ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Triveser Manigator Saga: HyperStar Trooper

    ลำดับตอนที่ #130 : ตอนที่ 52 เอทพลาเนต ปะทะ เอเลวิเซียร์ ความจริงของสองฝ่ายที่คาดไม่ถึง ครึ่งแรก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10
      0
      17 ส.ค. 63

         ในเขตอวกาศภาคกลางโซนประจิม กองยานเจ้าถิ่นพายานไทรแองเกิ้ลและเฮฟไดซ์อินสเปคทรัลตรงมายังดาวดวงหนึ่ง ซึ่งเป็นดาวสีฟ้าครามห้อมล้อมด้วยดวงจันทร์ 4 ดวง
              "นี้คงจะเป็นดาวของเจ้าถิ่น ที่พวกนายรับใช้อยู่ละสิ" คลอเวฟบอก
              กลาสเชลกล่าว "นายพูดเกินไปหน่อยน่ะ ชาวดาวเหล่านี้เป็นผู้มีพระคุณต่อพวกเราเองแหละ"
              "และการที่ผู้อาวุโสส่งพวกนายมากับพวกเรา เพื่อรับประกันว่าพวกเราจะไม่ถูกจัดการเลยสิน่ะ" มาสวาร์ทาร์บอก
              เปเปอลิทกล่าว "ถูกแล้วละ แม้พวกเราจะออกตัวช้าหรือไปทีหลังเลยก็ตาม ถ้าพวกเราตาย พวกนายก็คงโดนถล่มไปนานแล้วละ"
              "ส่วนหนึ่งเพราะพวกเราทำลายยูสอัลคาเดี่ยนของกัปตันเฮมล็อค รวมถึงยานอีกสองลำด้วยสิ" พีวิลกล่าว
              เมทาไลท์บอก "พวกเขารู้เรื่อง นับตั้งแต่พวกนายจมยานของคอสซีโร่ที่อยู่ใกล้ระบบดาวของเราไปแล้วนะสิ"
              "งั้นเหตุผลที่ผู้อาวุโสให้พวกเราลงไปช่วยเทอร่าสควอดอนที่อยู่ทางตอนใต้นั้น เพื่อมิให้ตัวแทนของกองยานมาเจอเข้าละสิ" เนคมาดูซัมกล่าว
              พลาติไซล์บอก "อันที่จริงแล้ว พวกเขาสั่งคนของพวกเราให้เป็นหูตาปากสังเกตุการณ์อยู่ห่างๆนะสิ ว่าพวกนายก่อเรื่องอะไรไว้ในเขตอวกาศแถบนี้เลยน่ะ"
              "แต่ตอนนี้ พวกนายช่วยให้ความร่วมมือกับพวกเราหน่อยน่ะ" เปเปอลิทบอก โดยตอนนี้กองยานได้นำยานทั้งสองลำแล่นลงสู่ดวงดาวกัน ซึ่งพามายังเขตเมืองที่มีตึกสูงทรงกรวยอยู่ท่ามกลางป่าเขาที่มีชุมชนตั้งอาศัยอยู่ เช่นเดียวกับมีเกาะลอยฟ้าอยู่หลายเกาะด้วยกัน
              "โฮ่ย สภาพแวดล้อมเหล่านั้น มันไม่ได้แค่คุ้นแล้ว มันเหมือนกับที่เราเคยมาเลยวะ" คลอเวฟบอก
              "ให้ตายสิ นี้มันเดจาวูหรือไงกันเนี้ย" เรฟไซท์สบถ
              เดรมเกอร์กล่าว "รุ่นพี่พูดเหมือนกับว่าเคยเจอสภาพแวดล้อมของดาวที่เราจะถูกกักขังละสิ"
              "ที่ถูกนั้น เราเคยมาที่กลุ่มดาวเหล่านั้นซะมากกว่าน่ะ" พาลกีสบอก
              ฮีเรมิลบอก "อย่าบอกนะ ว่าที่เคยไปมานั้น คงจะเป็นกลุ่มดาวทั้งแปด ที่มีพวกบูชาดาวเงินมรณะเลยละสิ"
              "ใช่ ที่เหล่านั้นแหละ คือภารกิจแรกที่เราออกเดินทางไปไกลกว่าที่เราคิดไว้น่ะ" ไกซ์บอก
              ดีแนคบอก "ดีแล้ว ที่เกรเดรคและพวกไม่เคยไปที่ดาวเหล่านั้นมาก่อน ไม่เช่นนั้น พวกนั้นคงหาเรื่องเจ็บตัวแน่ๆ"
              "แต่ปัญหาก็คือพวกเราจะเป็นยังไงกันซะมากกว่าน่า" เมดิน่าบอก
              ริดีน่ากล่าว "หวังว่าชนเผ่าต่างดาวที่เป็นเจ้าถิ่นของเขตอวกาศนี้จะอภัยให้พวกเรากันบ้างน่ะ"

              "ครืนนนน ตรึงงงงง" ยานรบทั้งสองลำจอดอยู่กลางลานบนโดมเหนือตึกสีเงิน ซึ่งเชื่อมต่อกับหอคอยสูงใหญ่ "แว้งงงงงงงงง" จากนั้นโดมสนามพลังสีฟ้าก็ครอบคลุมยานทั้งสองกัน
              "ทางเราขอกักตัวพร้อมกับฆ่าเชื้อชีวภาพที่ไม่พึ่งประสงค์ออกไปเสียก่อนน่ะ" กลุ่มต่างดาวกล่าวพร้อมกับฉายแสงใส่ ซึ่งต่อให้ยานไทรแองเกิ้ลปิดทึบทั่วลำ ลำแสงก็ทะลุเข้ามาได้อยู่ "งืงงงงง" กิซเซเบอร์ครางเล็กน้อย
              แอบไบออสกล่าว "ทนเอาหน่อยนะ คู่หู"
              "แล้วตอนนี้พวกเจ้าถิ่นจะทำยังไงกับพวกเราต่อละ" แอนเดรียถาม
              เปเปอลิทบอก "เดียวพวกเขาจะกักตัวพวกนายเพื่อดูท่าทีกันไปก่อนน่ะ"
              "หวังว่าคงกักไม่นานเป็นสัปดาห์กันบ้างน่ะ" คลอเวฟบ่น
              เมทาไลท์กล่าว "คงไม่นานนักหรอก เพราะพวกเราอยู่ด้วย เจ้าถิ่นก็คงจะเรียกตัวพวกนายเข้ามาได้นี้แหละ"

              ที่ดาวรีเซคาล-3 ในระบบสเกรลแกมม่า พรมแดนระหว่างฝั่งหรดีและประจิม
              "นั้นคงเป็นข่าวร้ายเลยสิน่ะ" คาร์ทตันกล่าว เมื่อเขา เรเชียลและแฮงโก้ถูกเรียกตัวมาที่สภาผู้อาวุโส
              ผู้อาวุโสมนุษย์กระดาษกล่าว "คนของเราที่อยู่ในระบบดาวใกล้เคียงกับพื้นที่สู้รบได้แจ้งมา และเจ้าถิ่นก็ส่งข่าวมาให้ทางเราแจ้งพวกท่านอีกต่อหนึ่งนี้แหละ"
              "คิดว่าพวกเจ้าถิ่นนั้นคงเป็นพวกวิชเฮสเลอร์ละสิ" แฮงโก้ถาม
              ผู้อาวุโสมนุษย์แก้วบอก "พวกกรัมสกิซคงไม่กล้ายุ่งเรื่องของเจ้าถิ่นกันได้หรอกน่ะ ถึงแม้ว่า ตัวผู้บงการอันโฉดชั่วจะรู้ด้วยก็ตาม"
              "พวกท่าน คงไม่คิดที่จะกักตัวพวกเรา เพื่อส่งตัวไปให้ทางนั้นเลยละสิ" คาร์ทตันถาม
              ผู้อาวุโสมนุษย์พลาสติกบอก "เราแค่มาแจ้งให้พวกเจ้าอยู่นิ่งๆไว้ก่อน อีกอย่าง ท่านควรจะแจ้งพวกไทรเวเซอร์ด้วยเรื่องการสู้รบระหว่างทรอยอาร์และสเตรดาร์ธกันด้วยน่ะ"
              "ส่วนหนึ่งเพราะ พวกท่านกลัวว่าพวกเราจะเจอวิชเฮสเลอร์และกองรบของเขา จนสร้างความเดือดร้อนกระทบถึงพวกไทรเวเซอร์ละสิคะ" เรเชียลกล่าว
              ผู้อาวุโสมนุษย์โลหะบอก "ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พวกเจ้าออกจากดวงดาวกันหรอกน่ะ และขอให้ลูกเรือทั้งหลายในยานของเจ้าเข้าใจกันไว้ด้วย"
              "ผมไม่ชอบเลยที่ต้องอยู่นิ่งแบบนี้เลยน่ะ" เฮฟฟอนบอก
              พอเทนด้ากล่าว "แต่พวกเราเพียงแค่ยานลำเดียวคงทำอะไรไม่ได้หรอกน่ะ อีกอย่าง ถ้าเราหาเรื่องกับวิชเฮสเลอร์และพวก จนบีบให้เขาต้องนำกองยานบุกเบิกมาด้วยละก็ นั้นคงไม่ใช่เรื่องดีเลยละ"
              "แล้วนายไม่มีความเห็นอื่นใดเลยหรือ" แฮงโก้กล่าว
              ยิปเซทกล่าว "ฉันได้แค่หวังว่า เพื่อนชาวดาวฤกษ์ของเนคเกอร์และพวกคงจะแก้ไขอะไรได้บ้าง เพราะกองยานดาวฤกษ์หาเรื่องข้ามเขตเข้ามาเพื่อพากองยานของพวกมนุษย์ที่รุกล้ำเข้าไป กลับไปอยู่ในเขตอวกาศเดิมกันได้น่ะ" แล้วก็บอก "ที่สำคัญ เขตอวกาศที่พวกไทรเวเซอร์อยู่ พวกวิชเฮสเลอร์เองก็เคยอยู่ด้วย ถ้าพวกเราเข้าไป รั้งจะเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดน่ะ"
              "ด้านหน้าคือวิชเฮสเลอร์ที่มีพวกศัตรูน่ากลัวชักใยอยู่เบื้องหลัง แถมมีพวกพ้องจำนวนมากอยู่ในกำมือ ด้านหลัง คือกองยานของคิโคเดนที่ทำสงครามกับพวกสเตรดาร์ธนำโดยมูราดีน ไม่ว่าจะขยับไปไหนเราก็มีปัญหากันนี้แหละ" คาร์ทตันบอก "จนกว่าพวกไทรเวเซอร์ได้รับการปล่อยตัว เราคงต้องสังเกตุการณ์การรบนี้ไปก่อนน่ะ"
              เหล่าหัวหน้าลูกเรือบอก "รับทราบแล้วละครับ/คะ"

              ณ.แหล่งซ่องสุ่มของพวกกรัมสกิซ
              "เฮมล็อคและยานของฉันถูกพวกไทรเวเซอร์ทำลายไปแล้วละ สหายเทรแซท" กาเบลแบนเยอร์บอก
              เทรแซทกล่าว "ไอ้พวกไทรเวเซอร์ พวกมันคิดว่าพวกมันแน่นักหรือ ถึงได้กล้ามาขัดขวางแผนการของฉันไปได้น่ะ"
              "พวกนั้นไม่ได้แค่แน่อย่างเดียว มีข่าวแจ้งมา ว่าเจ้าถิ่นในเขตอวกาศโซนตะวันตก นำกองยานมาจับพวกไทรเวเซอร์กันแล้วน่ะ" มาโดวเวลเดอร์บอก
              เทรแซทได้ฟังก็สบถ "ไอ้พวกเอเลวิเซียร์ พวกมันกล้าต่อต้านฉันลับหลังเลยหรือ รู้งี้ ฉันน่าจะฆ่าราชาและพวกให้ราบคาบไปเสียเลย" แล้วก็แจ้งบอก "ฉันจะส่งยามาโมโต้ไปกวาดล้างพวกมันที่ดาวพาราดัลฟ์เดียวนี้เลย"
              "ใจเย็นๆก่อน สหายเทรแซท นายไม่ควรเสียยานรบลำที่สี่ไปให้พวกมันบดขยี้กันได้หรอกน่ะ" กาเบลแบนเยอร์บอก
              มาโดวเวลเดอร์กล่าว "มีข่าวแจ้งมาจากระบบดาวทั้งแปด เห็นว่าตอนนี้ ประมุขดาวไฮเทคสั่งกองยานและเหล่าผู้พิทักษ์ของดาวทั้งแปด มุ่งหน้าไปยังเอเลวิเซียร์กันแล้วนะสิ"
              "แปลว่าฝ่ายเอเลวิเซียร์คงส่งคนไปหาเรื่องกับพวกเอทพลาเนสแล้วสิ" เทรแซทบอก
              มาโดวเวลเดอร์กล่าว "รายละเอียดไม่ชัดเจนมากนัก แต่จากที่เห็นกองยานมา พวกดาวทั้งแปดคงจะทำสงครามกับพวกเอเลวิเซียร์กันแน่นอน"
              "ส่วนหนึ่งเพราะพวกนายสนับสนุนพวกบูชาดาวมรณะเลยสิน่ะ ย่อมได้ ฉันจะรอดูความวิบัติระหว่างต่างดาวทั้งสองพวก ซึ่งพวกไทรเวเซอร์ที่อยู่กึ่งกลางเองก็คงวินาศไปด้วยน่ะ" เทรแซทบอก
              กาเบลแบนเยอร์พยักหน้า "ใช่ นายจะได้เห็นการนองเลือดกันได้เสียทีน่ะ"
              "แต่จะดีกว่านี้ หากนายทั้งคู่ไปช่วยผสมโรง โดยนำพวกเดธซิลเวอร์พลาเนตไปด้วยจะดีกว่าน่ะ" เทรแซทบอก
              มาโดวเวลเดอร์กล่าว "ส่วนหนึ่งเพราะนายกลัวว่าสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่นายหวังละสิ"
              "ถ้าพวกมันไม่ก่อเหตุนองเลือดให้ฉันเห็น พวกนายต้องเป็นฝ่ายลงมือเอง และฉันต้องการให้พวกนายทั้งคู่เอาหัวพวกไทรเวเซอร์มาด้วย" เทรแซทกล่าว
              กาเบลแบนเยอร์ยิ้มและบอกว่า "ไม่มีปัญหาอยู่แล้วละ สหายเทรแซท"

    Triveser Manigator Saga:Hyperstar Trooper
    ตอนที่ 52 เอทพลาเนต ปะทะ เอเลวิเซียร์ ความจริงของสองฝ่ายที่คาดไม่ถึง


              ที่ดาวพาราดัลฟ์-5 ระบบดาวแม่ของราชอาณาจักรเอเลวิเซียร์ อาคารสภาสูง
              "มียานอวกาศจากเขตอวกาศกางเขนใต้เข้ามาที่ดาวของเราแล้วละครับ" ทหารในชุดเกราะสีเหลืองสวมหมวกเหล็กปิดหน้าตาและเกราะหัวไหล่ซ้าย เข้ามารายงานต่อประมุขผู้อยู่หลังเสากระจก ซึ่งกล่าวไปว่า
              "ยานของฝ่ายสมาพันธ์อวกาศนะหรือ"
              "เปล่าครับ เห็นว่าเป็นยานของตัวแทนจากฝ่ายแพลตตินั่มอามาด้า แจ้งมาด้วยเรื่องของเหล่าผู้บุกรุกที่เราจับกุมกันอยู่นะครับ" ทหารรายงาน
              ประมุขได้ฟังก็ตกใจขึ้นมา "ตอนนี้ ตัวแทนของชาวดาวฤกษ์มาถึงแล้วสิ"
              "ครับ และตัวแทนผู้นั้นต้องการคำอนุมัติจากท่านด้วยครับ" ทหารกล่าว
              ประมุขบอก "ได้ อนุมัติให้ยานของชาวดาวฤกษ์เข้ามาได้"
              หลังจากนั้น 5 นาทีถัดมา แอสเทลน่าในชุดเต็มยศเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เพียงแต่ประมุขมีบุคคลในชุดสีเขียวยืนอยู่ด้วย "เจ้าคงจะเป็นตัวแทนของกองยานดาวฤกษ์จากเขตอวกาศกางเขนใต้สิน่ะ" ประมุขถาม
              "คะ ข้าคือซีคเทมพลาร์แอสเทลน่า ตัวแทนของกองยานแพลตตินั่มอามาด้า ข้ามาด้วยคำสั่งของเอสเซคาร่าซาดีริล ในเรื่องอาคันตุกะที่อยู่ในความควบคุมของท่านประมุขนะคะ" แอสเทลน่าบอก
              ประมุขพยักหน้า และกล่าวขึ้น "ซีคเทมพลาร์แห่งแพลตตินั่มอามาด้า ดูเหมือนว่านี้คงจะถึงเวลานั้นแล้วสิน่ะ"  จากนั้นก็ "แจ้งให้ทีมรีเซคอนที่อยู่กับพวกแมนิเกเตอร์ให้พาพวกเขามาที่นี้ได้แล้ว"

              "ครืนนนนนนนน" ยานบินทรงเรือแล่นออกจากยอดหอคอย ซึ่งมีพวกเปเปอลิทนั่งมา ตามด้วยเนคมาดูซัม พีวิล มาสวาร์ทาร์ คลอเวฟ สเตฟอร์ด โฟรซ่า ฟิเกซ สเปียริท ลิเนียร์ตี้ แอนเดรีย เจเนล เบติสและวิลด้าที่นั่งอยู่
              "ดูท่าว่า ประมุขของดาวดวงนี้จะเชื่อว่าพวกเรามิใช่ตัวอันตรายแล้วสิ" เจเนลบอก
              โฟรซ่าบอก "เรายังวางใจไม่ได้หรอกน่ะ เจมส์ เพราะพวกเรามาโดยปราศจากอาวุธติดตัวเลยน่ะ"
              "ต่อให้พวกนายมีชื่อเสียงอันโด่งดังจากการต่อกรกับพวกกรัมสกิซกันมา แต่อย่าลืมน่ะ ว่าพวกนายเองก็หาเรื่องกับตัวแทนของกลุ่มอาณาจักรของดาวนี้น่ะ" เปเปอลิทบอก
              คลอเวฟบอก "ถ้าเรารู้ว่าพวกนายหรือประมุขของดาวนี้คิดไม่ซื่อละก็ รับรองว่าพวกเราจะเล่นพวกนายกันก่อนน่ะ"
              "พอเหอะน่า คลอเวฟ เปเปอลิทกับพวก ถือเป็นตัวแทนของชาวรีไซคอลที่อยู่ในดาวรีเซคอล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าถิ่นเลยน่ะ" พีวิลปราม
              มาสวาร์ทาร์กล่าว "เพราะว่าเรากับพวกเทอร่าสควอดอนและกองรบฝ่ายมนุษย์ต่อกรกับเกรย์เบียสและพวก เท่ากับว่าเราก่อความไม่สงบสุขในเขตอวกาศนี้ แม้เราจะไม่ทำลายดาวไปสักดวงก็ตามน่ะ"
              "หวังว่าการพูดคุยกับประมุขของดาวและกลุ่มต่างดาวที่เราต้องเจอนั้น จะเป็นไปได้ด้วยดีน่ะ" ลิเนียร์ตี้บอก
              เนคมาดูซัมกล่าว "ที่ถูกนั้น คือเราต้องไม่มีอะไรมาก่อกวนหรือป่วนการเจรจากันได้หรอกน่ะ"

              "ฟ้าววววววว" ยานบินเข้าไปในหอคอยอาคารสภาสูง โดยที่พวกไทรเวเซอร์กับรีเซคอนทีมเจอเหล่าทหารอารักขานำทางมา จนมาถึงท้องพระโรง ซึ่งแอสเทลน่าและเหล่านักรบดาวฤกษ์ยืนอยู่ข้างซ้าย ฝั่งขวามีบุคคลชุดเขียวอยู่
              "พวกเจ้าคงจะเป็นทีมรีเซคอน ตัวแทนเผ่ารีไซคอลจากดาวรีเซคอลสิน่ะ" ประมุขหลังม่านกล่าวกับพวกเปเปอลิท ซึ่งพยักหน้าแทนคำตอบ จากนั้นประมุขก็หันมายังพวกไทรเวเซอร์ "และพวกเจ้าก็คือกองกำลังไทรเวเซอร์ ตัวแทนของฝ่ายสหพันธมิตรแมนิเกเตอร์อันลือชื่อสิน่ะ"
              เนคมาดูซัมพยักหน้า "พวกเราต้องขอโทษในสิ่งที่พวกเราก่อขึ้นในเขตอวกาศของพวกท่านด้วยนะครับ"
              "อันที่จริงแล้ว เดิมพวกเราไม่พอใจในการเข้ามาของพวกเจ้า เพราะทางเรากลัวว่าพวกเจ้าจะทำลายความลับที่พวกเราปกปิดมาตลอดหลายร้อยปีลง ส่งผลให้พวกเราตกอยู่ในอันตรายกันก็ตาม" ประมุขบอก "แต่ทางเราขอบใจพวกเจ้ามากที่ช่วยหยุดยั้งความเลวร้ายที่เกาะกินพวกเรา รวมถึงพวกกรัมสกิซกันด้วยน่ะ"
              แอนเดรียบอกอย่างแปลกใจ "ท่านหมายถึง การทำลายยานของพวกนายพลเฮมล็อคนะหรือคะ"
              "ใช่ เพราะว่าพวกเราได้รับพวกเขามา เนื่องจากพวกเขาร่อนเร่อยู่ในเขตอวกาศของเรา อีกทั้งพวกเขามียานรบอันทรงอำนาจมากพอ ที่จะช่วยปกป้องพวกเราจากกลุ่มโจรสลัดอวกาศและกลุ่มอาชญากรอวกาศกลุ่มใหม่ๆ ที่คิดท้าทายและเอาชนะพวกเรากันแล้วก็ตาม" ประมุขบอก
              บุคคลชุดเขียวกล่าว "จนกระทั่งมียานสีดำปรากฎขึ้นเพื่อไล่ล่ายานรบทั้งสามกัน แม้ว่าพวกเราและพวกเขาช่วยกันจู่โจมยานรบนั้นให้พังพินาศลง แต่ 3 ปีถัดมา มารร้ายทั้งสามได้ปรากฎตัวขึ้นมา เปลี่ยนยานสีดำ แล้วก็ยานรบทั้งสามกับเหล่าแขกทั้งหลายให้เป็นเครื่องมือทำลายล้าง ซึ่งก็ทำให้กรัมสกิซตกอยู่ในมือของมันไปด้วย"
              "หมายถึงเทรแซท กาเบลแบนเยอร์และมาโดวเวลเดอร์ละสิน่ะ" ฟิเกซกล่าว
              เจเนลกล่าว "และที่เทรแซทก่อเรื่องตามใจชอบไปได้นั้น เพราะพวกนาย ไม่กล้าหาเรื่องกับพวกเดียวกัน และกลัวคำขู่ของไอ้เทรแซทละสิ"
              "เสียมารยาทน่า พวกนายไม่ควรหาเรื่องกับประมุขดาวดวงนี้เลย...." กลาสเชลโวย
              ประมุขกล่าว "พวกเขาพูดถูกแล้วละ เพราะพวกเขาคงจะรู้เรื่องมาก่อนแล้วน่ะ" จากนั้นก็กล่าว "ใช่ หัวหน้ากรัมสกิซ กองกำลังพิทักษ์เขตอวกาศของพวกเราซึ่งปลอมเป็นกลุ่มโจรสลัดอันลือชื่อมานมนาน ถูกมารร้ายนามเทรแซทฆ่าตายไป จากนั้นก็ใช้ยานรบทั้งสี่ ที่พวกนั้นดัดแปลงเพื่อใช้เป็นอาวุธทำลายล้าง โดยอ้างว่าทำเพื่อรักษาความลับของพวกเรา แต่จริงๆแล้ว มารร้ายผู้นี้ ต้องการให้เขตอวกาศของเราเกิดความโกลาหลสนองความต้องการด้านมืดอันเลวร้าย ซึ่งพวกเรา ไม่กล้าแม้จะจัดการกับมันได้น่ะ"
              "เพราะท่านกลัวว่า เทรแซทจะทำลายจักรวาลทิ้งด้วยระเบิดที่อยู่ในตัวของมันละสิ" สเตฟอร์ดบอก
              โฟรซ่ากล่าว "ท่านคงไม่รู้นะคะ ว่าเทรแซท เป็นแมนิเกเตอร์อดีตมนุษย์ที่เลวระยำ และมีความต้องการที่จะทำลายจักรวาลทั้งปวง ซึ่งพ่ายแพ้ให้กับกองรบแมนิเกเตอร์อันแข็งแกร่งกว่า แต่ถูกจองจำเพราะคำอ้างเด็ดของมัน จนทำให้ผู้นำแมนิเกเตอร์ต้องผนึกมันไว้ แต่นั้นก็ทำให้มันหลบหนีมาก่อเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้กับพวกท่านในตอนนี้ ซึ่งพวกเรามานี้เพื่อที่จะหยุดยั้งความทะเยอทะยานเฮงซวยของเทรแซทนะคะ"
              "ที่สำคัญ พวกท่านก็คงจะรู้ ว่าเทรแซทหลอกใช้กองทหารคุ้มกันกองยานให้เป็นสมุน แถมยังลวงทหารฝ่ายของเราไปอยู่กับวิชเฮสเลอร์ด้วยเหตุผลเดียวกันด้วยนะครับ" เบติสกล่าว
              วิลด้าบอก "พวกเราจึงขออนุญาตให้ท่านช่วยเหลือพวกเราในการกอบกู้กองยานเหล่านั้น เพื่อนำพาไปอยู่ในที่ปลอดภัยกัน ก่อนที่เทรแซทจะใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือสนองความต้องการด้านมืดของมันได้นะคะ"
              "แต่เกรงว่าพวกเราจะทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกน่ะ เพราะ ถ้าขนาดพวกเรา หรือแม้กระทั่งวิชเฮสเลอร์เองไม่มีทางทำอะไรเทรแซทได้ พวกเจ้าเองก็เช่นกันน่ะ" ประมุขบอก
              แอนเดรียบอก "แต่พวกเราไม่นิ่งดูดาย ปล่อยให้เทรแซทกดขี่ข่มเหงพวกท่านเหมือนที่พวกท่านทำอยู่ เพราะพวกเราไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปจนเทรแซทสมหวังได้เลยนะคะ"
              "ต่อให้ท่านไม่อนุญาต แต่พวกเราก็ต้องทำ เพื่อช่วยเหลือแมนิเกเตอร์อีกหลายร้อยหลายพันที่อยู่ในกำมือของพวกเทรแซท ซึ่งรวมถึงพวกวิชเฮสเลอร์กันด้วยนะคะ" ลิเนียร์ตี้บอก
              คลอเวฟบอก "ต่อให้เทรแซทอ้างแบบนั้นไปจริง เราจะกระทืบมันให้ได้ก่อนที่มันจะจุดสวิตซ์ระเบิดทำลายจักรวาล หรือถึงมันทำเช่นนั้นได้ มันก็ต้องฉิบหายก่อนอยู่ดีนี้แหละ"
              "แต่นั้นหมายถึงหายนะของทั้งจักรวาลที่พวกเรา สมาพันธ์อวกาศ และพวกเจ้าเองต้องเกิดขึ้นกันด้วยน่ะ อีกอย่าง พวกเราไม่มีทางจัดการกับเทรแซท....." บุคคลชุดเขียวบอก
              สเปียริทกล่าว "......พวกคุณกลัวเทรแซทจะใช้คนของพวกคุณก่อความเดือดร้อน หรือว่า พวกคุณ กลัวพวกเอทพลาเนสเจอตัวจนพวกคุณเดือดร้อนกันแน่ละคะ"
              "พวกนายหยุดขึ้นเสียงกับประมุขกันเดียวนี้เลยน่ะ" เมทาไลท์กล่าวอย่างไม่พอใจ
              แต่ "วึงงงงงง" แอสเทลน่าโผล่มาใช้ไซโคเอดจ์จ่อตรงคอของเมทาไลท์เข้า ประมุขบอก "ที่เจ้าว่ามานั้น ถูกต้องแล้ว ส่วนหนึ่งที่พวกเจ้าพูดเช่นนั้นไป เพราะฟังจากประมุขฟิวเจนท์ ในช่วงที่พวกเจ้าปลดปล่อยพวกเขาจากกำมือของพวกบูชาดาวมรณะเลยสิน่ะ"
              "พวกเราไม่ได้รับฟังจากโอเวอร์เซียร์ฟิวเจนท์กันหรอก แต่เรารู้จากประธานสภาบาแลมโซ่นะครับ" เนคมาดูซัมกล่าว
              บุคคลชุดเขียวบอก "นึกแล้วเชียว ว่าลูกชายของประธานสภานั้น ใช้โทรจิตพิสัยไกลสื่อสารออกไปเสียได้น่ะ"
              "ข้าขอถามพวกเจ้ากันสักหน่อยน่ะ" ประมุขถาม "นอกเหนือจากคำพูดของประธานสภาลิเบรมตนปัจจุบัน อะไรอีกบ้างที่ทำให้พวกเจ้าเชื่อว่า พวกเราเกี่ยวข้องกับพวกเอทพลาเนสกันน่ะ"
              มาสวาร์ทาร์บอก "เหล่านักรบในคราบโจรสลัดของกรัมสกิซ ใช้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่เราเคยเห็นในดาวทั้งแปดมาก่อน แม้เราได้อาวุธมา แต่ก็ไม่สามารถแกะออกไปได้ เพราะอาวุธดังกล่าวมีส่วนประกอบที่เป็นอันตรายอย่างมากอยู่นะครับ"
              "จากการที่เรามาที่ดาวของพวกท่านนั้น เราเห็นเมืองหลวงแบบเดียวกับที่เห็นบนดาวเทคโนตัน เมืองบนหุบเขาแบบดาวสโตนยอน เมืองกลางป่าทึบของจังกรอเรส และเกาะลอยแบบดาวแอร์คราวนด์ ซึ่งอาจรวมถึงของดาวดวงอื่นๆกันด้วยนะ" ฟิเกซกล่าว
              แอนเดรียบอก "ตอนที่พวกเราได้อาวุธและชิ้นส่วนยุทโธปกรณ์ของฝ่ายตรงข้าม เหล่าทหารเอทพลาเนสกลับยึดไปและส่งวัตถุดิบที่ผ่านการแปรรูปมา เพราะพวกเขาต้องการรักษาความลับเรื่องวิทยาการของพวกเขา ซึ่งเหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนี้ บวกกับการที่กรัมสกิซมีอาวุธยุทโธปกรณ์แบบเดียวกัน บ่งบอกได้ว่า พวกคุณขโมยหรือได้วิทยาการจากเอทพลาเนสมาใช้เลยนะคะ"
              "และด้วยเหตุผลดังกล่าว ถ้าพวกเอทพลาเนสเจอและรู้เรื่องนี้ จนสืบหาต้นตอมาถึงที่ดาวดวงนี้ละก็ พวกคุณจำต้องปิดบังเรื่องนี้ด้วยการหลอกว่าพวกคุณสิ้นสูญไป และให้กองรบของพวกคุณปลอมเป็นกองกำลังโจรสลัดอันน่าเกรงขาม เพื่อปกป้องพวกคุณจากการคุกคามของพวกไม่หวังดีในเขตอวกาศแห่งนี้ มาตลอดหลายร้อยปีเลยสิคะ" โฟรซ่าบอก "แน่นอนว่าพวกคนเลวบางกลุ่มอยากจะได้ความช่วยเหลือจากพวกกรัมสกิซกัน แม้กระทั่งพวกดาวไอซ์ติก้าเองก็ด้วยน่ะ"
              เนคมาดูซัมบอก "แต่พวกคุณกลับนิ่งเฉยไม่ตอบรับความช่วยเหลือ แม้นั้นหมายถึง ผู้ที่เดือดร้อนจริงๆจะถูกมองข้าม จนพวกเขาเกิดความโกรธแค้นต่อพวกคุณ และกลายเป็นศัตรูร่วมไปอีกกลุ่มด้วย"
              "และการที่พวกคุณนิ่งเฉยไปนั้น เปิดโอกาสให้เทรแซทที่ลำพองใจอยู่แล้ว ก่อกรรมทำเข็ญและสร้างศัตรูให้กับพวกโจรสลัดมากขึ้น โดยมีพวกกรัมสกิซเป็นเครื่องมือเช่นเดียวกับพวกนายพลเฮมล็อคกันด้วย" พีวิลกล่าว "ต่อให้พวกคุณไม่ทำ พวกเราตัดสินใจที่จะหยุดยั้งเทรแซทไม่ให้เหิมเกริมไปมากกว่านี้ได้หรอก"
              บุคคลชุดเขียวบอก "แล้วเจ้าไม่กลัวว่า กองยานที่มีพลเรือนหลายรายจะต้องรับเคราะห์จนเสียชีวิตเลยหรือ ไม่กลัวว่าพวกเขาตายด้วยน้ำมือของพวกเจ้าเลยหรือ"
              "พวกเราพร้อมรับกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียกันอยู่แล้ว และเลือกที่จะหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของเทรแซทไม่ให้สำเร็จกันอีกด้วยนะคะ" สเปียริทบอก "เพราะอะไรนะหรือคะ เพราะว่าเรารู้และไม่กลัวเกรงต่อเทรแซทและพวกสมุนของมันได้หรอกคะ"
              ในที่ประชุมนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง บุคคลชุดเขียวกล่าว "แต่ก่อนหน้าพวกเจ้า ก็มีกลุ่มนักรบหลายกลุ่มที่พูดเช่นนี้ ถ้าพวกเขาไม่เข้าเป็นพวกเทรแซท ก็ต้องถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของสหายทั้งสองของมันอยู่แล้วน่ะ"

              "พอเถอะ ฟาลเจนท์ เจ้าพูดพอแล้วละ" ประมุขกล่าว และ "แว้งงงง" กำแพงกระจกเปิดออก เผยโฉมหน้าของประมุข ผู้ซึ่งสวมผ้าคลุมสีเทาและสวมหน้ากากสีดำปิดหน้า "ที่พวกเจ้ากล้าเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเพราะพวกเจ้าเคยกำชัยชนะเหนือพวกเดลอาเนี่ยนมาก่อนละสิ" ประมุขกล่าว
              พีวิลบอก "ลำพังพวกเรามิได้กำชัยชนะเหนือพวกเดลอาเนี่ยนกันได้นะครับ แต่พวกเรามีความช่วยเหลือจากหลายฝ่ายรวมกันนะครับ"
              "แม้ว่าพวกเจ้าจะเจอกับศัตรูที่น่ากลัว อำมหิต และฉลาดมากพอที่จะสยบพวกเจ้าให้อยู่ในกำมือเลยนะหรือ" ประมุขถาม
              มาสวาร์ทาร์กล่าว "พวกเรารู้ดี ว่าเราต้องเสียท่าให้กับคำขู่ของเทรแซทเหมือนกับพวกพ้องของเราก่อนหน้าเลยก็ตาม แต่เราจะไม่ปล่อยให้คนเลวอย่างเทรแซทชนะไปได้นะครับ"
              "แล้วพวกเจ้าไม่คิดอะไรเลวร้ายลับหลังพวกเรา เหมือนกับกลุ่มก่อนหน้าเลยสิ" ประมุขถามอีก
              เนคมาดูซัมกล่าว "ถ้าพวกเราทำจริง เราคงมีอาวุธติดมือไปนานแล้ว อีกอย่าง พวกท่านเดือดร้อนกันเช่นนี้ พวกเราไม่คิดที่จะซ้ำเติมพวกท่านไปได้หรอก"
              "อืมมมม สมแล้วที่พวกเจ้าเป็นเหมือนที่ซีคเทมพลาร์ว่าไว้เลยน่ะ" ประมุขบอก
              บุคคลชุดเขียวกล่าว "แต่จะดีหรือครับ ท่านประมุข เพราะนั้นหมายถึงพวกเขาจะรู้โฉมหน้าของพวกเราเลยน่ะ"
              "ถ้าพวกเขารู้จากบาแลมโซ่กันละก็ เท่ากับว่าพวกเขารู้ไปเกินครึ่งแล้วละ" ประมุขกล่าวพร้อมกับปลดหน้ากากสีดำออก เผยใบหน้าที่แท้จริง ซึ่งเป็นต่างดาวหน้ายาวผิวสีขาว มีตาสีฟ้าข้างละ 3 ดวง ปากหนา มีรูจมูก 2 รู "และพวกเจ้าก็คงจะรู้ว่าพวกเราคือราชอาณาจักรเอเลวิเซียร์ที่ควรจะสาปสูญไปเมื่อ 400 ปีก่อน แต่ซ่อนเร้นอยู่หลังเงา โดยให้ท่านลอร์ดกรัมสกิซนำกองกำลังปลอมเป็นเหล่าโจรสลัดอวกาศเพื่อข่มพวกเลวๆในเขตอวกาศนี้น่ะ" เนคมาดูซัมพยักหน้า
              พีวิลกล่าว "แม้ว่าการกระทำของพวกท่านมีเหตุจำเป็นกันก็จริง แต่....เรายังมีคำถามมากมายที่ต้องถามท่านสักหน่อยนะครับ"
              "ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามของพวกเจ้านั้น ข้าจะแนะนำตัวก่อนแล้วกัน" ประมุขกล่าว "ข้าคือโอ-มากูม-ดาพ ชาวดาวลา-ฟัล-บา ดาวดวงที่ 546 จากดาว 1,080 ดวงในจักรวาลเดิม ซึ่งบัดนี้ ดาวของพวกเราสูญสิ้นไปแล้วน่ะ"
              มาสวาร์ทาร์พยักหน้า "โอเวอร์เซียร์ฟิวเจนท์เคยเล่าให้พวกเราฟังมาแล้วละครับ ท่านประมุขโอ...."
              "เออ ขอบอกตามตรงน่ะ ท่านคาตานะลอร์ด ทำเนียมของเอเลวิเซียร์ อาคันตุกะอย่างพวกนายไม่ควรเรียกชื่อประมุขแบบเต็มๆ เว้นแต่กลุ่มสมาชิกที่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของเอเลวิเซียร์ อย่างพวกรีไซคอลเท่านั้นที่ทำได้น่ะ" แอสเทลน่ากล่าวขัด
              คลอเวฟกล่าว "และถ้าให้เดา พวกนายคงจะโดนตำหนิจากการพูดชื่อประมุขแบบห้วนๆและหยาบคายจนเกือบโดนลงโทษแล้วสิ"
              "พอเหอะ พวกเราไม่อยากมีเรื่องตีกันต่อหน้าท่านประมุขกันหรอกน่ะ" เปเปอลิทปรามกลาสเชลและพลาติไซล์ที่โมโหไว้ก่อน
              พีวิลกล่าว "ท่านประมุข การที่ท่านเอ่ยชื่อบุคคลที่อยู่ใกล้นั้น แปลว่าเขาคงจะเป็น...."
              "....สมแล้วที่พวกเธอช่วยปกป้องกลุ่มดาวของฟิวเจนท์จากเงื้อมมือพวกบูชาดาวมรณะกันแล้วน่ะ" บุคคลชุดเขียวตนที่ถูกกล่าวถึงถอดหมวกกรวยสีดำออก เผยใบหน้าของชาวเทคโนตันที่อยู่ข้างใน หากแต่ใต้จมูกมีแถบเหล็กเหมือนหนวดอยู่ "นามของฉันคือ ฟาลเจนท์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเทคโนตัน ฉันเป็นลุงของฟิวเจนท์ ซึ่งหายสาปสูญไปเมื่อ 80 ปีก่อนน่ะ"
              เจเนลบอก "80 ปีก่อนหรือ แปลว่าลุงแก่มากสิ"
              "ชาวเทคโนตันเมื่อบรรลุนิติภาวะแล้ว พวกเขาจะคงสภาพแบบนี้ตลอดไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ทศวรรษก็ตาม แน่นอน ว่าชาวดาวอื่นๆเองก็มีกฎเกณฑ์เช่นนั้น เช่นเดียวกับ ท่านประมุขด้วยนะสิ" ฟาลเจนท์บอก
              แอนเดรียบอก "พวกคุณคงจะอายุยืน แต่ไม่ถึงกับเป็นอมตะ ซึ่งนั้นหมายถึง พวกคุณอาจจะเสียชีวิตได้ ไม่ว่าจะด้วยอาการเจ็บป่วย อุบัติเหตุหรือถูกฆ่าตายได้สิคะ"
              "ใช่ ด้วยสภาพของพวกเราและเอทพลาเนสนั้น คือเหตุผลเดียวที่พวกเราต้องหลีกเลี่ยงการปะทะจนสิ้นสูญชีวิตไปนะสิ" โอ-มากูม-ดาพกล่าว "แน่นอน ว่าการที่พวกเราคงอยู่ในเขตอวกาศนี้มาตลอด 4 ศตวรรษนั้น ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความเชื่อของพวกเอทพลาเนสนั้นเป็นความเชื่อที่ผิดพลาดมาแต่แรกน่ะ"
              ลิเนียร์ตี้บอก "ความเชื่อของเอทพลาเนสนะหรือ หมายความว่ายังไงละคะ"
              "ช่วยอธิบายให้กับเหล่าแมนิเกเตอร์ฟังได้มั้ยละคะ เอาตั้งแต่หลังจากที่บรรพบุรุษของพวกท่าน มาที่จักรวาลของพวกเราเมื่อ 4 ร้อยปีก่อนนะคะ" แอสเทลน่าบอก โอ-มากูม-ดาพพยักหน้า
              ฟาลเจนท์บอก "นั้นคงถึงเวลาแห่งความจริงแล้วสิครับ"
              "มันถึงเวลาที่เหล่าผู้ถูกสร้างด้วยวิทยาการของจักรวาลนี้ เหมือนกับพวกเราจะได้รับรู้ความจริงระหว่างพวกเรา กับเอทพลาเนสกันแล้วละ" โอ-มากูม-ดาพบอก
              เนคมาดูซัมกล่าว "งั้นก็เริ่มเล่าได้เลยครับ" ประมุขพยักหน้า แล้วภายในห้องโถงก็ดำมืดสนิท

              "หลังจากที่บรรพบุรุษของพวกเรา ได้หลบหนีการตามล่าของดาวสีเงินมรณะจากจักรวาลเดิม หลังจากที่เราสูญสิ้นดาวบ้านเกิดของเราไปพร้อมกับดาวอีก 1071 ดวง ให้กับดาวสีเงินมรณะ จนมาถึงจักรวาลของพวกเจ้านั้น พวกเราได้ขอร้องกลุ่มสมาพันธ์อวกาศและกองยานรบของชาวดาวฤกษ์ ผู้ดูแลและรักษาความสงบในเขตจักรวาลส่วนหนึ่ง ให้ช่วยเหลือพวกเราในการสู้รบกับดาวสีเงินมรณะนั้น ซึ่งผลของการสู้รบนั้นหนักหนากว่าที่บรรพบุรุษของพวกเราคิดไว้" โอ-มากูม-ดาพกล่าว พร้อมกับแสดงภาพของกลุ่มดาวทั้งแปดและกองยานของฝ่ายสมาพันธ์อวกาศและกองยานดาวฤกษ์ "แชดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ป้ากๆๆๆๆๆๆ ตูมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" สู้รบกับกองรบสีดำแวววาวที่มาในรูปของหุ่นยนต์ขนาดใหญ่และยานอวกาศ ทั้งฝูงยานบินและยานรบลำใหญ่กันอย่างหนักหน่วง "แน่นอน ว่าพวกเรารวมถึงชนเผ่าที่เหลือรอดจากการไล่ล่าของดาวมรณะนั้น ตั้งใจที่จะทำลายดาวมรณะนี้ลงอย่างถาวร เพื่อมิให้มันทำลายดาวดวงอื่นในจักรวาลแห่งใหม่ที่เรามาถึง แต่.....มีชนเผ่าหนึ่งในจักรวาลแห่งใหม่ ได้จัดการเรื่องนี้ ซึ่งแม้ว่าจะจบเรื่องลงอย่างง่ายดาย แต่เป็นการกระทำอันโง่เขลาที่สุด ซึ่งนั้นจะทำให้ลูกหลานหลังจากนี้ต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายนี้ในอีกหลายร้อยปีต่อมา"
              แอนเดรียบอก "ท่านคงหมายถึง ชาวดาวดีเมลแชม ใช้วิทยาการสร้างช่องว่างต่างมิติ ดูดดาวสีเงินมรณะเข้าไปนะหรือคะ"
              "ถูกต้องแล้วละ แม้ว่านั้นจะทำให้ดาวมรณะนั้นไม่สามารถออกมาก่อความเดือดร้อนได้ก็ตาม หากแต่ ตราบใดที่ดาวไม่ถูกทำลาย ดาวดวงนั้นก็ยังหาทางออกจากช่องว่างต่างมิติกันได้อยู่ดี" โอ-มากูม-ดาพเล่า พร้อมกับนำภาพที่ยานรบส่วนหนึ่ง "แว้งงงงงง ฟ้าวววววว ครืนนนนนนนนน" สร้างช่องว่างต่างมิติสูบดาวสีเงินเข้าไปพร้อมกับกองรบด้วย
              ฟาลเจนท์บอก "อีกทั้งพวกเราเองก็ทราบมาด้วย ว่าชนเผ่าที่ใช้เทคโนโลยี่ห้วงมิติกักขังดาวมรณะนั้น ก็ใช้วิทยาการดังกล่าวแบบไม่มีหัวคิด จนขัดต่อกฎเกณฑ์ของชาวดาวฤกษ์กันมาหลายครั้ง ส่งผลทำให้พวกเขาต้องหนีเข้ามาในเขตอวกาศแห่งนี้ หลังจากที่บรรพบุรุษของพวกเราออกเดินทางเข้ามาได้เมื่อ 45 ปีก่อนแล้ว แน่นอน ว่าชาวดาวฤกษ์กดดันพวกเขาให้ต้องหนีไปอยู่มิติอื่น ซึ่งไม่ใช่ที่เดียวกันกับที่พวกเขากักดาวมรณะไว้น่ะ"
              "ถ้าเช่นนั้น เหตุผลที่เธอกับแพลตตินั่มอามาด้าทำลายสถานีประตูมิติที่ดาวฟาลช่า-4 ก็เพื่อกันมิให้ดาวมรณะที่ถูกกักขังหลุดออกมาได้สิ" โฟรซ่ากล่าว
              แอสเทลน่าพยักหน้า "ตราบใดที่พวกเดธซิลเวอร์พลาเนตยังเหลือรอดอยู่ พวกเราไม่ยอมให้พวกมันเรียกดาวออกมาได้เป็นหนที่สองและหนถัดไปได้หรอกน่ะ"
              "และการสู้รบในอดีตเมื่อ 400 ปีก่อนนั้น คงทำให้ดาวมรณะนั้นเสียหายมาก จนเหลือชิ้นส่วนหลุดไปเลยสิครับ" พีวิลบอก
              โอ-มากูม-ดาพพยักหน้า โดยเผยภาพ "ครืนนนน" ดาวสีเงินอ้าช่องวงกลมขนาดใหญ่ออก พร้อมกับนำกงเล็บจักรกลขนาดใหญ่ออกมา "ฟ้าวววววว" จากนั้นก็มียานดาวฤกษ์ลำหนึ่งเรืองแสงและพุ่งเข้า "เปรี้ยงงง ตรูมมมม" เป่าระเบิดใส่กงเล็บอย่างจังๆ "แวบบบบบ เปรี้ยงงง บรึมมมม" จนพลังแสงจากแรงระเบิดแทรกเข้าไปในตัวดาวจนแตกระเบิดกระจายชิ้นส่วนออกมา "ด้วยการเสียสละของยอดนักรบดาวฤกษ์ เขาไม่เพียงทำลายหัตถ์กักดาราลง แต่ทำให้ดาวมรณะสูญเสียชิ้นส่วนสำคัญ ซึ่งกระจายไปยังดาวดวงต่างๆในเขตอวกาศของฝ่ายสมาพันธ์ฯ ส่งผลให้ดาวมรณะอ่อนพลังลงในระดับหนึ่งจนถูกกักอยู่ในห้วงมิติไปโดยปริยาย ซึ่งทุกอย่างมันควรจะจบลงแล้ว ถ้าไม่เพราะว่า.....มีผู้รู้ชาวเทคโนตันแอบรวบรวมชิ้นส่วนของดาวมรณะที่ลอยอยู่ใกล้กับดวงจันทร์สงคราม นำมาเก็บไว้เพื่อทำการศึกษา จนส่งผลกระทบให้กับดาวทั้งแปดโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า พวกเขาได้ทำให้ดาวมรณะรู้ที่ตั้งและลงมือไปแล้วละ"
              "ท่านคงไม่ได้หมายความว่า ดาวมรณะอาศัยเศษชิ้นส่วนที่พวกเทคโนตันเก็บไว้ กระจายพลังเพื่อครอบงำชาวดาวทั้งแปดส่วนหนึ่ง ให้กลายเป็นพวกเดธซิลเวอร์พลาเนสนะหรือ" เบติสกล่าว โอ-มากูม-ดาพพยักหน้า
              ฟาลเจนท์กล่าว "ใช่ ตลอด 400 ปีที่ผ่านมา พวกเราต้องต่อสู้กับพี่น้องที่ถูกครอบงำโดยดาวมรณะจนบรรพบุรุษของแต่ละดาว ต้องก่อตั้งกลุ่มผู้พิทักษ์ดาราขึ้นมาเพื่อปกป้องระบบดาว เพราะไม่ใช่แค่พวกชนเผ่าที่ถูกดาวมรณะครอบงำ แต่พวกอธรรมที่อยู่ในเขตอวกาศภาคกลางเองก็ตกอยู่ในอำนาจของดาวมรณะ ผ่านชิ้นส่วนที่ถูกเก็บผนึกไว้ แม้จะใส่ไว้ในภาชนะอันแน่นหนาจนไม่ปล่อยให้อนูพลังออกมาได้ก็ตาม ดาวของพวกเราและอีกเจ็ดดวง ถูกมลทินจากดาวมรณะฝังรากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วน่ะ" แล้วก็บอก "แน่นอน ว่าฉันกับพวกต่างรู้เรื่องนี้ และตั้งใจจะนำพาชาวเทคโนตันออกจากดาว พร้อมกับขอร้องให้พ่อของฟิวเจนท์ซึ่งเป็นโอเวอร์เซียร์องค์ก่อนทำลายชิ้นส่วน แต่เขาปฏิเสธและยืนกรานที่จะศึกษาชิ้นส่วน เพื่อหาหนทางอื่นในทำลายดาวมรณะลง ซึ่งต่างจากแนวทางของทางเอเลวิเซียร์ ที่เลือกแยกตัวออกมาแล้วนะสิ"
              "แสดงว่าระหว่างพวกท่านกับพวกเอตพลาเนส คงมีเรื่องผิดใจกันมาก่อนละสิคะ" สเปียริทกล่าว
              โอ-มากูม-ดาพพยักหน้า "พวกเจ้าคงจะคิดว่า การที่เราแยกจากเอตพลาเนสไปนั้น เพราะความเห็นเรื่องการทำลายดาวมรณะกันละสิน่ะ" แล้วก็นำภาพดาวทั้งแปดที่อยู่ในเขตอวกาศภาคกลางเมื่อ 400 ปีก่อน "แต่ความจริงแล้ว เหตุผลที่เราเลือกแยกตัวจากพวกเอตพลาเนสนั้น เพราะพวกเรา ต้องการที่จะอยู่ในบ้านหลังใหม่ในจักรวาลแห่งใหม่ มากกว่าอยู่ในโลกใต้พิภพดาวทั้งแปด แล้วถูกอำนาจของดาวมรณะครอบงำจนกลายเป็นขุมกำลังทำลายดาวทั้งแปดจากภายในเสียเองนะสิ"
              "โลกใต้พิภพดาวทั้งแปดนะหรือ...." เจเนลบอก และนึกขึ้นมาได้ "เดียวสิ ที่รานีเจเดร่าและผู้พิทักษ์เมคโซ่หลบหนีอยู่ใต้ดาวนั้น คงจะไม่ใช่ที่ๆท่านเอ่ยถึงนะหรือ" ประมุขเอเลวิเซียร์พยักหน้า
              ฟาลเจนท์บอก "ที่พวกเจ้ายืนอยู่บนดาวทั้งแปดนั้น คือส่วนเปลือกนอกที่ทับอีกดาว ซึ่งมีขนาดรองลงมา แต่เป็นอีกดินแดนหนึ่งที่กว้างขวางพอๆกัน โดยโลกแห่งนั้นเป็นสถานที่หลบภัยของชาวดาวทั้งแปด ในยามที่ระบบสภาพแวดล้อมของดาวเกิดขัดข้องจนธรรมชาติแปรปรวนอย่างรุนแรง ส่งผลให้ต้องลงมาที่โลกใต้พิภพ จนกว่าพวกเขาจะทำการซ่อมแซมระบบจากแกนกลางให้สำเร็จ จากนั้นก็รอเวลาให้ภาคพื้นอยู่ในสภาวะที่คงตัว และขึ้นกลับมาอยู่อาศัยต่อ ซึ่งพวกเอตพลาเนสต้องดำรงแบบนี้มาตลอด 400 ปีเต็มเลยน่ะ"
              "แล้วดาวแอร์คราวน์ที่มีแต่เกาะลอย และดาวจังกรอเรส ซึ่งมีเมืองอยู่ใต้ดินนั้นละคะ" แอนเดรียบอก
              ฟาลเจนท์กล่าว "แอร์คราวนด์มีโดมแก้วอยู่เบื้องล่าง ซึ่งมีเกาะลอยแบบเดียวกันอยู่ เมื่อมีเกาะลอยหลุดออกนอกดาวไปไกล แกนดาวจะสร้างเกาะและทวีปลอยฟ้าขึ้นมาใหม่ เพื่อทดแทนอันเก่าอยู่ตลอด แต่ในเวลานี้ พลังงานของดาวแอร์คราวนด์ใกล้จะหมดลง จนไม่สามารถสร้างเกาะและทวีปลอยฟ้าขึ้นใหม่แล้ว เหลือแค่พลังในการสร้างโซ่แรงโน้มถ่วงเพื่อรั้งเกาะลอยเอาไว้" แล้วก็เปิดภาพเกาะลอยที่โผล่ขึ้นจากเบื้องล่างของดาวแอร์คราวนด์เมื่อ 4 ร้อยปีก่อน "ส่วนเมืองใต้ดินของดาวจังกรอเรสนั้น เป็นส่วนหนึ่งของส่วนเปลือกดาวที่สามารถโผล่ขึ้นสู่ภาคพื้นได้ จากระบบกลไกเดิมที่ผู้สร้างดวงดาวทำขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่ด้วยเวลาผ่านไป พลังงานของดาวเสื่อมถอยเช่นเดียวกับระบบกลไกของเมืองใต้ดินด้วย ทำให้มีบางเมืองโผล่ขึ้นจากพื้นได้เท่านั้นเองน่ะ"
              "ถ้าโลกใต้ดาวเป็นที่หลบภัยของชนเผ่าของดาวนั้นๆ ก็เท่ากับว่า โลกใต้พิภพนั้น ก็คง เป็นสถานที่พักพิงของชนเผ่าต่างดาวที่สูญเสียดาวจากการไล่ล่าของดาวมรณะละสิคะ" ลิเนียร์ตี้กล่าว
              โอ-มากูม-ดาพพยักหน้า และเล่าต่อ "นอกเหนือจากดวงจันทร์สงครามแล้ว ชนเผ่าเกินครึ่งที่สูญเสียดาวบ้านเกิด ซึ่งรวมถึงของข้าด้วยนั้น ได้ตัดสินใจอยู่ในโลกใต้ดาว เพื่อช่วยเหลือชนเผ่าเจ้าของดาวในการสู้รบและปกป้องดาวดังกล่าว ซึ่งตลอดการเดินทางนั้น เราต่างสูญเสียพี่น้องและพวกพ้องไปไม่น้อย จนมีบางเผ่าไม่อยากอยู่ต่อ ถึงขั้นสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุสู้รบ โรคภัยร้าย ความขัดแย้งระหว่างเผ่า และอื่นๆอีกมากด้วย เพราะต่อให้เราอาศัยอยู่ในโลกที่เหมือนกับดาวบ้านเกิดของเรา แต่มันก็ยังไม่ใช่ดาวของเราอยู่ดี" แล้วก็บอก "หลังจากที่ดาวมรณะถูกผนึกอยู่ต่างมิตินั้น พวกเราที่อยู่ใต้ดาวทั้งแปด ตัดสินใจแล้วว่า พวกเราจะออกจากดาว เพื่อหาดาวดวงใหม่เป็นบ้านหลังที่สองของพวกเราในเขตอวกาศภาคกลางของจักรวาลนี้ พร้อมกับหนีอิทธิพลของดาวมรณะผ่านชิ้นส่วนที่บรรพบุรุษชาวเทคโนตันเก็บไว้ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็...."
              "พวกเขาคงกลัวว่าพวกคุณอาจจะถูกพวกต่างดาวในเขตอวกาศภาคกลางสังหารทิ้งหรือตกเป็นทาสเสียเองละสิคะ" สเปียริทบอก โอ-มากูม-ดาพพยักหน้าอีก
              ฟาลเจนท์เลยพูดต่อ "บรรพบุรุษชาวเทคโนตันและอีกเจ็ดดวง กลัวว่าการไปของพวกเรานั้น อาจจะนำพาความขัดแย้งอันใหญ่หลวง จากการที่มีพวกเราส่วนหนึ่งส่งพวกชนเผ่าดาวอื่นๆไปพลีชีพใส่ดาวมรณะในช่วงที่พวกเขาถูกไล่ล่ากัน จนพวกเขาหนีไปรวมกลุ่มเพื่อสะสมขุมกำลังให้เหนือกว่า แล้วย้อนกลับมาแก้แค้นคืน อีกทั้งยังเห็นว่าเหล่าชาวต่างดาวที่อยู่ใต้ดาวทั้งแปด ควรจะช่วยพวกเขาสู้รบกับดาวมรณะที่อาจจะกลับมาได้ซะมากกว่า โดยพยายามใช้กำลังรบในการขัดขวางการหลบหนีหรือออกนอกดาวกัน" แล้วก็บอก "แน่นอน ว่าการกระทำของบรรพบุรุษของดาวทั้งแปดของเรา ได้ทำให้กลุ่มที่เห็นด้วยกับชาวต่างดาวที่อยู่ใต้ดาวตัดสินใจก่อกบฎ นำพาพวกชาวต่างดาวส่วนมากซึ่งมีบรรพบุรุษของท่านประมุขรวมอยู่ หนีออกจากดาวทั้งแปดไปทางทิศตะวันตก ขึ้นเหนือไปยังดาวดวงหนึ่ง ซึ่งก็คือ ดาวดวงแรกของราชอาณาจักรต่างดาวเอเลวิเซียร์ ยูโทเปียของชนเผ่าต่างดาวจากจักรวาลอื่นในเขตอวกาศภาคกลางของจักรวาลของพวกเจ้านี้แหละ"
              "แล้วกลุ่มต่างดาวเผ่าอื่นๆที่ไม่ได้ไปด้วยนิ คงจะหนีไปไม่สำเร็จ หรือเลือกที่จะอยู่ใต้ดาวเลยละสิ" คลอเวฟบอก
              ฟาลเจนท์พยักหน้า "บางชนเผ่าได้ให้คำสาบานต่อเผ่าหลักไปแล้ว บางชนเผ่ายังหวาดกลัวชนเผ่าในเขตอวกาศนี้ บางชนเผ่าขออยู่ต่อ เพราะสูญเสียจุดมุ่งหมายพร้อมกับดาวบ้านเกิดไปนานแล้ว และบางชนเผ่า ไปจากดาวไม่ได้เพราะร่างกายไม่สามารถปรับตัวให้อยู่นอกดาวได้ เหล่านี้คือกลุ่มชนเผ่าที่ยังอยู่ในโลกใต้ดาวมาตลอด 400 ปีเต็ม ซึ่งพวกเผ่าหลักอนุรักษ์พวกเขาไว้อยู่ แม้บางเผ่าสิ้นสูญไปแล้ว บางเผ่ายังคงอยู่แต่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยก็ตาม ซึ่งฉันได้เจอกับชนเผ่าทั้งหลายเมื่อ 80 ปีก่อน และพยายามขอร้องพ่อของฟิวเจนท์ในเรื่องนี้ แต่ก็ถูกปฏิเสธไป"
              "แต่พวกคุณคงไม่ได้หนีออกไปโดยนำวิทยาการด้านอาวุธติดมือไปด้วย เลยทำให้พวกเทคโนตันหวงวิทยาการมาตลอด 400 ปีเต็มละสิครับ" สเตฟอร์ดบอก
              โอ-มากูม-ดาพกล่าว "เรารู้ดี ว่าพวกเทคโนตันกลัวว่าวิทยาการของพวกเขาจะหลุดไปอยู่กับชนเผ่าต่างดาวอันเลวร้ายที่อยู่ในเขตอวกาศนี้ แต่พวกเราก็เก็บรักษาข้อมูลวิทยาการด้านอาวุธไว้เป็นอย่างดี และปกป้องพวกเราจากการคุกคามไม่ว่าจากฝ่ายอธรรมในเขตอวกาศนี้ก็ดี หรือจากพวกเอทพลาเนสที่ต้องการนำตัวพวกเรากลับไปอยู่ในโลกใต้พิภพตามเดิม จนกลายเป็นทาสของดาวมรณะไปในเวลาต่อมา ซึ่งนั้นหมายถึง พวกเราจะหมดสิทธิ์ที่จะได้สู้กับดาวมรณะอย่างแน่นอน หลังจากนั้น พวกเจ้าก็น่าจะรู้ดีแล้วน่ะ"
              "ถึงกระนั้น พวกท่านก็ไม่ต่างจากพวกเอทพลาเนส ซึ่งเลือกที่จะปกปิดความลับด้านวิทยาการไม่ให้คนนอกรู้ รวมถึงเรื่องชิ้นส่วนดาวมรณะที่เป็นต้นเหตุสร้างความเดือดร้อนด้วย ส่วนพวกท่าน ปิดบังการมีตัวตนด้วยการหลอกพวกเลวๆในเขตอวกาศนี้ว่าถูกทำลายไปแล้ว แถมยังอำพรางกองยานเป็นกลุ่มโจรสลัด จนเทรแซทรู้เรื่องและเข้าควบคุมเสียเองน่ะ" วิลด้าบอก
              ฟาลเจนท์พยักหน้า "เรารู้ดี ว่าเราต้องปิดบังตัวตนมาตั้ง 4 ศตวรรษ หลังจากที่เราโยกย้ายมาอยู่อาศัยในดาวดวงนี้แล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นพวกเราหรือเอทพลาเนส ล้วนแล้วทำเพื่อความอยู่รอด และเพื่อหยุดยั้งดาวมรณะที่กำลังจะกลับมาได้ทุกเมื่อเลยน่ะ"
              "แล้วพวกท่านคงไม่ได้คิดจัดการกับใครที่ล่วงรู้ความลับของท่านกันจริงๆ แต่ให้พวกเขาอยู่กับพวกท่านเพื่อรักษาความลับ โดยให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกรัมสกิซ เช่นเดียวกับพวกวิชเฮสเลอร์เลยสิน่ะ" เจเนลกล่าว
              โอ-มากูม-ดาพบอก "นั้นคือสิ่งที่พวกเราทำกันจริงๆมาตลอด 4 ศตวรรษเต็ม ซึ่งเราทำกับกลุ่มนักรบของสมาพันธ์อวกาศที่ขึ้นเหนือเข้ามายังเขตของพวกเรา รวมถึงกองยานจากแรซัลก้าด้วย การที่พวกเรายกกองรบแห่ไปถล่มพวกอธรรมที่ล่วงรู้ความลับและเผยแพร่ข้อมูลไปให้กลุ่มอื่นๆนั้น มันเป็นทางเลือกสุดท้ายที่พวกเราต้องทำ แม้ว่าเมื่อ 10 ปีก่อน เทรแซทได้ใช้วิธีสุดท้ายของเราก่อเรื่องตามใจชอบแล้วก็ตาม จนพวกเราต้องใช้มิโดราเคิ้ลเทียมปิดบังความลับกันด้วยน่ะ"
              "แสดงว่าพวกท่านรู้เรื่องที่ตั้งของกองยานของวิชเฮสเลอร์ละสิครับ" เบติสบอก ประมุขเอเลวิเซียร์พยักหน้า
              ฟาลเจนท์บอก "แน่นอน ว่าเราได้รับรู้เรื่องของพวกท่านจากเหล่าแมนิเกเตอร์ที่เข้ากับวิชเฮสเลอร์ในช่วง 2 ปีที่่ผ่านมา ซึ่งพวกเราก็ทำอะไรเทรแซทไม่ได้อยู่ดี เผลอๆ นั้นยิ่งทำให้พวกเอทพลาเนสที่ออกตามหาพวกเรานั้น รับรู้เรื่องราวไปด้วยน่ะ"
              "และการที่ท่านขอร้องพวกเรานั้น เพราะพวกท่านไม่มีทางเลือกอื่นใดเลยสิครับ" พีวิลบอก
              โอ-มากูม-ดาพพยักหน้า "ที่ถูกนั้น เพราะเราทนให้เทรแซทกดขี่กันอีกไม่ได้แล้วละ"

              "ตอนที่คุณเล่าเรื่องการต่อสู้ระหว่างพวกคุณ สมาพันธ์อวกาศและกองยานดาวฤกษ์เมื่อ 400 ปีก่อนนั้น ได้ทำให้ดาวมรณะได้รับความเสียหายมากจนสามารถกักขังให้อยู่ในมิติอื่นใช่มั้ยละคะ" แอนเดรียกล่าว "ถ้าเช่นนั้น การที่พวกเดธซิลเวอร์พลาเนตส่งพวกออกคุกคามตามดาวต่างๆนั้นในตอนนี้ คงไม่ได้หมายความว่า...."
              แอสเทลน่าพูดเอง "....พวกนั้นรุกราน เพื่อหาชิ้นส่วนดาวมรณะที่กระจัดกระจายอยู่ที่ดาวดวงอื่นๆในเขตอวกาศของฝ่ายสมาพันธ์อวกาศกันต่างหากละ แน่นอน ว่าต่อให้พวกเราไล่พวกนั้นไปได้ ชิ้นส่วนที่อยู่ในดาวแต่ละดวงก็หายไปเรียบร้อยแล้วน่ะ"
              "ที่เธอพูดมานิ แปลว่า พวกเธอเองก็คงทราบเรื่องมาแต่แรกแล้วสิ" เนคมาดูซัมบอก
              แอสเทลน่าพยักหน้า "อันที่จริงแล้ว ฉันอยากจะบอกกับพวกนายให้ทราบ หลังจากที่พวกนายแก้ปัญหาเรื่องกองโจรที่อ้างตนเป็นพวกสหพันธมิตรแมนิเกเตอร์กันแล้ว หากแต่...." แล้วเหล่มายังมาสวาร์ทาร์ แอนเดรีย รวมถึงสเปียริท "พวกนายมีปัญหาที่ต้องแก้ ซึ่งฉันเห็นว่าพวกนายยังไม่พร้อมที่จะรับรู้เรื่องนี้เลยนะสิ"
              "และต่อให้พวกเรากลับดาวมา พวกเราก็ต้องมุ่งหน้าไปที่โลกเพื่อไล่ล่ากาเบลแบนเยอร์และมาโดวเวลเดอร์ที่ก่อความเดือดร้อนให้กับพวกเรา ซึ่งก็ทำให้พวกเราไม่อยู่ให้เธอเล่าอยู่ดีนะสิ" สเปียริทบอก
              เจเนลบอก "รวมถึงเรื่องที่ทั้งคู่ใช้เอฟซีตรอนกับสส.คัลลาร์ดก่อเรื่องกันอีกด้วย ช่างแสบสันต์จริงๆเลยน่ะ"
              "เมื่อกี้นี้ เธอบอกว่า ไอ้พวกบูชาดาวมรณะนั้นยกพวกมาเพื่อเอาชิ้นส่วนดาวที่หลุดไปอยู่ดาวต่างๆ ในเวลาเดียวกันกับพวกที่อยู่ในดาวทั้งแปด ก่อเรื่องเพื่อขโมยชิ้นส่วนดาวที่อยู่กับพวกเทคโนตันมาใช่มั้ย" คลอเวฟบอก "คิดว่าชิ้นส่วนนั้น มันปลิวไปที่ระบบดาวเจเนซิลหรือเปล่าวะ"
              แอสเทลน่าพยักหน้า "ชิ้นส่วนที่ว่ามานั้น มันปลิวไปที่แรซัลก้าเมื่อ 400 ปีก่อน ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่มีอำนาจในการครอบงำสิ่งมีชีวิตให้อยู่ในการควบคุม และต้องขอบใจเนคมาดูซัมด้วย ที่ทำให้ดาวมรณะนั้นได้ชิ้นส่วนที่ว่ากลับมาแล้วละ"
              "เควโทรดิมัสละสิน่ะ" เนคมาดูซัมกล่าว "นึกแล้วเชียว ว่าพลังที่พวกเดธซิลเวอร์พลาเนตใช้ครอบงำชาวดาวต่างๆให้เป็นทาสนั้น มันคุ้นๆยังไงชอบกลน่ะ"
              ลิเนียร์ตี้บอก "มันไม่ได้แค่คุ้นหรอก เนคมาดูซัม แต่เหมือนเลยต่างหากละ"
              "ว่าแต่พวกนายหมายถึงใครมิทราบวะ" พลาติไซล์บอก
              พีวิลกล่าว "เควโทรดิมัส เป็นแมนิเกเตอร์ชาวซัลคาเลี่ยนซึ่งมีพลังจิตอันกล้าแกร่งจนสามารถครอบงำจิตใจ ล้างสมองกลุ่มบุคคลให้ก่อการกบฎต่อแรซัลก้า แต่ไม่สำเร็จจนถูกไล่ล่า ซึ่งเคราซไซท์แอบเอาตัวไปซ่อน จนกระทั่งมหาสงครามเมื่อ 4 ปีก่อน เทพแห่งสงครามไซมาเทนรู้เรื่องและนำตัวเควโทรดิมัส ครอบงำผู้นำและเหล่าแมนิเกเตอร์ในกองยานบุกจู่โจมแรซัลก้า พร้อมกับกองยานจักรวรรดิ์ที่ตนเองหลอกล่อและล้างสมองไปด้วยนะสิ"
              "แล้วพวกนายที่รู้ เลยแห่ไปแก้ไขสถานการณ์จนเอาชนะหมอนั้นเลยสิ" เมทาไลท์กล่าว
              เนคมาดูซัมพยักหน้า "ฉันคิดว่าฉันใช้พลังหมัดดาวหางนี้บดขยี้หมอนั้นให้แหลกไปโดยสมบูรณ์แล้ว เพียงแต่ไม่คิดเลย ว่านั้นจะเป็นการส่งหมอนั้นหลุดเข้าห้วงมิติไปได้นะสิ" และหันมาถามแอสเทลน่า "แล้วเธอรู้เรื่องนี้หรือเปล่าน่ะ"
              "ฉันกับพวกเอสเซคาร่าซาริทีสและซาดีริลก็เหมือนกับนายและพวกนี้แหละ ที่คิดแค่ว่า พลังหมัดดาวหางควอตไซเซอร์ของนายทรงพลังมากพอที่จะบดขยี้ผู้ใช้พลังล้างสมองหมู่ลงได้ โดยไม่ได้คิดว่ามันหลุดไปอยู่เจอดาวมรณะที่อยู่ในห้วงมิตินะสิ" แอสเทลน่าบอก
              พีวิลบอก "นั้นพอรู้เหตุผลแล้วละ ว่าทำไมการเรียกดาวมรณะของพวกแมนเทิร์คลงเอยด้วยความล้มเหลว เพราะเควโทรดิมัสที่อยู่ในดาวมรณะไม่อยากให้เรารู้ตัวก่อนนะสิ"
              "เดียวก่อนน่ะ เท่าที่เรารู้มา กาเบลแบนเยอร์และมาโดวเวลเดอร์ นอกจากจะช่วยเทรแซทควบคุมและสั่งกรัมสกิซและพวกวิชเฮสเลอร์ก่อเรื่องกันได้นิ มันสองตัวก็ควบคุมพวกเดธซิลเวอร์พลาเนตด้วย คิดว่าไอ้สองตัวมันทำงานให้เควโทรดิมัสด้วยมั้ยละ" คลอเวฟบอก
              เนคมาดูซัมบอก "ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นั้นเป็นเรื่องแย่และเลวร้ายที่สุดแล้วน่ะ" แล้วก็บอก "สำคัญในตอนนี้คือ เราต้องหยุดเทรแซทให้ได้ก่อนดีกว่า"
              "ก่อนหน้านี้ พวกคุณกับเอตพลาเนสต่างมีวิธีที่จะทำลายดาวมรณะกัน ซึ่งความเห็นคงขัดกันเช่นนี้ พอทราบได้มั้ย ว่าพวกคุณมีวิธีทำลายดาวยังไงละคะ" โฟรซ่าถาม
              โอ-มากูม-ดาพกล่าว "ด้วยยุทโธปกรณ์ที่พวกเจ้ามีคงไม่สามารถทำลายดาวมรณะที่ใช้พลังงานปฏิสสารกันได้แน่นอน เพราะต่อให้ทำลายแกนกลางทิ้ง ปฏิสสารที่อยู่ในดาวก็จะกระจายไปทั่วจนทำลายจักรวาลแห่งนี้ให้เป็นจุลกัน แน่นอน ว่าแผนของประมุขเทคโนตันที่ต้องการใช้ดาวของพวกเขา จุดระเบิดซุปเปอร์โนว่าทำลายจากภายใน หลังจากที่ดาวทั้งแปดถูกลืนไปนั้น ไม่มีทางได้ผลแน่นอน"
              "ซุปเปอร์โนว่าน่ะหรือ นั้นหมายถึงพวกเขาจะทำลายดาวของพวกเขาด้วยการระเบิดดาวจากภายในเองนะหรือคะ" ลิเนียร์ตี้กล่าว
              ฟาลเจนท์พยักหน้า "ฟิวเจนท์และพ่อของเขาเล็งเห็นแล้วว่า ถ้าขุมกำลังของพวกเขาไม่อาจหยุดดาวมรณะลงได้ หนทางสุดท้ายก็คือ พวกเขาต้องพลีชีพเพื่อทำลายดาวมรณะให้สิ้นซากไปซะ แม้ว่าพวกเขาจะใช้ระบบโยกย้ายข้ามมิติดารา ซึ่งสร้างเอาไว้เพื่อย้ายไปอยู่จักรวาลอื่นหรือกลับไปจักรวาลเดิม เพื่อเป่าระเบิดกันที่นั้นก็ตาม" แล้วก็ส่ายหน้า "แต่เอาเข้าจริง มันไม่มีทางทำได้แน่นอน เพราะ เคยมีดาวอยู่ 300 ดวงที่ใช้วิธีนี้ แล้วล้มเหลวหมดทุกดวง เนื่องจากไม่มีดาวดวงไหนที่เข้าไปในดาวมรณะ ไม่สิ ไม่มีสิ่งมีชีวิตบนดาวที่สามารถทำเช่นนั้นได้ ถ้าไม่ถูกย่อยสลายโดยปฏิสสารในดาวมรณะเสียก่อนน่ะ"
              "และต่อให้เป่าทำลายดาวมรณะในจักรวาลที่เราอยู่ ความเสียหายก็คงต้องเกิดอยู่ดี ไม่ว่าจะกลืนดาวเพียงดวงเดียว หรือกลืนหมดจนครบ 1,080 ดวงกันน่ะ" โอ-มากูม-ดาพบอก
              มาสวาร์ทาร์กล่าว "แล้ววิธีการของพวกท่านนิ พวกท่านจะทำเช่นไรละครับ"

              "มีแต่ต้องใช้แนทรอเดี่ยมคริสตัลเท่านั้นแหละ" ฟาลเจนท์กล่าว
              สเตฟอร์ดกล่าว "แนทรอเดี่ยมคริสตัลนะหรือ มันเป็นผลึกพลังงานแบบไหนละครับ"
              "มันคือผลึกพลังงานที่มีกระแสพลังงานที่ต่อต้านอนุภาคปฏิสสารที่อยู่ในดาวมรณะ ซึ่งเป็นผลึกอันมีค่าจากจักรวาลเดิมที่พวกเราเคยอยู่ และมีพลังอันมหาศาลมากพอที่จะสยบดาวมรณะจากภายในกันได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อจักรวาลที่พวกเราอยู่ในตอนนี้น่ะ" โอ-มากูม-ดาพกล่าว "แน่นอน ว่าตอนที่บรรพบุรุษของพวกเราหลบหนีดาวมรณะนั้น พวกเราเก็บรักษาแนทรอเดี่ยมคริสตัล เพื่อใช้หยุดกองรบที่ดาวมรณะสร้างขึ้นมา ด้วยพลังที่สามารถปกป้องเราจากการถูกลบด้วยพลังของดาวมรณะ และใช้ทำลายอำนาจของดาวมรณะที่ครอบงำสิ่งมีชีวิตรวมถึงตัวกองรบดาวมรณะกันด้วย มันจึงเป็นสมบัติที่สำคัญมากเลยละ"
              คลอเวฟถาม "แล้วไอ้ผลึกนั้น มันยังอยู่หรือเปล่าละ"
              "เกรงว่า เรามีข่าวร้ายอยู่สองเรื่องเกี่ยวกับแนทรอเดี่ยมคริสตัลกันน่ะ" ฟาลเจนท์บอก "เรื่องแรก จากการที่บรรพบุรุษของพวกเราต่อกรกับดาวมรณะจนมาถึงเขตจักรวาลของพวกเจ้านั้น แนทรอเดี่ยมคริสตัลถูกใช้อย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียงส่วนน้อยนิด โดยที่พวกเทคโนตันตั้งใจจะเก็บผลึกนี้ เพื่อหาหนทางในการสังเคราะห์สร้างผลึกชุดใหม่ ซึ่งต่อให้พวกเขาทำได้จริง นั้นจะผลาญผลึกของแท้ไปจนไม่เหลือใช้อยู่ได้เลยน่ะ"
              วิลด้าบอก "แล้วอีกเรื่องละคะ"
              "อีกเรื่องนั้น คือในช่วงที่พวกเราอพยพหนีมาตั้งรกรากบนดาวและสถาปนาเป็นเอเลวิเซียร์นั้น พวกเราได้นำผลึกแนทรอเดี่ยมส่วนหนึ่งมาด้วย เพื่อเตรียมไว้ใช้ทำลายดาวมรณะตามความตั้งใจเดิมของพวกเรากัน" โอ-มากูม-ดาพกล่าว "หากแต่เมื่อ 40 ปีก่อน มีโจรสลัดอวกาศบุกรุกมาขโมยผลึกส่วนสุดท้ายนี้ จากนั้นผลึกก็ถูกเปลี่ยนมือเปลี่ยนเจ้าของกันหลายต่อหลายครั้ง จนพวกเรากลัวว่าพวกผู้พิทักษ์ของเอทพลาเนสพบเจอและนำกลับไปได้ก่อน แต่หลังจากนั้นก็หายสูญไปเลย"
              ฟาลเจนท์กล่าว "จนกระทั่งเทรแซทปรากฎตัวขึ้นมา นั้นทำให้เรารู้ว่าผลึกแนทรอเดี่ยมอยู่ในกำมือของมันแล้วน่ะ"
              สเตฟอร์ดกล่าว "นี้อย่าบอกน่ะ ว่าผลึกที่ใช้ทำลายดาวมรณะอยู่ในตัวของเทรแซทเลยน่ะ"
              "เออ พวกเราสงสัยอยู่บางเรื่องนะคะ" โฟรซ่าบอก "ผลึกแนทรอเดี่ยมนั้น มีพลังมากพอที่จะลบทั้งจักรวาลกันได้หรือเปล่าละคะ"
              ฟาลเจนท์บอก "..........ก่อนหน้าที่พวกเจ้าถามแบบนั้น วิชเฮสเลอร์กับพวกนักรบที่ตกเป็นเหยื่อเทรแซท ก็ถามกับตัวแทนที่ข้าส่งไป ซึ่ง....ข้ากำชับไปว่า ให้ตอบเลี่ยงไป แม้คำตอบนั้นจะทำให้พวกเขาหวาดกลัวเทรแซท ในเรื่องที่ว่า เขาจะใช้พลังจากผลึกแนทรอเดี่ยมทำลายทั้งจักรวาลตามที่อ้างมา ซึ่งแท้จริงแล้ว....ข้าควรจะบอกกับพวกวิชเฮสเลอร์ไปแต่แรกเลย เรื่องมันจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย จนบานปลายไปถึงพวกเจ้าเลยน่ะ"
              "เกรงว่าที่ปีศาจร้ายนั้นว่ามา คือความเข้าใจไปเองของตัวมัน มีแต่พลังจากดาวมรณะเท่านั้น ที่จะทำลายจักรวาลทั้งปวง มิใช่พลังจากผลึกแนทรอเดี่ยมที่มันถือครองไว้ ซึ่งแม้จะทำให้พลังเสียสมดุลย์จนเกิดการระเบิดได้จริง แต่ มันไม่รุนแรงตามที่มันหวังไว้ก็เท่านั้นเอง" โอ-มากูม-ดาพกล่าว "แน่นอน ว่าข้า ขอร้องให้พวกเจ้าอย่าเผยเรื่องนี้เป็นอันขาด เพราะไม่ใช่แค่เราอาจจะเสียผลึกอันมีค่าจากน้ำมือของเทรแซทที่รู้ความจริงเพียงอย่างเดียว"
              เนคมาดูซัมบอก "แต่ดาวมรณะเองก็รู้เรื่องด้วยสิครับ"
              "ต่อให้พวกเราปิดตายสถานีประตูมิติเลยก็ตาม แต่จากรูปการณ์ในตอนนี้ ดาวมรณะยังคงมีพลังพอที่จะออกมากันได้อยู่ เพราะว่ามันใช้พลังเชื่อมต่อกับชิ้นส่วนที่ชาวเทคนอตเก็บมา เพื่อครอบงำกลุ่มชาวดาวของเอทพลาเนสมาตลอด 4 ศตวรรษเลยน่ะ" แอสเทลน่าบอก
              มาสวาร์ทาร์บอก "แต่ ตลอด 4 ร้อยปีที่ผ่านมานั้น พลังงานในดาวมรณะเริ่มเสื่อมถอยลง จนไม่น่าเป็นอันตรายไปได้เลยนิครับ"
              "พวกเจ้าอาจจะคิดเช่นนั้นเหมือนกับพวกเอทพลาเนสกัน หากแต่พวกเราไม่ได้คิดเช่นนั้นนะสิ" โอ-มากูม-ดาพกล่าว
              แอนเดรียกล่าว "ท่านจะบอกว่า ดาวมรณะใช้พลังงานจากดาวที่ดูดเข้ามา เพื่อคงอยู่ในห้วงมิติตลอด 400 ปีเลยสิคะ"
              "นั้นก็เป็นความคาดเดาที่พวกเราและเอทพลาเนสคิดเหมือนกัน เพราะการที่ดาวมรณะติดแหงกอยู่ในห้วงมิติที่ไม่มีอะไรเลยมาตลอด 4 ศตวรรษนั้น ย่อมทำให้พลังของดาวถดถอยลงจนไม่เหลือพลังอีกเลยก็ตาม" โอ-มากูม-ดาพบอก "แต่ ตราบใดที่ชิ้นส่วนของดาวยังคงอยู่ในจักรวาลนี้ แม้เป็นแค่ชิ้นส่วนเท่าก้อนหินขนาดย่อมๆ ไม่มีพิษสงร้ายแรงกันก็ตาม ดาวมรณะ ก็ยังดูดซับพลังงานจากดาวดังกล่าว ผ่านรอยแตกของห้วงมิติ ไปให้ดาวมรณะกันอยู่ดี"
              เจเนลกล่าว "ถ้าให้เดาน่ะ ที่ดาวมรณะได้พลังงานจากดาวดวงอื่นหรือใช้พลังครอบงำพวกเอตพลาเนสนั้น คงมาจากการกระทำของพวกดีเมลแชมที่สร้างรอยร้าวของกำแพงห้วงมิติเลยละสิ"
              "นั้นแหละ คือเหตุผลที่บรรพบุรุษของพวกเราต้องสั่งห้ามพวกดีเมลแชมไม่ให้ใช้เทคโนโลยี่ควบคุมห้วงกระแสมิติ เพราะการที่พวกเขาใช้พลังงานจากห้วงมิติที่แม้จะเป็นคนละห้วงที่ใช้กักดาวมรณะกันก็ตาม พวกเขาเผลอสร้างรอยร้าวให้ทั้งจักรวาล จนดาวมรณะใช้รอยร้าวดังกล่าวก่อเรื่องให้พวกเอตพลาเนส และอาศัยพลังจากดาวดวงอื่นในเขตอวกาศของสมาพันธ์มาตลอด 400 ปีเต็ม โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ไม่สิ ไม่ยอมรับเลยว่าพวกเขาก่อเรื่องร้ายแรงขึ้นมาแล้วน่ะ" แอสเทลน่าบอก
              คลอเวฟบอก "แต่ดาวมรณะมันกลืนดาวดวงอื่นตั้งเป็นพันดวงอยู่ในดาวกันมิใช่หรือ มันน่าจะใช้พลังจากดาวดังกล่าวคงชีพอยู่ มากกว่าจะใช้พลังไปก่อเรื่องผ่านรอยแตกของกำแพงห้วงมิติอะไรนั้น ให้มันยุ่งยากมากเรื่องมาตั้งหลายร้อยปีเลยน่ะ"
              "คลอเวฟพูดถูกแล้ว อีกอย่าง ถ้าดาวมรณะก่อเรื่องแบบนั้น ย่อมทำให้กองยานแพลตตินั่มอามาด้าหรือสมาพันธ์อวกาศรู้เรื่องได้แน่นอนนะครับ" มาสวาร์ทาร์กล่าว
              เนคมาดูซัมบอก "และถ้าห้วงมิติมีรอยร้าว ดาวมรณะก็ต้องออกมาได้แน่นอน แต่ทำไมมันถึงไม่ออกมาเสียเองเลยละครับ"
              "ถ้าเป็นเรื่องนั้นละก็ เราควรจะเล่าโดยที่มีพวกเอตพลาเนสอยู่ด้วยจะดีกว่า" ฟาลเจนท์บอก
              สเปียริทกล่าว "ที่ท่านทำแบบนั้น เพราะพวกเขาคงไม่เชื่อในคำพูดของพวกเราเลยสิคะ"
              "สำหรับพวกเอตพลาเนส พวกเราคือพวกนอกคอกที่ควรจะสิ้นชีพไปเมื่อ 400 ปีก่อนแล้ว ซึ่งต่อให้พวกเราหลอกพวกเขาได้จริง แต่บางส่วนยังเชื่อว่าพวกเรายังหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในเขตอวกาศแห่งนี้ และเป็นเหตุผลที่พวกเขาก่อตั้งกลุ่มผู้พิทักษ์ดวงดาว ซึ่งไม่ใช่แค่ปกป้องพวกเขาจากภัยคุกคามภายนอก แต่พวกเขาได้รับมอบหมายให้จับตัวคนของกรัมสกิซ เพื่อดึงข้อมูลที่ตั้งของพวกเรามา จากนั้นก็นำกองรบพาพวกเรากลับไปอยู่ในดาวของพวกเขาตามเดิม และถูกอำนาจของดาวมรณะครอบงำ เหมือนกับบางเผ่าที่ไม่ได้ไปกับพวกเราเมื่อ 400 ปีกันด้วย" โอ-มากูม-ดาพบอก "แต่ตอนนี้ ดาวมรณะมีพลังเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม โดยที่พวกเอตพลาเนสไม่ได้รับรู้เลยว่า มหันตภัยที่พวกเขารอคอยนั้นมาถึงเร็วกว่าที่พวกเขาคาดไว้ ต่อให้มีกองยานดาวฤกษ์อยู่ ก็คงหยุดมันไม่ได้แน่นอน"
              ฟาลเจนท์บอก "นอกเสียจาก พวกเราต้องให้พวกเอตพลาเนสส่วนมากออกจากดาวทั้งแปดมาที่นี้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่ ดาวมรณะจะควบคุมทุกชีวิตบนดาวทั้งแปดให้อยู่ในกำมือ และดูดกลืนเข้าไปจนดาวมรณะได้ดาวครบ 1,080 ดวงไปโดยปริยายนะสิ"
              "แต่พวกคุณปิดบังตนเองมาตลอด 400 ปีกันมิใช่หรือคะ ถ้าพวกคุณทำแบบนั้น เท่ากับว่าฝ่ายอธรรมทั้งหลายรู้เรื่องและแห่มาเอาเรื่องพวกคุณได้นะคะ" วิลด้าบอก
              ฟาลเจนท์กล่าว "ถ้าเพื่อความอยู่รอดของพวกเราและเอทพลาเนสแล้วละก็ เราเลือกที่จะเสี่ยง เหมือนกับที่พวกคุณเสี่ยงอันตรายสู้กับยานรบของเฮมล็อคที่อยู่ในกำมือของเทรแซทแล้วน่ะ"
              "ถ้าให้ฉันเดานะคะ พวกคุณคงไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องให้พวกเอทพลาเนสส่งกองทัพเข้ามารุกรานดาวของพวกคุณ จนทำให้ทางเราต้องส่งฉันมาเป็นฝ่ายหย่าศึกเลยสิคะ" แอสเทลน่าบอก โอ-มากูม-ดาพพยักหน้า
              กลาสเชลกล่าว "แล้วพวกท่านคงจะไม่ก่อเรื่องให้พวกดาวทั้งแปดโกรธจนต้องยกทัพมาละสิ"
              "เกรงว่าเราได้ลงมือไปนานแล้ว ไม่ช้า พวกเขาก็ต้องมาถึงกันนี้...." ฟาลเจนท์บอก

              ไม่ทันไรก็ "แง้งงงง แง้งงงง แง้งงงง แง้งงงง แง้งงงง แง้งงงงง แง้งงงง" เสียงสัญญาณดังขึ้น พร้อมกับเสียงแหบแห้งของคอมพิวเตอร์ดังว่า "มีกองยานของเอตพลาเนสเข้าใกล้ดวงดาวของเราแล้วละครับ" จากนั้นก็นำภาพของกองรบของเอตพลาเนสอยู่นอกดาว ฉายบนเพดานสูงให้บุคคลในอาคารสภาทั้งหลายได้เห็นกัน ประมุขโอ-มากัล-ดาพต้องสวมหน้ากากปิดหน้าโดยเร็ว
              "โว้ว กองยานเหล่านี้ นำดวงจันทร์สงครามออกมาด้วยหรือวะ" คลอเวฟสบถ เมื่อเห็นดวงจันทร์สงครามของแต่ละดาวจำนวน 3 ดวงมาด้วย
              เจเนลกล่าว "แต่ ดวงจันทร์นั้นไม่น่าจะขยับออกนอกดาวไปได้เลยนิน่า"
              "ไม่หรอก เจมส์ ถ้าดาวทั้งแปดเป็นเหมือนยานอวกาศขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถเดินทางข้ามจักรวาลและผ่านเขตอวกาศกันได้ ดวงจันทร์เองก็ต้องทำได้แน่นอนนะ" สเตฟอร์ดบอก
              พีวิลกล่าว "แล้วพวกท่านทำอะไรกับพวกเอตพลาเนสกันละ"
              "แว้งงงง" จากนั้นภาพของเทคเนล่าปรากฎขึ้นมา "นี้คือองค์หญิงเทคเนล่า ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ดวงดาวของกลุ่มเอทพลาเนส เราขอแจ้งต่อผู้นำของเอเลวิเซียร์ ให้ส่งเหล่าประชาชนที่อยู่ใต้โลกพิภพของพวกเรา ซึ่งถูกพวกท่านลักพาตัวไป ให้กลับสู่ดาวกันเดียวนี้"
              มาสวาร์ทาร์ได้ฟังก็บอก "ลักพาตัวนะหรือ" และหันมายังฟาลเจนท์ "อย่าบอกน่ะ ว่านั้นเป็นการกระทำของพวกท่านน่ะ"
              "ใช่ พวกเราลงมือในช่วงที่.....แกรนด์อาร์คลอร์ดนำทัพจู่โจมปราการแห่งสุดท้ายของพวกเฮซเทิร์ซในเขตอวกาศนั้น ซึ่งก็ทำให้กองยานดาวฤกษ์ที่ประจำการอยู่ ต้องส่งกำลังรบส่วนมากไปเฝ้าสังเกตุการณ์กัน โดยที่มีคนของพวกเราแทรกซึมเข้าไปก่อนหน้า ลงมือพาชนเผ่าส่วนที่เหลือ ให้มาที่ดาวดวงนี้ แม้เราพามาเพียงบางส่วนเท่านั้นเอง" ฟาลเจนท์บอก
              เนคมาดูซัมบอก "และส่วนที่ไม่ได้พามา คงถูกอำนาจของดาวมรณะครอบงำไปแล้วสิ"
              "ถึงองค์หญิงแห่งเทคโนตัน เป็นความจริงที่พวกเราพาประชาชนจากดาวอื่นที่อาศัยอยู่ในโลกใต้พิภพของดาวของพวกท่านกันก็จริง หากแต่....พวกเราทำไปเพราะความจำเป็นอย่างยิ่งยวด และการนำพวกเขากลับไปที่ดาวของพวกท่านนั้น ถือว่าไม่ควรอย่างยิ่งเลยน่ะ" ประมุขโอ-มากัล-ดาพบอก
              เทคเนล่ากล่าว "ต่อให้จำเป็นหรือไม่ พวกเราถือว่าการกระทำของท่านนั้นผิดอยู่ดี ชนเผ่าเหล่านั้นควรจะได้รับการปกป้องจากพวกเรา มากกว่ามาอยู่อย่างปกปิดภายใต้โฉมหน้าของอาชญากรกัน...."
              ".....แสดงว่าฟิวเจนท์บอกเจ้ากับพวกแล้วสิน่ะ หากแต่....ฟิวเจนท์คงไม่ได้บอกเจ้ากับพวกกันจริงๆละสิ ว่าเขาให้พวกเจ้ามานี้ด้วยเหตุใดน่ะ" ฟาลเจนท์บอก
              เทคเนล่าเห็นหน้าฟาลเจนท์ถึงกับบอก "ท่านลุงฟาลเจนท์ ท่านยังไม่ตายนะหรือ นี้ท่านกับพวกหลอกลวงพวกเราด้วยการมาอยู่กับพวกแบ่งแยกและขบถกันเช่นนี้ มันไม่เกินไปหน่อยเลยหรือ"
              "ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ อย่าว่าแต่ประชาชนชาวเทคนอตเลย ชนเผ่าที่สูญเสียดวงดาวที่อาศัยอยู่ใต้พิภพดาวของพวกเจ้าเอง ก็จะพลอยกลายเป็นทาสของดาวมรณะกันในไม่ช้านะสิ" ฟาลเจนท์บอก
              เทคเนล่ากล่าว "นั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเศษชิ้นส่วนของดาวมรณะสูญหายไปนานแล้ว ดาวมรณะไม่น่าจะครอบงำพวกเรากันได้เลยน่ะ"
              "แต่ท่านกับพวกควรจะเชื่อสักหน่อยแล้วละคะ องค์หญิงเทคเนล่า" แอสเทลน่าบอก
              เทคเนล่าได้เห็นหน้าก็อุทาน "ซีคเทมพลาร์แอสเทลน่า" จากนั้นก็หันมาเห็น "กองกำลังไทรเวเซอร์ นี้มันหมายความว่ายังไงกันน่ะ"
              "องค์หญิงแห่งเทคโนตัน ท่านกับพวกควรจะลงมาคุยกับพวกเขาได้แล้ว ต่อให้พวกท่านไม่อยากจะฟังคำพูดของผู้หลอกลวงอย่างพวกเราเลยก็ตาม" โอ-มากัล-ดาพบอก "....ถ้าไม่เห็นแก่อนาคตของพวกเราไม่ว่าจะเอเลวิเซียร์หรือเอทพลาเนส ท่านควรจะทำตามเจตนาของประมุขเดิมของท่านที่ส่งพวกท่านมากันบ้างน่ะ"
              เทคเนล่าฟังเช่นนั้นก็นิ่งและสับสนเพียงเล็กน้อย แต่ก็สั่งการไปว่า "ทุกหน่วย อยู่ในโหมดเฝ้าระวัง ฉันกับตัวแทนของแต่ละดาวจะลงไปที่ดาวสักหน่อย"
              "ไม่ได้เจอกันซะนานเลยน่ะ นับตั้งแต่พวกเราจากกลุ่มดาวของพวกท่านแล้วละ" เนคมาดูซัมกล่าว เมื่อเทคเนล่าลงจากกระสวยอวกาศ ซึ่งเธอนำเมคโซ่ ไฟโรน เกรเซียล่า เซฟิสตัน ดีฟรอต้า ลาคาเมส และอามิวเซนด้วย
              "ใช่ และไม่คิดเลยว่า กองกำลังที่เคยช่วยพวกเรา กลับไปเข้าข้างกลุ่มอาณาจักรจอมหลอกลวงกันเสียได้น่ะ" อามิวเซนบอก
              "บอกตามตรงน่ะ ว่าพวกเราได้ยินเรื่องที่ประมุขของกลุ่มเล่ามา แต่....พวกเราก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกันนี้แหละ" ฟิเกซกล่าว
              เซฟิสตันบอก "นายพยายามพูดให้เราหลงเชื่อกันเลยสิ แต่เราคงเชื่อได้ยากหรอกน่ะ"
              "คนพวกนี้ นั้นเป็นพวกที่อยู่แถวดาวในเขตอวกาศทางตอนใต้ของดาวเรา ซึ่งโผล่มาด้อมๆมองๆในช่วงที่ฉันออกไปตรวจตราที่ดาวดวงอื่นกัน แต่พอไล่ตามกลับหนีไปเลยน่ะ" ดีฟรอต้าบอก เมื่อเห็นพวกเปเปอลิทออกมาด้วย
              เมคโซ่บอก "นี้คงไม่ได้หมายความว่า พวกนี้เป็นสมุนของพวกกรัมสกิซและเอเลวิเซียร์ละสิ"
              "พวกเปเปอลิท เป็นแมนิเกเตอร์เหมือนกับพวกเราเองแหละ เพียงแต่ พวกเขามาจากดาวของมารดรเทพ อพยพมาตั้งรกรากในเขตอวกาศแถบนี้เองแหละ" เนคมาดูซัมกล่าว
              ไฟโรนบอก "แต่พวกเขาอาจจะร่วมมือกับพวกแยกตัวลักพาชนเผ่าใต้ดาวของเราก็ได้น่ะ"
              "พวกรีไซคอลไม่ได้ร่วมในแผนการนำตัวชนเผ่าอื่นๆมาอยู่กับพวกเรากันหรอกน่ะ" ฟาลเจนท์ก้าวออกมาอธิบายโดยทันที
              เกรเซียล่าเห็นหน้าก็อุทาน "ทะ ท่านปราชญ์ฟาลเจนท์ นี้ท่านยังไม่ตายตามที่ท่านพ่อเล่ามาเลยหรือ แล้วนิท่าน...."
              "....แอคเทรติคมาด้วยละสิน่ะ เจ้าหญิงเกรเซียล่า" ฟาลเจนท์กล่าว เกรเซียล่าพยักหน้า
              เทคเนล่าถาม "ท่านลุง ท่านพอจะมีคำตอบให้ข้าและพวกได้มั้ยละคะ ว่าทำไมท่านถึง...."
              "....เราไปคุยกันที่ท้องพระโรงกันเดียวนี้เลย" ฟาลเจนท์บอก
              ลาคาเมสกล่าว "หวังว่าท่านคงจะไม่หลอกลวงพวกเรา เหมือนที่หลอกว่าท่านตายไปด้วยอุบัติเหตุกันอีกน่ะ ไม่งั้น ท่านโดนช็อตแน่ๆ"

              "ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าได้เจอกับชนเผ่าลา-ฟัล-บาตัวเป็นๆเลยน่ะ" อามิวเซนกล่าวอย่างอึ้งๆเมื่อได้เห็นโฉมหน้าของโอ-มากัล-ดาพที่ถอดหน้ากากออก
              ฟิเกซบอก "ส่วนหนึ่งเพราะนายเคยเจอชนเผ่านี้มาก่อนละสิ"
              "เราเคยเจอพวกเขาในช่วงที่โผล่ขึ้นมาในป่านะสิ ว่ากันว่า ชนเผ่าลา-ฟัล-บานั้น เป็นหนึ่งในหลายชนเผ่าที่ใกล้ชิดกับ เหล่าผู้สร้างจักรวาลเดิมของพวกเรา กันมาก่อนนะสิ" อามิวเซนบอก "แม้ว่านี้จะเป็นตำนานเล่าข่านสืบต่อมาจนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว แต่นี้ถือว่าเป็นเกียรติไม่น้อยที่ยังได้เจอคนแบบนี้อยู่ แม้ว่าเขาจะเป็นประมุขของพวกแยกตัวเลยน่ะ"
              ดีฟรอต้าบอก "ท่านพ่อเองก็เล่ามาด้วย เพียงแต่ฉันก็เหมือนกับพวกเราบางส่วน ที่คิดว่าพวกเขาสิ้นสูญไปแล้วน่ะ"
              "ว่าแต่ ท่านประมุขจากดาวลา-พัล-บา ท่านคงมีเหตุผลที่เรียกพวกเรามาคุยกัน หลังจากที่พวกท่านหลบซ่อนมาสี่ร้อยปีเต็มแล้วสิคะ" เทคเนล่าถาม
              โอ-มากัล-ดาพพยักหน้า "พวกเจ้าในตอนนี้ คงรวบรวมกำลังรบทั้งหมดที่มี เพื่อสู้รบกับดาวมรณะที่อาจจะมาได้ทุกเมื่อ เหมือนรุ่นที่แล้วๆมาเลยละสิน่ะ"
              "นั้นแหละคือสิ่งที่พวกเราทำอยู่ แม้ว่าพวกเราต้องมาเพื่อช่วยเหลือชนเผ่าผู้มีพระคุณที่ให้ที่ซ่อนกับพวกเรา ตอนที่มันเทิร์คกับพวกยึดดาวไปได้ กลับไปอยู่ใต้การคุ้มครองกันอีกครั้งนี้แหละ" เมคโซ่บอก
              โอ-มากัล-ดาพส่ายหน้า "ข้าเกรงว่า พวกเราคงไม่ยอมให้ชนเผ่าส่วนมากที่อยู่กับพวกเรา กลับไปกับพวกเจ้า แล้วถูกดาวมรณะ ครอบงำกันได้หรอกน่ะ"
              "เป็นไปไม่ได้น่า ในเมื่อดาวมรณะเอาชิ้นส่วนของมันที่นำไปใช้กับประตูมิติไปแล้ว ดาวนั้นไม่น่าที่จะครอบงำกันได้หรอก" เซฟิสตันบอก
              ฟาลเจนท์กล่าว "ต่อให้ไม่มีเศษชิ้นส่วนของดาวมรณะเหลือก็จริง" แล้วก็บอก "แต่ดาวทั้งแปดของพวกเราและของพวกเจ้า ถูกพลังจากดาวมรณะตอกหมุดฝังไว้โดยที่พวกเจ้าไม่รู้ตัวไปนานแล้วละ"
              "ตอกหมุดฝังไว้ในดาวนะหรือ อย่าบอกน่ะ ว่านั้นเป็นการกระทำของพวกเดธซิลเวอร์พลาเนตอีกอย่าง ที่นอกเหนือจากการครอบงำชาวเมืองให้เป็นพวกของมันน่ะ" ดีฟรอต้าบอก
              โอ-มากัล-ดาพบอก "ใช่ ตลอด 400 ปีที่พวกเจ้าสู้กันเองนั้น เศษชิ้นส่วนที่อยู่ในดาวเทคโนตันได้กระจายไปทั่วดาวของพวกเจ้ากัน ซึ่งได้แพร่อนุภาคพลังแฝงไปยังชนเผ่าอื่นๆที่อยู่ใต้ดาว แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ต้านทานต่อพลังนั้นอยู่ แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปนั้นได้ทำให้พวกเขาอ่อนแรงจนกลายเป็นทาสไปเสียเองนี้แหละ" แล้วก็บอก "ต่อให้ดาวมรณะนั้นถูกผนึกในห้วงมิติอื่น ก็ใช่ว่ามันจะไม่แผลงฤทธิ์กันได้หรอกน่ะ เพราะผู้ควบคุมดาวมรณะตนแรก ไม่ยอมให้บรรพบุรุษของพวกเจ้าและพวกเรา อยู่อย่างเป็นสุขไปได้แน่นอน"
              "ผู้ควบคุมดาวมรณะตนแรกนะหรือ....มันหมายความว่ายังไงกันละ" เจเนลถาม
              พีวิลบอก "....อย่าบอกนะครับ ว่าที่ดาวมรณะก่อความเดือดร้อนจนบรรพบุรุษของพวกเอทพลาเนสและพวกท่านต้องลี้ภัยมาที่จักรวาลนี้ ล้วนมีสาเหตุตามที่ว่ามาน่ะ"
              "ใช่ มันถึงเวลาที่ข้า ผู้สืบทอดข้อความของผู้สร้างจักรวาลเดิมของพวกเราและเอทพลาเนส จะได้เปิดเผยความจริง ระหว่างดาวมรณะ และพวกเรากับพวกเจ้ากันแล้วน่ะ" โอ-มากัล-ดาพบอก
              ฟาลเจนท์กล่าว "ดังนั้น เราจึงหวังว่าพวกเจ้าคงจะรับฟังกันบ้างน่ะ"

              "เรื่องราวนี้มันเริ่มขึ้นเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ในจักรวาลดั่งเดิมที่บรรพบุรุษของพวกเราทั้งหมด ซึ่งเป็นจักรวาลอันอ้างว้าง ดาวทุกดวงล้วนเป็นก้อนหินไร้ชีวิตชีวา มีแต่เหล่าดวงอาทิตย์ที่ส่องประกายให้กับก้อนหินขนาดใหญ่ยักษ์ทั้งหลายกัน" โอ-มากัล-ดาพกล่าว โดยห้องโถงมืดคลึ้มพร้อมกับจักรวาลดังกล่าว มีแต่ดาวเคราะห์แบบดวงจันทร์อยู่หลายดวงด้วยกัน โดยดวงดาวเหล่านั้นบินผ่านพวกไทรเวเซอร์และเอทพลาเนสไป
              "ถ้าจักรวาลเป็นแบบนั้นจริง ก็เท่ากับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตบนดาวเหล่านั้นกันเลยนะคะ" แอนเดรียบอก
              "พวกเจ้าอาจจะคิดเช่นนั้นก็ได้ เมื่อจักรวาลดั่งเดิมไม่มีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เข้ามาเยือนใน 200 ปีถัดมา" โอ-มากัล-ดาพเล่า จากนั้นจักรวาลดั่งเดิมก็หมุนไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง "แว้งงงงงง แว้งงงงง แว้งงงงง แว้งงงงง" มีดาวสีเงิน 5 ดวงปรากฎเข้ามาในจักรวาลดั่งเดิม
              "ดะ ดาวเงินมรณะน่ะหรือ" เมคโซ่บอกอย่างประหลาดใจ
              "นั้นคือนามที่พวกเจ้าเรียกข่านนาวาดาราสีเงิน ดาวเคราะห์ของชาวเครทาร์ ชนเผ่าโบราณผู้มาจากจักรวาลอื่นอันไกลโพ้น ผู้ซึ่งเป็นผู้นำพาความเปลี่ยนแปลงจักรวาลดั่งเดิมของพวกเรา ด้วยการรังสรรค์จักรวาลอันอ้างว้างไร้ชีวิตขึ้นมา" โอ-มากัล-ดาพกล่าว จากนั้นดาวสีเงินทั้งห้าเข้ามาในกลุ่มดาวที่มีดาวเคราะห์ไร้ชีวิต "ฟ้าวๆๆๆๆๆๆๆๆ" ดาวดวงหนึ่งส่งยานน้อยใหญ่ลงมา "ชรี้ดดดดดด กี้กกกกกก" สร้างเครื่องจักรกลภายในใจกลางดาวที่ไร้แกนกลางจน "ตรูมมมม ครืนนนนนน" หุบเขาสูงใหญ่เป่าระเบิดแมกม่าสร้างธารลาวาขึ้นทั่วดาวกัน "ครืนนนนนน ซ่า" ดาวบางดวงที่หุบเขาไฟโพยพุ่งอย่างต่อเนื่องได้สร้างกลุ่มเมฆปกคลุมดาวทั้งดวง ให้น้ำฝนจากกลุ่มเมฆดับความร้อนของแมกม่าที่ปกคลุมให้เย็นตัวลง ก่อเกิดมหาสมุทรขึ้นบนดาว บางดวงนั้นมีฝนตกหนักอย่างมากจนท้องทะเลกว้างขวางกว่าพืนปฐพี บางดวงนอกจากฝนตกแล้ว เมฆเกิดเย็นตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหิมะก่อให้ดาวมีน้ำแข็งปกคลุมทั่ว ดาวบางดวงมีความเขียวขจีจากพืชพันธุ์ที่เหล่าผู้มาจากดาวสีเงินนำมาเพาะปลูก จนก่อเกิดเป็นทุ่งหญ้าและป่า ดาวบางดวงนั้นกลายเป็นทะเลทราย เพราะดาวเกิดความร้อนมากจนเกินไป ส่วนดาวบางดวงเองก็สร้างเป็นดาวโลหะ จนมีอาคารสูงใหญ่ปรากฎขึ้นมา "แว้งงงงงงง" ชาวดาวในชุดผ้าคลุมสีขาวได้ฉายแสงให้กับก้อนหินเล็กน้อยขึ้นจน "กึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" ก่อตัวขึ้นมาเป็นร่างมนุษย์ต่างดาวที่มีผิวเป็นก้อนหิน ตามด้วยมนุษย์ต่างดาวแบบอื่นๆ
              "นะ นั้นมัน บรรพบุรุษของพวกเรานิน่า" เกรเชียน่ากล่าวเมื่อเห็นชาวไอซ์ติก้าก้าวออกจากแคปซูลแก้ว พร้อมกับมนุษย์ต่างดาวแบบอื่นๆ ที่สร้างขึ้นเพื่ออยู่ในดาวน้ำแข็งกัน
              "ใช่ ชาวเครทาร์ได้ใช้สุดยอดวิทยาการอันสูงส่งของพวกเขาในการฟื้นฟูจักรวาลดั่งเดิมอันไร้ชีวิต ด้วยการสร้างดาวอันไร้ชีวิตให้เป็นดาวแบบต่างๆ จากนั้นก็สร้างชีวิตขึ้นจากเศษเสี้ยวอันน้อยนิดของดาว ให้เป็นสัตว์และพืชประจำดาวต่างๆ รวมถึงชนเผ่าของดาวที่พวกเขาสร้าง ซึ่งก็คือ บรรพบุรุษของพวกเราและพวกเจ้ากันนี้แหละ" โอ-มากัล-ดาพบอก โดยที่ชาวเครทาร์ได้ชุบชีวิตดาวทั้งหลายในจักรวาลอันอ้างว้างขึ้นจนครบหมดทุกดวง ซึ่งเหล่าชนเผ่าที่พวกเขาสร้างนั้น ได้วิวัฒนาการ เจริญเติบโต สร้างอารยธรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละดาว จนบางเผ่าสามารถพัฒนาไปถึงขั้นเดินทางออกจากดาวไปสู่ระบบดาวในจักรวาล จนพบปะกับชนเผ่าต่างๆที่ถูกสร้างมา แม้จะใช้เวลาตลอด 200 ปีเลยก็ตาม
              "นี้แปลว่า บรรพบุรุษของพวกเรากับดาวดวงอื่นที่เป็นแบบเดียวกัน ล้วนถูกสร้างโดยชนเผ่าอันสูงส่งเลยสิ" ดีฟรอต้าบอก โดยเธอเห็นบรรพบุรุษชาววอเทเชี่ยน ซึ่งออกจากแคปซูลแก้วพร้อมกับบรรพบุรุษต่างดาวอื่นๆด้วย
              "แต่ทำไม บรรพบุรุษของพวกเรา ถึงถูกดาวสีเงินไล่ล่ากัน ทั้งๆที่ดาวเหล่านั้น เป็นดาวที่สร้างพวกเรามาก่อนเลยนิ" เทคเนล่ากล่าว
              โอ-มากัล-ดาพเล่าต่อ "แม้ว่าชาวเครทาร์ฟื้นฟูจักรวาลดั่งเดิมของพวกเราให้มีชีวิตชีวา จนพวกเขาตั้งชื่อจักรวาลนั้นว่า เอเลวิเซียร์ ซึ่งเป็นภาษาของชาวเครทาร์ มีความหมายคือ มหาอาณาจักรอันแสนสงบและอยู่ร่วมกันอย่างผาสุข ซึ่งเปรียบได้กับ ยูโทเปีย ในภาษาและความรู้จากพวกเจ้าที่มาจากเขตอวกาศกางเขนใต้น่ะ" โดยหันมายังพวกไทรเวเซอร์กัน
              "แสดงว่า พวกเครทาร์ฟื้นฟูจักรวาลอันอ้างว่างได้เป็นผลสำเร็จ และชนเผ่าที่พวกเขาสร้างมานั้น อยู่ร่วมกันโดยปราศจากความขัดแย้งเลยสิครับ" มาสวาร์ทาร์บอก
              ฟาลเจนท์บอก "บอกตามตรงน่ะ ว่าการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุขของบรรพบุรุษของพวกเราทั้งปวงนั้น ล้วนเหมือนกับพวกเจ้า ตรงที่บรรพบุรุษบางกลุ่มเข้าต่อสู้ด้วยความคิดเห็นและความเชื่อที่แตกต่างกัน ซึ่งนั้นก็ทำให้ชาวเครทาร์ต้องเข้ามาห้ามปรามและสอนสั่งให้พวกเขาละทิ้งความขัดแย้งและอยู่ร่วมกันได้ แม้บางครั้งจะทำไม่สำเร็จเลยก็ตามน่ะ"
              "ทีนี้ก็มาถึงสาเหตุหลักของความวุ่นวาย ที่ทำให้บรรพบุรุษของพวกเราและของพวกเจ้าต้องลี้ภัยจากจักรวาลเอเลวิเซียร์เดิมแล้วน่ะ" โอ-มากัล-ดาพกล่าว โดยภาพชี้ตรงมายังดาวสีเงินดวงหนึ่ง ซึ่งชาวเครทาร์ผ้าคลุมสีเทามองดูอยู่ "ชาวเครทาร์ผู้นั้นคือ เควอส ผู้ดูแลดาวสีเงินที่ใช้ทำลายดาวที่เป็นอันตราย หรือสิ่งมีชีวิตแบบดาวเคราะห์ด้วยการใช้ปฏิสสารที่อยู่ในดาว ได้มองเห็นถึงผลงานของเพื่อนร่วมเผ่าที่แม้จะใช้เวลาสร้างไม่ถึง 10 ปี แต่ชนเผ่าที่สร้างใช้เวลาหลายปีกว่าจะรวมกลุ่มกันเป็นหนึ่งเดียว เขากลับมองว่าจักรวาลที่สร้างมานั้นไม่ตรงกับที่เขาต้องการกันทีแรก เนื่องจากว่าดาวแต่ละดวงในจักรวาลนั้น แม้จะอยู่กันเป็นระบบดาว แต่ก็ยังแยกจากกันอยู่ดี เขาจึงเสนอความเห็นในการเชื่อมโยงจักรวาลเอเลวิเซียร์ขึ้น โดยใช้เป็นแม่แบบในการฟื้นฟูจักรวาลแห่งถัดไป ซึ่งความคิดของเขาถูกเพื่อนร่วมเผ่าตีกลับอย่างสิ้นเชิงเลยน่ะ" แล้วก็นำภาพที่ดาวแต่ละดวงในจักรวาล เชื่อมต่อกันจนเป็นโครงสร้างโมเลกุล และอีกแบบนั้นคือ
              "หมอนั้นมันคิดรวมดาวหลายร้อยดวงให้เป็นดาวดวงเดียวเลยหรือวะ" คลอเวฟบอก เมื่อเห็นดาวดวงเดียวที่มีภูมิประเทศของดาวทั้งจักรวาลรวมกัน จนเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ยักษ์เพียงหนึ่งเดียว
              "แบบแรกนั้น ต่อให้ดาวทุกดวงเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายกันได้จริง แต่สภาพแวดล้อมของดาวที่แตกต่างกัน ย่อมหักล้างจนทำลายดาวที่อยู่ใกล้เคียงไปด้วยน่ะ ซึ่งรวมถึงการที่ดาวแตกระเบิดกันด้วยน่ะ" มาสวาร์ทาร์บอก
              แอนเดรียกล่าว "แบบที่สองนิยิ่งแย่กว่า ต่อให้รวมดาวทุกดวงให้เป็นดวงใหญ่เพียงหนึ่งเดียว แต่สภาพแวดล้อมที่แตกต่างของดาวหลายดวงจะสร้างความปั่นป่วนจนทำลายดาวเสียเองน่ะ"
              "ถึงแม้ว่าชาวเครทาร์จะมีความคิดเหมือนกับพวกเจ้าเมื่อเห็นผลงานของเควอส ได้ขอร้องให้เควอสยุติการสร้างจักรวาลในแบบฉบับของเขาลงก็ตาม แต่เควอส นอกจากจะไม่ล้มเลิกแล้ว เขาได้กระทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุด จนทำให้บรรพบุรุษของพวกเรา ต้องอพยพออกจากจักรวาลเดิม มาที่จักรวาลแห่งใหม่เมื่อ 400 ปีก่อน" โอ-มากัล-ดาพกล่าว และเผยภาพของดาวสีเงินของเควอส "ครืนนนน แชดๆๆๆๆๆๆ ตรูมๆๆๆๆๆๆ" ยิงลำแสงทำลายดาวสีเงินสามดวงให้พังพินาศลง พร้อมกับ "ครืนนนนนนนน" นำกงเล็บขนาดใหญ่จิกดาวที่ชาวเครทาร์ฟื้นฟูขึ้นมา เข้าไปอยู่ในดาวกัน ซึ่งดาวเหล่านั้นมีต่างดาวที่สร้างขึ้นกันด้วย พร้อมกับ "ฟ้าวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" ส่งฝูงยานบินสีดำวาวออกจากดาวพุ่งเข้าจู่โจมดาวดวงอื่นที่ชาวเครทาร์สร้างขึ้นและพัฒนา จนสร้างกองรบกันอย่างหนักหน่วง
              "นั้นคงเป็นการคุกคามบรรพบุรุษของพวกเราขั้นแรกละสิ" เซฟิสตันบอก
              "ใช่ เควอสตัดสินใจ ใช้ดาวสีเงินของเขา ดูดดาวที่ชาวเครทาร์สร้างขึ้นมา เพื่อนำมาใช้สร้างจักรวาลในอุดมคติของเขา เขาได้ใช้แร่ปฏิสสารสร้างขุมกำลังในการกำหราบชนเผ่าต่างดาวที่มีท่าทีต่อต้าน ซึ่งรวมถึงชาวเครทาร์ที่เข้ามาขัดขวางกันด้วย จากนั้นเควอสใช้พลังการครอบงำจิตของชนเผ่าที่อ่อนแอให้สังเวยดาวแก่ตน หรือแม้กระทั่งใช้เป็นเครื่องมือขัดขวางและก่อกวนชนเผ่าอื่นๆกันด้วย ส่งผลให้ชาวเครทาร์ที่เหลือรอด ตัดสินใจช่วยชนเผ่าต่างดาวที่เหลืออีก 1,080 เผ่า ด้วยการ.....เปิดเครื่องยนต์แห่งดวงดาวที่อยู่ในดาวแต่ละดวง เพื่อให้พวกเขาสามารถเคลื่อนย้ายดาวออกจากระบบ หลบหนีการไล่ล่าของเควอสและดาวสีเงินของเขา แน่นอน ว่าชาวเครทาร์ได้ช่วยดัดแปลงดวงจันทร์ที่โคจรรอบดาว ซึ่งทำหน้าที่ดูแลดวงดาวให้เป็นปราการป้องกันการคุกคามกันด้วย" โอ-มากัล-ดาพเล่า โดยภาพเผยกลุ่มดาวเคราะห์พันดวงเคลื่อนตัวออกจากระบบเดิม ในขณะที่ดาวสีเงินของเควอสไล่ล่ากันอยู่ ซึ่งการหลบหนีทั่วจักรวาลนั้น ได้ทำให้กลุ่มดาวนับพันลดจำนวนลง จากการที่ดาวบางส่วนพุ่งเข้าชนเพื่อเล่นงานดาวสีเงิน บางส่วนและส่วนมากหยุดชะงักจนถูกดาวสีเงินดูดกลืนกัน
              "นั้นเหมือนกับที่เราเคยเห็นตอนเข้าฝึกเป็นผู้พิทักษ์ดาวใหม่ๆเลยน่ะ" ดีฟรอต้ากล่าว จนกระทั่งกลุ่มดาวที่หลบหนี เหลือเพียง 8 ดวง ซึ่งดาวของชาวเครทาร์ดวงสุดท้ายนั้น "แชดๆๆๆๆๆๆๆ ตรูมๆๆๆๆๆๆๆ บรึม" ถูกดาวสีเงินของเควอสยิงลำแสงถล่มจนระเบิดไป
              "การหลบหนีดาวมรณะของเควอส ตามที่ชาวเครทาร์กลุ่มสุดท้ายเล่ามา ทำให้บรรพบุรุษของพวกเราสูญเสียดาวบ้านเกิดไป และต้องอยู่ในโลกใต้ดาว อันเป็นสถานที่พำนักพักพิงที่ชาวเครทาร์สร้างขึ้นในยามที่เราสูญเสียดาวไปแล้ว ผลจากการไล่ล่าอันยาวนาน ได้ทำให้บรรพบุรุษของเราตัดสินใจ มุ่งหน้าไปสู่จักรวาลอื่น เพื่อขอความช่วยเหลือจากกลุ่มสังคมอวกาศที่โน่น ในการสู้กับดาวสีเงินมรณะของเควอส ซึ่งบรรพบุรุษของเราตัดสินใจมาถูกทางแล้ว" โอ-มากัล-ดาพเล่า จนดาวทั้งแปดพุ่งออกจากจักรวาลเดิม มาสู่จักรวาลแห่งใหม่ จนมาเจอกับกองยานของสมาพันธ์อวกาศและกองยานของชาวดาวฤกษ์ ซึ่งชาวเครทาร์กับเหล่าบรรพบุรุษของชนเผ่าจักรวาลอื่น เข้าพบกับประมุขชาวลิเบรมผู้เป็นผู้นำของสมาพันธ์อวกาศ และประมุขชาวดาวฤกษ์ในเวลานั้น จน "แชดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตรูมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" การสู้รบระหว่างดาวทั้งแปดที่มีกองรบของจักรวาลแห่งใหม่เข้าร่วม ปะทะกับกองรบของดาวสีเงินมรณะของเควอสเริ่มต้น จน "ฟ้าววววว ตรูมมมมม" ยานรบของชาวดาวฤกษ์พุ่งอัดใส่กงเล็บยึดดาวของดาวมรณะสีเงินพังเสียหายไปถึงภายในจน "ฟ้าว ฟิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" ชิ้นส่วนน้อยใหญ่ของดาวปลิวกระจายไปทั่วเขตอวกาศกางเขนใต้กัน "แน่นอน ว่าบรรพบุรุษของพวกเรา ตัดสินใจที่จะทำลายดาวมรณะลงเป็นการถาวร เพื่อยุติความวุ่นวายไม่ให้เกิดขึ้นกับจักรวาลแห่งใหม่กัน เพียงแต่ว่า...." ประมุขเอเลวิเซียร์เล่า โดยมีกองยานรบลอยลำออกจากเมืองหลวงของเทคโนตันมีผลึกสีรุ้งติดอยู่ด้านหน้า พร้อมที่จะรบครั้งใหญ่ "หึมมมม แว้งงงงงงง" แต่กองยานของชาวดาวดีเมลแชมเปล่งแสงขึ้นที่หัวยาน "ครืนนนนนนน" เปิดช่องว่างต่างมิติครอบดาวมรณะสีเงินของเควอสทีพังเสียหายอย่างหนัก ให้หายไปภายในพริบตา
              "นั้นคงเป็นเหตุผลที่ดาวมรณะยังคงอยู่จนถึงบัดนี้ และสร้างความเดือดร้อนให้พวกเรามาตลอดเลยละสิ" ลาคาดัลกล่าว
              "ใช่ แม้ว่าชนเผ่าต่างดาวในจักรวาลแห่งใหม่จะจบเรื่องให้พวกเรา แต่สำหรับพวกเรา กลับมองว่านั้นเป็นการกระทำอันสิ้นคิด เพราะดาวมรณะไม่ได้ถูกทำลายอย่างแท้จริง แถมยังเหลือชิ้นส่วนชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่อยู่ในเขตอวกาศที่เรามา ซึ่งมันไม่แย่ไปกว่า....บรรพบุรุษชาวเทคโนตัน เก็บชิ้นส่วนต้องห้ามนี้ไว้ เพื่อศึกษาหาหนทางในการทำลายดาวมรณะ เปิดช่องให้เควอสที่ถูกกักพร้อมกับดาวมรณะสีเงิน สามารถครอบงำพวกเจ้าจนเกิดความขัดแย้งขึ้นตลอด 400 ปีเต็มนี้แหละ" โอ-มากัล-ดาพกล่าว โดยที่ชาวเทคนอตผู้เป็นบรรพบุรุษนำยานเก็บซากมาโดยที่ชนเผ่าสมาพันธ์อวกาศและชาวดาวฤกษ์ไม่รู้ จนทำให้พวกเอทพลาเนสส่วนหนึ่งถูกครอบงำจนกลายเป็นพวกเดธซิลเวอร์พลาเนตขึ้นมา ซึ่งทำให้บรรพบุรุษชาวลา-พัล-บาและชาวดาวอื่นๆที่อยู่ในโลกใต้พิภพ รวมถึงพวกเอทพลาเนสส่วนหนึ่ง ออกจากกลุ่มดาวไป
              "งั้นที่พวกท่านหนีออกจากดาวไปสร้างอาณาจักรขึ้นใหม่นั้น ก็เพราะเหตุนี้เองนะหรือ" ไฟโรนบอก
              "ใช่ แม้ว่าพวกเราจะต้องปิดบังตนเอง และหลอกลวงฝ่ายอธรรมมาตลอด 4 ศตวรรษเต็ม เพื่อปกป้องพวกเราเลยก็ตาม บรรพบุรุษของพวกเราตัดสินใจถูกแล้ว ที่เลือกไปจากกลุ่มดาวทั้งแปด ที่ถูกอำนาจการครอบงำของดาวมรณะของเควอสบงการจากห้วงมิติอื่น ผ่านรอยแตกของห้วงมิติของชนเผ่าที่กักขังมันไว้น่ะ" โอ-มากัล-ดาพกล่าว
              ลิเนียร์ตี้บอก "แต่เควอสถูกกักขังมาตลอด 4 ร้อยปี คงจะเสียชีวิตด้วยความชราภาพแล้วนิคะ"
              "ว่ากันตามจริงแล้ว ชาวเครทาร์มีอายุขัยยืนยาวในระดับร้อยปีหรือมากกว่านั้น ต่อเมื่อพวกเขาอยู่ในดาวสีเงินของพวกเขาเอง ถ้าพวกเขาออกนอกดาว อายุขัยของพวกเขาจะสั้นลงจากการที่ร่างกายของเขาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมของดาวอื่นไม่ได้ จนพวกเขาสิ้นชีวิตลง เควอสและพวกที่ติดอยู่ในดาว ซึ่งถูกขังอยู่ในห้วงมิติอื่นมา 4 ศตวรรษนั้น จึงยังมีชีวิตอยู่ เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้กับพวกเอตพลาเนสนี้แหละ" โอ-มากัล-ดาพบอก
              เทคเนล่าบอก "ผลึกสีรุ้งที่ดาวของเราใช้นั้น คงจะเป็นแร่แนทรอเดี่ยม ซึ่งเป็นแร่อันทรงพลังที่ช่วยปกป้องพลังของดาวมรณะกันละสิคะ"
              "ใช่ เพียงแต่ ในเวลานี้....." ฟาลเจนท์บอก
              ฉับพลัน ภาพจักรวาลดับลงจนกลายเป็นท้องพระโรงตามเดิม พร้อมกับ "แง้งงงง แง้งงงง แง้งงงง แง้งงงง แง้งงงง" สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น "เกิดอะไรขึ้นน่ะ" โอ-มากัล-ดาพถาม
              "แย่แล้วละครับ พวกศัตรูมุ่งหน้ามาที่ระบบดาวของเราแล้วละครับ" ทหารเอเลวิเซียร์กล่าว แล้วเผยภาพกองยานที่เคลื่อนตัวเข้ามา
              "เดธซิลเวอร์พลาเนต พวกมันหนีมาอยู่ที่นี้เลยหรือ" เมคโซ่บอก
              "แจ้งให้เหล่านักรบของเราออกไปรับมือโดยเร็ว...." ฟาลเจนท์กล่าว
              ทหารตอบ "....เกรงว่าพวกเรามีปัญหานะครับ เพราะยังมีพวกของมันบุกเข้ามาด้วยนะครับ" โดยนำภาพพวกเดธซิลเวอร์พลาเนตออกอาละวาดตามเขตเมืองต่างๆ อย่างรวดเร็ว
              "ดูท่าว่าพวกเราคงต้องรีบไปหยุดพวกนั้นก่อนแล้วละ" เมคโซ่บอก
              เทคเนล่ากล่าว "ฉันจะนำกองยานไปจัดการเอง ที่เหลือรีบช่วยพวกไทรเวเซอร์หยุดพวกเดธซิลเวอร์พลาเนตดีกว่า"
              "ถ้าเช่นนั้น พวกเราฝากความหวังที่พวกเจ้าแล้วน่ะ" โอ-มากัล-ดาพกล่าว เนคมาดูซัมพยักหน้า จากนั้นก็รีบพาพวกวิ่งออกไปข้างนอก
              "โดซี่ บริคซ์ พวกนายเป็นไงบ้างละ" คลอเวฟติดต่อเข้าไป
              "พวกเรายังไม่เป็นไรมากน่ะ แต่ยังวางใจไม่ได้หรอก" โดซี่กล่าว
              บริคซ์บอก "เกรงว่าพวกนายคงต้องไปหลายที่เหมือนเช่นเคยแล้วน่ะ" โดยตอนนี้ยานไทรแองเกิ้ลและอินสเปคทรัลบินขึ้นมาแล้ว และตรงมาเพื่อรับพวกไทรเวเซอร์กัน
              "ท่านประมุข คิดว่าพวกเราจะรอดพ้นจากการคุกคามนี้หรือเปล่าละครับ" ฟาลเจนท์บอก
              โอ-มากัล-ดาพเงยหน้าและถอดหน้ากากออก "ข้าไม่อาจมองไปถึงอนาคตที่มีความมืดมิดบดบังอยู่ แต่ฉันหวังว่า พวกไทรเวเซอร์ ไม่สิ เหล่าแมนิเกเตอร์จากพรมแดนตะวันออกไกลของสมาพันธ์อวกาศ คงจะปัดเป่าความเลวร้ายนี้ไปได้น่ะ"
    ต่อช่วงที่ 2 กัน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×