ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] See through B's trick (chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #15 : - CH 11 : blaze -

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.9K
      34
      7 ก.พ. 59

    chapter 11
     
     

      

    Feels like nobody ever loved me until you loved me

    เหมือนกับว่าไม่เคยมีใครรักผมมาก่อน จนกระทั่งคุณนั้นรักผม

    …..

     

                สายลมในวันนี้สดชื่นมากพอที่จะทำให้เกิดรอยยิ้มเล็กๆได้ ยามที่มันพัดผ่านกระทบผิวเนื้อ ความรู้สึกผ่อนคลายก็แล่นไปทั่วทั้งร่าง สิ่งที่ธรรมชาติสร้างมักเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ หากคุณอยู่ชานเมืองหรือชนบท คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้เป็นเรื่องธรรมดาที่สัมผัสได้ในทุกวัน แต่สำหรับผมที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง การได้ออกมารับธรรมชาติแบบนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่งในชีวิต

     

                แสงแดดอ่อนๆ ท้องฟ้าที่มีก้อนเมฆอวบอ้วนรวมทั้งสายลมที่คล้ายว่าจะเย็นเยียบแต่กลับแฝงไปด้วยความอบอุ่น ทั้งหมดนี้ ผมไม่สามารถสัมผัสมันได้ในกรุงโซล

     

                “ถ้าป้าฉันถามอะไรก็ให้เงียบไม่ต้องตอบ เข้าใจใช่ไหม?”

     

                ผมหันไปพูดกับคนตัวสูงข้างกาย  เรือนผมสีไวน์องุ่นปลิวไปตามแรงลมที่พัดผ่าน แสงแดดที่ตกกระทบผิวกายยิ่งเสริมให้เขาดูโดดเด่น ชานยอลใช้นิ้วยาวเกี่ยวแว่นกันแดดสีชาออกจากกรอบหน้าก่อนจะหันมายักคิ้วใส่ผมแล้วเช็คออดี้สีดำที่ใช้ขับมาจากโซลอีกครั้งว่าล็อคดีแล้วหรือไม่

     

                “แล้วก็อย่าทำพิรุธให้ป้ารู้ล่ะว่านายไม่ใช่เพื่อนฉันอ่ะ

     

                 ชานยอลพยักหน้าส่งๆก่อนจะเก็บกุญแจรถใส่กระเป๋ากางเกง ผมบิดหลังคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งรถเป็นเวลานาน บ้านของผมในบูชอนนั้นเป็นหมู่บ้านที่ยังคงยึดหลักการสร้างอย่างในอดีตจึงทำให้ไม่มีพื้นที่มากพอที่จะจอดรถยนต์ภายในบ้าน ด้วยเหตุผลนี้ ชานยอลจึงต้องจอดรถของเขาไว้นอกตัวบ้านแทน

     

                  เบื้องหน้าของเราสองคนคือบ้านสไตล์เกาหลีโบราณขนาดกลาง ปาร์คชานยอลมองดูกำแพงบ้านและบรรยากาศโดยรอบอย่างใคร่รู้ ส่วนผม คนที่เคยประกาศอย่างหนักแน่นว่าถ้ายอมให้ชานยอลมาเจอกับป้าของตัวเองมันคงกลายเป็นเรื่องบ้าที่สุดในรอบปีคนนี้ก็ทำเพียงแค่ยืนหายใจอยู่ข้างๆเขา

     

                ครับ...

     

                พวกคุณเข้าใจไม่ผิดหรอก ผมพาชานยอลมาบ้านเกิดของตัวเอง

     

                เรื่องบ้าที่สุดในรอบปีเกิดขึ้นกับบยอน แบคฮยอนคนนี้แล้ว

     

                ผมคิดว่าคุณคงนึกออกว่าผมได้ค้านหัวชนฝาว่าจะไม่ยอมให้เขามาด้วย แต่ชานยอลก็ยังคงเป็นคนที่มีคำพูดทำลายความดื้อรั้นของผมได้อย่างดีเยี่ยม เสียงทุ้มนุ่มของเขาในวันนั้นเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ แต่เนื้อหาของประโยคกลับทำให้ผมต้องยอมแพ้อย่างไม่อยากยอมรับ

     

                นายจะไม่ให้ฉันไปด้วยก็ได้นะ แต่ก็ลองคิดดูว่าถ้าฉันไปหาป้านายด้วยตัวเองล่ะก็มันจะเกิดอะไรขึ้น

     

                คำพูดแสนธรรมดา น้ำเสียงแสนนิ่งเฉยแต่กลับมีอิทธิพลจนทำให้ผมต้องยอมแพ้ ผมรู้ว่าถ้าชานยอลคิดที่จะสืบหาบ้านเกิดของผมมันก็คงไม่ใช่เรื่องยากนักและผมคงไม่ยอมให้คนที่เคยขู่ว่าจะฆ่าป้ามาหาท่านโดยลำพังอย่างแน่นอน

     

                “อย่าพูดอะไรถ้าฉันไม่บอกให้พูด แล้วก็เลิกเก๊กสักที เดี๋ยวป้าก็สงสัยหรอก

     

                “จะยืนพูดอยู่ตรงนี้ใช่ไหมจะได้หาที่นั่งรอ

     

                ชานยอลเลิกคิ้วถามพร้อมโยนกระเป๋าเป้ที่ใส่สัมภาระมาให้ ผมรีบยื่นแขนออกไปรับแล้วพ่นลมหายใจแรงๆ ผมก็แค่อยากให้ชานยอลรับปากว่าเขาจะทำอย่างที่เราตกลงกันไว้ ผมไม่เคยพาใครมาที่นี่นอกจากหัวหน้าอี้ฝาน แม้ว่าป้าของผมจะไม่ใช่คนช่างสงสัย แต่การที่ผมพาคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยถึงเข้าบ้านแบบนี้ท่านก็คงจะรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

     

                ผมก็แค่ไม่อยากให้ป้ารู้ว่าผมกำลังพาวายร้ายเข้าบ้าน

     

                ผมเลิกสนใจชานยอลก่อนจะเดินนำไปยังบานประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม ผมเคาะมันดังๆสามครั้ง ไม่ถึงนาทีบานประตูก็เปิดออก สิ่งที่ผมเห็นเป็นลำดับแรกก็คือดวงตาเรียวเล็กของหญิงวัยกลางคนที่ยังคงความอ่อนโยนไว้เสมอ

     

                ดวงตาที่เหมือนกับแม่ของผมไม่มีผิดเพี้ยน

     

                “สวัสดีครับป้า~”

     

                “มาแล้วเหรอลูก มาๆ เข้ามาในบ้านก่อน ป้านาบียิ้มกว้างอย่างดีใจที่เห็นผมก่อนจะเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อให้ผมและชานยอลเข้าไปข้างใน

     

                เมื่อพ้นเขตประตูผมก็สวมกอดป้านาบีอย่างเต็มรัก ท่านดูจะตกใจที่ถูกผมจู่โจม สำหรับผม ป้านาบีไม่ได้เป็นเพียงแค่ป้าแต่ท่านคือแม่คนที่สอง ท่านคือแม่ที่รักและเลี้ยงดูผมให้เติบโตขึ้นอย่างอบอุ่น ทุกความรู้สึกของผมที่ขาดหายไปนั้นได้ถูกป้านาบีเติมเต็มจนทำให้ผมไม่เคยรู้สึกด้อยไปกว่าครอบครัวอื่นที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เพียงแค่ผมมีผู้หญิงคนนี้ ก็เหมือนกับว่าผมได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์แล้ว

     

                ผมไม่เคยคิดโทษโชคชะตาที่ทำให้ผมต้องกลายเป็นคนที่ขาดพ่อแม่หรือที่เพื่อนในสมัยเด็กล้อผมบ่อยๆว่าเป็นไอ้ลูกกำพร้า เพราะผมรู้ดีว่าอย่างน้อยผมก็เกิดมาจากความรัก

     

                ผมเรียนรู้จากป้าว่าครอบครัวที่อบอุ่นไม่ใช่ครอบครัวที่มีจำนวนสมาชิกในบ้านมากมาย ไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยหรือใช้ชีวิตอย่างหรูหรา แต่เป็นครอบครัวที่ทุกคนภายในบ้านไม่เคยปล่อยมือกันแม้จะเจอกับปัญหาร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม

     

                และป้านาบีไม่เคยปล่อยมือจากผมเลยสักครั้ง

     

                ท่านไม่ได้เพียงแค่จับมือผมไว้แต่ป้ายังสวมกอดผมเอาไว้ด้วย

     

                อย่างที่ผมเคยพูดไว้ว่าความห่วงใยใดๆก็ไม่อาจเทียบเท่าได้กับความห่วงใยจากครอบครัวและอ้อมกอดใดๆก็ไม่อาจอบอุ่นเท่ากับอ้อมกอดจากคนภายในครอบครัวเช่นกัน

     

                “คิดถึงจังเลยยยยย” ผมว่าอย่างออดอ้อนพร้อมกับหอมแก้มของผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดดังฟอด ป้านาบีหัวเราะให้กับความทะเล้นของผมก่อนที่จะผละออกจากอ้อมแขนเพราะเห็นมนุษย์ตัวสูงที่ยืนมองพวกเราอยู่ 

     

                “เพื่อนไอ้หมามันเหรอลูก?”

     

                ชานยอลโค้งทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนจะทำเพียงยิ้มรับแล้วตอบเบาๆว่า “ครับ” ผมรีบประคองป้าให้เดินเข้าไปในตัวบ้านก่อนที่ท่านจะถามชานยอลไปมากกว่านี้ ผมหันหลังไปมองคนตัวสูงที่เดินตามมาอย่างพึงพอใจที่เขาพูดเพียงสั้นๆและไม่ต่อบทสนทนากับป้าผม แต่ท่าทางการเดินอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวและริมฝีปากหยักที่เปล่งออกมาอย่างไม่มีเสียงนั้นทำให้ผมแทบจะเก็บความรู้สึกดีๆเมื่อครู่นี้ทิ้งไป

     

                 ไอ้หมา...

     

    ผมชูหมัดใส่ชานยอลเป็นการคาดโทษก่อนที่จะหันหลังให้ คิดไว้แล้วว่าถ้าเขาได้ยินชื่อที่ป้าใช้เรียกผมจะต้องโดนล้อแน่ๆ นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมคาดเดาจากคนอย่างชานยอลได้ก็คือความกวนประสาทของเขานั่นแหละ ! 

     

                “ชื่ออะไรน่ะเรา

     

                “ปาร์ค ชานยอลครับ

     

                ทันทีที่เข้ามาในบ้านและวางกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ป้านาบีก็หันไปให้ความสนใจกับชานยอลทันที น้ำเสียงสุภาพที่ผมเพิ่งเคยได้ยินจากปากของเขาทำให้ผมชะงัก ผมไม่คิดมาก่อนว่าวายร้ายอย่างเขาจะมีท่าทีอ่อนน้อมได้มากขนาดนี้ ราวกับว่าเขาเป็นคนละคนกับที่เคยขู่ว่าจะฆ่าป้าของผมเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน

     

                หรือบางทีชานยอลอาจจะเป็นคนหลายบุคลิก สุภาพเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ควรเคารพ เป็นตัวร้ายเมื่ออยู่กับพวกไนท์แมร์และเป็นคนกวนประสาทหน้าตายเมื่ออยู่กับผม

     

                ผมเรียนรู้ตัวตนของคนตรงหน้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งข้อว่าเขามีความหลากหลายในตัวเองและคงมีอีกหลายแง่มุมนักที่ผมยังไม่เคยได้เห็น

     

                “ปาร์คชานยอล? เอ... ป้าว่าป้าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนนา

     

                ป้านาบีทำท่าครุ่นคิดหลังจากที่ทราบชื่อของคนตัวสูงในขณะที่ผมได้แต่นึกในใจว่าปาร์คชานยอลคงจะเป็นชื่อที่โหลน่าดู แต่เพียงแค่ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นหันมาสบเข้ากับดวงตาของผมความสงสัยทั้งหมดก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจในทันที

     

                “ไอ้หมา หน้าเราไปโดนอะไรมาเนี่ยหือ?”

     

                ผมกลืนน้ำลายเมื่อป้าถามถึงรอยฟกช้ำบนใบหน้าที่พวกไนท์แมร์ฝากเอาไว้ แม้ว่ามันจะเจ็บน้อยลงแล้วแต่ระยะเวลาเพียงไม่กี่วันก็ไม่สามารถทำให้รอยแผลหายไปได้

     

                “คือ...เอ่อ...ผมไปช่วยห้ามพวกนักเรียนที่ตีกันน่ะครับก็เลยโดนลูกหลง ใช่ไหมชานยอล?”

     

                “อะ...อ่อ ครับ

     

                ชานยอลที่กำลังมองผมด้วยสีหน้านิ่งเฉยพยักหน้ารับคำอย่างตั้งตัวไม่ทัน ป้านาบีถอนหายใจเบาๆก่อนจะเดินเข้ามาจับคางของผมแล้วพลิกซ้ายพลิกขวาสำรวจ

     

                “เรานี่มันก็จริงๆเลยนะ หาเรื่องตลอด ดูซิ หน้าเนียนๆเป็นแผลไปหมดเลยผมหัวเราะแหะๆก่อนที่ป้าจะปล่อยใบหน้าของผมให้เป็นอิสระ “ตอนคบกับอี้ฝานก็เจ็บตัวบ่อยๆจนคนอื่นเป็นห่วงกันไปหมด จนมาคบกับชานยอลแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนอีกเหรอลูก

     

                ผมนิ่งพร้อมกับกะพริบตาปริบๆเป็นการประมวลผลกับสิ่งที่ป้าพูด คบ? คบกับชานยอล?

     

                เดี๋ยวนะ...

     

                นี่ป้าของผมเข้าใจอะไรผิดไปแล้ววะเนี่ย!

     

                “ไม่ใช่นะป้า ผมกับชานยอลไม่ได้คบกันอย่างที่ป้าคิดนะ!”

     

                ผมหันไปหาคนตัวสูงที่กำลังถอดแจ็คเก็ตหนังออกจากกายเพราะอากาศในบ้านอบอ้าวกว่าข้างนอก แต่ชานยอลกลับทำเป็นเมินสายตาของผมแล้วไม่ปริปากพูดอะไรทั้งสิ้น

     

                “ไม่ต้องเขินป้าหรอกน่า แรกๆที่คบกับอี้ฝานก็ไม่กล้ายอมรับแบบนี้ เราน่ะโกหกป้าไม่ได้หรอก ปกติเคยพาใครมาบ้านที่ไหนกันล่ะ ใช่ไหมจ๊ะ ชานยอล?”

     

                “ครับ

     

                เสียงทุ้มนั่นทำเอาผมแทบจะวิ่งไปตั๊นหน้าเขาสักสองสามที ครับ? ครับอะไร? ทำไมไม่ช่วยกันแก้ตัวล่ะวะ!

     

                “ป้ากำลังเข้าใจผิดนะ จริงๆแล้วผมกับชา—”

     

                “พอเถอะลูก เขินจนแก้มแดงไปถึงหูแล้วรู้ตัวรึเปล่า?” ผมรีบเอามือมาจับใบหูของตัวเองด้วยความลืมตัว ภาพของชานยอลที่อมยิ้มพร้อมกับหัวเราะในลำคอทำให้ผมแทบจะดิ้นตายซะตรงนี้ นี่ผมแก้มแดงเหรอ? บ้าน่า มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง

     

    หูผมแดงเพราะในบ้านมันร้อนต่างหาก” ป้านาบียิ้มขำก่อนจะส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจนัก ก็มันร้อนจริงๆนี่ ผมบอกคุณไปแล้วใช่ไหมว่าอากาศในบ้านมันอบอ้าวกว่าข้างนอก

     

    ไปๆ เอาของไปเก็บแล้วก็ไปอาบน้ำซะ เมื่อกี๊ตอนกอดป้าตัวนี่เหนียวหนึบเลย ยังไม่ได้กินอะไรกันมาใช่ไหม? ป้าจะได้ทำกับข้าวไว้รอ

     

                ชานยอลโค้งศีรษะให้ป้าก่อนจะเข้ามาคว้าแขนผมไว้แล้วลากให้เดินไปด้วยกัน พอพ้นสายตาจากป้าแล้วผมจึงดึงแขนตัวเองกลับ เราเดินไปตามทางเดินเงียบๆพร้อมกับความคุกรุ่นในใจของผมจนกระทั่งผมหยุดลงที่หน้าประตูห้องนอน ผมมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์นักก่อนที่จะเดินเข้าห้องพร้อมกับทำสัญญาณให้ชานยอลตามเข้ามาและผมคงต้องทำใจเพราะคืนนี้คงต้องนอนห้องเดียวกับเขา เนื่องจากบ้านหลังนี้มีเพียงไม่กี่ห้องและป้าของผมได้ใช้ห้องอื่นทำเป็นห้องเก็บของไปจนหมดแล้ว

     

                   “ทำไมนายไม่ช่วยฉันแก้ตัวห้ะ? เห็นไหมว่าป้าฉันเข้าใจผิดไปถึงไหนแล้ว!”

     

    ผมโวยวายทันทีที่บานประตูถูกเลื่อนปิดลง เป็นครั้งแรกที่ผมต้องโวยวายเสียงเบาขนาดนี้เพราะผนังของบ้านเกาหลีโบราณนั้นไม่เก็บเสียงเท่าไรนัก ผมกลัวว่าป้าอาจจะได้ยินบทสนทนาของเราแล้วจะไม่สบายใจเอาได้

     

                “ก็นายสั่งฉันไว้นี่ว่าไม่ให้พูด ฉันก็ทำให้แล้วนี่ไง” ชานยอลว่าหน้านิ่งพร้อมกับสำรวจห้องอย่างช้าๆ เขาหยุดมองที่ฟูกนอนสองผืนบนพื้นก่อนจะละความสนใจไปที่บานหน้าต่างแทน

     

                “แต่นายก็ควรรู้สิว่าตอนไหนควรจะพูดและตอนไหนควรจะเงียบ

     

                “โทษที ฉันไม่รู้

     

                หากผมเป็นแค่ตัวละครในการ์ตูนญี่ปุ่นผมคงพ่นไฟใส่หน้าชานยอลไปแล้ว ผมกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายในท่าทีเมินเฉยของเขา ผมไม่ได้เขินอายที่ป้าจะเข้าใจผิดว่าผมกับชานยอลเป็นแฟ-- ไม่ ผมจะไม่พูดคำนั้น โอเค ป้าอาจจะเข้าใจผิดว่าผมกำลังคบกับชานยอลและผมเองก็เป็นผู้ชายที่ไม่จำเป็นจะต้องใจสั่นกับการเข้าใจผิดนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมคือความไม่สบายใจ ป้านาบีจะคิดว่าผมคบใครอยู่ก็ได้ ยกเว้นปาร์คชานยอลคนนี้

     

                คนที่เป็นดังเส้นขนานกับผม คนที่ไม่ใช่มิตรแท้ แต่เป็นศัตรูถาวร

     

              ผมเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าชานยอลไม่ใช่มิตรและคงไม่มีวันที่เราจะสนิทใจต่อกันได้

     

                สตาสกับไนท์แมร์ นี่คือสิ่งที่ผมและชานยอลเป็น

     

                “ไม่ดีรึไงที่ป้านายเข้าใจแบบนั้น จะไม่ได้ต้องสงสัยว่าเราเป็นอะไรกัน

     

                “จะให้ป้าคิดว่าเรารักกันอย่างนั้นน่ะเหรอ?”

     

                “แล้วไง? แสดงออกว่ารักกันแค่สามวัน พอกลับไปแล้วจะเอามีดมาแทงกันมันก็ยังไม่สาย

     

                ผมถอนหายใจให้กับการประชดของชานยอลแล้วตัดสินใจจบการสนทนาไว้แค่นี้ ผมหันไปสนใจกับสัมภาระของตัวเองก่อนจะออกจากห้องเพื่อไปอาบน้ำ ทิ้งให้คนตัวสูงเดินสำรวจห้องไปแบบนั้น

     

                เมื่อผมกลับเข้าห้องมาอีกครั้งก็พบว่าชานยอลไม่อยู่แล้ว เสื้อกล้ามที่ผมใส่และสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้รู้สึกสบายและอารมณ์ดีมากขึ้น เครื่องปรับอากาศแทบไม่มีความจำเป็นสำหรับที่นี่และมันเป็นอีกหนึ่งข้อดีที่ไม่มีในกรุงโซล

     

                ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คก่อนจะพบว่ามีไลน์เข้าทั้งจากคนในทีมและเทา ผมตอบเทาที่ถามว่าผมถึงบ้านป้าหรือยังก่อนจะส่ายหัวให้กับความขี้เล่นที่น้องชายส่งเข้ามา

     

                      14:15 ป้านาบีสบายดีไหมพี่?

     

    14:15 สบายดี นี่กำลังทำกับข้าวให้พี่กินอยู่ อิจฉาอ่ะดิ

     

                     14:15 คิดถึงกับข้าวฝีมือป้านาบีจังเลย

     

              พี่ที่อ้วนอยู่แล้วคงกลายเป็นหมูแน่ๆ

                    

    14:16 เคยโดนหมูกระโดดถีบไหม?

     

                ผมกดส่งข้อความก่อนจะเปิดดูแชทจากคนอื่น ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนกระทั่งอายุสิบขวบที่ป้านาบีตัดสินใจพาผมไปใช้ชีวิตในโซลเพราะไม่ต้องการให้ผมอยู่ในสถานที่เดิมๆ เมืองเดิมๆที่ทำให้คิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายของพ่อและแม่ เมื่อผมได้รู้จักกับเทา มันจึงไม่แปลกเลยที่ป้าของผมจะรู้จักเทาไปด้วย แต่เมื่อผมขึ้นมัธยมปลายป้าก็ตัดสินใจที่จะกลับบูชอนอีกครั้งและผมที่เติบโตอย่างเข้มแข็งพอจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในกรุงโซลคนเดียวต่อไป

     

                ป้าอาจจะคิดว่าผมคงจะเรียนจบแล้วเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยสักที่ แต่เปล่าเลย เพราะความฝันของผมได้มีไว้ให้กับสตาสนานแล้ว ตอนนั้นเองที่ข้อความจากหน้าจอเรียกสติของผมให้กลับเข้าสู่ปัจจุบัน

     

                 14:19 หัวหน้าอี้ฝานถามหามึงว่ะ

     

                 มึงยังไม่ติดต่อเขาไปเหรอวะ

     

    14:19 เออ กูลืม

     

                ผมตอบกลับข้อความของจงอินก่อนจะนึกย้อนกลับไปเมื่อวาน ผมได้ฝากบ้านที่โซลไว้กับเขาพร้อมกับขอให้เขานำเสื้อผ้าบางส่วนมาให้ ผมนัดเจอกับจงอินและเล่าเรื่องที่ถูกไนท์แมร์บุกรุกให้ฟัง จงอินรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวคือการที่ผมไปพักอยู่กับชานยอล แน่นอนว่าผมให้เขารู้ไม่ได้และผมจำเป็นต้องบอกเขาว่าช่วงนี้ผมจะไปอาศัยอยู่บ้านเพื่อน ทั้งที่จริงแล้วเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมมีก็คือคิมจงอินนั่นเอง

     

                ผมไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนไร้เพื่อน แต่อย่างที่คุณก็คงเข้าใจ คนเราสามารถมีเพื่อนได้เป็นร้อยเป็นพันแต่เพื่อนที่เราจะไว้ใจและวางใจซึ่งกันและกันได้นั้นมีไม่ถึงสิบคนหรอก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเพื่อนสนิทถึงได้แตกต่างจากเพื่อนทั่วไป

     

                 14:20 ระวังตัวแล้วกันนะมึงมีอะไรก็ติดต่อกูมา

     

             แต่ถ้ามึงตายก็อย่ามาหลอกกูล่ะ

     

                  14:20 กูขี้เกียจไปทำบุญ เปลือง

     

                และแน่นอนว่าเพื่อนที่เราสนิทที่สุด ก็มักจะกวนส้นตีนที่สุดเช่นกัน...

     

                ผมส่งสติ๊กเกอร์รูปนิ้วกลางให้จงอินรัวๆก่อนจะออกจากไลน์ หัวหน้าอี้ฝานโทรมาหาผมแปดมิสคอล แต่ในช่วงที่ผ่านมาผมไม่สามารถที่จะโทรกลับได้เพราะอยู่กับชานยอล ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าเราคุยอะไรกันบ้างทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องที่เกี่ยวกับสตาส

     

                -ถ้าว่างแล้วโทรหาพี่หน่อยนะแบคฮยอน-

     

              -พี่เป็นห่วงเรานะ-

     

              -แบคฮยอนเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมไม่รับสายพี่เลยล่ะ?-

     

    ผมอ่านข้อความจากหัวหน้าอี้ฝานก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะเตี้ยๆข้างฟูกนอนอย่างไม่ใส่ใจ

     

                ผมรู้ว่าหัวหน้าอี้ฝานเป็นห่วงผม มันเป็นความเป็นห่วงที่มากกว่าหัวหน้าและลูกทีม ผมรู้ว่านัยยะที่เขาต้องการจะสื่อคือการเป็นห่วงผมในเชิงใด

     

                กฎของการจากไป คืออย่ากลับมา ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่หัวหน้าอี้ฝานควรรู้

     

                และเป็นเพราะหัวหน้าอี้ฝานได้จากไปจากหัวใจของผมนานแล้ว ดังนั้นผมก็แค่อยากจะขอร้องเขาว่าได้โปรด

     

    อย่าพยายามที่จะกลับมาอีกเลย

     

     

                กลิ่นหอมๆของอะไรบางอย่างทำให้น้ำย่อยของผมทำงาน ผมทำจมูกฟุดฟิดเดินตามกลิ่นนั้นเข้าไปในห้องครัว ภาพที่ป้านาบีกำลังวุ่นวายอยู่หน้ากระทะทำให้ผมยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ ท่านเป็นแม่ครัวฝีมือดีที่รสมืออร่อยที่สุดสำหรับผม ผมที่คิดจะไปแกล้งให้ท่านตกใจตามประสาหลานจอมทะเล้นเป็นอันต้องหยุดชะงักเพียงแค่ได้เห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน

     

                เพราะภายในห้องครัวไม่ได้มีเพียงแค่แม่ครัวแต่กลับมีพ่อครัวเพิ่มมาอีกคนด้วย

     

                “ชานยอลนี่ทำกับข้าวเก่งเหมือนกันนะเนี่ย ไอ้หมาของป้าคงไม่อดตายแล้วล่ะ

     

                “แต่แบคฮยอนของป้ากินเก่งจะตาย ผมว่าเขาอาจจะอ้วนมากกว่าที่จะอดนะครับ

     

                “ฮ่าๆๆ ป้าก็คิดแบบนั้น ไอ้หมาอ้วนน่ะกินเยอะ ชานยอลคงต้องทนเอาหน่อยนะ

     

                เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย....

     

                เข้ากันเหมือนกับเสื้อสีเหลืองกับกางเกงสีฟ้าที่ผมใส่อยู่ในตอนนี้...

     

                ป้าของผมกับชานยอล...เข้าขากันสุดๆไปเลย พระเจ้า!

     

                ผมมองชานยอลที่ใส่ผ้ากันเปื้อนกำลังหยิบจับผักและอะไรอีกหลายอย่างขึ้นมาสับด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ไหนจะการวางตัวที่แสนสุภาพและการพูดจาที่เสริมให้บุคลิกของเขาดูเป็นผู้ชายแสนดีต่างจากปาร์คชานยอลที่ผมประสบอยู่ในทุกวัน

     

                เหอะ หมั่นไส้

     

                “น่ากินจังเลย ขอชิมหน่อยนะครับบบ

     

                ผมพูดเสียงดังแทรกบทสนทนาที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกราวกับว่าป้าจะฝากฝังให้ชานยอลดูแลผมยังไงยังงั้น ผมส่ายหัวให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะเดินไปฉวยเอานักเกตไก่ในจานมาเคี้ยวตุ้ยๆ

     

                “โหหหห อร่อยฝีมือป้าไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยอ่ะ

     

                ผมกล่าวชมอย่างใจจริงและนับถือฝีมือของป้าอย่างที่รู้สึกมาตลอด ท่านทำงานเป็นคนครีเอทเมนูให้กับร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมือง ท่านจึงต้องคิดสูตรอาหารใหม่ๆแทบทุกวันและแน่นอนรสชาติอาหารที่ป้าทำก็ไม่แพ้ความคิดสร้างสรรค์ของท่านเลย

     

                แม้ว่านักเกตไก่ข้าวโพดจานนี้จะอร่อยขนาดไหน แต่ก็ทำให้ผมอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะป้านาบีไม่ทำอาหารทอดให้ผมกินบ่อยนักด้วยเหตุผลที่ว่าน้ำมันนั้นทำให้อ้วน

     

                “จานนั้นฝีมือชานยอลจ้ะ

     

                “…” คำพูดของป้านาบีทำให้ปากของผมที่กำลังจะเคี้ยวชะงักลงทันที ผมคายออกไปตอนนี้ยังทันไหม

     

                “ชานยอลทำอาหารเก่งมากเลยนะลูก แถมยังพลิกแพลงเมนูได้อีกตั้งหลายอย่าง สงสัยคราวนี้ป้าคงได้คนมาช่วยคิดเมนูซะแล้วล่ะมั้ง

     

                ป้านาบีว่าก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ผมหันไปมองชานยอลที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว วินาทีนั้นเองที่ชานยอลกระตุกยิ้มคล้ายคนที่นึกเรื่องสนุกขึ้นมาได้

     

                “ฝีมือฉันอร่อยจริงเหรอ?”

     

                เหมือนผมจะเห็นเค้าลางของความซวยยังไงชอบกล

     

                “อือ

     

                “ไหนเอามาชิมบ้างซิ อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะอร่อยแค่ไหน

     

                “ก็เดินมาหยิบไปดิ” ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจ จานก็อยู่ใกล้ๆแค่นั้นเขาจะบอกผมทำไมกัน แต่เพียงแค่ประโยคต่อมาที่ป้านาบีพูดขึ้นก็ทำเอาผมแทบร้องไห้

     

                “มือชานยอลเขาเปื้อนอยู่นะลูก ไปป้อนเขาหน่อยไป

     

                นั่นไง...

     

                “เดี๋ยวตอนกินข้าวเขาก็ได้ชิมเองแหละครับป้า

     

                “ก็ไปป้อนเขาตอนนี้ป้าก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นอะไรเลยนี่

     

                ผมยืนนิ่งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่รอยยิ้มของป้าและการกดดันทางสายตาของชานยอลทำให้ผมต้องหยิบจานนักเกตแล้วก้าวเข้าไปหาเขาอย่างช่วยไม่ได้ ผมไม่อยากแสดงพิรุธมากนักว่าสถานะระหว่างผมกับชานยอลแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ที่ทำไปก็เพื่อความสบายใจเท่านั้น

     

                “อ้าปากดิ

     

                ผมพูดเสียงแข็ง เดาได้เลยว่าหน้าของผมตอนนี้คงฉายความเบื่อหน่ายออกมาอย่างชัดเจน ชานยอลยักคิ้วกวนประสาทใส่ผมทันทีเมื่อป้าของผมหันหลังไปแล้ว ให้ตายเถอะ เขานี่มันปีศาจชัดๆ!

     

                ชานยอลอ้าปากอย่างยียวน ผมหยิบนักเกตส่งใส่ปากเขาอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะพยายามยัดมันเข้าไปทั้งชิ้นเพื่อเป็นการแกล้งเขา

     

                ผมไม่รู้ว่ามันคือการแกล้งเขาหรือเป็นการแกล้งตัวเองกันแน่

     

               เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่นิ้วของผมสัมผัสเข้ากับความนุ่มหยุ่นจากริมฝีปากได้รูปของชานยอล ตอนนั้นเองที่คล้ายกับว่าผมถูกความรู้สึกประหลาดเล่นงานจนมีบางอย่างสั่นไหว

     

                “ก็อร่อยดี นายชอบแบบนี้เหรอ?”

     

               บางอย่าง...ที่ผมเรียกมันว่าหัวใจ

     

                “ไว้จะทำให้กินบ่อยๆแล้วกันนะ

     

                ชานยอลว่าก่อนจะยิ้มให้ผม ยิ้มในแบบที่ผมไม่เคยเห็นจากเขามาก่อน มันไม่ใช่รอยยิ้มมุมปาก ไม่ใช่รอยยิ้มกวนประสาทเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นรอยยิ้มที่ผมตีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกเสียจาก...เขากำลังเอ็นดูผม

     

                และเป็นครั้งแรกที่ผมเพิ่งรู้ว่ารอยยิ้มของชานยอลสามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวระดับร้ายแรงที่สุดในหัวใจของผมได้

     

                “อย่ามัวแต่ยืนหูแดงอยู่สิแบคฮยอน เสร็จแล้วก็มาช่วยป้าดูซุปในหม้อหน่อย

     

                “ค--ครับ

     

                ผมเผลอยกมือมือขึ้นไปลูบใบหูตัวเองอีกครั้งซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือเสียงหัวเราะทุ้มๆในลำคอ ผมสบตากับชานยอลเพียงเสี้ยววิก่อนจะเลิกสนใจเขาแล้วเดินไปทำในสิ่งที่ป้าได้บอกไว้

     

                ผมรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป

     

                คล้ายว่าชานยอลกำลังเปลี่ยนผมช้าๆเหมือนที่พระอาทิตย์ตกเปลี่ยนน้ำทะเลให้กลายเป็นสีแดง เหมือนดังสายฝนเปลี่ยนทุ่งดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาให้เบ่งบานอีกครั้ง



                ราวกับว่าชานยอลกำลังเปลี่ยนผม ทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

     

                และผมได้แต่หวังว่าผมจะไม่คล้อยตามการเปลี่ยนแปลงนั้น

     

                เขาไม่ใช่มิตรแท้ แต่เป็นศัตรูถาวร

     

                ประโยคนี้ดังก้องไปทั่วทั้งสมองและใช่ ผมควรจะจำคำนี้ให้ขึ้นใจก่อนที่บางอย่างจะเติบโตในความรู้สึกของผมมากไปกว่านี้

     

      

                “งานเป็นยังไงบ้างลูก หนักมากไหม?”

     

                ผมนวดขาให้ป้านาบีที่นั่งอยู่บนฟูกนอนอย่างรักใคร่ มื้ออาหารผ่านไปได้ด้วยดีและมีแต่เสียงหัวเราะ พระจันทร์นอกหน้าต่างส่องแสงสุกสกาวแต่ยังไม่อาจเทียบเท่าดวงตาที่ทอแสงความอ่อนโยนจากคนตรงหน้าได้เลย

     

                “ก็ไม่เท่าไหร่ครับ ผมไหวอยู่ หลานป้าน่ะเก่งจะตาย

     

                “ใช่ ป้ารู้ว่าไอ้ลูกหมามันเก่ง

     

                ป้าพูดก่อนจะหัวเราะน้อยๆทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย ผมบีบขาให้ท่านด้วยแรงพอดีที่จะคลายความเมื่อยล้า ผมมักทำอย่างนี้ทุกครั้งที่กลับมาบ้าน ป้าของผมคงจะเหนื่อยที่ต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง ผมมีความคิดที่อยากจะให้ท่านไปอยู่กับผม แต่อย่างที่คุณรู้ ว่าชีวิตของผมไม่ปลอดภัยสำหรับป้านาบีเลยแม้แต่น้อย

     

                นาฬิกาบอกว่าเป็นเวลาสามทุ่มแล้ว ตามจริงถ้าเป็นเวลานี้ผมคงจะอยู่บนฟูกในห้องนอนแต่เหตุผลที่ผมพยายามยืดเวลาการอยู่กับป้าเพราะผมไม่อยากใช้เวลาร่วมกับคนตัวสูงอย่างชานยอลในห้องเงียบๆสักเท่าไหร่นัก

     

                “แบคฮยอน” ป้านาบีเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่นานๆครั้งจะได้ยิน ท่านจับมือเป็นเชิงให้ผมเลิกนวดขาก่อนจะมองมาด้วยสายตาที่อ่อนแสงลง “ป้าไม่รู้นะว่าจริงๆแล้วเรากำลังปิดบังอะไรป้าอยู่หรือเปล่า แต่การที่เรามีแผลกลับมาหาป้าแบบนี้ มันทำให้ป้าคิด

     

                “…”

     

                “ป้าไม่ได้เชื่อว่าเราไปแยกนักเรียนตีกันจริงๆหรอกนะ บางทีสิ่งที่เรากำลังทำมันอาจทำให้เราเหนื่อยและเจ็บเกินกว่าที่ป้าจะรู้ได้

     

                ผมเลื่อนตัวลงไปนอนที่ตักอุ่นๆ ปล่อยให้ป้าลูบหัวไปเรื่อยๆและตั้งใจฟังสิ่งที่ท่านกำลังจะพูด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมีร่องรอยของการบาดเจ็บให้ป้าได้เห็น แต่ผมไม่อยากให้ป้ารู้ว่าผมทำงานให้กับสตาส ผมไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง แต่ความลับนั้นเป็นสิ่งที่เก็บรักษาได้ยากยิ่งกว่าเงินทองและชื่อเสียง สักวันหนึ่งป้าผมอาจจะรู้ในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่แต่อย่างน้อยมันก็ยังไม่ใช่ในเวลานี้

     

                “แต่ป้าเชื่อนะว่าสิ่งที่หลานของป้ากำลังทำอยู่จะต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน

     

                ผมยิ้มให้กับป้าเช่นเดียวกับที่ป้าก็ยิ้มให้ผม ฝ่ามือหยาบกร้านตามประสาหญิงวัยกลางคนยังคงลูบหัวผมด้วยความรัก

     

                “แบคฮยอนรู้ไหมว่าทำไมพระเจ้าถึงให้เราเกิดมา” ผมส่ายหัวพร้อมรอคำตอบ ป้านาบียิ้มอย่างอ่อนโยนให้ผมอีกหนึ่งครั้งก่อนที่น้ำเสียงใจดีจะกล่าวต่อ “เพราะพระองค์รู้ว่าเราเข้มแข็งพอที่จะมีชีวิตอยู่ไงล่ะลูก

     

                “…”

     

                “ไม่ว่าเรากำลังเจอกับปัญหาอะไรที่บอกป้าไม่ได้ แต่ป้าก็อยากให้เราเข้มแข็งและสู้มันนะ ป้าเชื่อว่าลูกหมาของป้าทำได้

     

                ผมยิ้มรับ ความอบอุ่นจากฝ่ามือและคำสอนแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ ผมหยัดกายขึ้นนั่งก่อนจะกอดป้านาบีเอาไว้ การที่ผมมีป้าทำให้ผมรู้ว่าจุดมุ่งหมายบางอย่างเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่เราทำเพื่อคนที่เรารักและผมพร้อมจะทำงานหนักเพียงเพื่อให้เลี้ยงดูป้าของผมได้

     

                ครอบครัวที่ปราศจากความเข้าใจและความรัก สิ่งนั้นไม่ใช่ครอบครัว และผมอยากจะขอบคุณป้าของผมสักล้านครั้งที่ทำให้ผมเข้าใจคำว่าครอบครัวได้อย่างลึกซึ้ง

     

                “พรุ่งนี้ไปโรงบาลใช่ไหมลูก?” ป้านาบีเอ่ยถามหลังจากที่ผมกอดท่านจนพอใจแล้ว พรุ่งนี้ผมต้องไปตรวจอาการเกี่ยวกับอาการกลัวฟ้าร้องที่เป็นอยู่ ซึ่งนั่นก็คืออีกจุดประสงค์ที่ทำให้ผมต้องกลับมายังบ้านเกิด

     

                “ครับ

     

                “ไปกับชานยอลใช่ไหม?” ผมเกือบจะตอบว่าไม่ แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ได้ทันเมื่อสบเข้ากับตาเรียวของผู้เป็นป้า ผมพยักหน้าน้อยๆอย่างเสียไม่ได้ ถ้าผมไม่พาชานยอลไปด้วย ป้าอาจจะสงสัยเป็นแน่ว่าผมพาเขามาด้วยทำไม “วันนี้ป้าได้คุยกับชานยอลเกี่ยวกับเราด้วยนะ ป้าเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นจะดูแลเราได้

     

                ความสงสัยเกิดขึ้นทันทีหลังจากป้านาบีบอกผมแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าชานยอลคุยอะไรกับป้าไปบ้างท่านจึงได้ไว้ใจและคิดว่าชานยอลดีพร้อมที่จะดูแลผมได้แบบนั้นแต่ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากถามป้านาบีก็ชิงพูดเสียก่อน

     

                “สร้อยเราหายไปไหนซะล่ะ?”

     

                เสื้อกล้ามที่ผมสวมใส่อยู่ทำให้ป้าสังเกตเห็นว่าลำคอของผมนั้นว่างเปล่าไร้สร้อยรูปแม่กุญแจอย่างที่ควรจะเป็น ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเสียดาย

     

                “คือ...ผมทำหายอ่ะ ไม่รู้ว่าหายที่ไหน ผมหาจนทั่วแล้วแต่ก็ไม่เจอ” หน้าหงอยๆของผมคงทำให้ป้าเอ็นดูจนต้องลูบหัวผมอีกครั้งคล้ายการปลอบประโลม

     

                “โถพ่อคุณ ไม่เป็นไรหรอกนะ ป้าก็แค่เสียดายเห็นเราใส่มาตั้งแต่เล็ก

     

     

                “ผมก็เสียดายพ่อกับแม่อุตส่าห์ให้ผมไว้แท้ๆ

     

                “ใครบอกเราว่าพ่อกับแม่ซื้อให้น่ะหือ?” ผมสบตากับป้านาบี รู้สึกได้ว่าคิ้วเริ่มที่จะขมวดเข้าหากันอย่างห้ามไม่อยู่

     

                “อ้าว ไม่ใช่เหรอครับ?”

     

                “ก็ไม่ใช่น่ะสิ

     

                “แล้วใครให้ล่ะครับ ป้าเหรอ?”

     

                ป้านาบียิ้มขำก่อนที่จะส่ายหัวน้อยๆ ท่านขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งก่อนที่จะไขข้อข้องใจ และเรื่องราวที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนก็ถูกถ่ายทอดออกจากริมฝีปากของท่านช้าๆ

     

                “ตอนที่เรายังเด็ก ครอบครัวเราสนิทกับบ้านข้างๆมาก เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือกันตลอดจนแทบจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว” ป้านาบียิ้มเล็กน้อยคล้ายว่าความสุขในช่วงเวลานั้นได้ฉายชัดอยู่ในจิตสำนึก “แล้วลูกหมาของป้าก็ติดลูกของคนบ้านนั้นมากๆ ไปเล่นกับเขาทุกวัน อะไรๆก็ร้องหาแต่พี่เขา

     

                “…”

     

                “แล้วไอ้สร้อยเส้นนั้นน่ะ ถ้าป้าจำไม่ผิดเหมือนลูกคนเล็กของบ้านนั้นจะซื้อให้ ใส่เป็นคู่กันด้วยนะ ป้ายังคิดอยู่เลยว่าถ้าเราเป็นผู้หญิง คงถูกจองตัวไว้ให้ลูกชายเขาไปแล้ว

     

                ผมแทบไม่อยากเชื่อกับเรื่องที่ได้ยินในตอนนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเข้าใจผิดมาตลอดเลยเหรอเนี่ย ?

     

                “งั้นหมายความว่าคนที่ป้าพูดถึงก็มีสร้อยเหมือนผมเหรอครับ

     

                “ป้าก็จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ ผ่านมาตั้งสิบกว่าปีแล้วนะ

     

                “นี่ผมเข้าใจว่าพ่อกับแม่เป็นคนให้มาตลอดเลยนะเนี่ย” ผมแสร้งตีหน้าบึ้งให้ป้ารู้ว่าผมงอนที่ป้าไม่เคยพูดถึงสร้อยเส้นนั้นเลยสักครั้ง ป้านาบีขยี้หัวผมอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนที่ผมจะถามต่อ “แล้วป้าจำได้ไหมว่าเขาชื่ออะไร?”

     

                “ก็--” ผมเงียบรอฟังคำตอบ แต่เหมือนว่าป้าจะชะงักไปในเสี้ยววินาทีก่อนที่จะส่ายหัวและคำตอบที่ได้รับก็ทำให้ผมผิดหวังเล็กน้อย “คนแก่ๆอย่างป้าจะไปจำได้ยังไงล่ะ

     

                “แล้วทำไมผมถึงจำไม่ได้เลยล่ะครับ ผมก็ยังไม่แก่สักหน่อย

     

                “ตอนนั้นเราเพิ่งจะสี่ห้าขวบเอง จำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกลูก อยู่ด้วยกันไม่กี่ปีครอบครัวนั้นก็ย้ายบ้านไปก่อนที่เราจะรู้เรื่องซะอีก” ป้านาบีใช้นิ้วชี้จิ้มคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของผมให้คลายออก ช่างมันเถอะลูก ของมันหายไปแล้วก็ให้มันหายไป ตอนนี้ไปนอนได้แล้วล่ะ เดี๋ยวจะดึกซะก่อน

     

                ผมพยักหน้ารับก่อนจะหอมแก้มท่านแล้วบอกราตรีสวัสดิ์ ความจริงที่ผมเพิ่งรู้ในวันนี้ทำให้ผมตกใจไม่น้อย สร้อยที่ผมใช้มันฝ่าความกลัวจากเสียงฟ้าร้องและอยู่กับผมมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่พ่อและแม่ที่ซื้อให้อย่างที่ผมเคยคิดมาตลอดแต่กลับเป็นพี่ชายข้างบ้านที่ผมจำไม่ได้แม้แต่ชื่อเลยด้วยซ้ำ

     

                ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นใคร ผมก็อยากจะพบกับเขา แม้เพียงครั้งเดียวก็ยังดี

     

    .....

     

                บยอน แบคฮยอน คือคนที่หัวรั้นและดื้อที่สุดเท่าที่ชานยอลเคยเจอ

     

                เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนข้างกายเป็นดังสัญญาณบอกให้รู้ว่าคนตัวเล็กเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ทั้งๆที่ชานยอลเข้านอนก่อนแต่กลับกลายเป็นเขาซะเองที่ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้

     

                เสียงขยับกายครั้งที่สี่จากแบคฮยอนเรียกให้คนตัวสูงลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด แต่แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากบานหน้าต่างทำให้เห็นคนตัวเล็กที่นอนขดตัวอยู่บนฟูกได้อย่างถนัดตา

     

                เสื้อกล้ามสีเทาที่แบคฮยอนสวมใส่เลิกขึ้นมาจนเกือบถึงแผ่นอก ชานยอลส่ายหัวให้กับการนอนดิ้นของคนตัวเล็กก่อนจะส่งมือของตัวเองไปดึงเสื้อให้กลับมาคลุมหน้าท้องขาวตามเดิม แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่เขาสังเกตเห็นรอยอะไรบางอย่างที่เอวของแบคฮยอนก็ทำให้คนตัวสูงต้องขยับตัวเข้าไปใกล้คนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องราวด้วยความสงสัย

     

                นิ้วยาวแตะลงบนผิวเนื้อนิ่มก่อนจะไล้ไปตามรอยปริศนา เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ได้รู้ว่ารอยที่ว่านั้นมันคือรอยสัก เขาพยายามหรี่ดวงตาสีน้ำตาลคู่คมเพื่อเพ่งอ่านข้อความของรอยสักนั้นแต่ด้วยแสงสว่างที่ไม่เพียงพอจึงทำให้คนตัวสูงไม่สามารถอ่านออกได้

     

                แม้ในตอนนี้ชานยอลจะยังไม่สามารถรู้ได้ว่ารอยสักนั้นอ่านว่าอะไรแต่เขาก็มั่นใจว่าเขายังมีเวลามากพอที่จะสำรวจและเก็บเกี่ยวตัวตนของแบคฮยอน ชานยอลคิดว่าเขามีเวลามากพอ อย่างน้อยก็ทั้งคืน

     

                ผ้าห่มผืนหนาถูกคลุมทับร่างเล็กอย่างแผ่วเบาจากคนตัวสูง เขาแค่ต้องการทำทุกอย่างให้เงียบและเบาที่สุด เขาไม่อยากให้คนตัวเล็กที่หลับสนิทต้องตื่นขึ้นมาในเวลานี้

     

                บูชอน คือชื่อของเมืองๆหนึ่งในจังหวัดคยองกีและเป็นบ้านเกิดของแบคฮยอนอย่างที่ทุกคนรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนยังไม่รู้คือมันไม่ได้เป็นเพียงแค่บ้านเกิดของแบคฮยอน

     

                 แต่เป็นบ้านเกิดของชานยอลด้วย

     

                “อือ...

     

                เสียงครางอย่างคนหลับลึกของคนตัวเล็กทำให้คนตัวสูงกระตุกยิ้ม ดวงตาเรียวที่ปกติจะต้องมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนจะจมูกโด่งได้รูปที่ชอบเชิดใส่เขากับแก้มกลมๆนั่น ทุกองค์ประกอบที่รวมกันเป็นแบคฮยอนนั้นทำให้ชานยอลต้องยอมรับว่าร่างเล็กคงเหมาะกับคำว่าจิ้มลิ้มที่สุดแล้ว

     

             ใช่ จิ้มลิ้ม

     

             บยอนแบคฮยอนเป็นคนดื้อและอวดดีที่จิ้มลิ้มที่สุดเท่าที่ชานยอลเคยพบเจอ

     

             ลมหายใจเข้าออกที่ทำให้แผ่นอกขยับขึ้นลงบอกให้ชานยอลรู้ว่าแบคฮยอนนั้นหลับสบายมากแค่ไหน ริมฝีปากที่เผยอออกเพื่อหายใจของคนตัวเล็กทำให้ชานยอลเกิดความสงสัย

     

                ชานยอลเพียงแค่อยากรู้

     

                ว่าริมฝีปากของแบคฮยอนจะนิ่มเหมือนเช่นตอนเด็กอย่างที่เขาเคยสัมผัสหรือเปล่านะ?

     

               หรือบางที...มันอาจจะนิ่มมากกว่าเดิม

     

               ไม่มีความจำเป็นใดที่จะเขาต้องรีบร้อนในการค้นหาคำตอบ อย่างที่บอกไว้แล้วว่าชานยอลยังคงมีเวลาอีกมากที่จะสำรวจคนตัวเล็ก

     

                มากพอที่จะทำให้เขาอ่านความคิดของแบคฮยอนออกจนทะลุปรุโปร่ง

               

     

    TBC

    ชานแบคนี่มันแฟนฉันบ่หนิ

    เอสคือใคร -_-

    ไนท์แมร์คนสุดท้ายจะเล่นตัวอีกนานไหม -_-

    มีแต่คำถาม  เอาเป็นว่าไม่ได้มีคนตายแค่ฮโยยอน ไม่ได้มีแค่สองและสาม...อาจจะเป็นเราเองที่ตาย ไม่มีอะไร55555555555

    และนี่คือนักเกตไก่ข้าวโพด ไป ไปหาอะไรกินกัน !

    #ficsee2b 

    Up : 01/03/2015

     

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×