คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : - CH 11 : blaze -
Feels like nobody ever loved me
until you loved me
เหมือนกับว่าไม่เคยมีใครรักผมมาก่อน
จนกระทั่งคุณนั้นรักผม
…..
สายลมในวันนี้สดชื่นมากพอที่จะทำให้เกิดรอยยิ้มเล็กๆได้
ยามที่มันพัดผ่านกระทบผิวเนื้อ ความรู้สึกผ่อนคลายก็แล่นไปทั่วทั้งร่าง
สิ่งที่ธรรมชาติสร้างมักเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ หากคุณอยู่ชานเมืองหรือชนบท
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้เป็นเรื่องธรรมดาที่สัมผัสได้ในทุกวัน แต่สำหรับผมที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง
การได้ออกมารับธรรมชาติแบบนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่งในชีวิต
แสงแดดอ่อนๆ
ท้องฟ้าที่มีก้อนเมฆอวบอ้วนรวมทั้งสายลมที่คล้ายว่าจะเย็นเยียบแต่กลับแฝงไปด้วยความอบอุ่น
ทั้งหมดนี้ ผมไม่สามารถสัมผัสมันได้ในกรุงโซล
“ถ้าป้าฉันถามอะไรก็ให้เงียบไม่ต้องตอบ เข้าใจใช่ไหม?”
ผมหันไปพูดกับคนตัวสูงข้างกาย
เรือนผมสีไวน์องุ่นปลิวไปตามแรงลมที่พัดผ่าน
แสงแดดที่ตกกระทบผิวกายยิ่งเสริมให้เขาดูโดดเด่น
ชานยอลใช้นิ้วยาวเกี่ยวแว่นกันแดดสีชาออกจากกรอบหน้าก่อนจะหันมายักคิ้วใส่ผมแล้วเช็คออดี้สีดำที่ใช้ขับมาจากโซลอีกครั้งว่าล็อคดีแล้วหรือไม่
“แล้วก็อย่าทำพิรุธให้ป้ารู้ล่ะว่านายไม่ใช่เพื่อนฉันอ่ะ”
ชานยอลพยักหน้าส่งๆก่อนจะเก็บกุญแจรถใส่กระเป๋ากางเกง
ผมบิดหลังคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งรถเป็นเวลานาน
บ้านของผมในบูชอนนั้นเป็นหมู่บ้านที่ยังคงยึดหลักการสร้างอย่างในอดีตจึงทำให้ไม่มีพื้นที่มากพอที่จะจอดรถยนต์ภายในบ้าน
ด้วยเหตุผลนี้ ชานยอลจึงต้องจอดรถของเขาไว้นอกตัวบ้านแทน
เบื้องหน้าของเราสองคนคือบ้านสไตล์เกาหลีโบราณขนาดกลาง
ปาร์คชานยอลมองดูกำแพงบ้านและบรรยากาศโดยรอบอย่างใคร่รู้ ส่วนผม
คนที่เคยประกาศอย่างหนักแน่นว่าถ้ายอมให้ชานยอลมาเจอกับป้าของตัวเองมันคงกลายเป็นเรื่องบ้าที่สุดในรอบปีคนนี้ก็ทำเพียงแค่ยืนหายใจอยู่ข้างๆเขา
ครับ...
พวกคุณเข้าใจไม่ผิดหรอก ผมพาชานยอลมาบ้านเกิดของตัวเอง
เรื่องบ้าที่สุดในรอบปีเกิดขึ้นกับบยอน แบคฮยอนคนนี้แล้ว
ผมคิดว่าคุณคงนึกออกว่าผมได้ค้านหัวชนฝาว่าจะไม่ยอมให้เขามาด้วย
แต่ชานยอลก็ยังคงเป็นคนที่มีคำพูดทำลายความดื้อรั้นของผมได้อย่างดีเยี่ยม
เสียงทุ้มนุ่มของเขาในวันนั้นเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ
แต่เนื้อหาของประโยคกลับทำให้ผมต้องยอมแพ้อย่างไม่อยากยอมรับ
‘นายจะไม่ให้ฉันไปด้วยก็ได้นะ
แต่ก็ลองคิดดูว่าถ้าฉันไปหาป้านายด้วยตัวเองล่ะก็มันจะเกิดอะไรขึ้น’
คำพูดแสนธรรมดา น้ำเสียงแสนนิ่งเฉยแต่กลับมีอิทธิพลจนทำให้ผมต้องยอมแพ้
ผมรู้ว่าถ้าชานยอลคิดที่จะสืบหาบ้านเกิดของผมมันก็คงไม่ใช่เรื่องยากนักและผมคงไม่ยอมให้คนที่เคยขู่ว่าจะฆ่าป้ามาหาท่านโดยลำพังอย่างแน่นอน
“อย่าพูดอะไรถ้าฉันไม่บอกให้พูด แล้วก็เลิกเก๊กสักที เดี๋ยวป้าก็สงสัยหรอก”
“จะยืนพูดอยู่ตรงนี้ใช่ไหมจะได้หาที่นั่งรอ”
ชานยอลเลิกคิ้วถามพร้อมโยนกระเป๋าเป้ที่ใส่สัมภาระมาให้
ผมรีบยื่นแขนออกไปรับแล้วพ่นลมหายใจแรงๆ
ผมก็แค่อยากให้ชานยอลรับปากว่าเขาจะทำอย่างที่เราตกลงกันไว้ ผมไม่เคยพาใครมาที่นี่นอกจากหัวหน้าอี้ฝาน
แม้ว่าป้าของผมจะไม่ใช่คนช่างสงสัย แต่การที่ผมพาคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยถึงเข้าบ้านแบบนี้ท่านก็คงจะรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
ผมก็แค่ไม่อยากให้ป้ารู้ว่าผมกำลังพาวายร้ายเข้าบ้าน
ผมเลิกสนใจชานยอลก่อนจะเดินนำไปยังบานประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม
ผมเคาะมันดังๆสามครั้ง ไม่ถึงนาทีบานประตูก็เปิดออก
สิ่งที่ผมเห็นเป็นลำดับแรกก็คือดวงตาเรียวเล็กของหญิงวัยกลางคนที่ยังคงความอ่อนโยนไว้เสมอ
ดวงตาที่เหมือนกับแม่ของผมไม่มีผิดเพี้ยน
“สวัสดีครับป้า~”
“มาแล้วเหรอลูก มาๆ เข้ามาในบ้านก่อน” ป้านาบียิ้มกว้างอย่างดีใจที่เห็นผมก่อนจะเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อให้ผมและชานยอลเข้าไปข้างใน
เมื่อพ้นเขตประตูผมก็สวมกอดป้านาบีอย่างเต็มรัก
ท่านดูจะตกใจที่ถูกผมจู่โจม สำหรับผม ป้านาบีไม่ได้เป็นเพียงแค่ป้าแต่ท่านคือแม่คนที่สอง
ท่านคือแม่ที่รักและเลี้ยงดูผมให้เติบโตขึ้นอย่างอบอุ่น ทุกความรู้สึกของผมที่ขาดหายไปนั้นได้ถูกป้านาบีเติมเต็มจนทำให้ผมไม่เคยรู้สึกด้อยไปกว่าครอบครัวอื่นที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
เพียงแค่ผมมีผู้หญิงคนนี้ ก็เหมือนกับว่าผมได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์แล้ว
ผมไม่เคยคิดโทษโชคชะตาที่ทำให้ผมต้องกลายเป็นคนที่ขาดพ่อแม่หรือที่เพื่อนในสมัยเด็กล้อผมบ่อยๆว่าเป็นไอ้ลูกกำพร้า
เพราะผมรู้ดีว่าอย่างน้อยผมก็เกิดมาจากความรัก
ผมเรียนรู้จากป้าว่าครอบครัวที่อบอุ่นไม่ใช่ครอบครัวที่มีจำนวนสมาชิกในบ้านมากมาย
ไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยหรือใช้ชีวิตอย่างหรูหรา แต่เป็นครอบครัวที่ทุกคนภายในบ้านไม่เคยปล่อยมือกันแม้จะเจอกับปัญหาร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม
และป้านาบีไม่เคยปล่อยมือจากผมเลยสักครั้ง
ท่านไม่ได้เพียงแค่จับมือผมไว้แต่ป้ายังสวมกอดผมเอาไว้ด้วย
อย่างที่ผมเคยพูดไว้ว่าความห่วงใยใดๆก็ไม่อาจเทียบเท่าได้กับความห่วงใยจากครอบครัวและอ้อมกอดใดๆก็ไม่อาจอบอุ่นเท่ากับอ้อมกอดจากคนภายในครอบครัวเช่นกัน
“คิดถึงจังเลยยยยย” ผมว่าอย่างออดอ้อนพร้อมกับหอมแก้มของผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดดังฟอด
ป้านาบีหัวเราะให้กับความทะเล้นของผมก่อนที่จะผละออกจากอ้อมแขนเพราะเห็นมนุษย์ตัวสูงที่ยืนมองพวกเราอยู่
“เพื่อนไอ้หมามันเหรอลูก?”
ชานยอลโค้งทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนจะทำเพียงยิ้มรับแล้วตอบเบาๆว่า “ครับ” ผมรีบประคองป้าให้เดินเข้าไปในตัวบ้านก่อนที่ท่านจะถามชานยอลไปมากกว่านี้
ผมหันหลังไปมองคนตัวสูงที่เดินตามมาอย่างพึงพอใจที่เขาพูดเพียงสั้นๆและไม่ต่อบทสนทนากับป้าผม
แต่ท่าทางการเดินอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวและริมฝีปากหยักที่เปล่งออกมาอย่างไม่มีเสียงนั้นทำให้ผมแทบจะเก็บความรู้สึกดีๆเมื่อครู่นี้ทิ้งไป
“ไอ้หมา...”
ผมชูหมัดใส่ชานยอลเป็นการคาดโทษก่อนที่จะหันหลังให้
คิดไว้แล้วว่าถ้าเขาได้ยินชื่อที่ป้าใช้เรียกผมจะต้องโดนล้อแน่ๆ นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมคาดเดาจากคนอย่างชานยอลได้ก็คือความกวนประสาทของเขานั่นแหละ !
“ชื่ออะไรน่ะเรา”
“ปาร์ค ชานยอลครับ”
ทันทีที่เข้ามาในบ้านและวางกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว
ป้านาบีก็หันไปให้ความสนใจกับชานยอลทันที
น้ำเสียงสุภาพที่ผมเพิ่งเคยได้ยินจากปากของเขาทำให้ผมชะงัก
ผมไม่คิดมาก่อนว่าวายร้ายอย่างเขาจะมีท่าทีอ่อนน้อมได้มากขนาดนี้
ราวกับว่าเขาเป็นคนละคนกับที่เคยขู่ว่าจะฆ่าป้าของผมเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน
หรือบางทีชานยอลอาจจะเป็นคนหลายบุคลิก สุภาพเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ควรเคารพ
เป็นตัวร้ายเมื่ออยู่กับพวกไนท์แมร์และเป็นคนกวนประสาทหน้าตายเมื่ออยู่กับผม
ผมเรียนรู้ตัวตนของคนตรงหน้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งข้อว่าเขามีความหลากหลายในตัวเองและคงมีอีกหลายแง่มุมนักที่ผมยังไม่เคยได้เห็น
“ปาร์คชานยอล? เอ...
ป้าว่าป้าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนนา”
ป้านาบีทำท่าครุ่นคิดหลังจากที่ทราบชื่อของคนตัวสูงในขณะที่ผมได้แต่นึกในใจว่าปาร์คชานยอลคงจะเป็นชื่อที่โหลน่าดู
แต่เพียงแค่ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นหันมาสบเข้ากับดวงตาของผมความสงสัยทั้งหมดก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจในทันที
“ไอ้หมา หน้าเราไปโดนอะไรมาเนี่ยหือ?”
ผมกลืนน้ำลายเมื่อป้าถามถึงรอยฟกช้ำบนใบหน้าที่พวกไนท์แมร์ฝากเอาไว้
แม้ว่ามันจะเจ็บน้อยลงแล้วแต่ระยะเวลาเพียงไม่กี่วันก็ไม่สามารถทำให้รอยแผลหายไปได้
“คือ...เอ่อ...ผมไปช่วยห้ามพวกนักเรียนที่ตีกันน่ะครับก็เลยโดนลูกหลง
ใช่ไหมชานยอล?”
“อะ...อ่อ ครับ”
ชานยอลที่กำลังมองผมด้วยสีหน้านิ่งเฉยพยักหน้ารับคำอย่างตั้งตัวไม่ทัน
ป้านาบีถอนหายใจเบาๆก่อนจะเดินเข้ามาจับคางของผมแล้วพลิกซ้ายพลิกขวาสำรวจ
“เรานี่มันก็จริงๆเลยนะ หาเรื่องตลอด ดูซิ หน้าเนียนๆเป็นแผลไปหมดเลย”
ผมหัวเราะแหะๆก่อนที่ป้าจะปล่อยใบหน้าของผมให้เป็นอิสระ “ตอนคบกับอี้ฝานก็เจ็บตัวบ่อยๆจนคนอื่นเป็นห่วงกันไปหมด
จนมาคบกับชานยอลแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนอีกเหรอลูก”
ผมนิ่งพร้อมกับกะพริบตาปริบๆเป็นการประมวลผลกับสิ่งที่ป้าพูด คบ? คบกับชานยอล?
เดี๋ยวนะ...
นี่ป้าของผมเข้าใจอะไรผิดไปแล้ววะเนี่ย!
“ไม่ใช่นะป้า ผมกับชานยอลไม่ได้คบกันอย่างที่ป้าคิดนะ!”
ผมหันไปหาคนตัวสูงที่กำลังถอดแจ็คเก็ตหนังออกจากกายเพราะอากาศในบ้านอบอ้าวกว่าข้างนอก
แต่ชานยอลกลับทำเป็นเมินสายตาของผมแล้วไม่ปริปากพูดอะไรทั้งสิ้น
“ไม่ต้องเขินป้าหรอกน่า แรกๆที่คบกับอี้ฝานก็ไม่กล้ายอมรับแบบนี้
เราน่ะโกหกป้าไม่ได้หรอก ปกติเคยพาใครมาบ้านที่ไหนกันล่ะ ใช่ไหมจ๊ะ ชานยอล?”
“ครับ”
เสียงทุ้มนั่นทำเอาผมแทบจะวิ่งไปตั๊นหน้าเขาสักสองสามที ครับ? ครับอะไร? ทำไมไม่ช่วยกันแก้ตัวล่ะวะ!
“ป้ากำลังเข้าใจผิดนะ จริงๆแล้วผมกับชา—”
“พอเถอะลูก
เขินจนแก้มแดงไปถึงหูแล้วรู้ตัวรึเปล่า?” ผมรีบเอามือมาจับใบหูของตัวเองด้วยความลืมตัว
ภาพของชานยอลที่อมยิ้มพร้อมกับหัวเราะในลำคอทำให้ผมแทบจะดิ้นตายซะตรงนี้
นี่ผมแก้มแดงเหรอ? บ้าน่า มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง
“หูผมแดงเพราะในบ้านมันร้อนต่างหาก” ป้านาบียิ้มขำก่อนจะส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจนัก ก็มันร้อนจริงๆนี่
ผมบอกคุณไปแล้วใช่ไหมว่าอากาศในบ้านมันอบอ้าวกว่าข้างนอก
“ไปๆ เอาของไปเก็บแล้วก็ไปอาบน้ำซะ
เมื่อกี๊ตอนกอดป้าตัวนี่เหนียวหนึบเลย ยังไม่ได้กินอะไรกันมาใช่ไหม? ป้าจะได้ทำกับข้าวไว้รอ”
ชานยอลโค้งศีรษะให้ป้าก่อนจะเข้ามาคว้าแขนผมไว้แล้วลากให้เดินไปด้วยกัน
พอพ้นสายตาจากป้าแล้วผมจึงดึงแขนตัวเองกลับ
เราเดินไปตามทางเดินเงียบๆพร้อมกับความคุกรุ่นในใจของผมจนกระทั่งผมหยุดลงที่หน้าประตูห้องนอน
ผมมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์นักก่อนที่จะเดินเข้าห้องพร้อมกับทำสัญญาณให้ชานยอลตามเข้ามาและผมคงต้องทำใจเพราะคืนนี้คงต้องนอนห้องเดียวกับเขา
เนื่องจากบ้านหลังนี้มีเพียงไม่กี่ห้องและป้าของผมได้ใช้ห้องอื่นทำเป็นห้องเก็บของไปจนหมดแล้ว
“ทำไมนายไม่ช่วยฉันแก้ตัวห้ะ? เห็นไหมว่าป้าฉันเข้าใจผิดไปถึงไหนแล้ว!”
ผมโวยวายทันทีที่บานประตูถูกเลื่อนปิดลง
เป็นครั้งแรกที่ผมต้องโวยวายเสียงเบาขนาดนี้เพราะผนังของบ้านเกาหลีโบราณนั้นไม่เก็บเสียงเท่าไรนัก
ผมกลัวว่าป้าอาจจะได้ยินบทสนทนาของเราแล้วจะไม่สบายใจเอาได้
“ก็นายสั่งฉันไว้นี่ว่าไม่ให้พูด ฉันก็ทำให้แล้วนี่ไง” ชานยอลว่าหน้านิ่งพร้อมกับสำรวจห้องอย่างช้าๆ
เขาหยุดมองที่ฟูกนอนสองผืนบนพื้นก่อนจะละความสนใจไปที่บานหน้าต่างแทน
“แต่นายก็ควรรู้สิว่าตอนไหนควรจะพูดและตอนไหนควรจะเงียบ”
“โทษที ฉันไม่รู้”
หากผมเป็นแค่ตัวละครในการ์ตูนญี่ปุ่นผมคงพ่นไฟใส่หน้าชานยอลไปแล้ว ผมกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายในท่าทีเมินเฉยของเขา
ผมไม่ได้เขินอายที่ป้าจะเข้าใจผิดว่าผมกับชานยอลเป็นแฟ-- ไม่
ผมจะไม่พูดคำนั้น โอเค ป้าอาจจะเข้าใจผิดว่าผมกำลังคบกับชานยอลและผมเองก็เป็นผู้ชายที่ไม่จำเป็นจะต้องใจสั่นกับการเข้าใจผิดนี้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมคือความไม่สบายใจ ป้านาบีจะคิดว่าผมคบใครอยู่ก็ได้
ยกเว้นปาร์คชานยอลคนนี้
คนที่เป็นดังเส้นขนานกับผม คนที่ไม่ใช่มิตรแท้ แต่เป็นศัตรูถาวร
ผมเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าชานยอลไม่ใช่มิตรและคงไม่มีวันที่เราจะสนิทใจต่อกันได้
สตาสกับไนท์แมร์ นี่คือสิ่งที่ผมและชานยอลเป็น
“ไม่ดีรึไงที่ป้านายเข้าใจแบบนั้น จะไม่ได้ต้องสงสัยว่าเราเป็นอะไรกัน”
“จะให้ป้าคิดว่าเรารักกันอย่างนั้นน่ะเหรอ?”
“แล้วไง? แสดงออกว่ารักกันแค่สามวัน
พอกลับไปแล้วจะเอามีดมาแทงกันมันก็ยังไม่สาย”
ผมถอนหายใจให้กับการประชดของชานยอลแล้วตัดสินใจจบการสนทนาไว้แค่นี้
ผมหันไปสนใจกับสัมภาระของตัวเองก่อนจะออกจากห้องเพื่อไปอาบน้ำ
ทิ้งให้คนตัวสูงเดินสำรวจห้องไปแบบนั้น
เมื่อผมกลับเข้าห้องมาอีกครั้งก็พบว่าชานยอลไม่อยู่แล้ว
เสื้อกล้ามที่ผมใส่และสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้รู้สึกสบายและอารมณ์ดีมากขึ้น
เครื่องปรับอากาศแทบไม่มีความจำเป็นสำหรับที่นี่และมันเป็นอีกหนึ่งข้อดีที่ไม่มีในกรุงโซล
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คก่อนจะพบว่ามีไลน์เข้าทั้งจากคนในทีมและเทา
ผมตอบเทาที่ถามว่าผมถึงบ้านป้าหรือยังก่อนจะส่ายหัวให้กับความขี้เล่นที่น้องชายส่งเข้ามา
14:15 ป้านาบีสบายดีไหมพี่?
14:15 สบายดี นี่กำลังทำกับข้าวให้พี่กินอยู่
อิจฉาอ่ะดิ
14:15 คิดถึงกับข้าวฝีมือป้านาบีจังเลย
พี่ที่อ้วนอยู่แล้วคงกลายเป็นหมูแน่ๆ
14:16 เคยโดนหมูกระโดดถีบไหม?
ผมกดส่งข้อความก่อนจะเปิดดูแชทจากคนอื่น
ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนกระทั่งอายุสิบขวบที่ป้านาบีตัดสินใจพาผมไปใช้ชีวิตในโซลเพราะไม่ต้องการให้ผมอยู่ในสถานที่เดิมๆ
เมืองเดิมๆที่ทำให้คิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายของพ่อและแม่ เมื่อผมได้รู้จักกับเทา
มันจึงไม่แปลกเลยที่ป้าของผมจะรู้จักเทาไปด้วย
แต่เมื่อผมขึ้นมัธยมปลายป้าก็ตัดสินใจที่จะกลับบูชอนอีกครั้งและผมที่เติบโตอย่างเข้มแข็งพอจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในกรุงโซลคนเดียวต่อไป
ป้าอาจจะคิดว่าผมคงจะเรียนจบแล้วเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยสักที่
แต่เปล่าเลย เพราะความฝันของผมได้มีไว้ให้กับสตาสนานแล้ว ตอนนั้นเองที่ข้อความจากหน้าจอเรียกสติของผมให้กลับเข้าสู่ปัจจุบัน
14:19 หัวหน้าอี้ฝานถามหามึงว่ะ
มึงยังไม่ติดต่อเขาไปเหรอวะ
14:19 เออ กูลืม
ผมตอบกลับข้อความของจงอินก่อนจะนึกย้อนกลับไปเมื่อวาน
ผมได้ฝากบ้านที่โซลไว้กับเขาพร้อมกับขอให้เขานำเสื้อผ้าบางส่วนมาให้
ผมนัดเจอกับจงอินและเล่าเรื่องที่ถูกไนท์แมร์บุกรุกให้ฟัง
จงอินรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวคือการที่ผมไปพักอยู่กับชานยอล
แน่นอนว่าผมให้เขารู้ไม่ได้และผมจำเป็นต้องบอกเขาว่าช่วงนี้ผมจะไปอาศัยอยู่บ้านเพื่อน
ทั้งที่จริงแล้วเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมมีก็คือคิมจงอินนั่นเอง
ผมไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนไร้เพื่อน แต่อย่างที่คุณก็คงเข้าใจ คนเราสามารถมีเพื่อนได้เป็นร้อยเป็นพันแต่เพื่อนที่เราจะไว้ใจและวางใจซึ่งกันและกันได้นั้นมีไม่ถึงสิบคนหรอก
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเพื่อนสนิทถึงได้แตกต่างจากเพื่อนทั่วไป
14:20 ระวังตัวแล้วกันนะมึงมีอะไรก็ติดต่อกูมา
แต่ถ้ามึงตายก็อย่ามาหลอกกูล่ะ
14:20 กูขี้เกียจไปทำบุญ เปลือง
และแน่นอนว่าเพื่อนที่เราสนิทที่สุด ก็มักจะกวนส้นตีนที่สุดเช่นกัน...
ผมส่งสติ๊กเกอร์รูปนิ้วกลางให้จงอินรัวๆก่อนจะออกจากไลน์ หัวหน้าอี้ฝานโทรมาหาผมแปดมิสคอล
แต่ในช่วงที่ผ่านมาผมไม่สามารถที่จะโทรกลับได้เพราะอยู่กับชานยอล ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าเราคุยอะไรกันบ้างทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องที่เกี่ยวกับสตาส
-ถ้าว่างแล้วโทรหาพี่หน่อยนะแบคฮยอน-
-พี่เป็นห่วงเรานะ-
-แบคฮยอนเป็นอะไรรึเปล่า
ทำไมไม่รับสายพี่เลยล่ะ?-
ผมอ่านข้อความจากหัวหน้าอี้ฝานก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะเตี้ยๆข้างฟูกนอนอย่างไม่ใส่ใจ
ผมรู้ว่าหัวหน้าอี้ฝานเป็นห่วงผม มันเป็นความเป็นห่วงที่มากกว่าหัวหน้าและลูกทีม
ผมรู้ว่านัยยะที่เขาต้องการจะสื่อคือการเป็นห่วงผมในเชิงใด
กฎของการจากไป คืออย่ากลับมา ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่หัวหน้าอี้ฝานควรรู้
และเป็นเพราะหัวหน้าอี้ฝานได้จากไปจากหัวใจของผมนานแล้ว
ดังนั้นผมก็แค่อยากจะขอร้องเขาว่าได้โปรด
อย่าพยายามที่จะกลับมาอีกเลย
กลิ่นหอมๆของอะไรบางอย่างทำให้น้ำย่อยของผมทำงาน
ผมทำจมูกฟุดฟิดเดินตามกลิ่นนั้นเข้าไปในห้องครัว
ภาพที่ป้านาบีกำลังวุ่นวายอยู่หน้ากระทะทำให้ผมยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
ท่านเป็นแม่ครัวฝีมือดีที่รสมืออร่อยที่สุดสำหรับผม
ผมที่คิดจะไปแกล้งให้ท่านตกใจตามประสาหลานจอมทะเล้นเป็นอันต้องหยุดชะงักเพียงแค่ได้เห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน
เพราะภายในห้องครัวไม่ได้มีเพียงแค่แม่ครัวแต่กลับมีพ่อครัวเพิ่มมาอีกคนด้วย
“ชานยอลนี่ทำกับข้าวเก่งเหมือนกันนะเนี่ย
ไอ้หมาของป้าคงไม่อดตายแล้วล่ะ”
“แต่แบคฮยอนของป้ากินเก่งจะตาย
ผมว่าเขาอาจจะอ้วนมากกว่าที่จะอดนะครับ”
“ฮ่าๆๆ ป้าก็คิดแบบนั้น ไอ้หมาอ้วนน่ะกินเยอะ
ชานยอลคงต้องทนเอาหน่อยนะ”
เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย....
เข้ากันเหมือนกับเสื้อสีเหลืองกับกางเกงสีฟ้าที่ผมใส่อยู่ในตอนนี้...
ป้าของผมกับชานยอล...เข้าขากันสุดๆไปเลย พระเจ้า!
ผมมองชานยอลที่ใส่ผ้ากันเปื้อนกำลังหยิบจับผักและอะไรอีกหลายอย่างขึ้นมาสับด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
ไหนจะการวางตัวที่แสนสุภาพและการพูดจาที่เสริมให้บุคลิกของเขาดูเป็นผู้ชายแสนดีต่างจากปาร์คชานยอลที่ผมประสบอยู่ในทุกวัน
เหอะ หมั่นไส้
“น่ากินจังเลย ขอชิมหน่อยนะครับบบ”
ผมพูดเสียงดังแทรกบทสนทนาที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกราวกับว่าป้าจะฝากฝังให้ชานยอลดูแลผมยังไงยังงั้น
ผมส่ายหัวให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะเดินไปฉวยเอานักเกตไก่ในจานมาเคี้ยวตุ้ยๆ
“โหหหห อร่อย! ฝีมือป้าไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยอ่ะ”
ผมกล่าวชมอย่างใจจริงและนับถือฝีมือของป้าอย่างที่รู้สึกมาตลอด
ท่านทำงานเป็นคนครีเอทเมนูให้กับร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมือง ท่านจึงต้องคิดสูตรอาหารใหม่ๆแทบทุกวันและแน่นอนรสชาติอาหารที่ป้าทำก็ไม่แพ้ความคิดสร้างสรรค์ของท่านเลย
แม้ว่านักเกตไก่ข้าวโพดจานนี้จะอร่อยขนาดไหน
แต่ก็ทำให้ผมอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะป้านาบีไม่ทำอาหารทอดให้ผมกินบ่อยนักด้วยเหตุผลที่ว่าน้ำมันนั้นทำให้อ้วน
“จานนั้นฝีมือชานยอลจ้ะ”
“…” คำพูดของป้านาบีทำให้ปากของผมที่กำลังจะเคี้ยวชะงักลงทันที
ผมคายออกไปตอนนี้ยังทันไหม
“ชานยอลทำอาหารเก่งมากเลยนะลูก แถมยังพลิกแพลงเมนูได้อีกตั้งหลายอย่าง สงสัยคราวนี้ป้าคงได้คนมาช่วยคิดเมนูซะแล้วล่ะมั้ง”
ป้านาบีว่าก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ผมหันไปมองชานยอลที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว
วินาทีนั้นเองที่ชานยอลกระตุกยิ้มคล้ายคนที่นึกเรื่องสนุกขึ้นมาได้
“ฝีมือฉันอร่อยจริงเหรอ?”
เหมือนผมจะเห็นเค้าลางของความซวยยังไงชอบกล
“อือ”
“ไหนเอามาชิมบ้างซิ อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะอร่อยแค่ไหน”
“ก็เดินมาหยิบไปดิ” ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจ
จานก็อยู่ใกล้ๆแค่นั้นเขาจะบอกผมทำไมกัน
แต่เพียงแค่ประโยคต่อมาที่ป้านาบีพูดขึ้นก็ทำเอาผมแทบร้องไห้
“มือชานยอลเขาเปื้อนอยู่นะลูก ไปป้อนเขาหน่อยไป”
นั่นไง...
“เดี๋ยวตอนกินข้าวเขาก็ได้ชิมเองแหละครับป้า”
“ก็ไปป้อนเขาตอนนี้ป้าก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นอะไรเลยนี่”
ผมยืนนิ่งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่รอยยิ้มของป้าและการกดดันทางสายตาของชานยอลทำให้ผมต้องหยิบจานนักเกตแล้วก้าวเข้าไปหาเขาอย่างช่วยไม่ได้
ผมไม่อยากแสดงพิรุธมากนักว่าสถานะระหว่างผมกับชานยอลแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
ที่ทำไปก็เพื่อความสบายใจเท่านั้น
“อ้าปากดิ”
ผมพูดเสียงแข็ง เดาได้เลยว่าหน้าของผมตอนนี้คงฉายความเบื่อหน่ายออกมาอย่างชัดเจน
ชานยอลยักคิ้วกวนประสาทใส่ผมทันทีเมื่อป้าของผมหันหลังไปแล้ว ให้ตายเถอะ
เขานี่มันปีศาจชัดๆ!
ชานยอลอ้าปากอย่างยียวน
ผมหยิบนักเกตส่งใส่ปากเขาอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะพยายามยัดมันเข้าไปทั้งชิ้นเพื่อเป็นการแกล้งเขา
ผมไม่รู้ว่ามันคือการแกล้งเขาหรือเป็นการแกล้งตัวเองกันแน่
เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่นิ้วของผมสัมผัสเข้ากับความนุ่มหยุ่นจากริมฝีปากได้รูปของชานยอล ตอนนั้นเองที่คล้ายกับว่าผมถูกความรู้สึกประหลาดเล่นงานจนมีบางอย่างสั่นไหว
“ก็อร่อยดี นายชอบแบบนี้เหรอ?”
บางอย่าง...ที่ผมเรียกมันว่าหัวใจ
“ไว้จะทำให้กินบ่อยๆแล้วกันนะ”
ชานยอลว่าก่อนจะยิ้มให้ผม ยิ้มในแบบที่ผมไม่เคยเห็นจากเขามาก่อน
มันไม่ใช่รอยยิ้มมุมปาก ไม่ใช่รอยยิ้มกวนประสาทเหมือนที่ผ่านมา
แต่เป็นรอยยิ้มที่ผมตีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย
นอกเสียจาก...เขากำลังเอ็นดูผม
และเป็นครั้งแรกที่ผมเพิ่งรู้ว่ารอยยิ้มของชานยอลสามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวระดับร้ายแรงที่สุดในหัวใจของผมได้
“อย่ามัวแต่ยืนหูแดงอยู่สิแบคฮยอน เสร็จแล้วก็มาช่วยป้าดูซุปในหม้อหน่อย”
“ค--ครับ”
ผมเผลอยกมือมือขึ้นไปลูบใบหูตัวเองอีกครั้งซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือเสียงหัวเราะทุ้มๆในลำคอ
ผมสบตากับชานยอลเพียงเสี้ยววิก่อนจะเลิกสนใจเขาแล้วเดินไปทำในสิ่งที่ป้าได้บอกไว้
ผมรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป
คล้ายว่าชานยอลกำลังเปลี่ยนผมช้าๆเหมือนที่พระอาทิตย์ตกเปลี่ยนน้ำทะเลให้กลายเป็นสีแดง
เหมือนดังสายฝนเปลี่ยนทุ่งดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาให้เบ่งบานอีกครั้ง
และผมได้แต่หวังว่าผมจะไม่คล้อยตามการเปลี่ยนแปลงนั้น
เขาไม่ใช่มิตรแท้ แต่เป็นศัตรูถาวร
ประโยคนี้ดังก้องไปทั่วทั้งสมองและใช่ ผมควรจะจำคำนี้ให้ขึ้นใจก่อนที่บางอย่างจะเติบโตในความรู้สึกของผมมากไปกว่านี้
“งานเป็นยังไงบ้างลูก หนักมากไหม?”
ผมนวดขาให้ป้านาบีที่นั่งอยู่บนฟูกนอนอย่างรักใคร่
มื้ออาหารผ่านไปได้ด้วยดีและมีแต่เสียงหัวเราะ
พระจันทร์นอกหน้าต่างส่องแสงสุกสกาวแต่ยังไม่อาจเทียบเท่าดวงตาที่ทอแสงความอ่อนโยนจากคนตรงหน้าได้เลย
“ก็ไม่เท่าไหร่ครับ ผมไหวอยู่ หลานป้าน่ะเก่งจะตาย”
“ใช่ ป้ารู้ว่าไอ้ลูกหมามันเก่ง”
ป้าพูดก่อนจะหัวเราะน้อยๆทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย
ผมบีบขาให้ท่านด้วยแรงพอดีที่จะคลายความเมื่อยล้า
ผมมักทำอย่างนี้ทุกครั้งที่กลับมาบ้าน ป้าของผมคงจะเหนื่อยที่ต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง
ผมมีความคิดที่อยากจะให้ท่านไปอยู่กับผม แต่อย่างที่คุณรู้
ว่าชีวิตของผมไม่ปลอดภัยสำหรับป้านาบีเลยแม้แต่น้อย
นาฬิกาบอกว่าเป็นเวลาสามทุ่มแล้ว
ตามจริงถ้าเป็นเวลานี้ผมคงจะอยู่บนฟูกในห้องนอนแต่เหตุผลที่ผมพยายามยืดเวลาการอยู่กับป้าเพราะผมไม่อยากใช้เวลาร่วมกับคนตัวสูงอย่างชานยอลในห้องเงียบๆสักเท่าไหร่นัก
“แบคฮยอน” ป้านาบีเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่นานๆครั้งจะได้ยิน
ท่านจับมือเป็นเชิงให้ผมเลิกนวดขาก่อนจะมองมาด้วยสายตาที่อ่อนแสงลง “ป้าไม่รู้นะว่าจริงๆแล้วเรากำลังปิดบังอะไรป้าอยู่หรือเปล่า
แต่การที่เรามีแผลกลับมาหาป้าแบบนี้ มันทำให้ป้าคิด”
“…”
“ป้าไม่ได้เชื่อว่าเราไปแยกนักเรียนตีกันจริงๆหรอกนะ
บางทีสิ่งที่เรากำลังทำมันอาจทำให้เราเหนื่อยและเจ็บเกินกว่าที่ป้าจะรู้ได้”
ผมเลื่อนตัวลงไปนอนที่ตักอุ่นๆ ปล่อยให้ป้าลูบหัวไปเรื่อยๆและตั้งใจฟังสิ่งที่ท่านกำลังจะพูด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมีร่องรอยของการบาดเจ็บให้ป้าได้เห็น
แต่ผมไม่อยากให้ป้ารู้ว่าผมทำงานให้กับสตาส ผมไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง
แต่ความลับนั้นเป็นสิ่งที่เก็บรักษาได้ยากยิ่งกว่าเงินทองและชื่อเสียง สักวันหนึ่งป้าผมอาจจะรู้ในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่แต่อย่างน้อยมันก็ยังไม่ใช่ในเวลานี้
“แต่ป้าเชื่อนะว่าสิ่งที่หลานของป้ากำลังทำอยู่จะต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน”
ผมยิ้มให้กับป้าเช่นเดียวกับที่ป้าก็ยิ้มให้ผม ฝ่ามือหยาบกร้านตามประสาหญิงวัยกลางคนยังคงลูบหัวผมด้วยความรัก
“แบคฮยอนรู้ไหมว่าทำไมพระเจ้าถึงให้เราเกิดมา” ผมส่ายหัวพร้อมรอคำตอบ
ป้านาบียิ้มอย่างอ่อนโยนให้ผมอีกหนึ่งครั้งก่อนที่น้ำเสียงใจดีจะกล่าวต่อ “เพราะพระองค์รู้ว่าเราเข้มแข็งพอที่จะมีชีวิตอยู่ไงล่ะลูก”
“…”
“ไม่ว่าเรากำลังเจอกับปัญหาอะไรที่บอกป้าไม่ได้
แต่ป้าก็อยากให้เราเข้มแข็งและสู้มันนะ ป้าเชื่อว่าลูกหมาของป้าทำได้”
ผมยิ้มรับ ความอบอุ่นจากฝ่ามือและคำสอนแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ
ผมหยัดกายขึ้นนั่งก่อนจะกอดป้านาบีเอาไว้ การที่ผมมีป้าทำให้ผมรู้ว่าจุดมุ่งหมายบางอย่างเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่เราทำเพื่อคนที่เรารักและผมพร้อมจะทำงานหนักเพียงเพื่อให้เลี้ยงดูป้าของผมได้
ครอบครัวที่ปราศจากความเข้าใจและความรัก สิ่งนั้นไม่ใช่ครอบครัว และผมอยากจะขอบคุณป้าของผมสักล้านครั้งที่ทำให้ผมเข้าใจคำว่าครอบครัวได้อย่างลึกซึ้ง
“พรุ่งนี้ไปโรงบาลใช่ไหมลูก?” ป้านาบีเอ่ยถามหลังจากที่ผมกอดท่านจนพอใจแล้ว
พรุ่งนี้ผมต้องไปตรวจอาการเกี่ยวกับอาการกลัวฟ้าร้องที่เป็นอยู่
ซึ่งนั่นก็คืออีกจุดประสงค์ที่ทำให้ผมต้องกลับมายังบ้านเกิด
“ครับ”
“ไปกับชานยอลใช่ไหม?” ผมเกือบจะตอบว่าไม่
แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ได้ทันเมื่อสบเข้ากับตาเรียวของผู้เป็นป้า
ผมพยักหน้าน้อยๆอย่างเสียไม่ได้ ถ้าผมไม่พาชานยอลไปด้วย
ป้าอาจจะสงสัยเป็นแน่ว่าผมพาเขามาด้วยทำไม “วันนี้ป้าได้คุยกับชานยอลเกี่ยวกับเราด้วยนะ
ป้าเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นจะดูแลเราได้”
ความสงสัยเกิดขึ้นทันทีหลังจากป้านาบีบอกผมแบบนั้น
ผมไม่รู้ว่าชานยอลคุยอะไรกับป้าไปบ้างท่านจึงได้ไว้ใจและคิดว่าชานยอลดีพร้อมที่จะดูแลผมได้แบบนั้นแต่ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากถามป้านาบีก็ชิงพูดเสียก่อน
“สร้อยเราหายไปไหนซะล่ะ?”
เสื้อกล้ามที่ผมสวมใส่อยู่ทำให้ป้าสังเกตเห็นว่าลำคอของผมนั้นว่างเปล่าไร้สร้อยรูปแม่กุญแจอย่างที่ควรจะเป็น
ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเสียดาย
“คือ...ผมทำหายอ่ะ ไม่รู้ว่าหายที่ไหน ผมหาจนทั่วแล้วแต่ก็ไม่เจอ” หน้าหงอยๆของผมคงทำให้ป้าเอ็นดูจนต้องลูบหัวผมอีกครั้งคล้ายการปลอบประโลม
“โถพ่อคุณ ไม่เป็นไรหรอกนะ ป้าก็แค่เสียดายเห็นเราใส่มาตั้งแต่เล็ก”
“ผมก็เสียดายพ่อกับแม่อุตส่าห์ให้ผมไว้แท้ๆ”
“ใครบอกเราว่าพ่อกับแม่ซื้อให้น่ะหือ?” ผมสบตากับป้านาบี
รู้สึกได้ว่าคิ้วเริ่มที่จะขมวดเข้าหากันอย่างห้ามไม่อยู่
“อ้าว ไม่ใช่เหรอครับ?”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ”
“แล้วใครให้ล่ะครับ ป้าเหรอ?”
ป้านาบียิ้มขำก่อนที่จะส่ายหัวน้อยๆ ท่านขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งก่อนที่จะไขข้อข้องใจ
และเรื่องราวที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนก็ถูกถ่ายทอดออกจากริมฝีปากของท่านช้าๆ
“ตอนที่เรายังเด็ก ครอบครัวเราสนิทกับบ้านข้างๆมาก
เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือกันตลอดจนแทบจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว” ป้านาบียิ้มเล็กน้อยคล้ายว่าความสุขในช่วงเวลานั้นได้ฉายชัดอยู่ในจิตสำนึก “แล้วลูกหมาของป้าก็ติดลูกของคนบ้านนั้นมากๆ ไปเล่นกับเขาทุกวัน
อะไรๆก็ร้องหาแต่พี่เขา”
“…”
“แล้วไอ้สร้อยเส้นนั้นน่ะ
ถ้าป้าจำไม่ผิดเหมือนลูกคนเล็กของบ้านนั้นจะซื้อให้ ใส่เป็นคู่กันด้วยนะ ป้ายังคิดอยู่เลยว่าถ้าเราเป็นผู้หญิง
คงถูกจองตัวไว้ให้ลูกชายเขาไปแล้ว”
ผมแทบไม่อยากเชื่อกับเรื่องที่ได้ยินในตอนนี้
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเข้าใจผิดมาตลอดเลยเหรอเนี่ย ?
“งั้นหมายความว่าคนที่ป้าพูดถึงก็มีสร้อยเหมือนผมเหรอครับ”
“ป้าก็จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ ผ่านมาตั้งสิบกว่าปีแล้วนะ”
“นี่ผมเข้าใจว่าพ่อกับแม่เป็นคนให้มาตลอดเลยนะเนี่ย” ผมแสร้งตีหน้าบึ้งให้ป้ารู้ว่าผมงอนที่ป้าไม่เคยพูดถึงสร้อยเส้นนั้นเลยสักครั้ง
ป้านาบีขยี้หัวผมอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนที่ผมจะถามต่อ “แล้วป้าจำได้ไหมว่าเขาชื่ออะไร?”
“ก็--” ผมเงียบรอฟังคำตอบ
แต่เหมือนว่าป้าจะชะงักไปในเสี้ยววินาทีก่อนที่จะส่ายหัวและคำตอบที่ได้รับก็ทำให้ผมผิดหวังเล็กน้อย “คนแก่ๆอย่างป้าจะไปจำได้ยังไงล่ะ”
“แล้วทำไมผมถึงจำไม่ได้เลยล่ะครับ ผมก็ยังไม่แก่สักหน่อย”
“ตอนนั้นเราเพิ่งจะสี่ห้าขวบเอง จำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกลูก
อยู่ด้วยกันไม่กี่ปีครอบครัวนั้นก็ย้ายบ้านไปก่อนที่เราจะรู้เรื่องซะอีก” ป้านาบีใช้นิ้วชี้จิ้มคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของผมให้คลายออก “ช่างมันเถอะลูก ของมันหายไปแล้วก็ให้มันหายไป ตอนนี้ไปนอนได้แล้วล่ะ
เดี๋ยวจะดึกซะก่อน”
ผมพยักหน้ารับก่อนจะหอมแก้มท่านแล้วบอกราตรีสวัสดิ์
ความจริงที่ผมเพิ่งรู้ในวันนี้ทำให้ผมตกใจไม่น้อย
สร้อยที่ผมใช้มันฝ่าความกลัวจากเสียงฟ้าร้องและอยู่กับผมมาตั้งแต่เด็ก
ไม่ใช่พ่อและแม่ที่ซื้อให้อย่างที่ผมเคยคิดมาตลอดแต่กลับเป็นพี่ชายข้างบ้านที่ผมจำไม่ได้แม้แต่ชื่อเลยด้วยซ้ำ
ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นใคร ผมก็อยากจะพบกับเขา
แม้เพียงครั้งเดียวก็ยังดี
.....
บยอน แบคฮยอน
คือคนที่หัวรั้นและดื้อที่สุดเท่าที่ชานยอลเคยเจอ
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนข้างกายเป็นดังสัญญาณบอกให้รู้ว่าคนตัวเล็กเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
ทั้งๆที่ชานยอลเข้านอนก่อนแต่กลับกลายเป็นเขาซะเองที่ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้
เสียงขยับกายครั้งที่สี่จากแบคฮยอนเรียกให้คนตัวสูงลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด
แต่แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากบานหน้าต่างทำให้เห็นคนตัวเล็กที่นอนขดตัวอยู่บนฟูกได้อย่างถนัดตา
เสื้อกล้ามสีเทาที่แบคฮยอนสวมใส่เลิกขึ้นมาจนเกือบถึงแผ่นอก
ชานยอลส่ายหัวให้กับการนอนดิ้นของคนตัวเล็กก่อนจะส่งมือของตัวเองไปดึงเสื้อให้กลับมาคลุมหน้าท้องขาวตามเดิม
แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่เขาสังเกตเห็นรอยอะไรบางอย่างที่เอวของแบคฮยอนก็ทำให้คนตัวสูงต้องขยับตัวเข้าไปใกล้คนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องราวด้วยความสงสัย
นิ้วยาวแตะลงบนผิวเนื้อนิ่มก่อนจะไล้ไปตามรอยปริศนา
เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ได้รู้ว่ารอยที่ว่านั้นมันคือรอยสัก เขาพยายามหรี่ดวงตาสีน้ำตาลคู่คมเพื่อเพ่งอ่านข้อความของรอยสักนั้นแต่ด้วยแสงสว่างที่ไม่เพียงพอจึงทำให้คนตัวสูงไม่สามารถอ่านออกได้
แม้ในตอนนี้ชานยอลจะยังไม่สามารถรู้ได้ว่ารอยสักนั้นอ่านว่าอะไรแต่เขาก็มั่นใจว่าเขายังมีเวลามากพอที่จะสำรวจและเก็บเกี่ยวตัวตนของแบคฮยอน
ชานยอลคิดว่าเขามีเวลามากพอ อย่างน้อยก็ทั้งคืน
ผ้าห่มผืนหนาถูกคลุมทับร่างเล็กอย่างแผ่วเบาจากคนตัวสูง
เขาแค่ต้องการทำทุกอย่างให้เงียบและเบาที่สุด
เขาไม่อยากให้คนตัวเล็กที่หลับสนิทต้องตื่นขึ้นมาในเวลานี้
บูชอน คือชื่อของเมืองๆหนึ่งในจังหวัดคยองกีและเป็นบ้านเกิดของแบคฮยอนอย่างที่ทุกคนรู้
แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนยังไม่รู้คือมันไม่ได้เป็นเพียงแค่บ้านเกิดของแบคฮยอน
แต่เป็นบ้านเกิดของชานยอลด้วย
“อือ...”
เสียงครางอย่างคนหลับลึกของคนตัวเล็กทำให้คนตัวสูงกระตุกยิ้ม ดวงตาเรียวที่ปกติจะต้องมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์
ไหนจะจมูกโด่งได้รูปที่ชอบเชิดใส่เขากับแก้มกลมๆนั่น
ทุกองค์ประกอบที่รวมกันเป็นแบคฮยอนนั้นทำให้ชานยอลต้องยอมรับว่าร่างเล็กคงเหมาะกับคำว่าจิ้มลิ้มที่สุดแล้ว
ใช่ จิ้มลิ้ม
บยอนแบคฮยอนเป็นคนดื้อและอวดดีที่จิ้มลิ้มที่สุดเท่าที่ชานยอลเคยพบเจอ
ลมหายใจเข้าออกที่ทำให้แผ่นอกขยับขึ้นลงบอกให้ชานยอลรู้ว่าแบคฮยอนนั้นหลับสบายมากแค่ไหน
ริมฝีปากที่เผยอออกเพื่อหายใจของคนตัวเล็กทำให้ชานยอลเกิดความสงสัย
ชานยอลเพียงแค่อยากรู้
ว่าริมฝีปากของแบคฮยอนจะนิ่มเหมือนเช่นตอนเด็กอย่างที่เขาเคยสัมผัสหรือเปล่านะ?
หรือบางที...มันอาจจะนิ่มมากกว่าเดิม
ไม่มีความจำเป็นใดที่จะเขาต้องรีบร้อนในการค้นหาคำตอบ
อย่างที่บอกไว้แล้วว่าชานยอลยังคงมีเวลาอีกมากที่จะสำรวจคนตัวเล็ก
มากพอที่จะทำให้เขาอ่านความคิดของแบคฮยอนออกจนทะลุปรุโปร่ง
ชานแบคนี่มันแฟนฉันบ่หนิ
เอสคือใคร -_-
ไนท์แมร์คนสุดท้ายจะเล่นตัวอีกนานไหม -_-
มีแต่คำถาม เอาเป็นว่าไม่ได้มีคนตายแค่ฮโยยอน ไม่ได้มีแค่สองและสาม...อาจจะเป็นเราเองที่ตาย ไม่มีอะไร55555555555
และนี่คือนักเกตไก่ข้าวโพด ไป ไปหาอะไรกินกัน !
#ficsee2b
Up : 01/03/2015
ความคิดเห็น