คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ส.ว.น.ด.หน่วยล่าคดีปริศนา คดีแรก :: ตอนที่สอง
ส.ว.น.ด.หน่วยล่าคดีปริศนา คดีแรก :: ตอนที่สอง
“ อาอยากให้หลานมาทำงานในตำแหน่งพนักงานนำสืบคดีพิเศษให้กับสำนักวางแผนนำสืบคดีพิเศษ หรือ ที่ใครต่อใครเรียกว่า ส.ว.น.ด. นั่นแหละ” ท่านอธิบดีบอกเสียงเข้ม ขณะที่ฝ่ายผู้ฟังมีท่าทีจริงจังทำให้ทรงยศพอใจยิ่งนัก เขากล่าวเสริมต่อ “ความเชี่ยวชาญในด้านสัญศาสตร์และเทววิทยาที่หลานร่ำเรียนมาจนจบปริญญาโทตั้ง 2 ใบและประสบการณ์สืบสวนสอบสวนกับหน่วยงาน F.B.I จะช่วยการสืบคดีและทำให้เราแกะรอย ถึงต้นตอแห่งภัยพิบัติที่กำลังตั้งเค้ามาได้ง่ายขึ้น”
ทรงยศไม่สามารถปฏิเสธภารกิจสำคัญนี้ได้ ในเส้นทางที่เต็มไปด้วยปริศนาอันลี้ลับซับซ้อนซึ่งพรมลิขิตขีดเส้นเอาไว้รอในอนาคตอันใกล้ เขาหวังเหลือเกินว่าจะได้พบกับสิ่งที่ตามหามานานแสนนาน
ชุดสูทกระโปรงสีดำทำให้ร่างเล็กของหญิงสาวดูโดดเด่นอยู่ทามกลางสำนักงานสีขาวของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ผมยาวยุ่งเหยิงล้อมรอบกรอบหน้าเล็กน่ารักที่ดูมึนงงของเธออยู่ตลอดเวลา ในช่วงเวลาบ่ายคล้อย ดวงไฟทั่วทั้งสำนักงานสีขาวยังถูกเปิดสว่างจ้า หน่วยงานนี้เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรมที่ต้องทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เจ้าหน้าที่หลายคนต่างวุ่นวายทำงานติดพันในส่วนของตัวเอง หญิงสาวเดินเลาะไปตามช่องทางที่เหมือนเขาวงกตผ่านห้องปฏิบัติการมากมายมุ่งตรงสู่ห้องชันสูตรศพ ในอ้อมแขนเธอคือแฟ้มเอกสารที่เป็นสำเนาคดีฆ่าตัดคอปริศนาซึ่งถูกโอนย้ายมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากความผิดปรกติบางอย่างในผลการชันสูตรศพ ดร.แพรวา ปูคะวนัช ฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล จากสำนักคดีความพิเศษ ถูกสั่งมาดูให้เห็นกับตา
“ เอ่อ ขอโทษนะคะ” ดร.แพรวา เงยหน้าจากแฟ้มข้อมูลขึ้นมา ทักเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ที่เดินสวนมา เขาหยุดมอง หญิงสาวจึงแจ้งความจำนง “ ฉันมาพบคุณหมอวัชรกาญจน์ บัวบานค่ะ”
เขานิ่งคิดนิดหนึ่ง เขาจะตอบอย่างลังเล“ น่าจะยังอยู่ในห้องชันสูตรนะครับ ” เขาชี้ไปยังประตูกระจก ที่อยู่ใกล้ๆ
ดร.แพรวากล่าวขอบคุณ ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้องชันสูตร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอมายังห้องนี้แต่ด้วยทางเดินเขาวงกตของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เธอยังไม่คุ้นเคยสักที และยิ่งในวันนี้มันปิดไฟเงียบ หญิงสาวเขม่นมองผ่านความมืดเข้าไป ในห้องกว้าง เธอเห็นเงาตะคุ่มนอนทอดกายยาวเหยียดอยู่บนเตียงกลางห้อง เธอเปิดประตูกระจกเข้าไปในข้างใน เธอเอื้อมมือไปที่ข้างขอบประตูเพื่อคำหาสวิทซ์ไฟ แสง สว่างจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ฉาบไปทั่วห้อง ร่างของชายไร้ศีรษะ ปรากฏขึ้นต่อสายตาของดร.แพรวา ร่างเปลือยเปล่านั้นบวม ซีด และเขียวคล้ำ ข้างๆศพ มีศีรษะมนุษย์วางอยู่
ไม่มีใครสักคนอยู่ในห้องนี้ยกเว้นตัวเธอ แม้หญิงสาวรู้สึกตัวว่ากำลังล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของผู้อื่น แต่เธอก็หยุดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นศพคนตาย แต่เป็นครั้งแรกที่เธออยู่กับมันตามลำพัง ดร.แพรวา ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เตียงผ่าศพ ด้วยความตื่นเต้นปนตระหนก ร่างชายนิรนามนั้นเหมือนส่งเสียงเรียกอยู่ในความเงียบ เธอเดินเข้าไปชิดขอบเตียง มองร่างบวมอืดไร้หัวที่ครั้งหนึ่งเงยเป็นมนุษย์ ตั้งแต่ศีรษะ (ตั้งอยู่ข้างๆ)จรดปลายเท้า ด้วยความรู้สึกมวลท้องอย่างกะทันหัน บนแผ่นออกข้องเขามีรอยมีรอยกรีดรูปตัว Y ขนาดใหญ่ เริ่มจากจุดใต้กระดูกไหปลา ทั้งสองข้างมาบรรจบกันที่ลิ้นปี่แล้วลากตรงลงตลอดหน้าท้อง
แล้วมันก็ลุกขึ้นมานั่ง !
“ กรี๊ดด!!” เธอแหกปากลั่นด้วยความตกใจ ก่อนจะโดนปิดปากทันที จนเธอสำลักเสียงตัวเอง “ อึอ..ก”
ร่างเล็กของหญิงสาวถูกรวบรัดจากวงแขนแข็งแรงที่กระชากตัวเธอออกห่างจากเตียงฝ่าศพ
“ คุณ!” เสียงตะโกนข้างหูเธอ เขาใช้แรงแขนหมุนตัวเธอกลับมาเผชิญหน้า แล้วตะโกนใส่ซ้ำ “คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง ที่นี่ห้ามคนนอกเข้ามานะ!”
ดร.แพรวานิ่งช็อค ดวงตากลมของเธอเบิกกว้าง มองใบหน้าสำอางของชายหนุ่ม ดวงตาคู่ใหญ่ส่อประกายตำหนิซ่อนอยู่ใต้กรอบแว่นสีดำ จมูกโด่งรับสันแว่น คิ้วเข้มเป็นเส้นยาว ริมฝีปากบางของเขาอ้าเผยอพร้อมตะโกนใส่เธอทุกเมื่อ ดร.แพรวาเหลือบเห็นบัตรประจำตัวพนักงานของเขาซึ่งระบุชื่อและตำแหน่งชัดเจน
หัวใจของหญิงสาวพองโตอย่างไม่มีสาเหตุ!
“ ฉันมาจากดีเอสไอค่ะ” ด้วยความตกใจดร.แพรวาพูดได้แค่นั้น ชายหนุ่มทำหน้างุนงงแต่ก็ยอมปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน เธอส่งแฟ้มในมือให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปชี้ ร่างที่นั่งหลังตรงอยู่บนเตียง “เกิดอะไรขึ้นกับศพ?” น้ำเสียงเธอยังสั่นเทา
“ บางครั้งมันก็เกิดขึ้นได้ จากอาการเกร็งตัวเต็มที่ของกล้ามเนื้อหลังตายมา 12 ชั่วโมง” นายแพทย์วัชรกาญจน์ตอบขณะก้มอ่านเอกสารโอนย้ายคดีในแฟ้มและ ลายมือเขียนกำกับของอธิบดีมอบหมายให้สำนักวางแผนนำสืบคดีพิเศษเข้ามาตรวจสอบ เขาเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวผู้มาเยือนอีกครั้ง
ใบหน้าเล็กคลายความตระหนกลงเธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา แล้วพูดอย่างตื่นเต้น “ หมายความว่าชายคนนี้ถูกฆ่าตอนตีสองงั้นหรือคะ?”
กลายเป็นคุณหมอหนุ่มที่รู้สึกทึ้งในความหัวไวของเธอ เขาเหลือบมองบัตรพนักงานที่คล้องคอเธออยู่เช่นกัน ก่อนจะตอบคำคามอีกฝ่าย “ จะว่าอย่างงั้นก็ได้ครับ ดร.แพรวา นี่คือรายงานการชันสูตร” เขาเดินไปหยิบแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะปฏิบัติการมุมห้องมาส่งให้เธอ
ดร.แพรวารับมาเปิดอ่าน ในแฟ้มมีภาพถ่ายจากสถานที่พบศพ การชันสูตรพลิกศพ และข้อมูลการผ่าชันสูตรศพทั้งหมดแม้กระทั้งรายละเอียดของอาหารในกระเพาะศพซึ่งไม่พบอะไรผิดปรกตินอกจากกลีบดอกดาวเรืองและดอกกุหลาบรวมทั้งใบไม้ประหลาดใบเรียวเล็กอีกด้วย ขณะที่ชายหนุ่มหยิบถุงมือยางจากวางอุปกรณ์ขึ้นมาสวม แล้วเดินอ้อมเตียงผ่าศพไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ แล้วเริ่มอธิบายสิ่งที่เขาพบ “ ผู้ตายเป็นชายผิวขาว ผมทอง อายุราว 40 ปี สาเหตุการการคือขาดอากาศหายใจ เนื่องจากถูกรัดคอ” เขาชี้ไปที่รอยแดงที่พาดอยู่บนลำคอที่ติดกับหัวเหยื่อ “จากนั้นจึงถูกตัดคอด้วยของมีคม แล้วนำมาแขวนไว้กับสะพานพระราม 8 เราไม่พบบาดแผลถูกทำร้ายหรือร่องรอยการต่อสู้บนตัวเหยื่อเลย”
หญิงสาวไล่สายตามองไปที่ร่างของเหยื่ออย่างสยดสยอง เธอรำพึงอย่างสงสัย “ เป็นไปได้หรือที่ผู้ชายตัวขนาดนี้จะยอมถูกฆ่ารัดคอโดยไม่ต่อสู้ขัดขืน”
คุณหมอหนุ่มพยักหน้าอย่างชื่นชมในความฉลาดของหญิงสาว “ ผมผ่าศพของเขาแล้วไม่มีน้ำ หรือเศษดินอยู่ในลำคอ หรือ ปอด ของเขาเลย” เขาอธิบายก่อนจะหัวเราะในลำคอ “ อย่างน้อยไอ้หมอนี่ก็ไม่ได้จมน้ำตาย”
หญิงสาวไม่ได้เห็นขำไปด้วยแต่กลับพูดน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจัง “ฉันทราบมาว่าคุณพบบางอย่างที่ผิดปรกติในตัวเขา?” ดร.แพรวาถามถึงประเด็นสำคัญที่เธอส่งมาที่นี่
สีหน้านายแพทย์วัชรกาญจน์เคร่งเครียดขึ้น เพราะมันเป็นปริศนาที่คาใจเขาอยู่เช่นกัน “ปมเชือกที่เหมือนมืออาชีพ กลีบกุหลาบ กลีบดาวเรือง และใบไม้ และหญ้าคา ผมพบมันในกระเพาะของผู้ป่วยด้วย” เขากล่าวเสียงเข้ม
ดร.แพรวา สนใจสิ่งที่ชายหนุ่มพบเป็นอย่างมาก “ ขอฉันดูได้ไหมคะ?”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ ผมส่งมันไปตรวจที่สำนักพิสูจน์ทางเคมีพร้อมกับตัวอย่างอาหารในกระเพาะและตัวอย่างเลือดเพื่อค้นหาสารพิษและแอลกอฮอล์ ส่วนเชือกไนล่อนที่ผูกคอเขาซึ่งอาจจะมีสารคัดหลั่งหรือเนื้อเยื่อของคนร้ายติดอยู่ ผมส่งมันไปที่สำนักพิสูจน์ทางชีววิทยาเพื่อตรวจหา DNA”
“ แล้วเรื่องปมเชือกล่ะคะ” หญิงสาวถามขึ้นเมื่อนึกได้ฉับพลัน เธอถามเพื่อความแน่ใจ “ คุณบอกว่าเป็นฝีมืออาชีพ?”
คุณหมอหนุ่มชักสนใจความช่างสังเกตของอีกฝ่าแต่เขาได้แต่ส่าย “ ผมยังไม่รู้ที่มาที่ไปแน่ชัด คงต้องถามผู้เชี่ยวชาญก่อน”
“ งั้นฉันขอลายนิ้วมือได้ไหมคะ?” ดร.แพรวาถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม เธอเห็นอีกฝ่าพยักหน้า เขาทำท่าจะหันไปหยิบจับอุปกรณ์จากโต๊ะ เธอจึงพูดขัดจังหวะ “ ให้ฉันจัดการเองเถอะค่ะ คุณหมอ”
นายแพทย์วัชรกาญจน์ทำหน้างงเมื่อเห็นเธอดึงถุงมือยางในกล่องบนโต๊ะอุปกรณ์ขึ้นมาสวม ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์ไอโฟนจากกระเป๋าเสื้อสูทออกมาแล้วเดินอ้อมมายืนข้างเขา ดร.แพรวาจับปลายนิ้วหัวแม่โป้งมือขวาของศพ ขึ้นมาประทับรอยบนหน้าจอโทรศัพท์ มันส่งเสียงติ๊ดแล้วก็ปรากฏเป็นรอยพิมพ์ลายนิ้วมือเรืองแสงขึ้นมา เธอแอบยิ้มเมื่อเห็นชายหนุ่มอ้าปากค้าง แล้วจัดการประทับพิมพ์ลายนิ้วมือจากสี่นิ้วที่เหลือจนเสร็จ
“ โทรศัพท์เครื่องนี้ราคาเท่าไหร่ครับ?” เขาครางถามอย่างตื่นเต้น ดร.แพรวาได้แต่หัวเราะขำ ใบหน้าเล็กเป็นสีแดง
“ว้าย!” แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง! เมื่อจู่ๆศพก็หงายหลังตึงลงไปนอนกับเตียง
หญิงสาวกระโดดเบียดเข้าหาคุณหมอหนุ่ม ก่อนจะคิดในใจว่าช่าง เป็นสถานการณ์รักแรกพบที่แปลกประหลาดเหลือเกิน!
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำก้าวเดินลงบันไดจากชั้น G ลงมาสู่ชั้นใต้ดินของตึกด้วยความงุนงงสงสัยอยู่เต็มอก คิ้วคมของเขาขมวดมุ่นส่งผลให้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่มักมีรอยยิ้มประดับอยู่บางๆ กลับดูดุดันและกวนประสาทมากขึ้นกว่าเดิม เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตึกสีขาวงาช้างของกรมสอบสวนคดีพิเศษจะมีสำนักงานอยู่ที่ชั้นใต้ดินด้วย สมัยเป็นนักเรียนในสถาบันการสอบสวนคดีพิเศษ หรือ SWND Academy ชายหนุ่มเคยศึกษาแปลนเขียวของตึกแห่งนี้ ชั้นใต้ดินควรจะเป็นห้องเครื่อง อุปกรณ์ไฟฟ้า ไม่ใช่ที่ตั้งของสำนักวางแผนนำสืบคดีพิเศษ อันที่จริงหน่วยงานนี้ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในผังองค์กรด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อคนที่ยกหูโทรศัพท์โทรหาเขาคือท่านอธิบดีกรรมสอบสวนคดีพิเศษ คงไม่ใช่เรื่องผิดพลาดอย่างแน่นอน
ร้อยตำรวจเศรษฐพงศ์ เพียงพอ เดินไปตามขั้นบันไดสีขาวแคบที่ทอดวกวนลงมาท่ามกลางความมืดสลัวคล้ายทางหนีไฟในโรงหนังเกรด B มาสู่โถงทางเดินด้านหน้าของสำนักวางแผนนำสืบคดีพิเศษ มันนำเขามาหยุดอยู่หน้าผนังกระจกใสซึ่งชายหนุ่มต้องประหลาดใจทันที เมื่อมองเห็นส่วนต้อนรับด้านหน้าของสำนักงานอยู่เบื้องหลังผนังกระจกนั่น ฝั่งซ้ายเป็นเคาเตอร์ต้อนรับที่ทำจากกระจกใส ฝั่งเป็นชุดโซฟาสีขาวรูปตัว L กลับด้านที่วางเข้ามุมพอดีกับโถงด้านหน้า เบื้องหลังโซนต้อนรับนี้ คือกำแพงกระจกฝ้าสีขาวขุ่นที่เชื่อมต่อกันจนดูแทบไม่ออกว่าส่วนไหนคือประตู ทางเข้า หากไม่สังเกตเครื่องสแกนม่านตาและเครื่องสแกนบัตรที่ติดอยู่บนกำแพงกระจก เขาสังเกตเห็นหญิงสาวร่างสันทัดผมหยิกในชุดสูทกระโปรงสีดำของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั่งประจำอยู่ที่ เคาเตอร์ต้อนรับที่อยู่ฝั่งขวามือ เธอสวมเฮดเซท ที่ประกอบไปด้วยหูฟังและไมโครโฟนก้านไว้กับศีรษะ ท่าทางเป็นการเป็นงาน เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขา ผนังกระจกใสเบื้องหน้าของเศรษฐพงศ์ก็เลื่อนเปิดออก เป็นสัญญาณอนุญาตให้เขาเดินมาข้างในได้
“สวัสดีครับ ผมมีนัดสัมภาษณ์งานกับท่านผู้บัญชาการสำนักคดีความพิเศษตอนบ่ายโมงนี้” ชายหนุ่มทักอีกฝ่ายด้วยเสียงหวานพร้อมรอยยิ้มมุมปากซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้า
ดวงพร เจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับและประสานงานข้อมูลมองหน้าผู้มาเยือนในระยะใกล้ ดวงตาชวนฝันของหญิงสาวร่างเล็กประสานกับดวงตาคู่คมประกายของชายหนุ่ม เธอถึงกับชะงักไปชั่วครู่ เพื่อตรึกตรองว่า ชายหนุ่มรูปงามในชุดแจ็คเกตสีดำ กางเกงยีนส์สีดำที่ปรากฏตัวเบื้องหน้า ไม่ได้กระโดดออกมาจากนิยายในอินเตอร์เน็ตที่เธอกำลังอ่านฆ่าเวลาอยู่
“ เอ่อ สัมภาษณ์งานหรือคะ?” เธอเอ่ยตอบตะกุกตะกัก กว่าจะควานหาลิ้นตัวเองเจอ“ ดิฉันขอทราบชื่อด้วยค่ะ”
“ ร้อยตำรวจเอกเศรษฐพงศ์ เพียงพอครับ” เศรษฐพงศ์ตอบเต็มยศ เขามองท่าทีเคอะเขินของหญิงสาวอย่างเอ็นดู ชื่อนามสกุลเธอติดอยู่บนบัตรพนักงานที่แขวนคออยู่ “ คุณดวงพร”
“เรียกหลินก็ได้ค่ะ” ดวงพรยิ้มหวานแก้มแทบปริ เธอรีบเปิดตารางนัดหมายของผู้บัญชาการสำนักออกดู แล้วกดโทรศัพท์ไร้สายต่อเข้าไปยังโต๊ะทำงานของพัดชา
“คุณพัดคะ ร้อยตำรวจเอกเศรษฐพงศ์ เพียงพอ มาแล้วค่ะ” เธอส่งเสียงงหวานเจื้อยแจ้วไปตามสายก่อนจะนิ่งฟัง “ ค่ะ ได้ค่ะ”
ดวงพรกดวางสายแล้วหันมายิ้มให้เศรษฐพงศ์อีกครั้ง “ ท่านผู้บัญชาการเชิญ คุณด้านในค่ะ แต่ก่อนอื่น” เธอหยิบแก้วกระเบื้องสีขาวใบเล็กเท่าแก้วเหล้าเตกิล่าที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกด้านหลังเคาเตอร์ส่งให้กับชายหนุ่ม ซึ่งตอนแรกเขาก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามันวางอยู่ตรงนั้นพร้อมกับเหยือกน้ำขนาดใหญ่สีขาว
เศรษฐพงศ์ชะงัก! เมื่อเห็นน้ำในแก้วสีดำสนิท คิ้วเขาขมวดเป็นโบว์ “ นี่มันน้ำอะไรกัน?” เขาถามดวงพรอย่างสงสัย อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มกว้าง
“ เวลคัม ดิ๊งของชั้นใต้ดินค่ะ ดื่มเสียก่อนเข้าประตู มันเป็นกฎ” เธอกล่าวน้ำเสียงจริงใจกึ่งบังคับ ดวงพรมองชายหนุ่มยกแก้วกระดกเข้าปากรวดเดียวอย่างพอใจ “ ถ้าพกอาวุธติดตัว กรุณาแสดงด้วยค่ะ” เธอบอกกฎข้อถัดไป
เศรษบพงศ์กลอกตา เขาชักเซ็งแต่ก็ยินยอมทำตาม ชายหนุ่มล้วงเอาบางอย่างที่เก็บไว้ในเสื้อแจ็คเก็ตออกมา “ ผมไม่ได้พกอะไรมา นอกจากมีดเล่มนี้ มันเป็นเครื่องรางน่ะครับ” เขายกชูมันขึ้นให้ดวงพรเห็นชัด
มันเป็นมีดด้ามงาสีขาวอมเหลืองขุ่นยาว 9 นิ้ว ดูเก่าแก่คร่ำคร่า ปลอกมีดงาเป็นสีเดียวกับด้ามรัดด้วยแหนสามกษัตริย์ เงิน ทองเหลือง และนาค ตรงตำแหน่ง ปลาย กลาง และ ด้านล่างของปลอกมีด
เศรษฐพงศ์ชักมีดออกมาจากฝักเพียงเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นคมมีดขึ้นสนิมขลุมสีดำออกเขียว เขายิ้มกว้างแต่ กล่าวเสียงเข้มลองเชิงเจ้าหน้าที่สาว “ ผมคงไม่ต้องทิ้งมันไว้ข้างนอกนี่หรอกนะ”
ดวงพรเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายแล้วไม่อยากตอแยด้วย เท่านี้เจ้านายของเธอก็คงจะพอใจ กล้องวงจรปิดด้านนอกที่ติดตั้งอยู่ด้านนอกเหนือเคาเตอร์กระจกได้ถ่ายทอดภาพมีดด้ามงาไปยังห้องของผู้บัญชาการสำนักเรียบร้อยแล้ว
“ ฉันไม่คิดว่า มีดนั่นจะแทงอะไรเข้าหรอกค่ะ ” ดวงพรกล่าวทีเล่นทีจริง แล้วใช้บัตรประจำตัวพนักงานของตัวเองรูดที่เครื่องสแกนบัตรข้างประตูกระจกฝ่า แล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “เชิญคุณสแกนม่านตาแล้วเข้าไปข้างในได้เลยค่ะ ห้องท่านผู้บัญชาการอยู่ฝั่งขวาสุดของห้องโถงใหญ่”
ดวงพรมองเศรษฐพงศ์แนบดวงตาข้างขวากับเครื่องสแกนม่านตาโดยไม่โต้แย้งแต่อย่างใด เสียงอุปกรณ์ดิจิตอลทำงานแล้วประตูกระจกฝ่าก็เลื่อนออก ปล่อยให้ชายหนุ่มเดินผ่านเข้าไปในหน่วยงานที่กุมความลับของประเทศมากที่สุดเอาไว้
ห้องโถงใหญ่ของสำนักวางแผนนำสืบคดีพิเศษเปิดไฟดาวไลท์สว่างจ้า มี เจ้าหน้าที่ในชุดสูทดำของฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล และเสื้อโปโลสีดำของฝ่ายพัฒนาเทคนิควิทยาศาสตร์ เดินสวนกันไปมา เพราะมันเป็นห้องที่เปิดโล่ง เชื่อมกับส่วนต่างๆของสำนักงาน สองฝั่งทั้งซ้ายและขวาของห้องโถงถูกเป็นห้องทำงานกระจกใสของบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับชำนาญการในแต่ละฝ่ายรวมทั้งห้องทำงานของผู้บัญชาการสำนัก ตรงกลางห้องโถงเป็นโต๊ะกระจกใสขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นทั้งโต๊ะประชุม และเป็นระบบศูนย์กลางระบบข้อมูลของสำนักงานมันเชื่อมต่อไปยังจอ LCD ขนาดใหญ่ เท่ากับผนังห้องด้านหลังซึ่งช่วยแบ่งโถงทางเดินแยกออกเป็นสองข้างมุ่งสู่ชั้นในของสำนักงาน ด้านขวาเป็นอาณาจักรของฝ่ายพัฒนาเทคนิควิทยาศาสตร์ ด้านซ้ายเป็นของฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนห้องใหญ่ตรงเกาะกลางระหว่างช่องทางเดินฝั่งซ้ายและฝั่งขวา แบ่งซอยออกเป็นห้องประชุมใหญ่ขนาดจุสามสิบคน และห้องประชุมนาดเล็กอีกสองห้อง ส่วนด้านในสุดของสำนักงานชั้นในเป็นพื้นที่ที่ เพิ่งถูกปรับปรุงขึ้นมาใหม่ สำหรับรองรับหน่วยงานด้านนิติเวชที่แยกตัวออกมาจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ด้วยเหตุผลเรื่องความมั่นคง
เศรษฐพงศ์เดินผ่านห้องโถงใหญ่มุ่งตรงสู่ห้องทำงานของผู้บัญชาการสำนักที่อยู่ฝั่งขวาสุดของห้อง มาหยุดหน้าห้องทำงานขนาดใหญ่ผนังกระจกใสทำให้ชายหนุ่มสามารถมองทะลุเข้าไปในห้อง เขาเห็นหญิงสาวผมสั้นหน้าตาสวยคมนั่งเซ็นแฟ้มเอกสารอยู่หลังโต๊ะทำงาน ตอนแรกเขาไม่แน่ใจว่ามาถูกห้อง แต่ป้ายชื่อและตำแหน่งของหญิงสาวถูกติดไว้บนประตูกระจกใสชัดเจน
ผู้บัญชาการส.ว.น.ด.เป็นผู้หญิง !
ประตูกระจกใสเลื่อนเปิดออกอัตโนมัติ หญิงสาวหน้าคมจ้องเป๋งมาทางชายหนุ่มผู้มาเยือน เศรษฐพงศ์ถอยไม่ได้แล้ว เขาก้าวเข้าไปในห้องสำงานของพัดชาด้วยความระมัดระวังที่อย่างที่สุด
“ สวัสดีครับ” เขายกมือไหว้อีกฝ่ายตามธรรมเนียม แล้วได้รับรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยชั้นเชิงของอีกฝ่ายตอบกลับมา
“ นั่งก่อนสิ คุณเศรษฐพงศ์” พัดชาผายมือเชิญชายหนุ่มหน้าคมนั่งลงฝั่งตรงข้าม เธอจับจ้องอิริยาบถของชายหนุ่มตลอดเวลา อดสังเกตไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีรูปร่างหน้าตาและหน่วยก้านดีกว่าที่เห็นในรูป ดวงตาคมของเขาเป็นประกายเอาเรื่องแต่ริมฝีปากบางมีรอยยิ้มยวนระบายอยู่เป็นนิจ เขามีท่าทีระวังตัวอยู่ตลอดเวลา พัดชาคิดว่า หากเธอขยับท่าผิดเพียงเล็กน้อย หมอนี่คงไม่ลังเลที่จะขว้างมีดมาปักอกเธอแน่นอน
“ ฉันอ่านประวัติของคุณแล้วรู้สึกประทับใจมาก” เธอเลือกที่จะออกปากชมเพื่อลดความระแวงของเขา “ ทั้งการบุกเข้าไปช่วยตัวประกันชาวไทยที่เขมรตอนเหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ และการจับกุมจับกุมตัว ริดวน อิซามุดดิน หัวหน้ากลุ่ม เจไอ ที่จังหวัดอยุธยา ได้ข่าวว่าสถานทูตสหรัฐยังออกปากชื่นชมคุณมาก นี่ยังไม่นับเรื่องคะแนนเกียรตินิยมจากรัฐศาสตร์จุฬา และจาก SWND Academy อีกนะ” แต่คำชมของพัดชากลับได้ผลตรงข้าม เศรษฐพงศ์กลับดูผยองขึ้น เขายังหยักไหล่เล็กๆแบบไม่ใส่ใจ
“ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมแค่ทำสิ่งที่ผมต้องทำ” ชายหนุ่มตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆสำหรับเขา
พัดชายิ้มเธอรู้สึกเหมือนโดนเชิดใส่ยังไงยังงั้น เธอคิดว่าไม้อ่อนคงใช้ไม่ได้ผลกับชายหนุ่ม จึงเริ่มจัดหนักให้ “ คุณน่าจะไปได้สวยในอาชีพตำรวจนะ บอกหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงได้ลาออก คงไม่ใช่แค่เพราะทุนเรียนปริญญาโทที่กระทรวงยุติธรรมมอบให้หรอก ใช่ไหม”
เศรษฐพงศ์ชะงัก! เขาไม่คาดว่าจะถูกเริ่มสัมภาษณ์งานด้วยคำถามนี้ เขามองเธออย่าไม่ไว้ใจ
พัดชาประเมินท่าทางของชายหนุ่ม เธอใช้น้ำเสียงอ่อนลง “พูดมาเถอะ ฉันสัญญาว่ามันจะอยู่แค่ในห้องนี้เท่านั้น เราควรเริ่มงานด้วยการไม่มีความลับต่อกัน เห็นด้วยไหมคะ”
เศรษฐพงศ์ชั่งใจก่อนจะเปิดปากด้วยน้ำเสียงลังเล “เราถูกส่งลงไปควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ตากใบเมื่อปี 48 หลังจากคดีนั้นผมคิดว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล และเราได้รับคำสั่งให้เชื่อฟังผู้บังคับบัญชาโดยไม่มีปากเสียง”
“เขาเรียกว่าวินัยตำรวจ”พัดชาหัวเราะในลำคอ เมื่อหวนนึกถึงอดีตของตนเอง “อย่าได้แตกแถวเชียว”
เศณษฐพงศ์มองผู้บัญชาการสาวอย่างประหลาดใจ เขาเตือนตัวเองว่าต้องค้นประวัติผู้หญิงคนนี้สักหน่อย
“ แล้วคุณคาดหวังอะไรกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ?” พัดชายิงมัดตรงอีกครั้ง แต่คราวนี้ชายหนุ่มหยักไหล่
“ผมแค่ต้องทำงานใช้ทุน” เขาตอบอย่างไม่แยแส “จะจับผมโยนไปที่สำนักคดีไหนก็แล้วแต่เถอะ”
พัดชาส่ายหน้าในความอวดดีแบบเด็กๆของชายหนุ่ม เธอกล่าวแก้ด้วยน้ำเสียงเข้ม “ คุณผิดแล้วล่ะ ที่นี่ไม่เหมือนกับที่อื่นที่คุณเคยอยู่ การจะมีที่ยืนในกรมสอบสวนคดีพิเศษ คุณต้องทำงานพิสูจน์ตัวเอง ต้องอยู่ได้ด้วยเกียรติยศ ไม่ใช่การประจบเอาใจเจ้านาย มิฉะนั้นคุณได้ลงเอยเป็นเสมียนก้นกรมแน่”
เศรษฐพงศ์กอดอกมองอีกฝ่าย เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกครูประจำชั้นดุ ผู้หญิงคนนี้เอาเรื่องจริยธรรมในการทำงานมาคุยกับเขา นี่เธอไม่ได้อ่านประวัติการทำงานของเขาหรือไงกัน ชายหนุ่มกลั้นยิ้มแล้วจ้องเธอกลับด้วยสายตาคมวาว ที่สมารถทำให้อีกฝ่ายสะท้านได้ “ ถ้าอย่างนั้นบอกผมหน่อยได้ไหมว่า ส.ว.น.ด.ของคุณรับผิดชอบคดีประเภทไหน เผื่อผมจะสนใจ” เขาพูดพลางเอนหลังพิงพนักย่างผ่อนคลาย มือเขาประสานกันวางชิดแผ่นอกอย่างไว้ท่าที
พัดชาเคาะนิ้วกับโต๊ะ เธอกำลังถูกลองดี ไอ้หมอนี่เป็นผู้ชายประเภทที่เธอเกลียดที่สุด “ คดีที่สำนักวางแผนนำสืบคดีพิเศษรับผิดชอบเป็นคดีที่อยู่นอกเหนือขอบข่ายสำนักคดีความอื่นๆ มันเกี่ยวข้องโดยตรงต่อความมั่นคงของบ้านเมืองและค่อนข้างเป็นคดีความที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชนและระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งแม้ว่าคดีความเหล่านี้จะมีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อประเทศ มันก็ไม่ได้ถูกเปิดเผยสู่สาธารณชนด้วยเหตุผลความมั่นคงอย่างที่บอกไปแล้ว” ผู้บัญชาการสาวเลือกที่จะบอกขอบข่ายงานแบบกว้างแทนที่จะเปิดเผยความลับทางราชการ
“ โอ้!” เศรษฐพงศ์ทำหน้าตกใจแบบล้อเลียน เขาไม่ซื้อคำพูดของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่จึงไม่ยอมอ่อนข้อลง “ พอจะยกตัวอย่างสักคดีได้ไหมครับ ?” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ สบตาคมของอีกฝ่ายที่หรี่มองมา “ไหนคุณบอกว่า เราจะไม่มีความลับต่อกันไง”
พัดชาหัวเราะ ไม่ใช่ว่าเธอเกิดถูกใจชายหนุ่มขึ้นมา แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเดินเข้าแผนที่เธอวางไว้ด้วยตัวเอง หญิงสาวลุกจากเก้าอี้หนังบุนวมสีดำ แล้วขยับมายืนใกล้ๆเกาอี้นั่งของอีกฝ่าย เธอหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะทำงานส่งให้กับเศรษฐพงศ์ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหวานฉ่ำ “ ทำไม ไม่ไปดูให้เห็นกับตาตัวเองล่ะ” ผู้บัญชาสาวพูดเป็นปริศนา
เศรษฐพงศ์รับแฟ้มคดีมาเปิดอ่านอย่างสงสัยใคร่รู้ โดยมีพัดชายืนกอดอกพิงโต๊ะทำงาน มองเขาอยู่ใกล้ๆ
ในแฟ้มเอกสารประกอบไปด้วยแผนที่และรูปถ่ายของบ้านหลังหนึ่งในย่านหนองจอก ลักษณะเป็นบ้านไม้สองชั้นทาสีเขียวซีด สภาพเหมือนบ้านร้าง มันเก่าแก่ ผุพัง จนหน้าต่างชั้นบนและประตู เกือบหลุดออกมาจากกรอบ แถมยังตั้งโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่รกครึ้ม และพงหญ้าคาท่วมสูง บรรยากาศวิเวก วังเวง ในรูปส่งกระแสออกมาถึงคนที่จ้องมองมัน
“ คุณหมายความว่ายังไง?” เศรษฐพงศ์ถามอย่างสงสัย
“ คืนนี้เวลา ห้าทุ่ม สิบห้านาที จะมีการส่งมอบยาเสพติดชนิดใหม่ ที่บ้านหลังนี้ ฉันอยากให้คุณไปสอดแนมและจับตาดูว่าผู้เกี่ยวข้องเป็นใครบ้าง ถ้าเป็นไปได้อยากได้ของกลางกลับมาด้วย”
“ ผม? คนเดียว?” เขาแย้งขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
พัดชาพยักหน้า “ฉันบอกแล้วว่าคุณต้องพิสูจน์ตัวเอง ยังไงก็เถอะฉันมีตัวช่วยให้” เธอบอกแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ไร้สายบนโต๊ะทำงานขึ้นมาแล้วกดโทรออก “ ศาสตราจารย์คะ ฉันขอถุงยังชีพหนึ่งชุดที่ห้องทำงานด้วยค่ะ” เธอสั่งไปยังปลายสาย
เศรษฐพงศ์ยังดูงงๆ ในภารกิจที่ผู้บัญชาการสำนักมอบให้ ไม่กี่อึดใจ ประตูกระจกใสของห้องก็เปิดเลื่อนออก โดยมีร่างท้วมของชายสูงวัยท่าทางใจดี เดินเข้ามาข้างใน เศรษฐพงศ์หันมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาสะดุดกับกล่องเหล็กขนาดเล็กที่ชายสูงวัยหิ้วเข้ามาด้วย
ศาสตราจารย์วิทย์มองชายหนุ่มอย่างสนใจเช่นกัน เขายิ้มให้อีกฝ่ายจนตาหยี ก่อนจะวางกล่องเหล็กลงบนโต๊ะทำงาน “ นี่เป็นอุปกรณ์ยังชีพของนาย เปิดดูซิ”
เศรษฐงพศ์ย่นคิ้ว มองมันอย่างสงสัย เขาเอื้อมมือไปกดปลดล็อคกล่องเหล็กซึ่งเป็นตัวล็อคสองอันแบบกระเป๋าเดินทาง มันเปิดออกแล้วเผยให้เห็นของที่อยู่ด้านให้อันประกอบไปด้วยกระบอกไฟฉายขนาดเล็ก ปืน Beretta 9 มม. แบบกึ่งอัตโนมัติสีดำเหมี่ยม และแม็กกาซีนปืนสำรองพร้อมกับกล่องลูกปืนอีกสองกล่อง
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ ผมไม่ต้องการมันหรอก ผมมีของตัวเอง”
พัดชามองชายหนุ่มอย่างประเมิน เธอยิ้มแล้วเอื้อมไปหยิบปืนในกล่องขึ้นมาถืออย่างทะมัดทะแมง ก่อนจะปลดแมกกาซีนออกมาเช็คกระสุนที่ใส่ไว้เต็มอัตรา แล้วใส่แมกกาซีนกลับเข้าที่เหมือนเดิม เธอส่งมันให้เศรษฐพงศ์แล้วกล่าวเสียงเข้ม “ งานของเราก็ต้องใช้ของๆเรา นี่เป็นกฎข้อแรก”
อีกฝ่ายกลอกตาอย่างเซ็งๆ รู้สึกว่าที่นี่เต็มไปด้วยกฎประหลาดมากมาย แต่ก็ต้องรับปืนมาอย่างเสียไม่ได้ ซึ่งเขาก็ไม่ปฏิเสธว่า มันเหมาะมือยิ่งกว่าปืน Glock 19 ซึ่งเป็นปืนที่เขาใช้มาตั้งแต่สมัยสังกัดหน่วยอรินทราช 26 เขาเก็บมันกลับเข้ากล่องตามเดิม
“สืบข่าวและชิงของกลาง ผมอาจจะตายคืนนี้ก็ได้นะ” เขาพูดประชดประชัน
พัดชาและศาสตราจารย์กลั้นยิ้ม ก่อนที่ผู้บัญชาการสาวจะเอ่ยปลอบใจอีกฝ่าย “ คุณไม่ตายหรอก เชื่อฉันซิ อีกอย่างหนึ่งฉันเตรียมกำลังสนับสนุนไว้แล้ว แค่คุณเข้าไปแฝงตัวในบ้านนั้นให้ได้ก็พอ”
คำพูดของเธอทำให้ชายวัยเก๋าหันมามองอย่างสงสัย
เศรษฐพงศ์คว้ากล่องมาถือไว้แล้วลุกขึ้น “ สามทุ่มสิบห้าใช่ไหม ได้เลย!” เขารับคำหญิงสาวอย่างท้าทาย
พัดชาเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างท้าทายเช่นกัน “ ได้เลย” เธอตอบรับแล้วมองชายหนุ่มร่างสูงเดินออกจากประตูห้องไป
ทันทีที่ประตูเลื่อนปิด ชายวัยเก๋าก็หันมามองหน้าเธออย่างสงสัยใคร่รู้ “ลูกตกลงอะไรกลับเขา?”
พัดชาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะมองหน้าบิดาอย่างปลาบปลื้ม “ ฉันให้เขาไปแฝงตัวในบ้านผีตายโหงที่หนองจอก พ่อจำบ้านหลังนั้นได้ไหมคะ?”
ศาสตราจารย์วิทย์คิดอยู่อึดใจก่อนจะตอบอย่างลังเล “ บ้านที่เกิดคดีผู้ค้ายาฆ่ากันตาย 4 ศพ เมื่อสิบปีที่แล้วใช่ไหม ? ”
พัดชาพยักหน้า เธอยิ้มกริ่ม “ ทุกๆปีในวันครบรอบการเกิดเหตุตามปฏิทินจันทรคติ คือวันแรม 14 ค่ำ เดือนสาม จะมีคนตายอยู่ในบ้านหลังนั้น มีทั้งถูกฆ่าตาย และฆ่าตัวตาย ในรูปแบบที่ต่างไป ปีที่แล้วมีผู้หญิงผูกคอตายในบ้านหลังนั้น”
ศาสตราจารย์วิทย์พยักหน้าเมื่อถึงบางอ้อ “วันนั้นก็ก็คือวันนี้ แสดงว่าเรามีโอกาสเพียงคืนนี้เพียงครั้งเดียว มิฉะนั้นต้องรอไปอีกหนึ่งปี”
“ หนูถึงต้องกลับมาทำงานวันนี้ไงคะ” พัดชาหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึก เธอนั่งลงที่เก้าอี้บุนวมตามเดิม ก่อนจะจ้องเป๋งมาทางผู้เป็นบิดา “ หนูคาดว่าเศรษฐพงศ์ คงแฝงตัวเข้าไปที่บ้านหลังนั้นในช่วงค่ำ มีเวลาเหลืออีกประมาณ สามสี่ชั่วโมง หนูอยากให้ฝ่ายพัฒนาเทคนิควิทยาศาสตร์นำกล้อง CCTV ไปติดตั้งที่บ้านหลังนั้นเพื่อเราจะได้จับตาดูเหตุการณ์คืนนี้อย่างใกล้ชิด”
ศาสตราจารย์วิทย์เอียงคอมองบุตรสาวอย่างสงสัย เขานั่งลงบนเก้าอี้อย่างสงสัย “ แล้วเรื่องกำลังสนับสนุนที่ลูกบอกล่ะ?”
พัดชาเม้มปาก ก่อนจะสารภาพเหมือนเด็กๆ “หนูโกหกค่ะ”
“ หา!” ศาสตราจารย์วิทย์แทบตกเก้าอี้ เขาร้องครางอย่างเป็นห่วง “ แล้วไอ้หนุ่มนั่นจะไหวหรือ ? ”
พัดชาหัวเราะ แบบที่ไม่เคยได้หัวเราะมานานแล้ว ก่อนจะปลอบใจบิดา “ เขามีทั้งมีดด้ามงา และปืนกระสุนหัวปรอทเชียวนะคะ หนูว่าคืนนี้เราต้องได้ดูเรียอัลลิตี้ โชว์บ้านผีสิงที่ระทึกขวัญแน่นอน”
ฝ่ายผู้เป็นบิดากลับถอนใจด้วยความกังวล “ ถ้าไอ้หนุ่มนั่นไม่เผ่นป่าราบออกมาก่อนล่ะนะ”
To be Con.....
ไร้เตอร์ฝากมาบอกว่า อาจจะเครียดสักนิด แต่อยากให้ลองอ่านกันดู เรื่องเว้นบันทัด
จะพยายามจัดให้ดีขึ้นนะคะ
ฝากด้วยค่า
ความคิดเห็น