ตอนที่ 21 : TWENTY
20
วินวินตาปรือ มองเข็มยาวกับเข็มสั้นของหน้าปัดนาฬิกาที่บ่งบอกว่าตอนนี้ใกล้จะเป็นเวลาพระอาทิตย์โผล่แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังประชุมกันไม่เสร็จ เริ่มรู้สึกเสียใจที่ตัวเองปล่อยให้เจ้าหมาป่าสองตัวนั้นเข้ามานิดหน่อย คุนเองก็คงจะคิดเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อเขาสบตากันโดยบังเอิญ สายตาของแฝดพี่ก็ฉายชัดถึงความเบื่อหน่ายเหมือนกันกับเขา
“คืองี้นะ จริงๆ แล้วมาตรการรักษาความปลอดภัยของเราไม่ได้ลดลงหรอก ฉันก็แค่ตั้งใจปล่อยมันเข้ามาเท่านั้น”
“นายว่าไงนะวินวิน” สามีในนามของเขาขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าคมเองก็ยับยู่ไปด้วย ในใจคงจะมีคำตำหนิมากมายเกินกว่าจะทนฟังไหว โชคดีแค่ไหนที่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรออกมาให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายมากกว่าเดิม
“..ก็อย่างที่พูด ฉันตั้งใจปล่อยหมานั่นเข้ามาเอง เพราะจะแกล้งเจโน่”
“จริงรึเปล่าคุน” อ่ะ แล้วทำไมไม่ถามเขาแต่หันไปถามแฝดเขาวะ วินวินขมวดคิ้ว จ้องหน้าคนถามด้วยความขุ่นใจ
“จริง ฉันกับวินวินตั้งใจ”
“ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ” ยูตะกดเสียงต่ำ ทุกสายตาพุ่งเป้าไปที่สองฝาแฝดเป็นทางเดียวจนวินวินรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ หากแต่ลำคอระหงส์ยังคงตั้งตรงราวกับไม่สะทกสะท้าน แม้ภายในจะหวาดหวั่นไม่น้อย ยิ่งแทยงกับยูตะที่พร้อมกันจ้องตามาความรู้สึกกดดันก็ยิ่งถาโถมเข้ามาจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ ผิดกับแฝดคนพี่ที่ยังคงนิ่งเฉย
“ก็ทำไปแล้ว ขอโทษแล้วกัน ทีหลังจะไม่ทำอีก” คุนพูดตัดบทด้วยท่าทางหงุดหงิดไม่แคร์สีหน้าของแทยงเลยสักนิด อาจเป็นเพราะเจ้าตัวอยากจะจัดการเรื่องให้มันจบไวๆ เพื่อจะได้กลับไปนอนสักที
“พวกนายต้องโดนลงโทษนะ” แทยงจ้องมองน้อง ฝาแฝดมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ชอบเล่นอะไรพิเรนท์ๆ โดยลืมคิดถึงสิ่งที่จะตามมา จนเขาต้องคอยดุคอยว่าตลอด
“ลงโทษอะไรล่ะ ไม่ให้กินเลือดจากคลังสำรองหรอ?” ดวงตากลมจ้องมองญาติตัวเองด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง แทยงมักจะชอบลงโทษพวกเขาฝาแฝดด้วยวิธีนี้เสมอในตอนที่พวกเขายังเป็นเด็ก
“กักบริเวณ งดเลือด และห้ามเจอกันเป็นเวลาสองอาทิตย์”
“ห๊ะ พวกฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
“แล้วคนโตที่ไหน ตั้งใจไปเปิดประตูกลเพื่อให้หมาป่าเข้ามาทำร้ายคนในโรงเรียนกันล่ะ”
“...”
“ถ้าพวกพ่อแม่รู้ เราคงโดนเผาไปแล้ว การเปิดประตูกลทิ้งไว้ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ ถ้าพวกมนุษย์หรือแวมไพร์ฮันเตอร์หลุดเข้ามา พวกนายจะทำยังไง รับผิดชอบไหวหรอ” แทยงกดเสียงต่ำ คนภายในห้องได้แต่ทำตาปริบๆ ไม่กล้าพูดขัด พี่ชายที่กำลังสั่งสอนน้อง คนพี่ก็โคตรดุ คนน้องก็โคตรซน คงต้องปล่อยให้คนในครับครัวเขาจัดการกันเองแล้ว
“ฉัน..”
“เพราะงั้นพวกนายทั้งสองจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องนอนและดื่มเลือดเป็นเวลาสองอาทิตย์ ถ้าไม่ทำตาม ฉันคงต้องรายงานเรื่องทั้งหมดให้พวกท่านพ่อทราบแล้วล่ะ” เพราะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแทยงถึงได้ฉุนเฉียวเป็นพิเศษ ยังไงเขาก็มองฝาแฝดเหมือนน้องชายแท้ๆ สมัยเจ้าแฝดยังเล็กก็เป็นแทยงนั่นแหละที่คอยช่วยเลี้ยงมาจนตัวโตขนาดนี้
“ให้ตายสิ แต่นี่มันปิดเทอมแล้วนะ ฉันต้องกลับบ้าน…”
“แล้วไงล่ะ ปกติก็ใช่ว่าพวกนายจะรีบกลับบ้านอยู่แล้วนี่ กลับช้ากว่ากำหนดสองอาทิตย์คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“คุน..ฉันขอโทษ”
การประชุมจบลงตามที่พวกเขาคาดหวัง แต่ดันมีเรื่องการลงโทษที่ยังต้องดำเนินต่อไป นับตั้งแต่วินาทีที่กลับห้องพวกเขาจะต้องโดนแยกกันเป็นเวลาสองสัปดาห์ แค่คิดก็ใจหาย ฝาแฝดคนน้องหน้าจ๋อย มือขาวคู่สวยกุมมือของแฝดพี่ด้วยความรู้สึกผิด
“ไอ้ตัวฉันมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก ฉันห่วงนายมากกว่า” ฝาแฝดคนพี่นั้นแข็งแรงกว่าน้องมาก แค่อดเลือดอาทิตย์สองอาทิตย์ไม่สามารถทำอะไรได้หรอก แต่วินวินเนี่ยสิ ลำพังปกติก็แทบจะไม่มีแรงอยู่แล้ว โดนสั่งไม่ให้แตะเลือดเลยแบบนี้ยิ่งน่าเป็นห่วง ขนาดตอนเด็กๆ ที่โดนแทยงลงโทษ คุนยังเคยต้องแอบแบ่งเลือดตัวเองให้น้องเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้โดนสั่งให้แยกห้องกัน คุนก็ชักกังวลขึ้นมา ว่าตัวเองจะออกไปหาน้องไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
ขนาดนั้นเลยล่ะ..
เฉียนคุนคิดในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา พวกเขาสองพี่น้องเดินกุมมือกันจนมาถึงตัวปราสาท วินวินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะบีบมือพี่ชายแน่น แล้วก้าวเดินเข้าไปในบริเวณปราสาทส่วนตัวที่ได้เปลี่ยนเป็นสถานกักขังพวกเขาทั้งคู่ไว้เป็นเวลาสองสัปดาห์
วินวินแอบหวั่นอยู่ในใจ แต่ไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะจะไม่ได้เจอพี่ชายเป็นเวลานานหรือเพราะโดนสั่งงดอาหารกันแน่ แวมไพร์เด็กนิ่งคิด ในตู้เย็นยังมีพุดดิ้งเลือดอยู่ไหมนะ แทยงไม่อนุญาตให้กินเลือดจากคลัง แต่ไม่ได้พูดถึงพุดดิ้งนี่นา
“ก่อนเข้าประชุมได้กินอะไรบ้างรึยัง” พวกเขาไม่ยอมให้มือแยกจากกันจนมาถึงหน้าบานประตูห้องนอน เฉียนคุนสบตากับน้องชายที่ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าบานประตูของตนเองเหมือนกันด้วยความเป็นห่วง เพราะถ้าน้องไม่ได้กิน เขาเนี่ยแหละจะไปอ้อนวอนแทยง ให้ยอมอนุโลมอาหารมื้อสุดท้ายกับน้องชายก่อน
“กินแล้ว กินไปเยอะด้วย” วินวินฝืนยิ้มให้กับพี่ชาย ในอกรู้สึกวูบโหวงหนักกว่าเดิม จะต้องแยกจากพี่ชายแล้ว แม้ว่าห้องจะอยู่ติดกันก็เถอะ
“ถ้าเกิดอะไรขึ้น ตะโกนเรียกดังๆ เลยนะ”
“หึ แล้วนายจะมาหาฉันหรอ” วินวินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกลายร่างเป็นแวมไพร์เด็กน้อยที่ติดพี่ชายจนไม่สามารถแยกจากกันได้
“ฉันก็ตะโกนกลับมาหานายได้ไง”
นั่นสินะ เราตะโกนคุยกันก็ได้
ตอนนี้คงไม่มีใครอยู่ในโรงเรียนแล้ว หรือถ้ามีก็ช่างแม่มเถอะ สั่งกักบริเวณพวกเขาเองนี่นา อีแทยง หนวกหูให้ตายไปเลย !!!!
“ฉันจะไปแล้วนะ” ดวงตาของวินวินจ้องมองมือคู่สวยของพี่ชายที่จับลูกบิดประตูด้วยความรู้สึกสั่นไหว เขาไม่เคยต้องแยกจากพี่ชายนานถึงสองสัปดาห์มาก่อน จะแอบหนีไปฟ้องน้องแจมินตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ตอนนี้คงต้องจำยอมและหาทางเอาคืนลูกพี่ลูกน้องของตนเองในภายหลัง
“อืม..อีกสองอาทิตย์เจอกัน” ดวงตาของวินวินหลุบต่ำ เขาจ้องมองลูกบิดประตูนิ่งๆ ความรู้สึกหวาดกลัวแทรกซึมเข้ามาจนน้ำตาจะไหล แต่ก็ต้องฮึบเอาไว้ เพราะกลัวจะเป็นพี่ชายฝาแฝดของเขานั่นแหละ ที่จะเสียสติไปเสียก่อน
“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ เราห่างกันแค่กำแพงกั้นเอง อย่าลืมนะ ตะโกนมาเลย”
ก็ถ้าฉันหูดีแบบนายก็ดีสิ คุน..
วินวินกระโดดขึ้นไปบนเตียงนอนทันทีที่เดินเข้ามาในห้องนอน เขานึกเศร้าขึ้นมาที่ตัวเองไม่ได้มีสัญชาตญานแวมไพร์ที่ดีเหมือนกับคนอื่นๆ ต่อให้ตะโกนไป คุนจะได้ยินเสียงเขา แต่หูของเขาเริ่มไม่มีความสามารถมากพอที่จะได้ยินเสียงทะลุผ่านกำแพงห้องที่หนาพอสมควรได้อีกแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงพอจะทำได้อยู่หรอก
ดวงตาเรียวเหม่อมองออกไปยังหน้าต่างเบื้องหน้า สัญชาตญาณแวมไพร์ของเขาเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนแทบจะไม่รู้สึกถึงอะไรแล้ว เป็นเรื่องที่เขาไม่ได้บอกใคร และวินวินเชื่อว่าเขาคงสามารถปกปิดเรื่องนี้ได้อีกไม่นาน
โดยเฉพาะกับสามีในนามตัวยุ่งของเขา
อย่างน้อยการไม่เจอยูตะตลอดสองอาทิตย์ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเหมือนกัน
เบื่อเป็นบ้า
ดวงตาสีแดงทับทิมจ้องมองเยื่อบุภายในโลงที่อยู่เบื้องหน้า วันคืนผ่านมาเท่าไหร่เขาบอกไม่ได้ แต่เพื่อประหยัดพลังงาน เขาจึงต้องย้ายสารร่างตัวเองมาอยู่ในนี้ แน่นอน แวมไพร์ที่อยู่เฉยๆ ไม่เป็นแบบเขานั้นเหงาเป็นบ้า ยิ่งไม่เจอเฉียนคุนฝาแฝดของตนก็ยิ่งรู้สึกเซ็งเข้าไปใหญ่
ออกไปเดินเล่นดีกว่า
ปึก !!
ฝ่ามือขาวผลักฝาโลงเพียงนิดเดียว มันก็ร่วงลงไปบนพื้นจนเกิดเสียง วินวินหลับตาปี๋ ถ้ามีใครได้ยินเข้าคงได้โดนจับได้แน่ แวมไพร์โดนกักบริเวณเดินไปชะโงกที่บานหน้าต่าง ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาสายๆ ดูจากดวงอาทิตย์ที่สว่างจ้าแล้ว แค่เห็นก็รู้สึกร้อนจนแสบผิว แต่ถ้าไม่ออกไปเวลานี้ ก็ไม่มีเวลาไหนแล้วที่จะออกไปเที่ยวเล่นได้
มือขาวซีดผลักบานหน้าต่างเบาๆ ให้เปิดออก ถึงจะเรียกได้ว่าโดนกักบริเวณ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องมีใครมาเฝ้ายาม มุมปากบางกระตุกยิ้ม ฉับพลันร่างโปร่งก็ขึ้นไปนั่งเล่นบนราวหน้าต่าง ห้อยขาแกว่งไปมาแก้เบื่อ
ไปไหนดีน๊า
วินวินฉีกยิ้ม แม้จะต้องยกมือขึ้นมาป้องหน้าผากไว้ เนื่องจากแสงแดดที่แรงจนมองอะไรแทบไม่เห็น แวมไพร์หนุ่มผู้ไม่ได้ออกสู่ภายนอกเป็นเวลานาน มองไปรอบๆ เพื่อหาเป้าหมาย ใบหน้าขาวผินมองไปยังบานหน้าต่างที่ปิดสนิทซึ่งเป็นบริเวณห้องของฝาแฝดคนพี่เล็กน้อย ถ้าเขาไปเรียกอีกฝ่ายตอนนี้ คร้านจะต้องโดนดุเอาแน่ เฉียนคุนเคร่งครัดต่อคำพูดของแทยงจะตายไป
หิวจะแย่อยู่แล้ว ขอแอบไปหาอะไรกินสักแป๊ป แล้วกลับมาอยู่ที่ห้องเหมือนเดิม แทยงคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง
คิดได้ดังนั้น ร่างโปร่งก็โดดลงสู่พื้นหญ้าข้างล่างทันที แดดร้อนขนาดนี้ พวกแวมไพร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ที่นี่คงยังไม่มีใครตื่นหรอก แม้แต่แทยงก็เหมือนกัน เพราะงั้นเขาต้องรีบไปกินให้อิ่ม แค่เขากลับมาให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตกก็จบแล้ว
หมับ !
“เจอตัวแล้ว”
เฮือก
แวมไพร์หนุ่มสะดุ้งเฮือก ร่างเพรียวบางโดนกดลงกับพื้นหญ้า พร้อมกับร่างใหญ่ของชายฉกรรจ์ที่ตามลงมาคร่อมทับร่างของเขาไว้ ดวงตาของวินวินถูกทำให้เห็นแสงอาทิตย์โดยตรงจนภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมดจนเขาไม่สามารถระบุรูปร่างหน้าตาของคนตรงหน้าได้ชัดเจนนัก
“แก..เป็นใคร..อึก”
“ฉันหรอ ก็เป็นคนที่จะฆ่าแวมไพร์แบบพวกแกไง” ตัวของวินวินชาวาบ แวมไพร์ฮันเตอร์แอบเข้ามาจริงๆ ด้วย ถ้าแทยงกับพวกท่านพ่อรู้ เขาต้องโดนเผาแน่ๆ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้านี่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนเด็ดขาด เขาต้องจัดการมัน ดวงตาคู่สวยมองปราสาทส่วนตัวที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกลลิบด้วยสายพร่ามัว
ปราสาทอยู่ไกลขนาดนั้น หวังว่าแวมไพร์หูดีแบบแทยงจะไม่ได้ยินหรอกนะ...
“ฉันไม่ยอมให้แกฆ่าง่ายๆ หรอก” วินวินคำราม
“หึ ฉันบีบคอแกแค่นี้ แกยังไปไหนไม่ได้เลย” มันพูดพร้อมกับใช้มีดสั้นที่ทำด้วยเงินกรีดลงบนใบหน้าขาวช้าๆ จนเลือดซึมออกมา
“หืม..แผลของแกน่ะ...สมานตัวช้าจังนะ เป็นลูกครึ่งหรอกหรอ หึ ไม่ต้องเปลืองแรงมากนักก็คงจะฆ่าแกได้ง่ายๆ เลยสิ”
“อึก..ไอ้เวรนี่!!” วินวินสบถ อย่ามาดูถูกกันนะเว้ย ร่างเพรียวพลิกตัวขึ้นแล้วกดร่างคนตรงหน้าลงที่พื้น มือเรียวบีบคอของมันแน่นเพื่อหวังให้อีกฝ่ายขาดอากาศหายใจ แต่ยื้อกันได้ไม่นาน ร่างของแวมไพร์ที่ขาดเลือดมาหลายวันก็โดนกดลงบนพื้นอีกครั้ง พร้อมมีดที่ปักอยู่บริเวณท้อง
“อั่ก !!” ไอ้บ้าเอ้ย ทำเลือดเขาออกเยอะแบบนี้ ถ้าแทยงตื่นจะทำยังไงโว้ย วินวินสบถในใจ
“แกคงเปิดประตูกลได้สินะ ไปเปิดประตูให้พวกของฉันเข้ามาเดี๋ยวนี้ แล้วทีนี่ก็จะกลายเป็นทะเลเพลิงอีกครั้ง ฮ่าๆ” วินวินกระตุกยิ้ม หึ มันพูดแบบนี้แสดงว่ามันเข้ามาได้แค่คนเดียว ถ้าปิดปากมันได้ ก็จะไม่มีใครรู้สินะ ว่ามีแวมไพร์ฮันเตอร์หลุดเข้ามาได้
“ฉันไม่ยอมให้แกทำแบบนั้นหรอก !!!” วินวินกางเล็บของตัวเองพร้อมกับแทงเขาไปในช่องท้องของมนุษย์ตรงหน้า ดวงตาของมันเบิกโพล่งมองเขาด้วยความตกใจ ก่อนที่มันจะหมดลมหายใจ ถึงแม้เขาจะเป็นแค่แวมไพร์อายุไม่ถึงร้อยปี แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยฆ่ามนุษย์ที่ไหน เพราะงั้นอย่ามาดูถูกกันนะ
ดวงตาคู่สวยเปลี่ยนเป็นสีแดงทับทิม ร่างเพรียวบางยังคงนอนแผ่อยู่ที่พื้น ความเจ็บจากบริเวณช่องท้องยังไม่ลดลงจนต้องเหลือบมองดู เลือดของเขายังคงไหลซึมออกมาจากบาดแผลไม่หยุด วินวินเหลือบมองกรงเล็บของตัวเองที่ยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของแวมไพร์ฮันเตอร์ มือของเขาสั่นน้อยๆ ด้วยความหวาดกลัว
แผลที่หน้าท้องหายช้าราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่แสนอ่อนแอ แต่กรงเล็บที่แหลมคมตรงหน้ากลับตอกย้ำว่าเขาเป็นปีศาจ
ท่านพ่อ ท่านแม่..ตกลงแล้ว เขาเกิดมาเป็นมนุษย์หรือแวมไพร์กันแน่..
“ท่านวินวิน !!”
บ้าฉิบ เจ้าพวกทหารลาดตระเวน
“อึก..อ่า..โทษที พอดีฉันเล่นกับเหยื่อเพลินไปหน่อย หมอนี่ ฉันยกให้ อยากจะดื่มเลือดมันก็ได้นะ ฉันเองก็จะไม่บอกใครเหมือนกัน เพราะงั้นพวกนายก็ห้ามบอกใครว่าเห็นฉันที่นี่ เข้าใจไหม”
“ข..ขอรับ” ดวงตาของนายทหารทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดง คงจะตามมาเพราะได้กลิ่นเลือดสินะ วินวินรีบกางเขตแดนในบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวลมพัดพากลิ่นเลือดจนไปถึงแวมไพร์ที่หลับอยู่ในปราสาท
“จัดการร่างของมันด้วยล่ะ อย่าให้ใครเห็นเชียว” วินวินจุ๊ปากใส่ แล้วรีบเดินหนีออกไปไปจากตรงนั้นโดยไว หวังว่าเจ้าพวกนี้จะจัดการเสร็จก่อนที่เขตแดนที่เขากางด้วยพลังน้อยนิดจะหายไปล่ะนะ
เหล่าทหารที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ได้แต่ครางรับ ส่วนในใจทั้งสองก็ชื่นชมนายเหนือหัวตัวเองอยู่ในใจ
ท่านวินวินเท่ห์มาก !!!!
พวกเขาเคยได้ยินมาบ้างว่าร่างกายของวินวินนั้นอ่อนแอราวกับมนุษย์ธรรมดา แต่พอมาเห็นด้วยสายตาตัวเองแบบนี้แล้ว พวกเขาต้องไปแก้ข่าวให้ท่านวินวินของพวกเขาแล้ว แวมไพร์ที่ใครต่างก็กล่าวหาว่าอ่อนแอกลับฆ่าเหยื่อเล่น โดยที่ไม่ชิมเลือดเลยแบบนี้ในตอนกลางวันแสกๆ นั้นถือว่ามีพลังมากไม่ใช่น้อย ท่านวินวินของเขานั้นช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน !
วินวินปีนกลับขึ้นไปยังบานหน้าต่างห้องของตัวเองด้วยความหงุดหงิด บ้าเอ้ย เพราะเจอไอ้เจ้านั่น เลยทำให้เขาอดกินเลือดเลย นอกจะจะไม่ได้กินแล้ว ยังเสียงเลือดอีกต่างหาก
แวมไพร์ร่างเพรียวคิดด้วยความหงุดหงิด รีบรุดเข้าไปนั่งบนเตียงนุ่ม และใช้พลังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด สร้างเขตแดนในห้องตัวเองอีกครั้ง เพื่อไม่ให้กลิ่นเลือดเล็ดลอดออกไป จากนั้นแวมไพร์ผู้อ่อนแอเช่นเขาก็ย้ายสารร่างของตัวเองไปยังโลงบุกำมะหยี่ ดวงตาคู่สวยปรือช้าๆ ก่อนที่เขาจะพบกับความมืดมิด
เขาคงต้องหลับพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายหลายวันทีเดียว หวังว่าพอลืมตาตื่นขึ้นมาจะครบสองอาทิตย์แล้วนะ..
ก๊อก ก๊อก
นัยน์ตาสีแดงเบิกโพล่ง หากแต่ร่างบอบบางยังคงนอนนิ่งอยู่ภายในโลงบุกำมะหยี่ของตน วันคืนผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่ได้สนใจ เขาหวังเพียงให้สองอาทิตย์วนมาถึงอย่างเร็ววัน เพราะความรู้สึกหิวเริ่มเกาะกินจนแทบไม่อยากขยับร่างกายแม้แต่ปลายก้อย
ก๊อก ก๊อก
ใครกัน?
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง ฉับพลันร่างบอบบางก็สะท้านวาบ เมื่อรับรู้ว่าจมูกของตนแทบไม่ได้รับกลิ่นอะไรแล้ว ร่างเพรียวบางรีบผุดลุกขึ้นเปิดฝาโลงออกอย่างแรงจนเกิดเสียง วิ่งไปยังแจกันดอกไม้ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง
ไม่ได้กลิ่น..
ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย
“วินวิน”
เฮือก
เพล้ง !
“วินวิน !!!” บานประตูถูกเปิดโดยผู้บุกรุกอย่างรวดเร็ว เจ้าของชื่อหน้าซีด มองเจ้าสามีตัวยุ่งของตัวเองที่จ้ำเดินมาถึงตัวเขาอย่างรวดเร็วเกินความจำเป็น
“ไม่..ฉันไม่เป็นไร”
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า” แวมไพร์สายเลือดแท้จ้องมองเขา ความเป็นห่วงที่อยู่นัยน์ตาทำให้วินวินต้องเบือนหน้าหนี เขากระชากเสียงตอบอีกฝ่าย พร้อมกับดึงข้อมือตัวเองออกจากมืออีกฝ่าย
“บอกว่าไม่เป็นไรไง”
“...นายเลือดออกน่ะ”
“เดี๋ยวแผลก็สมาน ฉันเป็นแวมไพร์นะ นายลืมรึไง”
ยูตะขมวดคิ้ว เขาไมได้พูดอะไรต่อ แต่ดวงตายังคงจ้องไปยังบาดแผลของแวมไพร์ตรงหน้าเขม็ง ถึงจะบอกว่าเป็นแวมไพร์ แต่แวมไพร์ปกติทั่วไป แผลแค่นี้แทบไม่ต้องใช้เวลาในการสมานแผลเลยด้วยซ้ำ แต่ดูวินวินตอนนี้สิ เวลาผ่านมาหลายนาทีแล้ว เลือดยังไม่หยุดไหลเลย
“เลือดนายหยุดช้าเกินไปรึเปล่า”
ไม่..ยูตะคิดว่าเมื่อก่อน เลือดของวินวินหยุดไหลไวกว่านี้ ฉับพลัน ดวงตาสีแดงเพลิงก็เหลือบไปเห็นคราบเลือดที่แห้งกรังเป็นวงกว้างบนเตียงนอน
“..เพราะฉันไม่ได้กินเลือดมานานต่างหาก”
พอมีเหตุผล
ยูตะคิดในใจ แตเขาก็ยังไม่เชื่อทั้งหมด
“งั้นกินเลือดของฉัน”
ดวงตาสั่นไหวจ้องมองข้อมือของยูตะที่ถูกยื่นมาตรงหน้า เขาไม่กล้ากัดอีกฝ่ายหรอก แม้จะหิวจนตาลายแล้วก็ตาม ถ้ายูตะมาโผล่ตรงหน้าได้ แสดงว่าครบสองอาทิตย์แล้วสินะ
“วินวิน?”
“อึก..ใครจะไปอยากกินเลือดนายกัน” เขาเบือนหน้าหนี ในตอนนั้นเองมือแข็งแกร่งก็บีบคางเขาไว้แน่น พร้อมกับปากบางที่ตามลงประกับบางของเขาไว้แน่น
“อื้อ !!!!!” วินวินดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง แรงเขาสู้ยูตะไม่ได้หรอก รสชาติเลือดที่เขาไม่ได้สัมผัสไหลลงคอช้าๆ ร่างของเขารู้สึกร้อนรุ่มจนตัวสั่นเทา ดวงตาคมกริบของยูตะหรี่มองบาดแผลของวินวินที่เริ่มสมานตัวเข้าหากัน แม้จะไม่เร็วเท่าที่คิดไว้ แต่ไม่นาน ผิวขาวซีดที่เขาชอบแอบมองบ่อยๆ ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไร้รอยขีดข่วน
“ฮึก..เจ..เจ้าบ้า !!!”
“มีอะไรที่ฉันยังไม่รู้รึเปล่า” ยูตะกดเสียงต่ำ เพียงแค่นั้นวินวินก็ต้องย่นคอเพราะความกลัวที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ ในขณะที่ร่างบอบบางพยามยามหาคำแก้ตัว ร่างของเขาก็โดนยูตะอุ้มจนตัวลอย ไม่นานแผ่นหลังบางก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มของเตียง และตอนนั้น ยูตะก็ไม่ได้สนใจเขาอีก
“เลือดนี่..เหมือนจะแห้งมาหลายวันแล้วนะ” วินวินชาวาบไปทั้งร่าง กำลังจะโดนจับได้แล้ว !!!
“!!!!”
----------------------------------------------------------------
หายไปนานมาก คิดว่าคงต้องมีคนกลับไปอ่านตอนหนึ่งใหม่อีกรอบ (รวมถึงไรท์ด้วย)
แฮ่ จนถึงตอนนี้ถ้ายังมีใครรอคอยอยู่ ต้องขอบคุณมากจริงๆ นะคะที่ยังอยู่ตรงนี้ .กราบ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ลุ้นนนน // เป็นกำลังใจให้นะคะ