ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    || R&R โรลกับเรน ||

    ลำดับตอนที่ #2 : เรน...ซันสโนว์

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ย. 52





    1
    เรน...ซันสโนว์
     
    บนท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหนา เครื่องบินลำใหญ่กำลังแล่นฝ่าก้อนเมฆที่พากันแตกกระจาย และปล่อยควันสีขาวให้ปนไปกับกลุ่มไอน้ำไว้เบื้องหลัง
    เครื่องบินลำนี้ทะยานออกมาจากสนามบินแฟรงค์เฟิร์ทและมุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้นานกว่าห้าชั่วโมงแล้ว บัดนี้ผู้โดยสารบางคนจึงกำลังนอนหลับสบาย
    แต่ไม่ใช่กับเขา ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปี ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ของชั้น First Class สำหรับลูกค้ากระเป๋าหนัก เขากำลังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง บรรยากาศตอนนี้เงียบสงบ แต่ในใจเขากำลังว้าวุ่นและสับสน เต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นานามากมาย ยิ่งคิดก็ยิ่งจมปลักอยู่กับความทรงจำที่พยายามหลีกหนี เหมือนกำลังยืนอยู่บนทรายดูด ที่ยิ่งตะเกียกตะกายขึ้นมาเท่าไหร่ มันก็ดูดให้เราจมลงไปเท่านั้น
    เขาหันหน้ากลับมาท่าปกติ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
    สิ่งบันเทิงที่สายการบินพยายามเอาใจผู้โดยสารนั้นไม่อาจเบี่ยงเบนความสนใจชายหนุ่มได้เลย ในหัวของเขามีแต่ภาพความทรงจำอันน่าเจ็บปวด มันชัดเจนเป็นฉากๆ ราวกับเพิ่งเกิดเมื่อชั่วโมงก่อน
    ชายหนุ่มรู้ว่าการหนีออกจากบ้านไม่ใช่ความคิดที่จะทำให้ตัวเขาดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเดิม หรือดูเป็นเด็กมีปัญหาน้อยลง เมื่อเขาได้คิดหน้าคิดหลัง เขารู้ว่าทุกอย่างมันต้องแย่ลง ดังนั้นตอนนี้เขาเลยพยายามไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ถ้าความทรงจำอันเลวร้ายยังคงหลอกหลอนเขาอยู่อย่างนี้ การคิดเรื่องอื่นดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
    เขาจึงสับสนอย่างที่สุด พยายามเลิกคิดถึงเรื่องอดีต แต่ก็ไม่ต้องการคิดเรื่องชีวิตของตนเองในประเทศไทย หรือผลที่จะตามมา พระเจ้า...แล้วเขาควรจะคิดถึงอะไร
    ไม่นาน เขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับหยดน้ำที่ไหลออกมา
    น้ำตาของคนสำนึกผิด
     
     
    เสียงออดดังขึ้น มันดังระงมไปทั่วโรงเรียน
    และหลังจากนั้นอีกสองสามวินาที ทางเดินที่เงียบสงบทุกแห่งก็มีเหล่านักเรียนที่โผออกจากห้องเรียนเดินกันให้ขวักไขว่ หลายคนถือหนังสือเรียนเพื่อไปเก็บในล็อกเกอร์ก่อนจะเดินไปโรงอาหาร
    วณิชวาณิชย์ คือสิ่งที่สลักอยู่บนป้ายหน้าโรงเรียน
    ที่นี่มีแผนผังที่ง่ายต่อการจดจำ ตรงกลางเป็นสนามฟุตบอลและลู่วิ่ง รอบๆ ประกอบไปด้วยตึกน้อยใหญ่ที่เป็นทั้งอาคารกีฬา ตึกเรียน ห้องพักอาจารย์ ห้องประชุมอาจารย์ แต่ตึกที่ใหญ่ที่สุดคือตึกโรงอาหารและหอประชุม ซึ่งอยู่ตรงหน้าของสนามฟุตบอล ชั้นล่างเป็นโรงอาหาร และชั้นสองเป็นหอประชุมที่มีขนาดใหญ่มหึมา
    ในหมู่นักเรียนที่เดินกันไม่ขาดสายที่ทางเดิน หนึ่งในนั้นคือสาวสวยรูปร่างสูงโปร่ง ผมยาวถึงกลางหลังซึ่งถูกดัดเป็นลอนอ่อนๆ และเป็นสีออกน้ำตาล ทวงท่าเดินนั้นเหมือนกำลังเร่งฝีเท้าหนีใครบางคน แต่ก็แลดูสง่างามราวกับออกมาจากแคทวอล์กที่ไหนสักแห่งในนิวยอร์ก
    “เมซ! อยู่นี่เอง ผมหาตั้งนาน” ชายคนหนึ่ง ใบหน้าหล่อแบบที่หาได้ทั่วไป กึ่งเดินกึ่งวิ่งแล้วคว้าแขนเมซี่ไว้ หญิงสาวทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะหยุดเดิน สะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม แล้วเอ่ยขึ้นว่า
    “มีอะไร” น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นบ่งบอกได้ชัดเจนว่ารำคาญ ชายหนุ่มหน้าเจื่อนลง
    “ไม่มีอะไร ปกติเราก็เดินไปโรงอาหารพร้อมกันนี่ ให้ผมช่วยถือกระเป๋านั่นนะ” ชายหนุ่มยื่นมือออกไป แต่แทนที่จะได้รับกระเป๋าสะพายไหล่ปราด้าคอลเล็กชั่นใหม่มา กลับกลายเป็นมือนุ่มๆ ของผู้หญิงที่เพิ่งเดินเข้ามาอีกคนแทน
    เพียะ
    ผู้หญิงคนนั้นปัดมือของชายหนุ่มทิ้งไป พร้อมกับผลักที่อกแรงๆ อีกหนึ่งทีจนชายหนุ่มเซเล็กน้อย
    บัดนี้บางคนก็หันมามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาน่ากลัวของเมซี่ก็รีบเดินไปโรงอาหารและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    ผู้หญิงที่มาใหม่นั้นเหยียดริมฝีปากเล็กน้อย รูปร่างเธอค่อนข้างสูง แต่ไม่เท่าเมซี่ ผิวขาวสะอาด จมูกโด่ง ผมยาวเหยียดตรงสีดำ ไฮไลท์ด้วยสีฟ้าสดใส ใบหน้านั้นสวยงามหมดจดอย่างน่าหลงใหล แต่ไม่ใช่เธอที่ชายหนุ่มหลงรัก ผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังต่างหาก ซึ่งดูเหมือนเรนจะไม่ได้ใส่ใจ เพราะเธอเอ่ยว่า
    “เลิกคือเลิก ไม่ยุ่งก็คือไม่ยุ่ง สองคำนี้มีคำไหนไม่เข้าใจบ้างไหม” ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวผู้มาใหม่เพียงแวบเดียวก็กลับไปจ้องหน้าเมซี่ ถามต่อด้วยแววตาตัดพ้ออย่างน่าสงสาร “ผมไม่เข้าใจ ผมทำอะไรผิด”
    เมซี่ถอนหายใจด้วยความรำคาญ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เปล่า ฉันเองที่เปลี่ยนไป”
    “ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” ถึงตอนนี้เมซี่หมดความอดทน เสียงที่เปล่งออกมาจึงเกือบกลายเป็นตวาด
    “ฉันเบื่อนายไง! เบื่อ!! เข้าใจหรือยัง!”
    “ทะ ทำไมล่ะ...ผม...ผมทำอะไรผิด” แล้วชายหนุ่มก็ถามประโยคเดิมอีกครั้ง ไม่มีอะไรน่าเบื่อไปกว่านี้อีกแล้ว
    “โอ๊ยยย...เรน ไปกันเหอะ” เมซี่คว้ามือเพื่อนสาวแล้วลากเดินไปยังโรงอาหารทันที ไม่สนใจผู้ชายคนนั้นอีกต่อไป
    “เมซี่! เดี๋ยวก่อนสิ อย่าเพิ่งไป!” แต่ไม่มีใครฟังเขาอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มกะจะเดินตามไปแต่ก็ตัดสินใจยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นดีกว่า ด้วยรู้ตัวแล้วว่าตัวเองคงถูกทิ้งจริงๆ
    หมดเวลาสำหรับเขาแล้วสินะ...ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้มีโอกาสคบกับนางแบบคนดังของประเทศไทย และคนที่ดังที่สุดในโรงเรียน...บัดนี้จบลงแล้ว หมดรูปเลยด้วย
     
    โรงอาหารนั้นเต็มไปด้วยวัยรุ่นที่แต่งตัวด้วยชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนสีน้ำตาลเหลืองสดใส กำลังคุยกันเสียงดังจ้อกแจ้ก
    เมซี่และเรนเดินไปสมทบกับเพื่อนอีกสองคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูทางเข้าโรงอาหาร
    “เรน ไม่เจอตั้งแต่เช้า วันนี้ทรงผมเริ่ดดีจัง” เวย์ สาวผมสั้นเอ่ยทักทายเพื่อนสนิท ปิน สาวอีกคนเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ
    “ก็เริ่ดทุกวันไม่ใช่เหรอ” เรนตอบ ในใจนั้นโล่งอกและเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย ทรงผมช่วยเสริมความมั่นใจให้เธอได้จริงๆ เมซี่นั้นนิ่งเงียบด้วยความที่ยังอารมณ์เสีย
    ทั้งสี่คนเดินเรียงแถวเข้าไปในโรงอาหาร วินาทีนั้นเองนักเรียนกว่าครึ่งก็หันมาสนใจผู้มาใหม่ สำรวจการแต่งกายด้วยความชื่นชม อิจฉา หลายสายตาเต็มไปด้วยหลายอารมณ์ เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นจากหลายโต๊ะ
    “ผมเรนสวยว่ะ” 
    “เมื่อกี๊ตอนเดินมาฉันเห็นเมซี่กำลังบอกเลิกเจด้วยแหละ”
    “นั่นปราด้าคอลเล็กชั่นใหม่นี่หน่า”
    “ปินน่ารักจังเลย”
    “วันนี้เรนสวยอีกแล้ว”
    การตกเป็นเป้าสายตาและหัวข้อสนทนาคือสิ่งที่ทั้งสี่คนคุ้นเคยดี
    หลายสายตาที่เป็นของผู้ชายนั้นกำลังมองเรนสาวสวยผมฟ้า ใบหน้าเค้าโครงฝรั่งเล็กน้อยนั้นมองดูกี่ทีกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ การรับรู้ว่ามีคนมองด้วยสายตาที่ชื่นชมหรืออิจฉานั้นทำให้ความมั่นใจของเรนยิ่งพุ่งพรวด แม้ลึกๆ เธอจะประหม่าอยู่แต่เรนก็พยายามไม่สนใจกับความรู้สึกเล็กน้อยนั้น
    เมื่อเรน เมซี่ ปินและเวย์เดินไปซื้ออาหารเรียบร้อย ก็มีหลายคนที่พยายามลุกขึ้นแล้วบอกพวกเขาว่าที่นั่งตรงนั้นตรงนี้ว่าง เรนๆ นั่งตรงนี้สิ นี่เมซี่! ตรงนี้ว่างนะ ปิน นั่งเลย! เรน เมซี่ ปิน เวย์ นั่งสิ ตรงนี้แหละ นั่งเลยจ้ะ ตรงนี้ว่างจ้ะ พวกเธอทั้งสี่ไม่ใช่พวกดังแบบหยิ่งเชิ่ด เลยตัดสินใจตอบรับคำเชิญของนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่ทำท่าดีอกดีใจ ท่ามกลางนักเรียนคนอื่นที่ผิดหวัง
    แต่ห่างออกไปไกลจนสุดโรงอาหาร โต๊ะทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสถูกย้ายให้มาชิดกันสามตัว คือที่นั่งประจำของนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ในขณะที่สี่สาวกำลังเดินเข้ามา พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้หันไปมอง ไม่ได้จับตาดู หรือแม้แต่สละที่นั่งให้ พวกเขาไม่ใส่ใจอะไรกับคนเหล่านั้นเลยสักนิด ความจริงพวกเขาไม่ได้สนใจนักเรียนคนอื่นเลยต่างหาก
    สำหรับนักเรียนกลุ่มนี้แล้ว คนเหล่านั้นคือบุคคลที่น่าเบื่อ ไร้ซึ่งการดึงดูดใจใดๆ ต่างกันลิบลับกับสิ่งที่พวกเขากำลังดูอยู่ในโน้ตบุ๊คเครื่องหนึ่งซึ่งวางอยู่กลางโต๊ะ
    นักเรียนกลุ่มนี้มีทั้งหมดห้าคน นักเรียนหญิงสองคนนั่งชิดกัน ตรงข้ามกับนักเรียนชายอีกสามคนที่เอี้ยวตัวไปมองโน้ตบุ๊ค
    นักเรียนคนอื่นรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของพวกเขา ซึ่งมักจะอยู่ในโลกส่วนตัว ไม่ข้องแวะใดๆ กับคนนอกกลุ่ม ไม่มีใครไม่รู้จักห้าคนนี้ แต่ทุกคนก็ไม่ได้รู้จักเขาจริงๆ เชื่อกันจากข่าวลือว่าพวกเขาอยู่แก๊งอันตรายมากๆ นอกโรงเรียนด้วย ในวงนินทามักจะมีห้าคนนี้ปรากฏอยู่บ่อยๆ แต่เพราะไม่มีใครรู้จักพวกเขาจริงๆ จึงมีข่าวลือสนุกปากไร้ซึ่งมูลความจริงใดๆ มากมายเต็มไปหมด เหมือนเป็นตัวละครที่ทุกคนคอยดูอยู่ทุกๆ วันเพื่อความสนุกสนาน
    แต่ที่น่าสนใจก็เพราะว่าพวกเขามีหน้าตาที่สุดจะดูดี ทรงผมหรือการแต่งหน้า ทุกอย่างล้วนแต่เรียกได้ว่า แรง โดดเด่นเพราะไม่มีใครกล้าทำอะไรนอกหน้ามากขนาดนั้น
    อีกอย่างที่ทำให้พวกเขาแปลกแยกจากคนอื่นอย่างที่สุดก็คือ
    พวกเขาขับรถมาโรงเรียนกันเอง
     
    บรรยากาศตอนเย็นของโรงเรียนต่างจากตอนพักกลางวันอย่างสิ้นเชิง นักเรียนบางตามากจนแทบจะร้างผู้คน ส่วนใหญ่นั้นกลับบ้าน ไปเดินห้างหรู หรือไม่ก็กระจุกกันอยู่ในอาคารชมรม
    ทางเดิน ถนน รวมถึงที่จอดรถจึงแทบจะว่างเปล่า มีเพียงเรนซึ่งเดินจูงมือกับผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินไปหน้าโรงเรียน กับรถยนต์อีกคันที่กำลังจะสตาร์ทเครื่อง แล้วที่นี่ก็จะร้างอย่างสมบูรณ์
    บรื้น บรื้น!
    ทันทีที่ ‘ยิน’ บิดกุญแจรถ เสียงเครื่องยนต์ของรถ BMW ก็ดังขึ้น เขาถอยรถอย่างรวดเร็วเพื่อหันหน้าออกจากโรงเรียน จากนั้นก็เหยียบคันเร่งพุ่งฉิวออกไปนอกรั้ว น้ำที่ขังบนถนนจึงถูกยาง เหยียบจนสาดกระเซ็นมาโดนชายหนุ่มที่รีบรวบตัวกอดสาวน้อยผมฟ้า
    แผ่นหลังของเขาถูกน้ำสาดจนเปียกชุ่ม แต่เรนตกใจ เธอรีบออกจากอ้อมกอดนั้นอย่างรวดเร็ว
    “โห เปียกเลยเนี่ย คราวหลังไม่ต้องทำแบบนี้หรอก” กระโดดหลบมันทั้งสองคนเลยไม่ดีกว่าหรือไง เรนเกือบจะพูดต่อ แต่ก็ยั้งไว้ กลัวว่าฟีนจะรู้สึกเสียหน้า(ไปมากกว่านี้)
    “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็แห้ง ยิ่งตากแอร์เดี๋ยวก็แห้งไว” ฟีนตอบแก้เก้อ มือสะบัดเสื้อสองสามที เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจสัดนิดที่ทำเรื่องสุภาพบุรุษแต่สุภาพสตรีไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งกับมันเลย
    ทั้งสองคนเดินกันไปที่หน้าประตูโรงเรียนเพื่อรอรถแท็กซี่ ทิ้งให้บริเวณนั้นร้างผู้คนอีกครั้ง
     
     
    ห่างออกไปไม่ไกล ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย แถวตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ ตรงลานจอดรถนั้น รถยนต์สองคันที่มีรูปร่างและสีสันแปลกตาจอดสนิทอยู่ใกล้ๆ กัน 
    คันซ้ายนั้นเป็น Alfa Romeo 8c สีเหลืองแสบตา ถูกเปลี่ยนบอดี้ให้สวยงามขึ้น และโหลดเครื่องให้ต่ำลง ใส่กรอบโครเมียมที่ไฟท้ายและไฟหน้า สปอยเลอร์สูงลิ่วแต่บางเฉียบ ท่อไอเสียถูกเพิ่มเป็นสี่ท่อ ทุกอย่างดูลงตัวไปหมด
    คันต่อมาที่จอดอยู่ไม่ไกลกันคือ Ferrari California สีแดง มองดูเพ้อฝันอย่างที่สุด มันจอดอยู่นิ่งแต่ทุกคนที่เห็นนั้นใจสั่นด้วยความตื่นเต้น คันนี้มีลายไวนิลอยู่ตรงโป่งล้อเล็กน้อย มันดูหรูหรากว่าคันข้างๆ มาก คันนี้ไม่ได้ถูกเปลี่ยนบอดี้ เพราะของเดิมงดงามมากอยู่แล้ว เพียงแค่เติมเสกิร์ตเข้าไป และใส่สปอยเลอร์คาร์บอนไฟเบอร์สีดำ
    ทั้งสองคันถูกจอดมานานกว่าหกชั่วโมง หกชั่วโมงแห่งสายตาของความตื่นเต้น ชื่นชม แต่นักศึกษาคณะวิศวะนั้นเห็นกันจนเกือบจะชิน พวกเขาเพียงแค่หาร่องรอยการต่อเติมของรถเพื่อความประหลาดใจ และชื่นชมมันมากขึ้นไปอีก
    ไม่นานหลังจากที่เข็มสั้นของหอนาฬิกาชี้ไปที่เลขสี่ ทางเดินข้างล่างก็เริ่มเต็มไปด้วยนักศึกษาที่เดินไปมามากขึ้น หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มรูปร่างสูงเด่น ผิวขาวสะอาด ใบหน้ามีเค้าโครงของคนตะวันตกเล็กน้อย ริมฝีปากบางสีชมพู ทุกอย่างบนใบหน้านั้นแลดูลงตัวไปหมดเหมือนรถที่เขาแต่ง เขาเดินอยู่กับเพื่อนอีกสี่คน ซึ่งเมื่อเดินมาถึงลานจอดรถ เขาก็โบกมือลา แยกจากเพื่อนสามคน เหลืองเพียงคนเดียวที่ยังเดินข้างเขา เมื่อใกล้ถึงรถเขาจึงค่อยหันไปบอกลา
    “นายด้วยบีฟ เจอกันที่คลับ” ผู้ชายเจ้าของชื่อบีฟหันมามองเขาเล็กน้อย พยักหน้ายิ้มๆ ใบหน้าของเขาหล่อเหลาอย่างที่ผู้หญิงหลายคนหลงใหล มันทั้งแลดูหวานและค่อนข้างโหด ซึ่งเข้ากันดีกับผิวสีแทน เขาตอบว่า
    “เออ โชคดี” แต่ซันไชน์กลับตอบไปว่า “ไว้อวยพรให้สโนว์ดีกว่าว่ะ”
    ซันไชน์ เจ้าของใบหน้าตะวันตกเดินไปที่รถของตัวเอง แล้วก็ต้องแอบสบถในใจเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ใกล้ๆ รถของเขา บัดซบ!
    ชายในเครื่องแบบหันมามองซันไชน์ทันทีที่เขาเดินไปใกล้ Alfa Romeo สีเหลืองคันสวย
    “นี่รถคุณหรือเปล่าครับ” ตำรวจที่ถือใบสั่งอยู่ในมือพร้อมปากกาเตรียมจดยิกๆ พูดขึ้น
    “ใช่ครับ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าทำไมถึงโดนตำรวจเรียก แต่ก็ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทันใดนั้นเอง เขาก็นึกขึ้นได้ว่ารถของบีฟก็น่าจะโดนด้วย จึงเหลือบไปมองด้านซ้ายมือ และดูเหมือนคุณตำรวจจะเข้าใจ เขารีบเรียกบีฟซึ่งกำลังเร่งรีบขึ้นรถหนีไว้ทันที
    “เดี๋ยวคุณ! อย่าเพิ่งไป!” ตำรวจรีบวิ่งไปเพื่อจะขวาง แต่ไม่ทันแล้ว รถเฟอร์รารี่สตาร์ทเสียงดังแล้วมันก็พุ่งฉิวออกไปจากตรงนี้ทันที ทิ้งไว้เพียงควันสีขาวเหม็นๆ
    “แค่กๆๆ” คุณตำรวจไอคอกแคก แต่แล้วก็รีบหันมามองซันไชน์ วิ่งเข้าไปขวางไว้ตรงประตูคนขับ ด้วยกลัวว่าจะหนีไปได้อีก
    ซันไชน์ประเมินความสามารถของตำรวจตรงหน้าแล้วก็ส่ายหน้าเล็กน้อย รถเฟอร์รารี่เมื่อกี๊ป้ายทะเบียนก็ไม่จด นี่ก็ด้วย ไม่หัดดูซะบ้างว่ารถของเขามันเป็นพวงมาลัยซ้าย ไปยืนตรงนั้นจะได้เรื่องอะไร ว่าแล้วซันไชน์ก็รีบเปิดประตูจากอีกฝั่งหนึ่ง เสียบกุญแจกดปุ่มสตาร์ท เหยียบคันเร่ง และหักพวงมาลัย
    ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาห้าวินาที
    และลานจอดรถก็ไม่เหลืออะไร
    ยกเว้นตำรวจหน้าโง่ที่ยืนอยู่อย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อ
     
     
    ในห้องเรียนวิชาการสร้างแบรนด์ นักศึกษาแต่ละคนต่างก้มหน้าลงอยู่กับสมุดเลกเชอร์ของตนเอง จดยิกๆ ทุกอย่างที่อาจารย์หน้าห้องพูดอยู่ รวมถึงคัดลอกภาพที่อยู่บนกระดานลงไปในสมุด ทุกคนคร่ำเคร่งอยู่กับการเรียน
    ยกเว้นชายคนหนึ่ง
    เขานั่งสั่นขาอย่างสบายอารมณ์ ในมือนั้นถือกุญแจรถยี่ห้อหรูคันหนึ่ง  ควงไปควงมา เผลอๆ ก็มองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วเดี๋ยวก็กลับมาจดจ่ออยู่กับกุญแจในมือ อิริยาบถต่างๆ นั้นดูเหมือนหนุ่มเพลย์บอยเสน่ห์แรง
    แต่เขาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ซะด้วยสิ
    “เอาล่ะ งานที่สั่งครั้งที่แล้วขอให้เอามาส่งหน้าห้องด้วยนะ” เมื่ออาจารย์พูดจบ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน ทำตัวกลมกลืนไปกับพวกที่เดินไปส่งรายงานหน้าห้อง แต่แล้วเขาก็เนียนๆ ทำเป็นเดินออกจากประตูโดยไม่ได้วางอะไรลงบนโต๊ะสักอย่างเดียว
    “เดี๋ยว! คุณพงศธร ผมยังไม่เห็นใบงานของคุณเลยนะ” เพซ หรือ พงศธรตามคำเรียกของอาจารย์หยุดเดิน แล้วค่อยหมุนตัวกลับมา
    “ไว้ชั่วโมงหน้าได้ไหมครับ” ไม่ได้ยังไงก็ต้องได้แหละ ก็เขายังไม่ได้แตะเลยนี่ สักนิดเดียว
    “ได้ แต่คุณต้องไปพบผมที่ห้องด้วย” เพซขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงความเบื่อหน่ายในห้องเขาก็ฉุนกึ้กทันที และลืมเรื่องความสุภาพไปหมดสิ้น
    “มีอะไรอีก”
    “ในฐานะที่ผมก็เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของคุณด้วย”
    คราวนี้เพซสบถออกมาสองสามคำ “แล้วมันเรื่องอะไรกัน”
    “ตามมา”
    “อะไรวะ”
    “เดี๋ยวนี้!”
    ตอนที่เดินตามไปข้างหลัง เพซทำท่าเตะก้นอาจารย์ที่ปรึกษาไปตลอดทาง แต่เมื่อเขาหันมา เพซรีบกลบเกลื่อนว่า “ชิบ ตัวอะไรอยู่ในรองเท้าวะ” พร้อมกับสะบัดเท้ากลางอากาศสองสามที
     
     
    จนเกือบๆ หกโมงเย็น เพซถึงได้ถูกปล่อยออกมาจากห้อง อาจารย์พูดถึงพฤติกรรมของเขาที่ไม่ดี อย่างนู้นอย่างนี้ รวมถึงเกรดในเทอมผ่านๆ มาของวิชาการสร้างแบรนด์ แต่จนแล้วจนรอดเมื่อเห็นว่าชายตรงหน้าเอาแต่พึมพำอะไรในลำคอ ควงกุญแจรถไปมา ไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาพูดอยู่เลยแม้แต่น้อย เขาเลยพล่ามอีกสองสามนาทีก่อนจะปล่อยเพซออกมา
    เป็นอิสระจากห้องนั้นแล้วเพซก็ตรงดิ่งไปยังลานจอดรถของคณะนิเทศศาสตร์ทันที เมื่อสายตามองไปเห็นชายในเครื่องแบบกำลังด้อมๆ มองๆ อยู่ที่รถของเขาก็ยิ่งทำให้เพซอารมณ์เสีย
    “มีอะไรกับรถผมหรือไง” เพซถามอย่างไม่สนใจหัวตำรวจ คนมันอารมณ์เสีย จะใครก็ช่างหัวมัน
    “เอ่อ...มีสิ มี รถคุณ...” ตำรวจคนเดิมที่เดินกลับจากคณะวิศวะแล้วเหลือบมาเห็นรถยนต์สะดุดตาคันหนึ่งจอดอยู่ก็รีบตรงมาทันที ครั้งนี้คิดไว้ในใจว่ายังไงก็ต้องพาไปโรงพักให้ได้ แต่เมื่อเจอกับอารมณ์เสียของเจ้าของรถความมั่นใจที่ตอนแรกเต็มเปี่ยมก็หดเหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
    “รถผมทำไม”
    “รถคุณไม่น่าจะ...ไม่น่าจะ...”
    “ถูกกฎหมาย? ผมจอดที่นี่มาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง ถ้ามันผิดกฎหมายก็โดนจับไปชาติแล้ว ทำไม อยากได้เงินนักหรือไง วู้ ก็พูดตั้งแต่แรกสิวะ” เพซควักแบงค์สีม่วงออกมาสองสามใบ โยนให้ตำรวจที่ยืนใบ้ค้าง
    “ถอยสิวะ” เพซผลักตำรวจให้ออกไปพ้นทาง แล้วเดินไปไขกุญแจรถ จากนั้นก็สตาร์ทเครื่อง
    Lamborghini Gallardo ก็พุ่งฉิวจากไป
    “แค่กๆ”
     
     
    Boom boom boom, gotta get-get Boom boom boom, gotta get-get
    เสียงเพลงกับจังหวะหนักๆ ดังทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้ ทั้งหญิงและชายต่างโยกย้ายส่ายสะโพก เต้นไปมาตามจังหวะ แสงไฟจากเพดานสาดไปทั่วห้องที่เคยมืดสนิท
    มันคือคลับ
    ที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นอายุไม่ถึงเกณฑ์
    “ฟรีด้า!” หญิงสาวคนหนึ่งตะโกนแข่งกับเสียงเพลง เรียกเพื่อนสาวที่ยังคงโยกย้ายตามจังหวะเพลง
    “หะ อะไรนะ” เพื่อนสาวตอบกลับมางงๆ
    “เดี๋ยวฉันมา!” คราวนี้ ‘สโนว์’ ตะโกนให้เสียงดังมากขึ้น
    “เออ!” เพื่อนสาวที่ชื่อฟรีด้าก็ตะโกนกลับมาดังพอๆ กัน
    สโนว์เดินแหวกผ่านผู้คนที่เต้นกันเบียดเสียดออกมาจนถึงทางเดิน แล้วก็เดินผ่านพวกคนที่พากันมากอดจูบอยู่ตรงทางเดินลงบันไดไปชั้นล่าง ทุกอิริยาบถนั้นเร่งรีบ เธอยกข้อมือมาดูนาฬิกา ซึ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มห้าสิบ
    สโนว์เดินมาถึงประตูร้าน ข้างนอกนั้นมีรถยนต์สีสันแสบตารูปร่างเก๋ไก๋จอดอยู่เป็นแนวตลอดช่วงถนน ผู้คนบางตากว่าในคลับ แล้วสายตาของสโนว์ก็เหลือบไปเห็นสิ่งที่รอคอย Alfa Romeo 8c แล่นมาช้าๆ และมันก็หยุดอยู่ตรงหน้าร้านที่เธอยืนอยู่พอดี คนขับรีบลงจากรถ เหมือนๆ กับที่สโนว์รีบเดินไปหาเขา
    “เกือบสาย” เธอเอ่ยขึ้น จ้องหน้าน้องชายร่วมสายเลือดของตัวเองด้วยแววตาคาดโทษ
    “ก็แสดงว่าไม่สาย เถอะน่า ให้ยืมนี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว” ซันไชน์พูดหน้านิ่ง ยกมือขึ้น ซึ่งถือกุญแจอยู่ สโนว์ก็รีบคว้ามันไว้ทันที
    “ขอบใจ”
    “ห้าม แพ้ เด็ด ขาด” ซันไชน์พูดแต่ละคำเน้นๆ แต่ในใจลึกๆ เขาก็มั่นใจอยู่แล้วว่าพี่สาวเขาจะไม่แพ้เป็นรอบที่สอง สโนว์นั้นไม่ได้ตอบอะไรแต่ถามกลับไป
    “ว่าแต่ไปไหนมาก่อนล่ะ” เธอเปิดประตูรถไปด้วยขณะที่พูด
    “เบียร์มันเพิ่งเอาโช้คอัพมาให้ใหม่ เอ้อ อย่าทำเสื่อมล่ะ” ประโยคหลังแค่แซวเล่นๆ เท่านั้น
    “พี่ไม่ได้ไปดริฟท์โชว์สาวนะ” พูดจบสโนว์ก็เข้าไปนั่งในรถ และเธอก็มองเห็นได้จากข้างในว่า Lamborghini สีเขียวอุบาทว์ตาก็มาถึงที่นี่แล้ว แค่ได้เห็นรถยังไม่ทันเห็นคนขับก็ทำให้ความแค้นที่สั่งสมมาของสโนว์พุ่งพล่านทันที เธออยากจะชนแม้งให้รถมันบี้บุบแตกกระจายแหลกเป็นชิ้นๆ ยิ่งคิดถึงเรื่องเมื่อวันก่อนสโนว์ก็ยิ่งเจ็บใจ
    เมื่อสี่วันก่อน เธอพลาดท่าหลงไปแข่งรถกับผู้ชายเฮงซวยที่ชื่อ เพซ ด้วยความไม่ตั้งใจแล้วดันแพ้ แค่ฉิวเฉียดเท่านั้น แต่มันก็คือแพ้ พอเธอถามว่ามันต้องการอะไร สิ่งที่มันบอกมาทำเอาเส้นเลือดในขมับของสโนว์เต้นตุบๆ
    “สาวน้อยของเธอไง สวยจังเลย” มันจะเอารถเธอ!! หน้าตายิ้มเยาะเหมือนผู้ชนะยิ่งทำให้สโนว์อยากตบหน้ามันแรงๆ แต่เพราะไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนขี้แพ้ เธอเลยต้องจำยอมยื่นกุญแจรถคันแรกในชีวิตของเธอให้มันไป
    คิดแล้วก็ยิ่งแค้น ยิ่งแค้นเธอก็ยิ่งกำพวงมาลัยแน่นขึ้นไปอีก
     
     
    บัดนี้คนจากในคลับนั้นมามุงดูรถยนต์สองคันที่จอดคู่กันเตรียมออกตัวด้วยความสนใจ ภายนอกคลับคึกคักอีกครั้งด้วยวัยรุ่นหลายร้อยคน คนที่ตื่นเต้นที่สุดรองจากสองคนที่นั่งอยู่ในรถก็คือซันไชน์ เขายืนอยู่หน้าสุดมองดูรถสุดหวงของตัวเองด้วยใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ คิดๆ ดูอีกทีแล้วเพซมันก็เก่งไม่ใช่เล่น ถ้าพี่สาวเขาเกิดแพ้อีกครั้งล่ะ เขาก็ต้องเสียรถให้มันใช่ไหม
    รถของเขา...
    เสียงวีดวิ้วและเสียงตะโกนเชียร์ดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสาวสวยที่ยืนอยู่กลางถนนเริ่มยกแขนทั้งสองของเธอขึ้นฟ้า แฟนคลับของเพซต่างส่งเสียงเชียร์ข่มขวัญสโนว์ แต่แฟนคลับของซันไชน์และสโนว์ก็ส่งเสียงเชียร์ไม่น้อยหน้ากัน
    “สโนว์! สโนว์! สโนว์! สโนว์!”
    “เพซ! เพซ! เพซ! เพซ!”
    และทันทีที่สาวคนนั้นวาดมือลงมา เสียงเชียร์ก็ถูกกลบด้วยเสียงเครื่องยนต์ของแลมเบอร์กินี่และอัลฟ่าโรมิโอ พร้อมๆ กับที่รถทั้งสองพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็ว
    สโนว์กำพวงมาลัยแน่นด้วยความตื่นเต้น เท้าขวาเหยียบคันเร่งจนมิด แม้มันจะสั่นเล็กน้อยด้วยความกดดันแต่อัลฟ่าโรมิโอก็กำลังแล่นไปด้วยความเร็วที่พอๆ กันกับรถข้างๆ ซึ่งทำให้หายกดดันไปได้หน่อย เมื่อแล่นไปใกล้ถึงจุดกลับรถ สโนว์ก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก อะดรีนาลีนฉีดพล่านไปทั่วทั้งร่างสีเผือด แล้วเมื่อถึงจุดกลับรถ เธอก็ทำในสิ่งที่เตรียมการไว้ทันที
    เมื่อแลมเบอร์กินี่เตรียมดริฟท์กลับรถ เธอก็พุ่งอัลฟ่าเข้าไปชนท้ายให้รถบิดคว้างทันที ด้วยความที่เพซไม่เคยคิดมาก่อน เขาจึงไม่ได้หลบหลีกอะไรทั้งนั้น
    สิ่งที่สโนว์ทำจึงได้ผลเกินคาด! แลมเบอร์กินี่หมุนคว้างกลางถนน ในขณะที่เธอหมุนรถกลับในเวลาอันรวดเร็ว เหยียบคันเร่งมิด แล้วมันก็พุ่งฉิวจากไป
    “แสบนักนะ!” เพซใช้เบรกมือ พร้อมกับเหยียบเบรก แลมเบอร์กินี่หยุดนิ่งสนิท และเพซก็รีบกลับลำรถ เหยียบคันเร่ง แล้วมันก็พุ่งฉิวตามอัลฟ่าโรมิโอไป จากนั้นเพซก็ตัดสินใจกดปุ่มสีแดงปุ่มหนึ่ง ทำให้รถของเขาพุ่งฉิวเร็วกว่าเดิมเกือบเท่าตัว มันคือไนตรัส
    เข็มวัดความเร็วหมุนไปที่เลข 325 km/h และภายในไม่กี่วินาที เขาก็ตามทันอัลฟ่าโรมิโอ ด้วยความเร็วขนาดนั้น เพซชนเข้าไปที่บั้นท้ายของรถอัลฟ่าโรมิโออย่างแรง รถกระเด็นออกไปจากถนน เพซมองกระจกหลังด้วยความสะใจ แต่เมื่อเห็นว่ารถคันสีเหลืองเสียหลักพุ่งขึ้นฟุตบาทไปชนเข้ากับเสาไฟฟ้าเขาก็ใจเสียขึ้นมาทันที ความรู้สึกเป็นห่วงแล่นวาบไปทั่วจิตใจ
    สุดท้ายเขาก็ละสายตากลับมาที่ถนน กำพวงมาลัยแน่น แววตาว่างเปล่า
    เมื่อกลับมาถึงจุดเริ่มต้น เพซลงมาจากรถ พวกคนที่เชียร์เพซก็เฮกันเสียงดังลั่น ปรบมือกันด้วยความดีใจ ผู้หญิงบางคนรีบปรี่เข้าไปหาเพซทันที หวังจะใช้โอกาสนี้ยั่วยวน
    “เก่งจังเลยค่ะเพซ” ทุกคนเบียดเสียดจะเข้าไปถึงตัวเพซ ผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนกัน พยายามเบียดหน้าอกให้เข้าไปแนบชิดกับชายหนุ่มเจ้าของแลมเบอร์กินี่ให้มากที่สุด
    อีกมุมหนึ่ง ซันไชน์เหงื่อตก เข่าอ่อนขึ้นมาทันที และเมื่อไม่มีวี่แววว่ารถของเขาจะโผล่มาให้เห็นซันไชน์ก็ยิ่งว้าวุ่น มีหลายคนเดินเข้ามาตบไหล่เขาเบาๆ
    “ฉันเสียใจด้วย”
    “ไม่เป็นไรนะซัน”
    “มีขึ้นมีลง เดี๋ยวแม้งก็ขึ้นใหม่”
    แต่เขาแทบไม่ได้ยิน เขาได้ยินเพียงเสียงแสดงความดีใจของพวกเพซ ซึ่งทำให้ซันไชน์ยิ่งหดหู่...รถของเขา
    “ไอ้ซัน!” บีฟเดินมุ่งมาหาซันไชน์
    “บีฟ...ฉัน...” ซันไชน์ก้มหน้าลงมองเท้าตัวเองอย่างสิ้นหวัง
    “มันเอารถนายไป นายก็เอากลับมาได้” แต่ท่าทางของซันทำให้บีฟเริ่มโมโห “แกเงยหน้าขึ้นมาสิวะ!”
    “ซัน!” ผู้หญิงคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาบ้าง คราวนี้ซันเงยหน้าขึ้นมองเธอ “...ผมไม่มีรถแล้ว” น้ำเสียงแห้งผาก บ่งบอกได้ชัดเจนว่าการสูญเสียรถสุดที่รักทำให้ซันไชน์รู้สึกแย่แค่ไหน
    แต่มันทำให้บีฟอยากต่อยหน้าเพื่อนสักครั้งให้ตาสว่างขึ้น “นายแหกตาดูสิวะ! ใครบ้างในนี้ที่ไม่ใช่เพื่อนนาย หา! ใครบ้างในนี้ที่จะไม่ยอมให้นายยืมรถ!”
    ซันไชน์มองไปรอบๆ
    บีฟ ฟอน ฟรีด้า มิวนิค ยิน กรีซ ดิสก์ ทุกคนล้วนมองมาที่เขา บีฟพูดต่อว่า
    “ฉันเข้าใจ นายกำลังอึ้ง แต่...”
    “เดี๋ยว! บีฟ กรีซว่ามันแปลกๆ นะ ทำไมพี่สโนว์ยังไม่ขับรถมาอีกล่ะ มันช้าไปแล้วนะ” ผู้หญิงที่ชื่อเกรซโพล่งขึ้น แล้วทุกคนก็เริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ ผู้ชายคนหนึ่งจึงบอกว่า “เดี๋ยวผมไปดูให้”
    ซันไชน์เลยรีบออกตัว “ยิน ฉันไปด้วย” แล้วทั้งสองก็รีบวิ่งไปที่บีเอ็มดับบลิวของยินที่จอดอยู่ไม่ไกล
     
     
    หลายนาทีก่อน
    เมื่อรู้ตัวว่าถูกชนท้ายสโนว์ก็สะดุ้งด้วยความตกใจ มือหลุดจากพวงมาลัย รถกระเด็นไปข้างขวาอย่างไร้การควบคุมใดๆ เธอตาค้างเมื่อเห็นว่ารถกำลังจะชนเสาไฟฟ้า สัญชาติญาณทำให้เธอเหยียบเบรกและกำลังจะหักพวงมาลัย แต่ไม่ทันเสียแล้ว รถพุ่งชนเสาไฟฟ้าด้วยความแรงสูง ถุงลมนิรภัยพุ่งออกมาทันที ดันให้ศีรษะของสโนว์ชนเข้ากับเบาะรถอย่างแรง วินาทีนั้นสติของสโนว์ก็ดับวูบลง
    หลายนาทีต่อมา
    เมื่อบีเอ็มขับเข้าไปในระยะที่สามารถเห็นรถสีเหลืองชนอยู่กับเสาไฟฟ้า ซันไชน์ก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ “พี่สโนว์!!!” ยินเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เขารีบเร่งความเร็วแล้วขับเข้าไปจอดอยู่ใกล้ๆ ทางซ้ายมือของอัลฟ่า
    ยังไม่ทันที่รถจะจอดสนิทดี ซันก็รีบลงจากรถไปเปิดประตูอัลฟ่าทันที แต่ประตูล็อค ซันทุบกระจกเรียกชื่อพี่สาวอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นว่าเธอกำลังไม่ได้สติ ที่ความเร็วขนาดนั้นแล้วรถพุ่งชนแบบนี้ บางทีรถอาจจะระเบิดได้ ความจริงข้อนั้นยิ่งทำให้ซันไชน์ลนลาน เมื่อเห็นยินที่ลงมาสมทบเขาก็พูดขึ้นว่า
    “มึงมีค้อนไหม อะไรก็ได้แข็งๆ กูจะทุบกระจก” ยินรีบเข้าไปในรถอีกครั้ง แล้วหยิบเอาค้อนมายื่นให้ซัน ที่เมื่อได้ไปแล้วก็ง้างมือเตรียมจะทุบทันที แต่ยินก็โพล่งขึ้นมาก่อนว่า “พี่ซันอย่าเพิ่ง!”
    ซันไชน์หันมามองเขาด้วยแววตารำคาญ “ทำไม!” ยืนห่างกันไม่ถึงเมตร แต่ทั้งคู่ก็ตะโกนคุยกันเสียงดัง
    “เดี๋ยวเศษกระจกแตกไปโดนพี่สโนว์!”
    เออว่ะ!
    ได้ยินดังนั้นซันไชน์ก็รีบอ้อมไปอีกด้านของรถทันที เพล้ง! ซันไชน์ทุบลงไปทีเดียวกระจกก็แตกละเอียด เขาเอื้อมมือไปปลดล๊อค เปิดประตูแล้วเข้าไปดึงพี่สาวมากอด ตบหน้าเบาๆ เพื่อเรียกสติ “สโนว์ พี่โนว์ ได้ยินผมไหม” แต่สโนว์ยังคงไม่ได้สติเหมือนเดิม ซันไชน์เอื้อมมือไปปลดล็อคประตูฝั่งคนขับ จากนั้นก็ดึงให้พี่สาวมานั่งอยู่ที่เบาะของเขา แล้วก็ลงไปเปิดฝากระโปรงรถ ยินมายืนดูสภาพเครื่องยนต์แล้วออกความเห็น
    “ผมว่าไม่เป็นไรนะ”
    “ใช่ ค่อยยังชั่ว งั้นแกก็ขับรถแก เดี๋ยวฉันขับรถฉันกลับเอง”
     
     
    “พี่โนว์...พี่โนว์ ได้ยินผมไหม” สโนว์ได้ยินเสียงต่ำๆ ที่คุ้นเคย มันดังแว่ว เหมือนผู้พูดกำลังเรียกเธออยู่ไกลๆ แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเดิมพูดอีกว่า
    “สโนว์ฟื้นแล้วแหละ” แล้วเธอก็ได้ยินเสียงกุกกัก จากนั้นก็ได้ยินเสียงสูง ใสพูดอย่างตะกุกตะกักแบบไม่มีความมั่นใจว่า
    “พะ--พี่สโนว์” สโนว์กะพริบตาถี่ๆ เธอเห็นแต่แสงสีขาวๆ แต่จากนั้นภาพที่เห็นก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เพดานสีขาวที่คุ้นตา ห้องนอนเธอนั่นเอง ข้างเตียงที่เธอนอนอยู่ น้องชายเธอกำลังมองมา ห่างออกไปคือน้องสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน
    “เป็นไงบ้าง” ซันไชน์ถามด้วยความเป็นห่วง
    “พี่ปวดหัวหรือเปล่า ผมคิดว่าหัวพี่น่าจะไปกระแทกกับเบาะรถ หรืออะไรเข้า ผมไม่ได้พาพี่ไปโรงพยาบาล คือ—” สโนว์ลืมตานิ่ง ซึมซับความรู้สึกของร่างกายตนเอง
    “ไม่...พี่ว่าพี่โอเคนะ” พูดจบ ก็มีเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากคนสองคน และเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น สโนว์ก็รีบลุกขึ้นนั่ง หันมามองน้องชายด้วยแววตาขอโทษ
    “ซัน! พี่ขอโทษ! พี่มันห่วยเอง พี่ขอโทษ! พี่...”
    “ไม่เป็นไรหรอก ผมจะเอากลับมาให้ได้อยู่ดี” เมื่อเห็นว่าบทสนทนาเริ่มดำเนินไปในเรื่องที่เรนไม่เกี่ยวข้องและไม่เข้าใจ คือโลกส่วนตัวของพวกพี่ๆ ที่เธอเข้าไม่ถึง สาวผมฟ้าจึงเอ่ยแทรกขึ้น
    “ถ้างั้นเรนไปนอนแล้วนะ” ก่อนจะหันหลังเดินลิ่วๆ เปิดประตูออกจากห้องไปโดยไม่รอฟังอะไร สโนว์หันกลับมามองหน้าน้องชาย ถามในสิ่งที่อยากรู้
    “พี่รถชนแล้ว...แล้วเพซมันทำยังไงน่ะ”
    “มันก็ขับต่อน่ะสิ มันกลับมาถึงตรงนั้นเร็วชิบเลย”
    แล้วซันไชน์ก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่สโนว์สลบไปให้ฟัง
     
     
    เมื่อเกือบหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว
    กว่ารถสองคันจะขับเข้ามาใกล้ที่คลับอีกครั้ง คนอื่นๆ ก็พากันเข้าไปข้างในคลับเหมือนเดิม เหลือแต่พวกของซันกับเพซที่ยืนอยู่หน้าร้าน เมื่อสบสายตาหาเรื่องปนสงสัยของพวกซันมันก็บอกสั้นๆ ว่า “กูรอรถกู”
    พวกของซันเมื่อเห็นสภาพรถก็ตกใจกันยกใหญ่ เมื่อซันจอดรถแล้วก็พากันกรูเข้าไป มีเพซมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ซันไชน์ลงจากรถ ไม่ตอบคำถามใดๆ ของเพื่อนทุกคน แต่แหวกกลุ่มเพื่อนที่ยืนล้อมอยู่ เดินมาหาเพซซึ่งยืนอยู่หน้าร้าน
    ผลัวะ!
    หมัดหนักๆ ของซันซัดเข้าที่หน้าใสๆ ของเพซ ซึ่งไม่ทันได้ตั้งตัว เขาเซไปเล็กน้อย แต่แล้วก็หันมามองหน้าซัน สีหน้าไม่ยี่หระ เขายื่นมือออกมา
    “กุญแจ...”
    แต่ซันไชน์ต้องการสะสางอยู่เรื่องเดียว
    “มึงจะฆ่าสโนว์หรือไง!” ซันไชน์ตะคอกใส่หน้าเพซเสียงดัง เขาไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนเลย ถ้าเทียบกับบีฟแล้ว แต่ในเวลานี้ ที่เขาเพิ่งเห็นพี่สาวสลบอยู่ในรถที่สามารถระเบิดได้ทุกเมื่อ เขาอยากจะฆ่าไอ้คนที่ทำแบบนี้เลยด้วยซ้ำ!
    “ยัยนั่นชนฉันก่อน” น้ำเสียงของคนชั่วที่เปล่งออกมาทำให้ซันไชน์ชกเข้าที่หน้ามันอีกครั้ง เขาตามไปผลักมันลงพื้น ขึ้นคร่อม แล้วชกไม่ยั้ง
    “แล้วมึงก็เลยจะฆ่าเขาเนี่ยนะ!!”
    ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ!
    เสียงหมัดดังขึ้นไม่หยุด มุมปากของเพซมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย แต่มันก็ยังไม่สาแก่ใจซัน
    ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ!
    เพซไม่ตอบโต้หรือป้องกันตัวเลยสักนิดเดียว เขายอมนอนนิ่ง ให้ซันซัดหมัดมาไม่ยั้ง จนเริ่มเหนื่อย ซันจึงลุกขึ้น เดินเร็วๆ ไปกลับไปที่รถของเขา ผ่านเพื่อนๆ ที่ยืนตะลึง กระชากกุญแจรถมาถือไว้ในมือ แล้วเดินกลับมาหาเพซ เขวี้ยงกุญแจใส่หน้าที่เปื้อนเลือดนั้นเต็มแรง
    “วันนี้มึงเอารถกูไป แต่พรุ่งนี้มึงเจอดีแน่”
    เพซอ้าปากแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างไร้เสียง มือหยิบกุญแจออกมาจากใบหน้าฟกช้ำ แล้วจึงค่อยลุกขึ้นยืน เบื้องหน้าเขาไม่ใช่แค่ซันไชน์เท่านั้นที่จ้องมาอย่างเคียดแค้น ข้างหลังนั่น กว่าเจ็ดคนกำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาชิงชังเช่นเดียวกัน


    ------------------------------------------
    อ่านถึงตอนนี้แล้ว nernan สุดยอดของสุดยอดดีใจเลย 555
    ติดตามอ่านตอนต่อไปกันน้า เม้นเม้นเม้นด้วยเน๊อะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×