ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    || R&R โรลกับเรน ||

    ลำดับตอนที่ #3 : เคฟ

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ย. 52





    2
    เคฟ

     
    ปกติแล้วทุกคนในโรงเรียนจะรู้จักเรนในฐานะของประธานฝ่ายอะไรก็ตามที่มักจะใช้สมองนำหน้าตา คือเธอไม่ใช่พวกหรีดเชียร์อะไรพวกนั้น และถ้ามีงานแสดงละครเธอก็จะไม่ใช่ผู้ที่ได้รับบทเป็นนางเอก อันนั้นเป็นตำแหน่งของเมซี่ ส่วนเรนจะอยู่ฝ่ายแสงสีอะไรเทือกนั้น
    แต่ใครๆ ก็รู้ ถ้าคุณเป็นคนดัง ถึงทำงานอะไรพวกนั้นก็ยังถูกจับตามองแทบทุกฝีก้าวอยู่ดี ใครที่ไหนก็อยากจะเป็นเพื่อนคุณ อยากได้รับความไว้วางใจ แค่มีบทสนทนากับคุณสักสองสามประโยคก็ไปเล่าให้กลุ่มเพื่อนฟังอย่างตื่นเต้นได้ทั้งวัน
    แล้วเรนก็เป็นคนที่เปิดเผยน้อยที่สุดถ้าเทียบกับเพื่อนเธออีกสามคน เธอไม่ใช่คนเก็บตัวเงียบ แต่เธอเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก มีน้อยคน ที่เธอจะเปิดใจให้ ถึงอย่างนั้น คนเหล่านั้นก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าระหว่างเธอกับพวกเขาแล้วเหมือนเรนพยายามที่จะสร้างระยะห่างเล็กๆ ไว้
    ทุกอย่างเป็นผลพวงมาจากความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่ทั้งสอง ซึ่งห่างเหินกันมาตั้งแต่ที่ทั้งสองคนเริ่มขึ้นม.ปลาย เรนรู้สึกเหมือนถูกทิ้งคว้าง เป็นไปได้อย่างไร ตอนเด็กๆ ทั้งสามคนรักกันมาก ครั้งหนึ่งเรนเคยเล่นเลียนแบบงานแต่งงานในโบสถ์ เธอยืนถือช่อดอกไม้ที่ไปหยิบมาจากแจกันบนโต๊ะอาหาร ยืนตรงข้ามกับซันไชน์ มีสโนว์ยืนระหว่างทั้งสอง แกล้งถือหนังสือที่ให้มันรับบทเป็นคัมภีร์
    “นางสาวเรน คุณจะยอมรับซันไชน์เป็นสามีหรือไม่ คุณจะรักเขาตราบฟ้าดินสลายหรือไม่”
    “รับค่ะ”
    “นายซันไชน์ คุณจะยอมรับเรนเป็นภรรยาหรือไม่ คุณจะรักเขา สัญญาว่าจะปกป้องแม้จะชีวิตจะหา—“
    “เออๆ รับๆ จบซะทีเหอะ เล่นอะไรกันก็ไม่รู้”
    ซันไชน์โดนคัมภีร์ในมือสโนว์ฟาดเข้าให้ที่หัว จนเกือบจะกลายเป็นสงครามระหว่างทั้งสองคน เรนต้องเป็นคนมาขวาง เปลี่ยนเรื่องชวนกันไปดูการ์ตูนแทน เป็นแบบนี้เสมอ ทั้งสองคนมักจะกัดกันอยู่บ่อยๆ และเรนต้องคอยเข้าไปห้ามทัพ
    กระทั่งขึ้นม.ปลายนั่นแหละ
    เรนไม่ต้องทำหน้าที่กรรมการมวยอีกแล้ว สโนว์กับซันไชน์ไม่เพียงแต่จะเลิกทะเลาะกัน แต่ทั้งสองกลับเข้ากันได้ดีกว่าเดิม สนิทกันชนิดที่ รู้ตัวอีกที เรนก็ถูกกีดให้ออกมานอกวง กลายเป็นคนนอกที่ทั้งสองไม่เคยสนใจอีกต่อไป
    เมื่อขึ้นม.ปลายบ้าง เรนจึงเสพติดการเป็นคนดัง เธอชอบฐานะของตัวเอง มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง พยายามเอาอกเอาใจและตีสนิท แต่เรนชอบความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวย ทุกอย่างจะต้องดูสวยหรู เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอจึงเลือกฟีนเป็นแฟน เธอและเขาจะกลายเป็นคู่ที่หลายคนอิจฉา
    แต่ถึงอย่างนั้น คนที่รู้จักตัวตนเรนจริงๆ นั้นมีน้อยมาก ไม่มีใครรู้ถึงความปรารถนาที่แท้จริงของเรน ว่าเธออยากจะเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งแข่งรถใต้ดินผิดกฎหมายของพี่เธอทั้งสองแค่ไหน
    แต่เรนก็มีศักดิ์ศรี ดังนั้นตอนที่เรนกำลังเดินไปร้านถ่ายเอกสารครบวงจรซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปประมาณสามช่วงตึก แล้วมีหนุ่มหล่อร้ายคนหนึ่งขับรถที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าแต่งมาจอดเทียบเธอ ลดกระจก แล้วพูดจาส่อไปในทางอย่างว่า เธอจึงสาดน้ำอัดลมในมือใส่หน้ามันกับเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างไม่ลังเล
    คนที่โดนเต็มๆ คือไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างคนขับ พวกนั้นอึ้งไปสองวินาที ก่อนจะรีบลงจากรถ แล้วย่างสามขุมมาหาเรนอย่างน่ากลัว นาทีนั้นเองที่เรนเพิ่งตระหนักว่าตรอกที่เธออยู่นั้นร้างผู้คนมากขนาดไหน มีเพียงอาแป๊ะแก่ๆ ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอบที่ห้าบนเก้าอี้โยกหน้าร้านขายของชำ แต่นั่นก็ไกลมากจนเขาไม่อาจได้ยินอะไร
    เรนไม่ทันได้วิ่งหนี หรืออ้าปากตะโกนขอความช่วยเหลือ มือของมันคนหนึ่งซึ่งถือผ้าสีเหลืองตุ่นๆ ไว้ก็โปะเข้าที่หน้าเธอ แขนอีกข้างรัดตัวเรนเอาไว้แน่น เรนรีบกลั้นหายใจ เท้าเตะเข้าที่หน้าแข้งของมันเต็มแรง แต่ดูเหมือนมันจะแค่เซเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรนพยายามดิ้น จนถูกผลักไปติดกับรถ มันกดขาของมันไว้กับขาของเรนให้เธอดิ้นไม่ได้ อีกคนก็ตรึงแขนเรนไว้แน่น ไม่มีเสียงดังอะไรสักนิดให้อาแปะคนนั้นได้ยินเลย
    เรนดิ้นจนทรมานเพราะกลั้นหายใจ เมื่อเธอสูดหายใจเพราะทนไม่ไหว
    สติเธอก็ดับวูบ
     
     
    เรนรู้สึกตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันไม่เชิงว่าเธอตื่นขึ้นมา เธอรู้สึกเหมือนคนที่นอนตอนกลางวันแล้วกำลังเคลิ้มๆ ไม่มีเรี่ยวแรง แต่อย่างน้อยเธอก็ลืมตาขึ้นมาได้ล่ะนะ
    ตอนแรกเธอภาพที่เห็นนั้นมัวจนมองไม่รู้เรื่อง แต่สักพัก เรนก็พบว่าตัวเองกำลังกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเบาะรถที่...เรนตาค้างเมื่อเห็นโลโก้ Lamborghini บนพวงมาลัย ประสาทสัมผัสต่างๆ เริ่มทำงาน
    เรนก็รู้สึกได้ว่าแอร์นั้นเย็นฉ่ำ เครื่องยนต์ไม่ได้ดับ และเจ้าของรถก็ไม่อยู่ แต่ที่แน่ๆ เรนรู้ว่านี่ไม่ใช่รถที่เธอโดนลักพาตัวมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรนก็สำรวจร่างกายตนเองทันที แล้วก็โล่งใจเมื่อไม่มีอะไรในตัวเธอผิดปกติไปสักนิดเดียว
    เกิดอะไรขึ้น ไอ้สองตัวนั่นไปอยู่ไหน แล้วเธออยู่ในรถใคร
    แต่เรนก็เลิกสงสัยทุกอย่างนั่นทันทีที่เรนมองออกไปนอกรถ “ไม่จริงน่ะ...” เรนอดไม่ไหวจนต้องอุทานออกมา ตอนนี้มืดแล้ว แต่ข้างนอกนั่น เรนสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่รถที่จอดอยู่ข้างรถที่เธอนั่งอยู่ไปจนถึงรถคันที่อยู่หน้าคลับ ทุกคันล้วนแต่...เหมือนรถของพวกพี่ๆ เธอไม่ผิดเพี้ยน มันเป็นรถที่ถูกตกแต่งบอดี้เสียใหม่ เพิ่มลายไวนิล มีตั้งแต่รถญี่ปุ่นไปจนถึง รถที่เธอนั่งอยู่ แลมเบอร์กินี่! ผู้คนมากมายที่ส่วนมากเป็นวัยรุ่นยืนเป็นหย่อมๆ ไป ส่วนมากกำลังนัวเนียกัน ไม่ก็กำลังซื้อขายยาเสพติดกันอยู่ โจ้งๆ อย่างนั้นเลย แต่เรนมั่นใจว่าข้างในนั้นจะต้องมีคนอีกจำนวนมากแน่...ที่นี่นั่นเอง โลกของพี่เธอ โลกที่เธอไม่เคยได้รับรู้ จนกระทั่งวันนี้!
    เรนสำรวจข้างนอกจากข้างในรถ เหนือคลับนั้นมีป้ายไฟที่เขียนไว้ว่า KAVE ข้างๆ คลับเป็นลานโล่งที่มีรั้วหนามกั้นไว้อยู่ ส่วนถนนข้างหน้านั้นกว้างประมาณแปดเมตร พอให้รถจอดฝั่งตรงข้ามได้โดยไม่เป็นปัญหาสำหรับรถที่ขับไปมา พื้นที่โดยรวมนั้นกว้างมาก จอดรถได้มากกว่าเกือบหกสิบคัน ประตูทางเข้านั้นเปิดอ้าอยู่ มันเป็นรั้วเหล็กที่ค่อนข้างเก่า สนิมเขรอะ แต่ถึงอย่างนั้นก็นับว่าน่าตกใจมากที่มันถูกล้อมรอบไปด้วยตึกสูงมากมายแต่ไม่โดนบุกเข้ามาจับ คงเป็นเพราะการซ่อนที่มิดชิดล่ะมั้ง คือมันเงียบมากจริงๆ อย่างน้อยเรนก็ไม่ได้ยินเสียงเพลงที่คงกระหน่ำเปิดข้างในคลับสักนิดเดียว
    เรนเฝ้าดูเหตุการณ์ข้างนอกอย่างตื่นเต้น มีรถทยอยมาจอดเพิ่มมากขึ้น และบางคันก็ขับออกไป เรนเบิกตาโพลงมากขึ้นอีกเมื่อเธอเห็นเฟอร์รารี่สีแดงขับเข้ามาในรัศมีสายตาอย่างช้าๆ มันจอดอยู่หน้าคลับนั้น ตามมาด้วยบีเอ็มที่เรนมั่นใจว่าเป็นคันเดียวกับที่สาดน้ำใส่เธอเมื่อวาน
    แล้วเรนก็แทบหยุดหายใจเมื่อคนที่ลงมาจากเฟอร์รารี่ฝั่งข้างคนขับนั้นคือคนที่เธอรู้จักดี(แต่ตอนนี้อาจไม่ใช่อีกต่อไป)
    ซันไชน์ปิดประตูรถ และก้าวเท้าอย่างรวดเร็วเข้าไปในไนต์คลับ คนที่เฝ้าประตูอยู่ไม่คิดจะรั้งเขาไว้สักนิด แสดงว่าเขาคงเป็นขาประจำหรืออะไรทำนองนั้น เจ้าของรถเฟอร์รารี่ยังคงนั่งอยู่ในรถ เช่นเดียวกับบีเอ็ม แต่สักพักทั้งสองคนก็ลงมาจากรถ ยืนคุยกัน เรนมั่นใจว่าเจ้าของรถบีเอ็มคันนั้นเป็นเพื่อนเธอที่โรงเรียนแน่นอน เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาจะรู้จักกับพี่ชายเธอด้วย ทั้งสองยืนคุยด้วยท่าทางสบายๆ แต่ไม่นานเรนก็มองออกว่าเจ้าของรถเฟอร์รารี่เริ่มจะวิตกกังวัล จากนั้น อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
    ทั้งสองก็กวาดตามองรถที่จอดอยู่ทั้งหมด จนมาหยุดอยู่ที่รถที่เธอนั่งอยู่ เรนสะดุ้งรีบล้มตัวลงนอนไปกับเบาะทันที แต่ไม่ทันเสียแล้ว พวกเขากำลังเดินมาหาเธอ! เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรนมองไม่เห็นทางว่าเธอจะหนีไปได้อย่างไร ในรถมีเพียงที่นั่งเธอกับที่นั่งคนขับ เรนกำลังจะล็อกประตู แต่มันก็ล็อกอยู่ก่อนแล้ว คนทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูฝั่งของเธอ มองเข้ามา เรนไม่รู้จะวางตัวอย่างไร เธอจึงแกล้งทำเป็นนอนสลบไม่รู้เรื่อง
    มันน่าอึดอัดมากที่สุดเลยที่ต้องมานอนแกล้งทำเป็นสลบทั้งๆ ที่ในใจนั้นเต้นตึกตักแทบจะเป็นจังหวะเพลงร็อก แถมยังมีคนสองคนมองดูอยู่อีกต่างหาก แต่แล้วก็มีเสียงมาช่วยชีวิต เรนได้ยินแว่วๆ ว่ามีคนตะโกนเรียกทั้งสอง แต่ไม่ใช่ในทางที่ดีสักเท่าไหร่ เรนแอบลืมตา พวกเขาไม่ได้มองมาที่เรนแล้ว เธอจึงรีบลุกขึ้นมานั่งเหมือนเดิม
    “ตกอับกันขนาดจะขโมยรถฉันหรือไง น่าสมเพชว่ะ” คนที่กวนตีนนั้นมีใบหน้าที่หล่อจนเรนอึ้งไปหลายวินาที แต่จากนั้นเธอก็มีสติเมื่อเห็นว่าข้างเขานั้น พี่ชายเธอก็กำลังเดินมาด้วยอีกคน ให้ตายสิ!
    ชายหนุ่มที่หล่อไม่แพ้กันซึ่งเรนจำได้ว่าเป็นเจ้าของรถเฟอร์รารี่นั้นตอกกลับไปอย่างรวดเร็วว่า “ยังไงก็ไม่เท่านายหรอก จะแอ้มใครนี่ต้องวางยากันเลย เฮอะ สมเพชกว่าว่ะ” เหมือนเขาจะคิดว่านี่เป็นคำที่สบประมาทหนุ่มหล่อคนนั้นเอามากๆ แต่คนที่ถูกสบประมาทนั้นดูเหมือนจะแค่งงๆ ไม่เข้าใจว่าเขาพูดเรื่องอะไร เจ้าของรถบีเอ็มเลยหันหน้ามามองฉันอีกครั้ง คราวนี้ฉันล้มตัวลงไปนอนไม่ทัน เขาจึงสบตาฉันเข้าไปเต็มๆ เราจ้องกันอยู่สามวินาที เขาจึงค่อยพูดขึ้นว่า
    “เฮ้ เธอตื่นแล้วแหละ” เรนสังเกตว่าเขาใช้คำว่าตื่น แทนคำว่า ฟื้น แล้วพูดต่อว่า
    “ฉันว่านายปล่อยเธอออกมาดีกว่านะ” ซันไชน์ที่ไม่รู้เรื่องมากที่สุดรีบเดินเข้ามาใกล้กว่านี้และมองเข้ามา แต่คราวนี้เรนรีบล้มตัวลงนอนทันที ไม่ลืมที่จะหันหน้าหนีให้พี่ชายเธอเห็นเพียงแต่ผม แต่ให้ตายสิ! ผมเธอเหมือนชาวบ้านเขาที่ไหน ตายแล้ว ตายตาย เกิดความเงียบขึ้นอยู่ห้าวินาที ก่อนที่เรนจะได้ยินซันไชน์พูดว่า
    “เด็กม.ปลายนี่หว่า ทุเรศจริงๆ” เรนรู้สึกโล่งอกอย่างที่สุด แล้วเธอก็ได้ยินเสียงหนุ่มเจ้าของเฟอร์รารี่พูดว่า “ปล่อยเธอออกมาซะ หรืออยากจะโดนสามรุมหนึ่ง”
    “เฮอะ พวกมึงจะเป็นหมาหมู่กะอีแค่เด็กผู้หญิงคนเดียวเนี่ยนะ ทุเรศกว่าว่ะ” เอ่อ...อันนี้เรนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เธอมองว่ามันเป็นอะไรที่สุภาพบุรุษมาก แต่อย่างที่รู้กัน เธอไม่ได้ถูกจับตัวมา อย่างน้อยก็จากผู้ชายเจ้าของแลมเบอร์กินี่ เรนคิดว่าอย่างนั้นนะ คือถ้าเขาคิดไม่ดีกับเธอ เขาคงไม่สตาร์ทเครื่องไว้แล้วเปิดแอร์เย็นฉ่ำให้เธอนอนสบายหรอกจริงไหม
    “ปล่อยเธอออกมา” พวกเขาประสานกันเป็นเสียงเดียว ผู้ชายเจ้าของแลมเบอร์กินี่ทำเสียงจิ๊ในลำคอก่อนจะปลดล็อกรถ “ชอบแส่เรื่องคนอื่นนี่ไม่เปลี่ยนเลยว่ะ” เขาเปิดประตู ก้มลงมาแล้วกระซิบกับเรน "คนสวย ฉันคิดว่าเธอฟื้นแล้วซะอีก” นั่นแหละ เรนถึงค่อยพลิกตัวไปหาเขา อย่างไม่เต็มใจที่สุด มองลอดเหนือบ่าเขาเธอเห็นคนทั้งสามพยายามมองเข้ามา ขอบคุณสวรรค์ที่ซันไชน์ไม่สามารถมองเห็นเธอได้
    “เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้จับเธอมา ใช่ไหม” เรนพยักหน้าหนึ่งที “ฉันช่วยเธอมาจากพวกขี้แหยสองตัวน่ะ ไม่เป็นไรหรอก เธอปลอดภัยแล้ว ทีนี้ เธอก็ออกมาแล้วก็บอกพวกนั้นว่าคืนนี้เธอเต็มใจมากับฉันสิ แค่นี้เอง ทำได้หรือเปล่า” ผิดถนัด เรนไม่ได้เต็มใจมากับเขาสักนิด เธอตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในรถเขาแล้วต่างหาก แล้วจะให้เธอออกไปเผชิญหน้ากับพี่ชายแล้วบอกว่าคืนนี้เธอเต็มใจจะมากับผู้ชายคนนี้เนี่ยนะ ไม่มีทาง! เรนจึงส่ายหน้า
    “ทำไมล่ะ แค่ออกมาแล้วบอกว่าเธอเป็นแฟนฉันคืนนี้ แค่นั้นเอง” แล้วเขาก็ยิ้ม ยิ้มแบบที่คิดว่าจะละลายใจสาวได้น่ะ แต่คือเรนเป็นผู้หญิงที่ก็มียิ้มที่ทำให้ชายหลงใหลเหมือนกัน เธอเลยไม่ได้รู้สึกอะไรกับยิ้มนี้มากนัก อีกเหตุผลก็เพราะเธอกำลังใช้สมองอย่างหนักว่าจะรอดออกจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร
    เมื่อเห็นว่าเรนยังนิ่งและไม่มีทีท่าว่าจะออกมา เขาจึงเอื้อมมือมาจับข้อมือเธอ และพยายามฉุดให้ลุกขึ้น “ฉันชื่อเพซ บอกเขาว่าเธอเป็นแฟนฉันคืนนี้ เข้าใจหรือเปล่า” เหยียดเพศกันชัดๆ เรนควรจะรู้ชื่อเขา แต่เขาไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อเธอ เฮอะ! เรนขืนตัวเต็มที่ อยากร้องให้ใจจะขาด พี่ชายเธออยู่ตรงนั้น ตรงนั้นนะ! ให้ตายสิ! แล้วเธอก็ถูกดึงให้ออกมาจากรถ ยืนข้างผู้ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อเพซ
    แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเรียกเข้าของซันไชน์ดังขึ้น เขาจึงก้มหน้าลงไปหยิบโทรศัพท์ เมื่อมองว่าใครโทรมา เขาก็หันหลังให้กับคนอื่นๆ เดินออกห่างไปไม่ไกลนัก ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ โชคดีเป็นบ้า
    “เดี๋ยวนะ เธออยู่โรงเรียนเดียวกับฉันนี่” ผู้ชายเจ้าของบีเอ็มพูดขึ้นเมื่อมองเห็นเครื่องแบบนักเรียนของเรน เมื่อทั้งสองเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของเธอ บวกกับอาการที่ไม่มีสักนิดว่าจะต่อต้านเพซ จึงเริ่มคิดว่ามีอะไรแปลกไป
    “ถ้านายอยู่วณิชวาณิชย์ล่ะก็เราคงอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่รู้อะไรไหม คราวหน้าไม่ต้องมาทำเป็นพลเมืองดีหรอกนะ ฉันกับเพซน่ะ เรารู้จักกัน” เรนพูดทั้งหมดนั่นอย่างรวดเร็ว และพยายามทำตัวให้เป็นศัตรูกับพวกนี้มากที่สุด ถ้าเธอรู้จักกับเพซ ก็น่าจะไม่ชอบขี้หน้าพวกที่เป็นศัตรูกับเขา ฟังดูมีเหตุผลดี
    เมื่อเห็นว่าซันไชน์ยังคงหันหลังให้ เธอก็พูดต่ออย่างรวดเร็วอีกครั้ง คราวนี้เมินชายสองคนที่เหลือแต่หันไปพูดกับเพซแทน “เพซ นายคงมีธุระอะไรกับคนพวกนี้ใช่ไหม งั้นฉันเข้าไปในคลับก่อนนะ” แล้วก็รีบก้าวเดินฉับๆ ไปที่หน้าไนต์คลับทันที เธอกำลังจะเปิดประตูเข้าไปอยู่แล้ว คนเฝ้าประตูก็รั้งเธอเอาไว้ เรนพูดด้วยน้ำเสียงที่แกล้งทำเป็นไม่พอใจ แต่ที่จริงแล้วเธอตกใจมาก
    “ฉันมากับเพซ! นู่น เขาอยู่ตรงนู้นเห็นไหม ทีนี้ปล่อยให้ฉันเข้าไปได้แล้ว” คนเฝ้าประตูตีหน้าบึ้ง แล้วก็มองตามสายตาของเรนไป นั่น...ซันไชน์วางโทรศัพท์แล้ว เขาหันไปพูดอะไรกับสามคนที่เหลือ จากนั้นก็กำลังจะหันมามองเรน แต่เธอรีบเปิดประตูหายวับเข้ามาข้างในก่อน
    เรนเพิ่งโล่งใจอย่างที่สุดที่หนีสถานการณ์กระอักกระอ่วนนั้นมาได้ก็ต้องตกใจมากกับบรรยากาศภายในคลับ
     
     
     
     
     
     
     
    ข้างนอกเงียบมากแค่ไหน ข้างในนั้นตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เสียงเพลงฮิพฮอพดังลั่นเท่าที่มันจะดังได้ จังหวะเบสนั้นดังมากจนเรนรู้สึกว่าข้างในเธอกำลังสั่นตามจังหวะไปด้วย
    เรนเดินตามทางเดินแคบๆ ยาวสี่เมตร เลี่ยงผู้หญิงคู่หนึ่งซึ่งกำลังนัวเนียกันอย่างน่าขยะแขยงเข้าไปข้างใน
    แล้วเธอก็ยืนค้างอยู่ตรงนั้น
    เรนไม่รู้ว่าคลับทุกคลับเป็นแบบนี้หรือเปล่า เธอหมายถึงมีมนต์ขลังแบบนี้ เมื่อก่อนจะเข้ามาเธอเพิ่งหนักใจแถมยังเครียดแทบตาย แต่พอมาอยู่ในนี้ จู่ๆ มันก็...รู้สึกแค่ว่าอยากขยับสะโพก จริงๆ นะ มันทำให้เธอลืมเรื่องวุ่นวายเมื่อครู่ได้เกือบหมดเลย
    เสียงเพลงกับผู้คน
    เธอชักอยากจะขอบคุณสองคนนั่นที่อุตส่าห์วางยาสลบเรนเพื่อให้รูปหล่อที่ชื่อเพซมาช่วยไว้ คือมันก็อันตรายอยู่หรอก แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ไปได้สวยนี่ คลับที่นี่มีสองชั้น แต่เรนสังเกตเห็นว่าตรงบันไดนั้นมีคนคอยยืนเฝ้าอีกที เธอคงไม่มีสิทธิ์ได้ขึ้นไป แต่พวกไหนจะได้ขึ้นกัน
    แต่เรนไม่คุ้นเคยกับการเต้นอยู่ท่ามกลางผู้คน พร้อมกับความรู้สึกกระหายน้ำที่เพิ่งรู้ตัวว่ามีมากเหลือดเกิน เธอจึงเริ่มมองหาบาร์เครื่องดื่ม แล้วเรนก็เห็นมัน บาร์อยู่ค่อนข้างห่างออกไป เรนต้องเดินผ่านผู้คนมากมายกว่าจะไปถึง ท่ามกลางผู้คนที่ไม่ได้อยู่นิ่งๆ น่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
    ที่บาร์ไม่มีที่นั่งเหลืออยู่เลย แต่ขณะที่มองหาที่นั่งเธอก็สบเข้ากับสายตาของผู้ชายคนหนึ่ง เขามองมาที่เรน ยิ้มให้เธอ เรนรีบสแกนผู้ชายคนนั้นทันที เขาจัดอยุ่ในพวกที่หน้าตาธรรมดา เรนทำเมิน แต่แล้วเขากลับลุกขึ้นยืน ทำท่าเหมือนสละที่นั่งให้เธอ...คือ เรนก็เมื่อยเป็นน่ะนะ เธอจึงไม่ปธิเสธน้ำใจนี้
    เรนหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์ โดยบอกว่าขอเหมือนผู้หญิงที่นั่งห่างออกไปสามที่นั่ง เรื่องของเรื่องก็คือเรนไม่เคยสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ลในสถานที่แบบนี้มาก่อน และเธอก็ไม่รู้จักอะไรสักนิด
    บาร์เทนเดอร์หยิบแก้วคอกเทลทรงสูงออกมา เรนไม่ได้มองดูต่อเพราะผู้ชายที่เพิ่งสละที่นั่งให้เธอพูดขึ้นว่า “เธอเป็นเด็กม.ปลายเหรอ” เรนหันไป พยักหน้าหนึ่งที “ฉันไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลย” เรนเลิกคิ้วเล็กน้อย ก็แล้วจะให้เธอตอบว่าอะไรล่ะ แล้วเรนก็หันไปหยิบแก้วคอกเทลที่บัดนี้มีน้ำสีเหลืองใสพร้อมกับเปลือกส้มอยู่ที่ขอบแก้ว พร้อมเกล็ดสีขาวเล็กๆ มองดูน่ากินที่สุด
    เรนยกขึ้นมาดื่ม แล้วก็ตื่นเต้นเล็กน้อยกับรสชาติ มันออกเปรี้ยวนิดๆ นอกนั้นเรนไม่รู้ว่าจะอธิบายเป็นคำพูดอย่างไร พอเรนเริ่มชิมเกล็ดสีขาวๆ เล็กๆ เธอก็พบว่ามันคือน้ำตาล เรนดื่มหมดในเวลาอันรวดเร็ว และหันไปสั่งอีกแก้วอย่างติดใจ
    “มันเรียกว่าอะไรเหรอ” เธอถามบาร์เทนเดอร์ ซึ่งตอบมาว่า “เม็กซิกันวีดแว็กเกอร์” แต่แล้วเรนก็นึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ควรดื่มแอลกอฮอลมากเกินไป “เอ่อ ยกเลิกได้ไหม ขอเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่มีแอลกอร์ฮอล” บาร์เทนเดอร์ไม่มีท่าทีรำคาญกับคำขอของเรนเลย ดูท่าเขาคงเจอลูกค้าที่ใจโลเลมากกว่าเรนมาบ่อยแล้ว เขาเปลี่ยนแก้วใบใหม่อย่างชำนาญ และเริ่มลงมือผสมเครื่องดื่ม แต่เรนก็ไม่ทันได้ดูเพราะต้องหันมาตอบคำถามของชายคนเดิมที่พูดมากไม่เลิก
    “เธอมาคนเดียวเหรอ” คนที่นั่งอยู่เก้าอี้ถัดไปลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ฟลอร์เต้นรำ ชายคนนี้เลยถือโอกาสไปนั่งแทน เรนเริ่มคิดหาหนทางสลัดชายที่น่าเบื่อคนนี้ออกไปทันที แต่แล้วก็ต้องวอกแวกเมื่อบาร์เทนเดอร์พูดว่า
    “นี่เรียกว่าบานานาเบรเซอร์” เรนก้มลงมองแก้วคอกเทลล์ น้ำสีไปทางเหลืองใสเหมือนเดิม เรนลองยกขึ้นมาชิม แต่รสชาติแปลกๆ ที่รู้สึกได้จากแก้วก่อนหายไปแล้ว
    “คอกเทลที่ไม่มีแอลกอร์ฮอลจะไปอร่อยได้ยังไง ลองนี่สิ” แล้วเขาก็หันไปสั่งบาร์เทนเดอร์ว่า “ขอคอสโมเคที่ให้สาวน้อยคนนี้หน่อย” แต่เรนรีบกระดกแก้วบานานาเบรเซอร์ในมืออย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า “ขอบคุณ แต่ฉันไม่ดื่ม” แล้วเธอก็ลุกจากเก้าอี้ กำลังจะเดินจากไปให้เร็วที่สุด แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มจนชินแล้วนั้นจู่ๆ ก็เบาลง แต่มีเสียงคนพูดดังขึ้น
    “เอาละ! เหมือนเมื่อกี้ฉันจะได้รับเอสเอ็มเอสล่ะ นี่! คงรู้นะว่าฉันหมายถึงอะไร—“ จากนั้นก็มีเสียงมากมายดังขึ้น ทั้งจากผู้คนที่อยู่ชั้นสองและชั้นล่าง บ้างกรีดร้องเสียงแหลม บ้างวี้ดวิ่ว
    “สามสี่ห้า!” เรนนึกว่ามันเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง เหมือนตอนที่จะถ่ายรูปแล้วพูดว่า หนึ่งสองซั่ม! แต่เปล่า ไม่มีใครพูดอะไรตะโกนตอบกลับมา แต่ทุกคนกลับกุลีกุจอออกจากคลับอย่างกับว่ามันเกิดไฟไหม้
    เรนโดนชนจนเซอยู่ห้าหกครั้ง จนเมื่อตั้งหลักได้แล้วเธอจึงรีบเคลื่อนที่ตามกระแสฝูงชนออกมาจากคลับ
    เรนมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นตกใจ ถ้าจะถูกตำรวจจับได้ก็คงเป็นช่วงนี้แหละ รถยนต์เกือบเจ็ดสิบคันกำลังสตาร์ทเครื่องยนต์ ที่เสียงไม่ได้เบาเท่าไหร่เลย และพากันแย่งพื้นที่ถนนอันคับแคบออกไปจากคลับ สองคัน... สามคัน... เจ็ดคัน... ยี่สิบคัน พวกเขากำลังไปต่อกันที่ไหนสักแห่งแน่ๆ แล้วถ้าเธอไม่ยอมติดรถไปกับใครสักคนเธอก็ต้องชวดอย่างแน่นอน
    เธอจึงมองหาแลมเบอร์กินี่สีเขียวที่เพิ่งจากมาทันที แต่ก็ต้องใจแป้วเมื่อมันไม่อยู่ที่เดิมอีกต่อไป...โถ่เอ๊ย! บ้าชะมัด เรนกำลังมองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร คนเริ่มบางตาลงแล้ว และรถกำลังจะหมดไป แล้วเรนก็คงต้องโบกแท็กซี่กลับบ้าน นอนแล้วตื่นขึ้นมาในพรุ่งนี้เช้า พร้อมกับความรู้สึกที่ว่าคืนนี้แค่ฝันไป...ไม่มีทาง!
    เรนไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน...
    ความรู้สึกที่ว่าเธอช่างไร้ตัวตน
    แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีมาซด้าเอ็มเอ็กซ์ไฟว์ปีเก้าเจ็ดมาจอดอยู่ตรงหน้าเรน หลังคาถูกพับเก็บไป และมีสามคนในรถกำลังกึ่งยืนกึ่งนั่งกันแน่นเอี้ยด เพราะมันเป็นรถแค่สองที่นั่ง
    แล้วเรนก็มองเห็นชายคนนั้น คนที่สละที่นั่งให้เธอ เขารีบพูดขึ้นเสียงดังแข่งกับเสียงเพลงที่กระหน่ำเปิดจากรถหลายคันว่า
    “เฮ้! ขึ้นมาสิ ถ้าเธออยากไปต่อน่ะนะ” เรนยังยืนอยู่ที่เดิม ใจค่อนข้างโลเล ถ้าเธอขึ้นไปกับรถคันนี้...สิ่งที่เรนกำลังจะได้ไปเจอนั้นคืออะไรกัน
    แต่แล้วผู้หญิงอีกสองคนที่ขนาบข้างเขาที่มีผมสีดำก็เสริมต่ออย่างร่าเริงว่า “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า!” แต่อีกคนซึ่งมีผมสีเทาออกขาวก็พูดขึ้นกับคนอื่นในรถ น้ำเสียงเหยียดๆ ว่า
    “ช่างยัยนี่เถอะ ดูใหม่ชะมัด” แต่ผู้ชายที่เป็นคนขับนั้นตะโกนบอกเรนว่า “เร็วสิ! ขึ้นมาซะ!” พร้อมกับเหยียบคันเร่งเพื่อให้เครื่องยนต์คำรามเสียงดัง คือ...ดังเท่าที่รถปีเก้าเจ็ดจะดังได้น่ะ
    อาจจะเป็นเพราะเสียงเครื่องยนต์ที่ทำให้ประสาทของเรนตอบรับแบบนั้น หรือคำดูถูกของยัยผมเทา หรืออะไรก็ตาม
    เรนวิ่งไปที่มาซด้า ปีนประตูเข้าไปยืนอยู่ข้างใน
    และรถก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนเธอเซไปด้านหลัง


    -----------------------------------------
    พรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืนจะพยายามมาต่อตอนต่อไปนะจ๊ะ
    เม้นกันด้วยน้า เราจะได้มีกำลังใจแต่งต่อ ^ ^
    รักคนอ่านทุกคนเลยยยย
    view - 7 T^T ถึงจะแค่ห้าหกคนก็เถอะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×