นอน

     

    [พักนี้น้องกูแม่งก็เก็บตัว ไม่ค่อยออกมาคุยกับกูเท่าไหร่ ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ สงสัยอกหัก]

     

    น้องมึง แทมินน่ะเหรอ?

     

    ผมรู้มาว่าจงอินมีน้องชายต่างนามสกุลอยู่คนหนึ่ง แม้ว่าผมจะยังไม่เคยเจอกับอีแทมินเลยก็ตาม แต่ก็พอจะรู้ว่าเขาเป็นเด็กดีและจงอินเองก็รักน้องชายคนนี้เท่ากับชีวิตของตัวเองเลยทีเดียว

     

    [เออ หรือเครียดที่มีพี่ชายหล่อกว่าก็ไม่รู้มัน]

     

    เชื่อผมเถอะว่าหากจงอินอยู่ตรงหน้าผมคงชูนิ้วกลางให้กับความกวนตีนของมันไปแล้ว ตอนนั้นเองที่ดวงตาของผมสบเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องของพี่หมอจองซู คาดว่าเขาคงออกมาได้ซักพักหนึ่งแล้ว

     

    เห้ยมึงแค่นี้ก่อนนะ ไว้คุยกัน เรื่องน้องมึงอย่าเพิ่งคิดมาก บางทีแทมินอาจจะแค่เครียดที่พี่ชายมันดำ

     

    ผมเดินเข้าไปชานยอลช้าๆโดยที่สายตาของเรายังคงมองกันและกันอยู่ ผมสีแดงเพลิงยังคงโดดเด่นรับเข้ากับผิวขาวของเขาได้เป็นอย่างดี วันนี้ชานยอลไม่ได้อำพรางตัวมากนักทั้งๆที่ผมคิดว่าการใส่แมสก์ในโรงพยาบาลก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

     

    และไม่รู้ว่าวันนี้เป็นคราวซวยหรือเคราะห์ร้ายแต่อย่างใดเมื่อผมเห็นผู้ชายสองคนในชุดเครื่องแบบกำลังเดินตรงมาทางชานยอล

     

    ผมไม่ทราบว่าตำรวจมาทำอะไรที่นี่และดูคล้ายว่าพวกเขากำลังมุ่งความสนใจไปที่ชานยอลซึ่งยังคงมองผมโดยที่ไม่ได้สนใจด้านหลังของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

     

    ผมพยายามส่งสัญญาณให้เขาหนีแต่เขากลับทำเพียงแค่เลิกคิ้วใส่ผมเท่านั้น ตอนนั้นเองที่ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาชานยอลแล้วคว้ามือให้เขาเดินตาม ผมพยายามทำเป็นปกติทั้งๆที่ภายในใจนั้นกลับกังวลจนแทบระเบิด

     

    ตำรวจสองคนกำลังมองนายอยู่

     

    ผมบอกชานยอลเพียงสั้นๆแต่เขาเข้าใจภายในเสี้ยววินาที เขาไม่หันไปมองตำรวจสองคนนั้นแต่เลือกที่จะสอดมือใหญ่เข้ากับมือเรียวของผมแทน

     

    เดินช้าๆไปที่ลิฟท์ ไม่ต้องหันไปมอง

     

    ผมพยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนที่ชานยอลจะจูงมือนำผมไปที่ลิฟท์ ผมรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้มันเสี่ยงมากแค่ไหน ชานยอลเป็นไนท์แมร์และแน่นอนว่าชื่อเสียงของเขาไม่ได้มีเพียงแค่ตำรวจในโซลเท่านั้นที่รู้จัก เขาอาจถูกจับกุมได้ทุกที่นั่นคือข้อเท็จจริง

     

    แต่เพียงแค่เสียงฝีเท้าที่ก้าวไวขึ้นเพื่อตามพวกเรากระทบเข้ามาในโสตประสาทก็เป็นดังสิ่งที่สะบั้นให้ความยั้งคิดของผมขาดลง ผมหันไปมองตำรวจสองคนนั้นที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้น และเป็นอีกครั้งที่ความผลีผลามของผมส่งผลให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว


    แบคฮยอน อย่า!!”

     

    ชานยอลร้องห้ามเมื่อผมดึงมือเขาให้ออกวิ่งทั้งๆที่อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงลิฟท์อยู่แล้ว ชานยอลสามารถรั้งผมเอาไว้ได้แต่เหมือนว่าทุกอย่างจะสายเกินไป นายตำรวจสองคนสังเกตเห็นความผิดปกติและวิ่งตามพวกเราทันที ผมพาชานยอลวิ่งลงบันไดหนีไฟโดยที่มือของเรายังคงจับกันอยู่แบบนั้น และเสียงห้าวที่ลอยมาให้ได้ยินก็เป็นดังเช่นตัวกระตุ้นที่ทำให้ผมพาชานยอลวิ่งลงไปตามความลาดชันของบันไดให้เร็วยิ่งขึ้น

     

    พบผู้ต้องสงสัยคล้ายปาร์คชานยอลที่โรงพยาบาลอันซู กำลังวิ่งไปตามบันไดหนีไฟ ขอกำลังเสริมด่วน!”

     

    แบคฮยอนผลักประตูหนีไฟออกที่ชั้นสาม เขาเลือกที่จะพาคนตัวสูงเข้าไปเดินปะปนกับเหล่าบรรดาผู้คนที่เดินสวนกันไปมา จุดมุ่งหมายของแบคฮยอนคือประตูทางออกหมายเลขสี่ที่อยู่ภายในชั้นหนึ่ง ซึ่งคนตัวเล็กคาดว่าถ้าเขาสามารถออกจากประตูนั้นได้ก็จะไปถึงลานจอดรถก่อนที่ตำรวจจะเจอตัว

     

    จ่าไปดักที่ทางออกสามนะ ส่วนผมจะไปที่ทางออกสี่ เร็วเข้า!!”

     

    หมวดครับ แล้วผู้ชายตัวเล็กอีกคนล่ะครับให้ทำยังไง?

     

    ถ้าผู้ต้องสงสัยเป็นปาร์คชานยอลจริง จ่าก็จับเขาไว้ด้วย เพราะถือว่าเขามีส่วนช่วยให้คนร้ายหลบหนี ไป เร็วเข้า!”

     

    ครับ!”

     

    แบคฮยอนไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันจะส่งผลต่อเขาอย่างไรบ้าง...

     

    คล้ายว่าเขาถูกความรู้สึกหนึ่งที่มีต่อชานยอลเข้าครอบงำ เขาจึงได้ลืมคิดไปว่าตัวเองนั้นได้ทำการช่วยเหลือคนที่คิดว่าเป็นศัตรูไปเสียแล้ว

     

     

    แฮ่ก..แฮ่ก

     

    เสียงหอบหายใจสะท้อนดังก้องเมื่อแบคฮยอนตัดสินใจพาชานยอลเข้ามาหลบอยู่ตรงบันไดหนีไฟของชั้นสองแทนที่จะไปทางออกหมายเลขสี่ดังที่ตั้งใจไว้ ด้วยความที่เขาคุ้นชินกับโรงพยาบาลนี้เป็นอย่างดีจึงทำให้เขารู้ว่าทางออกมีอยู่ ณ จุดใดบ้างและระหว่างทางที่วิ่งมานั้นทำให้แบคฮยอนตระหนักได้ว่าทางออกสี่ที่ตั้งใจจะไปนั้นคงมีตำรวจดักรอไว้แล้ว

     

    ฉันคิดว่าเราน่าจะลงไปชั้นหนึ่งแล้วออกทางประตูด้านหลังแทน แฮ่ก นาย คิดว่าไง?คนตัวเล็กเอ่ยถามทั้งที่ยังหายใจหอบถี่ ดวงตาเรียวมองผ่านกระจกตรงประตูเพราะกังวลว่าอาจจะมีตำรวจตามเจอพวกเขาซะก่อน

     

    แม้แบคฮยอนจะเอ่ยถามด้วยความร้อนรนแต่ชานยอลกลับทำเพียงแค่ยืนนิ่งและไร้คำตอบแก่คนตัวเล็ก พร้อมทั้งยังส่งสายตาเรียบเฉยอย่างที่เคยเป็นมองไปที่ใบหน้าขาวจนแบคฮยอนไม่อาจทนต่อความไม่ยินดียินร้ายนี้ได้

     

    ชานยอล เรากำลังถูกตำรวจไล่ตามอยู่นะ อย่าทำเป็นเงียบได้ไหม?!”

     

    นายรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่?

     

    น้ำเสียงเคร่งเครียดของคนตัวสูงสร้างความฉงนให้กับแบคฮยอนไม่น้อย ชานยอลในเวลานี้ทั้งดูจริงจังและไม่สบอารมณ์จนใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง

     

    นายคิดว่ามันจะเกิดอะไรต่อจากนี้หลังจากที่นายพาฉันหนีไปได้? แล้วเหตุผลที่นายพาฉันหนีล่ะคืออะไร?น้ำเสียงของชานยอลทำให้แบคฮยอนคิดหาคำตอบทั้งๆที่ยังคงสับสน ในตอนนั้นเองที่คล้ายว่าแบคฮยอนคิดได้ว่าเขาได้กระทำสิ่งใดลงไป

     

    เขาพาชานยอลหนี ทั้งๆที่ตัวเองควรจะเป็นฝ่ายยื่นชานยอลให้กับตำรวจไม่ใช่หรือ?

     

    แบคฮยอนหาเหตุผลไม่ได้เลยนอกจาก...เขาไม่อยากให้ชานยอลถูกจับ

     

    เขา...กลัวว่าชานยอลจะถูกจับไป

     

    สิ่งที่นายกำลังทำอยู่มันดีแล้วเหรอแบคฮยอน?

     

    ชานยอลไม่ได้ต้องการสร้างความกดดันให้คนตัวเล็กเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขาเพียงแค่รู้สึกหงุดหงิดใจและเป็นห่วงแบคฮยอนที่วู่วามจนทำให้เกิดเรื่อง เขาไม่ได้เดือดร้อนนักถ้าจะต้องถูกจับไปจริงๆเพราะยังไงซะอี้ฟานก็สามารถช่วยเขาได้ แต่กับแบคฮยอนที่เชื่อมั่นว่าเขาเป็นศัตรูมาโดยตลอดล่ะจะทำเช่นไร?

     

    ประกายความสับสนฉายชัดอยู่ในดวงตาของแบคฮยอนและชานยอลรู้ดีว่าเหตุผลที่แบคฮยอนเลือกที่จะช่วยเขาหลบหนีเช่นนี้เป็นเพราะอะไร

     

    แบคฮยอนคนที่ไม่เคยเก็บซ่อนอารมณ์ทางสีหน้าและแสดงความรู้สึกอย่างเถรตรงเสมอมา มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ชานยอลจะรับรู้ได้ว่าสิ่งที่คนตัวเล็กทำลงไปนั้นเป็นเพราะ...ความเป็นห่วง

     

    แบคฮยอนเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของคนตัวสูงทั้งๆที่รู้ดีถึงสาเหตุของการกระทำของตัวเอง ความอุ่นชื้นที่ฝ่ามือทำให้แบคฮยอนรู้ว่าพวกเขายังไม่ได้ปล่อยมือออกจากกัน แต่เพียงแค่จะชักมือกลับชานยอลกลับกุมมือเล็กไว้แน่น

     

     

    “…”

     

    ท่ามกลางความว้าวุ่นใจ ชานยอลเลือกที่จะนำฝ่ามือของแบคฮยอนมาทาบที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง แรงเต้นตุบๆทำให้แบคฮยอนหน้าร้อนอย่างช่วยไม่ได้ และฝ่ามือใหญ่ของชานยอลเองก็ทาบทับลงมาที่แผ่นอกเล็ก

     

    เกิดความเงียบเมื่อฝ่ามือของทั้งสองประทับลงตรงตำแหน่งอกข้างซ้ายของกันและกัน

     

     ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่าหากความเงียบเกิดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายนั่นหมายความว่าได้มีเทวดาซักองค์บินผ่าน ณ ที่นั้น

     

    แบคฮยอนรู้สึกว่าเทวดาได้ร่อนลงสู่พื้นดิน ก่อนจะก้าวเดินผ่านตัวเขา ราวกับว่าเขาได้ยินเสียงจังหวะการก้าวเท้านั้นดังตึกตัก ตึกตักก้องอยู่ในหัว

     

    แต่เพียงแค่วินาทีต่อมาแบคฮยอนก็ได้รู้

     

    ว่ามันไม่ใช่เสียงการก้าวเดินของเทวดาองค์ไหน

     

    แต่เป็นเสียงหัวใจของเขาเอง

     

    นายคิดว่าที่หัวใจเราเต้นแรง มันเป็นเพราะความเหนื่อยหรือเป็นเพราะอย่างอื่นกันแน่?

     

    น้ำเสียงทุ้มห้าวของชานยอลเหมือนอะไรซักอย่างที่ซึมเข้าสู่โสตประสาทของแบคฮยอนอย่างช้าๆ คนตัวเล็กรู้ดีว่าชานยอลต้องการสื่อถึงอะไร เขาเข้าใจมาโดยตลอดว่ากำลังมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา แต่เพียงแค่เพราะคำว่าไนท์แมร์จึงทำให้เขาไม่อยากจะยอมรับความรู้สึกนั้น

     

    แบคฮยอนคิดมาตลอดว่าหัวใจของเขามีผนังแข็งแกร่งเป็นเกราะชั้นดีที่ปกป้องหัวใจของเขาไว้หลังจากถูกทำให้เจ็บปวดโดยความรักครั้งก่อน

     

    แต่ชานยอลกลับเป็นดังเช่นใบมีดที่คมเกินไป

     

    นายรู้ใช่ไหมแบคฮยอน ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเรา?

     

    และใบมีดนั้นกำลังกรีดผนังหนาให้ปริออกอย่างช้าๆด้วยความลึกซึ้ง

     

    ฉัน..ไม่รู้ ล..แล้วก็คิดว่าเราควรจะหนี ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องไร้สาระ

     

    น้ำเสียงตะกุกตะกักทำให้ชานยอลหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขารู้ดีว่าแบคฮยอนเพียงแค่ต้องการเปลี่ยนเรื่อง และตัวเขาเองไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าตำรวจจะจับตัวเขาได้หรือไม่ เพราะเขารู้ ว่าชั้นเชิงของเขากับตำรวจเหล่านั้นมันต่างกัน

     

    แล้วนายอยากรู้ไหมล่ะ?

     

    ไม่อยาก

     

    นายอยากรู้

     

    แบคฮยอนพ่นลมหายใจออกจากริมฝีปากเมื่อชานยอลกลายเป็นคนเผด็จการอย่างที่เป็นมาตลอด คนตัวเล็กเบ้ปากแสดงความไม่พอใจพร้อมทั้งยังส่งเสียงจิ๊จ๊ะดังเช่นทุกครั้งเวลาที่ถูกขัดใจ

     

    หารู้ไม่...

     

    ว่าทุกการกระทำของแบคฮยอนอยู่ในสายตาชานยอลทุกอย่าง

     

    แบคฮยอนพยายามดึงมือของตัวเองออกจากมือของชานยอลอีกครั้ง แต่เพียงแค่วินาทีที่ดวงตาเรียวสบเข้ากับดวงตาคมก็คล้ายว่าเวลาได้หยุดหมุนไปชั่วขณะ ความกังวลในการหลบหนีถูกปัดเป่าให้หายไปดังสายลมพัด เพียงแค่ชานยอลบอกผ่านดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นว่าทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร

     

    และไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงโน้มถ่วงของโลกหรืออาจจะเป็นเพราะสัมผัสนุ่มจากเมื่อเช้าที่ยังคงตราตรึง ชานยอลจึงค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้แบคฮยอนโดยที่คนตัวเล็กเองก็ได้เห็นทุกความเคลื่อนไหวนั้น

     

    แต่ไม่ได้คิดที่จะเบี่ยงหนี

     

    ใบหน้าของพวกเขาเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนว่า ณ เวลานี้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใจอีกแล้ว

     

    จนกระทั่งสัมผัสนุ่มหยุ่นจะเป็นตัวกระตุ้นให้หัวใจสองดวงทำงานหนัก มันเต้นรุนแรงอย่างบ้าคลั่งคล้ายว่าจะกระดอนออกจากแผ่นอก

     

    ไม่เหลือที่ว่างให้อากาศแทรกผ่านยามเมื่อก้อนเนื้อนิ่มประกบกันจนแนบสนิท

     

    ชานยอลจูบแบคฮยอนอย่างแผ่วเบาแต่กลับหนักแน่นยิ่งนักในความรู้สึก ราวกับโลกทั้งใบของแบคฮยอนได้พังทลายลงแต่กลับถูกสร้างขึ้นใหม่ช้าๆด้วยสัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือที่ใครบางคนกอบกุมเอาไว้

     

    ชานยอลจูบแบคฮยอนเพราะแบคฮยอนดึงดูด เพราะแบคฮยอนทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว เขารู้ว่ามีบางความรู้สึกเกิดขึ้นกับเขาและอยากให้แบคฮยอนรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น

     

    แบคฮยอนยอมให้ชานยอลจูบเพราะเขาละสายตาไม่ได้ยามที่ชานยอลโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ คำว่าไนท์แมร์ สตาส หน้าที่กระเด็นหายไปเมื่อสัมผัสหยุ่นทาบทับลงมาบนริมฝีปาก

     

    และเป็นดังความจริงที่ว่า เหตุผลจะค่อยๆจางหายไปยามที่ความรักจะเข้ามาแทนที่

     

    ชานยอลเอนใบหน้าเปลี่ยนองศาก่อนจะรั้งท้ายทอยคนตัวเล็กให้เข้ามารับสัมผัสที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและวินาทีที่แบคฮยอนตัดสินใจปิดเปลือกตาลงชานยอลก็ไม่อาจทำเพียงแค่จุมพิตแผ่วเบาได้อีกต่อไป

     

    ราวกับว่าการจูบของทั้งสองก่อให้เกิดแรงดึงดูดอันแสนประหลาด คล้ายว่าแบคฮยอนเองเป็นโลกใบใหญ่ และชานยอลนั้นเปรียบดังดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลกในทุกๆวินาที

     

    และในตอนนี้ชานยอลก็ได้โคจรรอบหัวใจของแบคฮยอนแล้ว

     

    รอเพียงวันที่จะเข้าไปอยู่กลางใจ...แค่เท่านั้น

     

     

     

    TBC

     

    หมื่นกว่าคำนะแชปเตอร์นี้....

    สารภาพว่าช่วงนี้ติดเกม ติดมาก เลยไม่ค่อยมีสมาธิแต่งฟิค แถมกลับไปดูเดอะวอล์คกิ้งเดธอีก ยาว ยาวมาก สันหลังเราเนี่ยยาวมาก ยาวกว่าขาอีก 555555555555555555555555

    ถ้าภาษาตอนนี้แปลกเราต้องขอโทษด้วย มันยาวมาก แล้วเราเบลอ เครียด อยู่ๆสมองดับ ทนอ่านกันหน่อยนะ เราขอร้อง 5555555555

    ขอโทษที่ช้านะคะ ขอบคุณสำหรับการรอคอยค่ะ

    #ficsee2b

    Up : 19/03/2015 (45%) 28/03/2015 (100%)

     

     

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×