ตอนที่ 9 : คำตอบของหัวใจ...ไออุ่นของความรัก (ลงใหม่ แก้ไขตัวอักษรที่มีขนาดเล็ก)
ภาพประกอบแนวเทือกเขาร็อกกี้ในประเทศแคนาดา
ความเงียบของปาริสาเป็นส่วนหนึ่งของการยังหาคำตอบให้กับเขาไม่ได้ คำถามชายหนุ่มที่เบาราวกับกระซิบ ทว่ายังคงดังก้องในโสตประสาทวนเวียนอยู่ตลอดเวลา หล่อนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนกำลังใช้สองลำแขนกลมกลึงเกี่ยวคล้องรัดท่อนแขนเขาไว้แน่น แถมเบียดลำตัวแทบจะซุกหลบอยู่ด้านหลังหนุ่มรุ่นพี่ หญิงสาวรีบปล่อยมือมานั่งกอดเข่าตัวเองโดยขยับห่างไปไม่ไกลนัก แค่ให้ระยะแขนไม่เบียดกัน
“รีบปล่อยแขนทันทีแบบนี้ แสดงว่ากลัวพี่มากกว่ากลัวผีอย่างนั้นเหรอ” ปารีสถามกลั้วหัวเราะในความมืด “ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน ทำไมถึงไม่อยากอยู่ใกล้ ริสาเธอเนี่ยเป็นผู้หญิงที่แปลกดีนะ” คนแปลกรีบหันขวับกลับไปถาม
“ริสาแปลกยังไง”
“ก็ปกติพี่มีแต่สาวๆ รุมชอบ อยากอยู่ใกล้กันทั้งนั้น เห็นมีแต่ริสารายแรกที่ชอบพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ยอมอยู่ใกล้ถ้าไม่จำเป็น”
“คนหลงตัวเอง” หญิงสาวว่าพลางอมยิ้มกับคำพูดของเขา
“ก็พี่ส่องกระจกเห็นตัวเองอยู่ทุกวัน ไม่ได้หลงตัวเองหรอก แต่จะทำยังไงได้ คนเราต้องหัดยอมรับความจริง”
ปาริสาหัวเราะคิกคักไปกับน้ำเสียงราบเรียบที่เขาเจตนาพูดให้เป็นเรื่องตลก แม้หล่อนจะรู้จักเขาไม่กี่วัน ทว่าผู้ชายอย่างปารีสไม่ใช่ประเภทหลงตัวเองแล้วมาพูดโอ้อวดให้ใครฟังแบบนี้ ถึงสิ่งที่กล่าวจะเป็นความจริงก็ตาม แค่เพียงเงาดำสะท้อนของชายร่างสูงเข้ามาในแววตาคู่หวาน หากกระนั้นปาริสายังจำได้ติดตาว่าผู้ชายคนนี้มีรูปร่างหน้าตาดีขนาดไหน แล้วทำไมเจ้าตัวจะไม่รู้ถึงความโชคดีของสายเลือดผสม ดูเหมือนเขาช่างเลือกมาตั้งแต่เกิด ถึงได้เอาแต่ยีนเด่นจากทั้งบิดาและมารดา
“อ๋อ รับทราบค่ะ” หญิงสาวแกล้งเออออตอบรับ “ไม่เรียกว่าหลงตัวเอง พูดให้ถูกคือพี่เป็นคนรู้จักยอมรับความจริง”
“ทีนี้น้องริสารู้แล้วใช่ไหม” เรียวคิ้วบางขมวดหากัน ก่อนจะถามด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อกับหล่อน
“รู้อะไรคะ”
“ข้อดี ในการนั่งใกล้กัน แทนที่จะหนีไปนั่งอยู่เงียบๆ คนเดียว” ปารีสอธิบายเสียงนุ่มนวล “การได้นั่งคุยกันแบบนี้ ทำให้น้องริสาได้ยินแต่เสียงพี่และเสียงของตัวเอง จนแทบไม่สนใจฟังเสียงลมพายุ เสียงหมาป่าหอนข้างนอกนั่น” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ กับเหตุผลน่าฟังของเขาจนต้องยอมรับ
“จริงด้วยค่ะ”
“แล้วเป็นครั้งแรกด้วยที่พี่ได้ยินเสียงหัวเราะของน้องริสา” ชายหนุ่มบอกสาวข้างกาย “ได้ยินเสียงหัวเราะตัวเองไหม ว่ามันน่าฟังขนาดไหน พี่อยากให้น้องริสาหัวเราะบ่อยๆ”
ชายหนุ่มหยุดพูดแค่นั้น ก่อนจะบอกตัวเองในใจ เขาไม่อยากให้ปาริสาต้องทำหน้าเศร้ากับแอบร้องไห้ ร่างบางที่นั่งอยู่ข้างกันรีบเอามือแนบกุมหัวใจตัวเอง เกรงว่าจะเป็นครั้งแรกของเขาที่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวของหล่อนเช่นกัน ไม่คาดคิดมาก่อนถึงจะเห็นใบหน้าคมคายเพียงเงาดำรางเลือน ทว่าน้ำเสียงทุ้มกังวานราวกับเสียงระฆัง จะมีอิทธิพลสั่นสะเทือนไปถึงเจ้าสิ่งที่กำลังอยู่ตรงอกซ้ายใต้ฝ่ามือแนบ ปาริสาไม่อยากให้คนข้างกายจับพิรุธถึงความหวั่นไหวของตนได้ จึงพยายามข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติบอกเขาไป
“เป็นครั้งแรกของริสาเช่นกันค่ะ ที่มีคนมาบอกว่าให้หัวเราะบ่อยๆ”
“แต่อย่าให้ถึงขนาดเห็นใบไม้ไหวก็หัวเราะนะ” ปารีสรีบแนะนำแบบติดตลก เรียกเสียงหัวเราะคิกคักที่เขาอยากฟังจากหญิงสาวอีกครั้ง
“ได้ค่ะ”
“ว่าแต่...ยังไม่ได้ตอบคำถามพี่เลย” ปารีสย้อนกลับคำถามเดิม เหมือนชวนคุยมากกว่าต้องการเร่งรัดเอาคำตอบอย่างจริงจัง เมื่อทั้งคู่ต่างหยุดเงียบเสียงโต้ตอบไปชั่วครู่
“พี่ปารีสถามอะไรริสา?”
“ก็ที่ถามไว้ตอนแรกไงครับ” ชายหนุ่มหันไปบอก “ว่าระหว่างพี่กับผี น้องริสาชอบอะไรกว่ากัน” หญิงสาวสะบัดหางตาค้อน
“ตอนแรกพี่ไม่ได้ถามแบบนี้เสียหน่อย”
“เหรอ ไม่ยักจะจำได้แฮะ” เสียงพูดพลางกลั้วหัวเราะ บ่งบอกได้ดีว่าเขาเจตนาเปลี่ยนคำถาม แล้วบังเอิญหล่อนไม่ใช่คนเสียสติที่จะได้ตอบว่า ‘ชอบผี’ มากกว่า
“ความจริงริสาคงกลัวความมืดมากกว่า” ปาริสาหลีกเลี่ยงคำตอบ ‘ชอบพี่’ ชายหนุ่มยกริมฝีปากยิ้มพลางคิด...แม่คนขี้โกงตอบไม่ตรงคำถาม...แต่แล้วเขาต้องรู้สึกสลดใจเมื่อได้ยินถ้อยความบางอย่าง ดูเหมือนหล่อนค่อยๆ เปิดใจยอมเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟังบ้างแล้ว
“คงฝังใจตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก คุณพ่อเป็นนักแข่งรถ ท่านต้องต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ริสาจึงนอนกับแม่เพียงสองคน และคืนนั้นคุณแม่ท่านเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ริสาได้ฟังตอนโตเมื่อรู้ความแล้วว่า คืนนั้นสุนัขที่เลี้ยงไว้ในบ้านทั้งเห่าทั้งหอน กว่าพี่เลี้ยงที่อยู่อีกห้องตื่นมาเคาะประตูเรียกคุณแม่ เพราะได้ยินริสาร้องไห้ จนต้องใช้กุญแจสำรองไขเข้ามา ถึงได้เห็นว่าริสานั่งร้องไห้เฝ้าศพแม่ท่ามกลางความมืดในห้องอยู่นาน”
“พี่เสียใจด้วย และต้องขอโทษ ที่ทำให้น้องริสาต้องพูดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นอีก”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ปาริสาหันไปบอก
“แม่พี่ก็เสียชีวิตตอนพี่ยังเป็นเด็กเหมือนกัน” ร่างบางหันไปมองเงามืดด้วยความตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าเขาเองจะเคยผ่านเหตุการณ์ไม่ต่างกับหล่อนเช่นกัน “พี่จึงเข้าใจความรู้สึกของน้องริสาดี”
ปาริสาน้ำตาซึมกับความสูญเสียล่าสุดของตน เม้มปากแน่น กลัวพลั้งเผลอหลุดปากบอกให้เขาฟัง เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศให้อยู่ในอารมณ์เศร้าหมองจนเกินไป
“นั่นพี่จะลุกไปไหนคะ” หญิงสาวถามแหงนหน้ามองร่างสูงตระหง่านเมื่อเห็นเขาลุกขึ้นยืน
“ขอไปหยิบอะไรบางอย่างตรงมุมห้อง เดี๋ยวกลับมา” เขาหันมาบอก “ขอไฟแช็คพี่ด้วย”
ร่างบางยื่นสิ่งที่เขาต้องการไปให้ ใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจ เหมือนชายหนุ่มจะรู้อยู่แล้วว่าของที่ต้องการอยู่ตรงจุดไหน ปารีสเดินกลับมาพร้อมแสงสว่างเรืองรองไปทั่วกระท่อมไม้สนหลังเล็ก...ตะเกียงพายุน้ำมันก๊าดครอบด้วยแก้วใสไว้สำหรับกันลมกันฝนได้อย่างดี ร่างสูงกำลังหิ้วจับเหล็กดัดโค้งด้านบนเชื่อมประสานกับฝาตะเกียง เขาย่อตัวลงนั่งที่เดิมแล้ววางมันไว้เบื้องหน้า ปาริสาเม้มปากแน่น มองหน้าเขาที่หันมาโปรยยิ้มให้...
“พี่ปารีสยิ้มเพราะสนุกที่ได้แกล้งให้ริสาอยู่ในความมืดล่ะสิท่า” ร่างบางต่อว่าเสียงเรียบไม่จริงจังมากนัก
“เปล่าเลย” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ “พี่จะแกล้งริสาไปทำไมกัน ไม่เห็นจะมีประโยชน์ แล้วก็เพิ่งเจอตอนไปค้นหาได้ขวดเหล้ามาดื่มแก้หนาวกัน”
“พี่คงอยากจะเก็บไว้ใช้เวลาจำเป็น” ริสาแกล้งพูดประชด
“ก็ตอนนี้ไงจำเป็นแล้ว” เขาบอก “เพราะพี่รู้ว่าน้องริสากลัวความมืด”
คนกลัวความมืดคลี่ยิ้ม ดวงตาสุกใสวับวาวสะท้อนแสงไฟสีเหลืองนวลจากตะเกียง เพราะนึกถูกใจคำพูดของชายตรงหน้า จนคนเห็นต้องรีบเบือนหน้าหนี ก็เพราะอย่างนี้ไง เขาจึงอยากอยู่ในความมืดกับเจ้าหล่อนมากกว่า อย่างน้อยเขายังพอสะกดจิตตัวเองได้ว่า เงามืดบอบบางที่เห็นเป็นเพียงท่อนไม้เท่านั้น เขาหันไปมองอีกครั้ง เห็นปาริสากำลังเอามือเรียวขาวสองข้างอังอยู่ใกล้ตะเกียง ส่วนถุงมือไหมพรมไม่รู้เจ้าหล่อนโยนกองไปตรงไหนแล้ว ร่างบางเอามือมาแนบแก้มตัวเองหันมาบอกพร้อมรอยยิ้มหวาน
“ค่อยยังชั่ว รู้สึกอุ่นดี” หญิงสาวหัวเราะ “แต่ตลกจัง รู้สึกเหมือนเอามือตัวเองไปนาบบนก้อนน้ำแข็ง”
ปารีสลอบถอนหายใจ เขาอยากให้หล่อนหัวเราะบ่อยๆ เลิกทำหน้าเศร้าก็จริง ทว่าตอนนี้ชักอยากให้ปาริสาหยุดยิ้ม หยุดหัวเราะ แล้วหยุดหันมามองหน้าเสียที...หัวใจเขากำลังเต้นแรง...ขอร้องเถอะ ช่วยนั่งนิ่งๆ เป็นตุ๊กตาหิมะไปเลยยิ่งดี
“พี่ปารีสลองทำแบบริสาดูบ้างสิคะ”
ตุ๊กตาหิมะคงพูดไม่ได้ เขาตระหนักได้ดีว่าหล่อนเป็นมนุษย์ แถมเป็นมนุษย์เพศตรงข้ามเสียด้วย เหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่มาอยู่ใกล้กัน ปารีสรู้สึกถึงแรงปรารถนาบางอย่างดึงดูดให้เขาสนใจผู้หญิงคนนี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอแล้ว หากทว่าเขาคอยปฏิเสธหัวใจตัวเองมาตลอด
ให้ตายเถอะ...ไม่รู้เพราะโชคชะตากลั่นแกล้งหรือสิ่งใดดลบันดาลให้เขาต้องมาติดแหง็กอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ทำให้ยากจะหนีหัวใจตัวเอง เมื่อได้ใช้เวลาใกล้ชิดกันตามลำพังสองต่อสอง เขากำลังคลั่งไคล้หลงใหลปาริสาจนอกแทบระเบิด...หล่อนคือรักแรก
“มันคงช่วยไม่ได้หรอก...ทางที่ดีพี่ควรจะออกกำลังกายช่วยดีกว่า”
บอกปาริสาแค่นั้น เขาก็ลุกหนีไปฝั่งตรงข้ามตรงตำแหน่งที่หญิงสาวเคยนั่งก่อนนั้น ร่างสูงไม่สนใจนับว่าเขาต้องวิดพื้นกี่ครั้ง พอรู้สึกเหนื่อยจึงหยุดนั่งพิงผนังไม้สนเนื้อหยาบแล้วหลับตานิ่ง
“ทำไมพี่ปารีสไม่ชวนริสาคุยอีก” หูสองข้างยังได้ยินเสียงเจ้าหล่อนชัดเจน “ริสาไม่อยากได้ยินเสียงประหลาดข้างนอกนั่น เหมือนเสียงใครไม่รู้มาร้องโหยหวน”
“ก็แค่เสียงลม” เขาตอบทั้งยังไม่ยอมลืมตา
“พี่จะนอนแล้วเหรอ”
“เปล่าแค่หลับตาเฉยๆ” เขาปฏิเสธก่อนจะบอก “คืนนี้เธอเองก็ห้ามนอนนะ เพราะเราอาจนอนหนาวตัวแข็งโดยไม่ตื่นอีกก็ได้” หญิงสาวรีบพยักหน้ารับ
“ได้ค่ะ พี่รู้สึกไหมว่าพอเวลาผ่านไปอากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ”
“บนนี้อาจจะหนาวสุดติดลบสามสิบองศา หรืออาจจะมากกว่านั้น”
ปาริสาอ้าปากค้างกับคำบอกกล่าวของเขา รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันที กลัวทนหนาวอยู่รอดไม่ถึงเช้ากลายเป็นศพนอนตัวแข็ง ตอนนี้หล่อนก็เริ่มรู้สึกเปลือกตาชักหนักอึ้ง เพราะเริ่มง่วงนอน รีบตบหน้าตัวเองพยายามเบิกตาให้กว้างเข้าไว้
“เราสองคนต้องคอยช่วยกันดูนะคะ ไม่ให้อีกฝ่ายเผลอหลับ” หญิงสาวรีบบอก ก่อนจะกล่าวเสนอทางออก “ทางที่ดีเรานั่งคุยไปเรื่อยๆ ดีกว่า จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายยังตื่นอยู่”
“ไม่ต้องห่วง พี่ไม่หลับง่ายๆ อยู่แล้ว ส่วนเธอก็ลองนั่งนับแกะเสียงดังไปเรื่อยๆ พี่จะคอยนั่งฟัง” ปาริสาได้ยินแบบนั้นถึงกับย่นจมูกใส่ให้คนนั่งกอดอกพิงผนังหลับตาสนิท
“นับแกะ นั่นมันสำหรับคนนอนไม่หลับไม่ใช่เหรอคะ ขืนทำตาม ได้หลับไม่รู้ตัวแน่ๆ”
“ก็ถ้าริสาหยุดนับเมื่อไหร่ พี่ก็จะรู้ไงว่าเธอหลับแล้ว จะได้ปลุกให้ตื่น” เขาย้อนกลับมาเสียงเรียบ ก่อนจะแนะนำอีกวิธี “หรือไม่ก็นั่งร้องเพลงไปเรื่อยๆ”
“ริสาร้องเพลงไม่เป็น ร้องไม่จบท่อนอีกต่างหาก” หญิงสาวยอมบอกตามตรง “พี่ปารีสเป็นคนร้องเพลงดีกว่า เดี๋ยวริสาจะคอยตบมือให้จังหวะไปเรื่อยๆ ถ้าริสาหยุดตบมือเงียบไปเมื่อไหร่ พี่ต้องรีบปลุกทันทีเลยนะ”
ปารีสถึงกับถอนใจกับเสียงลอยมาจากฝั่งตรงข้าม ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้ม พลางคิดเจ้าหล่อนประหลาดจริงแท้ เมื่อก่อนดูเป็นคนเงียบๆ ที่ไหนได้พอได้พูด กลับเจื้อยแจ้วไปเรื่อยไม่ยอมหยุดปาก
“ถึงพี่จะร้องเพลงเป็น แต่ไม่อยากร้องให้เจ็บคอหรอก ส่วนเธอจะตบให้เมื่อยมือทำไม นั่งนิ่งๆ เก็บแรงไว้ดีกว่า เลิกกังวลเถอะ เดี๋ยวพี่จะคอยดูเป็นระยะไม่ให้น้องริสาเผลอหลับ”
“ว่าแต่พี่ไม่อยากเป็นนกเพนกวินแล้วเหรอ ถึงหนีไปนั่งเสียไกล ไหนว่านั่งเบียดใกล้กันไอร้อนจากร่างกาย จะช่วย...”
หญิงสาวพูดยังไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำ เขาก็ลุกพรวดก้าวยาวๆ กลับมานั่งลงทีเดิม แล้วหันมาถาม
“พอใจหรือยังแม่นกเพนกวิน” เจ้าหล่อนพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะบอกเสียงจริงจัง
“โอเคแล้วค่ะ นั่งใกล้กันจะได้ไม่ต้องตะโกนคุยให้เจ็บคอ” ร่างสูงถอนหายใจเฮือก ก่อนจะหัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอ แม่นกแพนกวินตัวยุ่งของเขายื่นบางอย่างมาให้ เห็นเป็นลูกกวาดห่อด้วยพลาสติกสีหวาน
“ลูกอมแก้เจ็บคอค่ะ มีเหลือสองเม็ด เราแบ่งกันคนละเม็ด” เขารับไว้พร้อมถาม
“ชอบกินลูกอมเหรอ ถึงขนาดพกติดตัว”
“ชอบกินเวลาเครียดๆ กับเวลามีความสุข” ปาริสาตอบ ขณะกำลังแกะห่อลูกกวาดอีกเม็ดในมือของตัวเอง
“แล้วตอนนี้น้องริสากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน”
เขาถามพลางแกะห่อลูกกวาดของตัวเอง ปกติแล้วเขาไม่ชอบกินจำพวกของหวานอย่างเช่นลูกอมแบบนี้ ถ้าให้เคี้ยวหมากฝรั่งยังพอไหว แต่เมื่อหล่อนมีจิตแบ่งปันจึงไม่อยากปฏิเสธให้เสียน้ำใจ
“กำลังเครียดปนสุข”
เจ้าหล่อนหันมาตอบพร้อมรอยอมยิ้ม จนเขามองนิ่งแทบไม่อยากละจากริมฝีปากแดงระเรื่อราวผลเชอรี่สุกชวนให้อยากลิ้มลอง ใบหน้าและแววตาคู่นั้นของปาริสา ราวแม่เหล็กคอยดึงสายตาเขาไว้ไม่ให้หยุดมอง ร่างสูงลอบถอนหายใจลึก ก่อนจะถาม
“ลูกอมของน้องริสารสอะไร”
“รสมะนาวค่ะ” หล่อนตอบ ก่อนที่เขาจะถามกลับอีกครั้ง
“แล้วของพี่ล่ะ”
“ห่อสีชมพูรสสตรอเบอรี่ ของริสาห่อสีเขียวรสมะนาว”
ปาริสากำลังจะเอาลูกอมเข้าปากตัวเอง ทว่าต้องชะงัก เพราะดันถูกชายหนุ่มข้างตัวป้อนรสสตรอเบอรี่เข้าปากแทน ส่วนเขาก็หันมาคว้ารสมะนาวจากมือของหล่อนไปกินเสียเอง
“พี่ไม่ชอบกินของหวานๆ” เขาบอก
“แต่ริสาก็อยากกินรสมะนาวจะได้หายง่วง” ร่างบางบอกความต้องการ
“ถ้าอย่างนั้นเราก็มาแลกคืนกัน” ปารีสรีบเสนอ
“ก็เราต่างคนต่างอมไว้ในปากแล้วจะแลกคืนได้ยังไง” หญิงสาวถามไปแล้วก็ชักไม่ไว้ใจรอยยิ้มกับแววตาคมกริบ ที่กำลังถักทอแววระยับบางอย่าง
“ได้ข่าวว่าวันก่อนไปดูหนังรักโรแมนติกกับเขมิกามา และมีฉากหนึ่งเป็นที่ฮือฮาพูดถึงกันมาก”
“ใช่ ทำไมคะ”
“อยากลองทำแบบในหนังไหม ฉากพระเอกกับนางเอกแลกลูกอมกัน” ปาริสาอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะหลุดเสียงตะกุกตะกักออกมา
“จุ...จุ...จูบแลกลูกอมกัน”
“อืม...อยากลองดูไหม” ปารีสชักชวนทีเล่นทีจริง “ถ้าอยากได้ลูกอมรสมะนาว” หญิงสาวนิ่งเงียบไปกินเวลาไม่เกินสามวินาที ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะ
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่ปารีสก็เป็นคนตลก แถมพูดเก่งขนาดนี้ ไม่เห็นเหมือนที่ได้ยินมาเลยว่าพี่เป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ ชอบทำเย็นชากับพวกสาวๆ ในมหาวิทยาลัย”
ชายหนุ่มนั่งปลงกับมุกตลกของตัวเองตามที่เจ้าหล่อนเข้าใจ อุตส่าห์ตกเบ็ดด้วยความหวังเผื่อฟลุค แต่ปลาดันไม่ฮุบกินเหยื่อ พร้อมกับเริ่มได้คิดตามคำพูดของปาริสาว่าตั้งแต่ได้มารู้จักกับผู้หญิงคนนี้ เขาแทบเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ไม่เป็นไรดีกว่า รสสตรอบอรี่ก็อร่อยดีหวานอมเปรี้ยวนิดๆ” หล่อนปฏิเสธ
ทั้งคู่นั่งพิงผนังกอดอกซึมซับรสหวานอมเปรี้ยวของลูกกวาดในปากอย่างเงียบๆ ต่างตกอยู่ในความคิดของตัวเอง
ปาริสายอมรับว่า เมื่อครู่คำพูดชวนให้วาบหวิวกับดวงตาคมกริบมีประกายบางอย่าง เมื่อหล่อนได้ประสานสายตา เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นเข้าสู่หัวใจชาดิกไปจนถึงปลายเท้า หญิงสาวคิดอย่างสงสัย หากตนตอบรับวิธีจูบแลกลูกอม เขาจะทำจริงตามปากว่า หรือจะหัวเราะใส่หน้ากันแน่...
ข้างฝ่ายปารีสเริ่มขบคิดหนักจะทำอย่างไรให้ปาริสารับรู้ถึงความรู้สึกของเขาได้ ตอนนี้ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะขอคบหล่อนเป็นแฟนอย่างเป็นทางการ แต่จะด้วยวิธีไหนดีล่ะ ที่เขาสามารถเข้าใจได้ว่าหญิงสาวก็มีความรู้สึกแบบนั้นกับเขาเช่นกัน เคยแต่ปฏิเสธบรรดาสาวๆ ที่เข้ามาขอคบด้วย หากโดนสาวที่กำลังนั่งเงียบข้างกายปฏิเสธ เห็นทีคงเพราะเวรกรรมที่ไปทำให้ผู้หญิงหลายคนเสียใจไว้เยอะ ร่างสูงระบายลมหายใจอย่างอึดอัด
“ความเงียบถึงมันจะสงบ แต่ก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน พี่ว่าไหม” อยู่ๆ ปาริสาก็พูดขึ้น
“รู้สึกอึดอัดเพราะอยู่กับพี่ หรือเพราะความเงียบกันแน่ครับ” ชายหนุ่มหันไปถาม
“พอได้คุยกับพี่ปารีสมากขึ้น ริสาก็ไม่รู้สึกอึดอัดแล้วค่ะ” ร่างบางพูดเสียงเบา “แต่อยู่ๆ พี่ปารีสเงียบไป ไม่ยอมชวนริสาคุยเหมือนเดิมเลยรู้สึกแปลกๆ” คนตัวสูงคลี่ยิ้มหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะหันไปถาม
“แล้วเราจะมาทำลายความเงียบกันด้วยวิธีไหนดีล่ะ”
“เล่นเกมยี่สิบคำถามดีไหมคะ ผลัดกันถาม โดยเราทั้งคู่ต้องตอบ” หญิงสาวบอก ก่อนจะขมวดคิ้วเรียวบางแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “แต่ถ้าจะให้ถามตอบจนถึงเช้า สงสัยต้องเปลี่ยนเป็นเกมร้อยคำถาม” เจ้าหล่อนหัวเราะเสียงใส
“เอาแค่ยี่สิบคำถามให้รอดก่อนดีกว่าไหมครับ” ปารีสบอก หญิงสาวพยักหน้ายิ้มๆ
“ใครจะเริ่มก่อนดีคะ”
“คนชวนเล่นก็ต้องเริ่มก่อนสิครับ” เขาบอก
“ก็ได้ค่ะ...อืม...คำถามแรกนะคะ พี่ปารีสชอบฤดูไหน”
“ไม่คิดว่าคำถามมันจะเชยไปหน่อยหรือไง” เขาย้อนถาม “เอาแบบแปลกๆ น่าจะดีกว่า” คนเริ่มต้นคำถามหน้ามุ่ยเม้มปาก
“โอเค ได้ครับได้ ตอบก็ตอบ พี่ชอบฤดูหนาว” คนถามยิ้มก่อนจะตอบของตัวเองบ้าง
“ริสาชอบฤดูฝนกับฤดูใบไม้ผลิ”
“แค่คำถามแรกเราสองคนก็ชอบไม่เหมือนกันแล้ว” ปารีสเหมือนจะพูดกับตัวเอง “น้องริสาชอบกินอะไร” หญิงสาวย่นจมูกกับคำถามของเขา
“ไม่เห็นคำถามพี่จะแปลกตรงไหน มันก็เหมือนแนวเดียวกับที่ริสาตั้งคำถามเป๊ะเลย” หล่อนบ่นก่อนจะตอบ “ริสาชอบกินทุกอย่างที่กินได้”
“ส่วนพี่ชอบเลือกกินเฉพาะบางอย่างเท่านั้น” คนถามหัวเราะก่อนจะหันไปบอกคนนั่งข้าง “เห็นไหมว่ามันแปลกดีที่เราสองคนชอบไม่เหมือนกันสักอย่าง
“ดีเหมือนกันนะคะ เราถามแบบอะไรก็ได้ แต่ตอบแบบประหลาดๆ ดีไหมคะ สนุกดี”
“ก็เอาสิ” ชายหนุ่มยอมรับข้อเสนอ
“พี่อยากจะทำอะไรที่สุด ที่คิดไว้แต่ยังไม่ได้ทำ”
เขาเงียบไปไม่ยอมตอบคำถามทันที สงสัยมีหลายอย่างที่อยากจะทำเลยต้องใช้เวลาเลือก ทว่าเมื่อหญิงสาวหันไปมอง กลับเห็นว่ารุ่นพี่หนุ่มกำลังจ้องหล่อนด้วยแววตาประหลาด ร่างบางมองตอบ แต่ไม่อาจทนประกายแรงกล้าบางอย่างได้ จึงเบือนหน้าหนีก้มมองมือตัวเองที่กำลังจับประสานวางบนหน้าตัก หากต้องเงยหน้าหันขวับไปมองเขาด้วยสีหน้าตะลึง แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองกับคำตอบ
“พี่อยากจูบน้องริสา” ร่างสูงวางมาดนิ่งสีหน้าเรียบเฉยทว่าแววตากลับกรุ้มกริ่ม หญิงสาวมองเขาตาค้าง ปารีสยกริมฝีปากยิ้ม
“คำตอบพี่คงประหลาดเกินไป จนทำให้น้องริสาตกใจขนาดนี้” หล่อนไม่ได้แค่ตกใจเท่านั้น มีความรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ตอนนี้คงแดงอย่างกับลูกตำลึงสุกเป็นแน่ หญิงสาวหันหน้าหนีไม่ยอมสบตาด้วย
“น้องริสายังไม่ตอบของตัวเองเลยนะครับ” เขาเร่ง “พี่จะได้ตั้งคำถามข้อต่อไป”
ปาริสาจิกชายเสื้อกันหนาวตัวเอง เม้มริมฝีปากที่กำลังสั่นแน่น ก่อนจะสูดหายใจลึกอัดเข้าปอด หลับหูหลับตากลั้นใจตอบเขาไป
“ริสาอยากจะทำให้คำตอบของพี่ปารีสเป็นความจริง”
ความเงียบเหมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์ ทั้งที่เวลาเงียบของคนทั้งคู่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วินาที หยาดน้ำตาของปาริสาเริ่มปริ่มเต็มเบ้าตาทั้งสองข้างด้วยความรู้สึกอับอาย เมื่อเขาเอาแต่นั่งนิ่ง และก่อนที่มันจะหยดไหลลงมาเคลียแก้ม สองมือกว้างของชายหนุ่มจับประคองใบหน้าแดงระเรื่อของหล่อนไว้ ก่อนจะโน้มลงไปประทับจุมพิตอย่างอ่อนโยน ก่อนจะผลักออกเพื่อใช้สองนิ้วโป้งกรีดเช็ดน้ำตาให้กับปาริสา
“น้องริสาร้องไห้ทำไม” เขาถาม “ถ้าต้องทำแบบนี้เพื่อพี่โดยไม่เต็มใจ บอกได้นะ พี่ไม่เป็นไรหรอก” หญิงสาวส่ายหน้า
“เปล่าค่ะ แค่...” หล่อนพูดไม่ออก
“คิดว่าพี่แค่พูดหยอกเล่น แกล้งริสาหรือไง” คนฟังพยักหน้าเอียงอาย
“ริสา” เขาขานเรียกชื่อ หล่อนรู้สึกว่ามันช่างไพเราะกว่าครั้งไหนๆ หลายเท่านัก
“คะ”
“เราเป็นแฟนกันเถอะ พี่รักริสา จะเชื่อไหมว่าริสาคือรักแรกของพี่” หญิงสาวประสานสายตาหวานราวน้ำเชื่อมของเขา แล้วยิ้มพยักหน้ารับ
“พี่ก็เป็นรักแรกของริสาเหมือนกัน” หล่อนบอกเขาด้วยน้ำเสียงกระดากเขินอาย “และก็เป็นจูบแรก”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบีบปลายจมูกเล็กเชิดรั้นของหญิงสาวอย่างนึกเอ็นดู
“แม่สาวไร้เดียงสา แค่เอาปากชนกับปากของอีกฝ่ายเขาไม่เรียกว่าจูบหรอก” เขาบอกเสียงกลั้วหัวเราะ “นี่สิ...ถึงจะเรียกว่าจูบของจริง”
ไม่ทันขาดคำชายหนุ่มก็คว้าตัวหล่อนมากอดแน่น มืออีกข้างจับประคองศีรษะหญิงสาวไว้ ก่อนจะก้มลงประกบปากเรียวบางอวบอิ่ม และไม่ได้อ่อนโยนแผ่วเบาเหมือนครั้งแรก เพราะเขาเรียกร้องมากขึ้น เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ทว่าแฝงไปด้วยความนุ่มนวล ร่างสูงขบเม้มหยอกเอินริมฝีปากหญิงสาวแล้วยั่วเย้าสาวคนรักด้วยปลายลิ้นอุ่นจัด ทั้งคู่เบียดตัวเข้าหากันแนบแน่น ราวกับจะแลกลมหายใจและไออุ่น เพื่อมีชีวิตรอดท่ามกลางอากาศหนาวเย็นยะเยือก หากเขามีเพียงแผ่นหลังเปลือยเปล่า คงเต็มไปด้วยรอยเล็บของคนที่ตนกำลังกอดรัดไว้ในวงแขน เพราะรู้สึกได้ว่าปาริสากำลังใช้สองมือจิกเสื้อไม่ยอมปล่อย...
ชายหนุ่มกำลังสู้รบกับความคิดตัวเอง ขณะกำลังตักตวงสัมผัสความนุ่มละมุนไม่ต่างจากกลีบดอกไม้แรกผลิ ความหอมหวานสดชื่นราวเหล่าเกสรบุปผากลางพฤกษากว้างใหญ่ และรู้สึกอบอุ่นหัวใจเหมือนลำแสงยามเช้าของพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นจากขอบฟ้า สมองสั่งการให้เขาควรหยุดไว้เพียงแค่นี้...
ทว่าหัวใจกลับบอกร่างกายว่าห้ามขยับหรือปล่อยหล่อนให้เป็นอิสระ...เขาควรทำเช่นไรดี?
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นางเอกก็น่ารัก(ชอบดูละครของนางเอกมากๆ)
มาอัฟเพิ่มนะคะ รอๆๆๆ ค่ะ
หลากหลายอารมณ์ และตอนนี้เป็นอารมณ์ที่โรแมนติคมาก(เพราะภาพประกอบและสำนวนการเขียน+การเดินเรื่อง)
ชอบมากค่ะ จะตามอ่านต่อไปเรื่อยๆ นะคะ (อยากให้อัฟยาว ๆ และบ่อยๆ จังเลย)