ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ส.ว.น.ด.หน่วยล่าคดีปริศนา

    ลำดับตอนที่ #1 : คดีหมายเลข 1 แรกพบ

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ค. 56


    คดีหมายเลข 1                    แรกพบ

     

                                                   รถเชฟโรเลตครูซสีดำเคลื่อนตัวไปบนท้องถนนวิสุทธิกษัตริย์มุ่งหน้าสู่สะพานพระราม 8 อย่างรีบเร่งแม้ว่าสภาพการจราจรในช่วงสายของวันจันทร์จะไม่เป็นใจเท่าไหร่นัก   แต่คนขับก็พยายามเต็มอย่างยิ่งยวดที่จะปาดซ้ายแซงขวาเพื่อทำเวลาให้เร็วที่สุด  นาฬิกาข้อมือราคาแพงของเธอบอกเวลา   8.30 น. ซึ่งในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าหญิงสาวควรจะไปอยู่ที่ห้องของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ พัดชา  เอนกอายุวัฒน์  ทำได้เพียงนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับอย่างเป็นกังวล  นิ้วเรียวของเธอเคาะไม่เป็นจังหวะอยู่บนพวงมาลัยรถ   ใบหน้าเรียวคมที่ซ่อนอยู่ใต้แว่นกันแดดสีดำแม้จะไม่บ่งบอกความรู้สึกใดเป็นพิเศษ แต่อาการเกร็งของไหล่และหลังที่ตั้งตรงเป็นมารตวัดความเครียดในตัวเธอได้เป็นอย่างดี

    ‘ แป้น!!แป้น!แป้น!’ พัดชารัวทุบแตรรถอย่างโมโหเมื่อถูกมอเตอร์ไซด์สี่สูบคันสีแดงแฉลบปาดหน้า อย่างไม่ทันระวัง หญิงสาวได้แต่ถอนใจทิ้งตัวลงนั่งกับเบาะอย่างเสียอารมณ์ พัดชาแค่หวังว่าเธอจะเริ่มต้นเช้าวันนี้ได้ดีกว่านี้

    วันแห่งชะตากรรม!ที่เธอยังไม่แน่ใจว่าพร้อมจะรับผิดชอบมันหรือเปล่า

    เสียงโทรศัพท์มือดังขึ้นในความเงียบ พัดชาใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ตัว   เธอเอื้อมไปล้วงมันออกมาจากกระเป๋าถือใบสีดำมันวาวที่วางอยู่บนเบาะข้างคนขับ แค่เพียงเห็นชื่อบนจอโทรศัพท์ไอโฟนสีดำ พัดชาก็ต้องถอนใจซ้ำสอง  แต่ถึงยังไงเธอก็ต้องกดรับสาย

    “ค่ะ พ่อ” เธอทักสั้นๆ แล้วหันมาตั้งสมาธิกลับการขับรถ หูก็ฟังเสียงบ่นของผู้เป็นบิดาไปเรื่อยๆ ก่อนจะหันมาคุยกับโทรศัพท์สักครั้ง “ หนูกำลังรีบไปอยู่ค่ะ รถมันติด รู้แล้วน่าหนูไม่เบี้ยวหรอก ท่านศาสตราจารย์”

    น้ำเสียงดัดจริตรื่นเริงของพัดชาทำให้ปลายสายหัวเราะ เขาพูดบางอย่างจนทำให้หญิงสาวเสียงอ่อน “หนูรู้ค่ะ ว่าพ่อเป็นห่วง แต่หนูสบายดีแล้วค่ะ” เธอบอกช้าๆ แต่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนัก พัดชาห่วงว่าเธอจะควบคุมน้ำเสียงไม่ได้อีกต่อไปจึงรีบกล่าวตัดบท “ แค่นี้ก่อนนะคะพ่อ คุยโทรศัพท์ขณะขับรถมันผิดกฎหมาย  เดี๋ยวเจอกันค่ะ”

    พัดชากดวางสายก่อนเหยียบคันเร่งขึ้นสู่สะพานพระราม แต่เธอไม่ทันได้โยนโทรศัพท์ลงกระเป๋า มันก็ดังแหลมขึ้นอีก   พัดชาเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ในมือ

    พิษณุ!

    เธอได้แต่มองอยู่อย่างนั้น หัวใจเต้นระรัว มันนานเหมือนเป็นชาติ

    เอี๊ยดด!!’  รถคันหน้าเบรกกะทันหัน

    พัดชาสะดุ้ง! เธอเหยียบเบรกสุดแรงเกิด เข็มขัดนิรภัยกระชากเธอติดเบาะ จนเจ้าตัวร้องโอย!

    รถเชฟโรเลตจอดกลางสะพานพระราม 8

    “ โว้ย!” พัดชาเจ็บหลัง เธอหันมองรอบตัว สังเกตได้ว่ารถทุกคันรอบข้างจอดนิ่งสนิท สัญชาตญาณ บอกเธอว่านี่ไม่ใช่เรื่องปรกติ หญิงสาวพยายามถอดเข็มขัดนิรภัยออกอย่างรวดเร็ว ขณะที่เห็นคนขับรถคันหน้าเปิดประตูลงจากรถวิ่งไปที่ฟุตบาทราวสะพานฝั่งมุ่งหน้าธนบุรี ตรงนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตะโกนกรีดร้องเสียงดัง ขณะที่ผู้คนทยอยเปิดประตูลงจากรถอย่างตื่นตระหนก

    “กรี๊ดดด!!” ผู้หญิงคนนั้นยังคงกรีดร้องเสียงดังลั่น

    พัดชาลงจากรถแล้ววิ่งตรงไปที่เธอทันที แม้ว่าจะต้องปีนข้ามไปยังฟุตบาท ขณะที่เสียงกรีดร้อง ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับเสียงโวยวายเซ็งแส่จากผู้คนที่เริ่มเข้ามามุ่งดู  พัดชาไม่จำเป็นต้องถามใครว่าเกิดอะไรขึ้นเธอชะโงกตัวจากราวสะพานมองตามมือของผู้คนที่ชี้ไปยังใต้สะพานที่ยาวกว่า 400 เมตร   แม้สิ่งประหลาดนั้นอยู่ห่างจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ หลายสิบเมตรแต่เธอสามารถมองเห็นได้ชัดเจน

    ศีรษะมนุษย์ถูกผูกห้อยกับราวสะพานพระราม   มันห้อยต่องแต่งเหมือนลูกตุ้มนาฬิกาเหนือแม่น้ำเจ้าพระยา!

    “โทรเรียกตำรวจเร็ว!” ใครบ้างคนตะโกนขึ้นมา ท่ามกลางความอลหม่านวุ่นวาย

                                                             ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติริมถนนแจ้งวัฒนะเป็นตึกรูปทรงประหลาดคล้ายกับชามสี่เหลี่ยมปากอ้าขนาดขนาดยักษ์ซึ่งรัฐบาลลงทุนมหาศาลสร้างขึ้นบนเนื้อที่หลายพันไร่ริมถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งตึกสีขาวรูปงาช้างตัดด้วนของกรมสอบสวนคดีพิเศษก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเมกะโปรเจคนี้เช่นกัน  รัฐบาลวางแผนให้มันเป็นศูนย์รวมการติดต่อประสานงานของหน่วยงานราชการรวม 29 หน่วยงานที่เคยอยู่กระจัดกระจายไปทั่วกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม และสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกนำมามารวมไว้ในแห่งเดียวเพื่อความสะดวกในการสั่งการ เรียกประชุม และควบคุมการทำงาน และด้วยความโอ่อ่า อลังการ ใหญ่โตมากกว่าห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมารวมตัวกัน  ทำให้ผู้ที่มาเยือนศูนย์ราชการทั้งอาคารและ อาคาร  อดทึ่งในวิสัยทัศน์ของคนต้นคิดไม่ได้   แม้ว่ารัฐบาลจะถูกสื่อมวลชนบางค่ายค่อนขอดว่ามันเป็นสัญลักษณ์การรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ลงทุนมหาศาลราวกับถมทะเลสร้าง  กว้างจนต้องมีสัมปทานรถบัสให้กับเจ้าหน้าที่   และที่สำคัญร้านกาแฟรสชาติไม่เป็นสับประรด  ในข้อนี้ทรงยศ สุขมากอนันต์อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เขาถึงกับต้องวางแก้วกาแฟลาเต้ลงหลังจากจิบไปนิดเดียวเพราะรสชาติที่แสนจะจืดสนิท  หลังจากนั้นท่านอธิบดีก็ได้แต่นั่งมองมันมานานกว่าชั่วโมงแล้ว  

    ร่างสันทัดของทรงยศในชุดสูทสีดำของกรมสอบสวนคดีพิเศษยังคงนั่งคอยอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆแบบเปิดโล่งที่ชั้นล่างของศูนย์ราชการอาคาร A ซึ่งเป็นอาคารกว้างขวางเปิดช่องตรงกลางเป็นลานวางรับแสงสว่างจากหลังคาแบบปรับควบคุมแสงในอาคาร ซึ่งในช่วงสายแบบนี้บรรยากาศรอบตัวเขาสงบเงียบ ไม่พลุกพล่าน   มีเพียงเสียงรองเท้าที่ก้าวเดินไปมาอยู่ห่างๆเท่านั้น  ทรงยศเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ  มันเลยเวลานัดมานานแล้ว  แต่เขาไม่ได้ตำหนิอะไรอีกฝ่าย  เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้า   สิ่งที่เขาต้องการคือแค่ให้เธอมาทำงานในวันนี้

    ดูเหมือนคำภวนาของทรงยศจะประสบผลสำเร็จ เมื่อร่างสูงโปรงในชุดกระโปรงสูทสีดำของพัดชาปรากฏตัวขึ้น  เธอเดินอย่างเร่งรีบตรงมายังโต๊ะกาแฟที่ทรงยศนั่งอยู่  นั่นทำให้เขารู้สึกโล่งใจ

    “สวัสดีค่ะ ท่าน” พัดชายกมือไหว้ผู้อาวุโสทันทีที่มาถึง  เธอยังเหนื่อยหอบหายใจจากการเดิน แต่ยังพยายามรายงานตัว “ เมื่อเช้ามีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นนิดหน่อยค่ะ ระหว่างทางมาที่นี่  มีคนถูกฆ่าตัดคอแขวนหัวห้อยไว้กับสะพานพระราม   ดิฉันเลยพลอยติดพันเรื่องนี้ไปด้วย”

    ทรงยศมองท่าทีจริงจังของลูกน้องสาวอย่างชื่นชม แต่เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “ นั่งลงก่อนเถอะคุณพัด  ผมทราบเรื่องนั้นแล้ว  กระดูกต้นคอของเหยื่อถูกตัดขาดจากกันแบบทีเดียวขาดแบบมืออาชีพ  บนราวสะพานยังพบข้อความเขียนด้วยปากกาเคมีสีบอนซ์เงิน เป็นภาษาอังกฤษ ว่า  ‘ Cath. I want but I cannot...I came to Bangkok to be you’ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นการอำพรางคดี ตำรวจกำลังสืบสวนอยู่ว่าเกี่ยวข้องกับพวก เคจีบีเก่าหรือเปล่า” ทรงยศพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลมีเมตตา แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าประหลาดใจ

    “อะไรนะ?” หญิงสาวไม่เชื่อหู เธอเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามผู้บังคับบัญชา แล้ววางกระเป๋าถือสีดำมันวาวบนโต๊ะกาแฟ“ ท่านรู้เรื่องนี้ได้ยังไงคะ มันเพิ่งผ่านมาได้ไม่ถึงชั่วโมง”

    สีหน้าของทรงยศสงบนิ่ง ก่อนจะบอกความจริงที่อย่างไรเสียพัดชาก็ต้องรู้ในภายหลัง “ ผมรู้มาจากรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไม่แน่คดีอาจถูกโอนมาที่กรมของเรา” เขาบอกแล้วรอดูปฏิกิริยาอีกฝ่าย ซึ่งเธอก็สงบเกินคาด

    “พิษณุ” แพรพรรณพึมพำ เธอมองหน้าผู้บังคับบัญชาอย่างสงสัยใคร่รู้ราวกับเขาเป็นพยานปากเอกในคดี “ทำไมพิษณุกับท่านถึง?”

    ทรงยศยิ้มอย่างใจเย็นก่อนจะตอบคำถาม “ระหว่างที่คุณลาพักร้อน เขายื่นเรื่องขอย้ายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาอยู่ที่สำนักคดีอาญาพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งน่าจะมีผลในไม่กี่เดือนนี้”

    พัดชานิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ลมหายใจเธอเริ่มไม่เป็นปรกติอีกครั้ง  หญิงสาวไม่คิดว่าอดีตคนรักของเธอจะเคลื่อนไหวเร็วถึงเพียงนี้      แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดเดาถ้าพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับธนกฤต   เธอยังต้องถอยเพื่อทำใจ ขณะที่พิษณุผู้เป็นพี่ชายรุกอย่างบ้าคลั่ง

    “ เขาทิ้งทุกอย่างมาที่นี่ โดยหวังจะพบต้นเหตุ การตายของน้องชาย” พัดชาส่ายหน้าอย่างเศร้าสร้อย ก่อนจะกัดฟันพูด “บ้าจริง”

    ทรงยศมองลูกน้องอย่างเวทนา  เขาประเมินว่า หญิงสาวก็คงใช้เหตุผลเดียวกันนี้ในการกลับมา ยอมรับตำแหน่งที่เต็มไปด้วยภาระหน้าที่อันซับซ้อน การทำงานนี้ต่อไปเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เธอเข้าใกล้การตายของคนรัก

    พนักงานร้านกาแฟเดินเข้ามาขัดจังหวะ รับออเดอร์จากหญิงสาว เธอสั่งลาเต้ร้อน โดยที่ทรงยศไม่ทันได้ห้าม  ตอนนั้นเองที่หญิงสาวสังเกตเห็นแฟ้มเอกสารสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟบนก่อนหน้านี้

    “ นี่อะไรคะ?” แพรพรรณถามอย่างใคร่รู้

    ทรงยศยิ้มก่อนเลื่อนแฟ้มเอกสารมาตรงหน้าเธอ แล้วอธิบาย “ช่วงที่คุณลาพักร้อน ผมถือวิสาสะ คัดกรองใบสมัครผู้สำเร็จหลักสูตรการสอบสวนคดีพิเศษจาก  SWND   ACADEMY   เพื่อเลือกเจ้าหน้าที่นำสืบคดีพิเศษคนใหม่ให้กับคุณ   คุณจะได้เริ่มงานในฐานะผู้บัญชาการสำนักวางแผนนำสืบคดีความพิเศษได้ทันที ลองพิจารณาดูก็แล้วกัน” เขาพูดเปิดทางให้เธอ

    พัดชาชักสนใจ เธอเปิดแฟ้มออกเพื่อดูข้อมูล  แล้วทันใดนั้นเองดวงตาเรียวคมของหญิงสาวก็สะดุดเข้ากับรูปถ่ายของชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ผมหยักศกสั้น ร่างกายสูงกำยำในชุดเครื่องแบบสูทสีดำเสื้อเชิ้ตขาวผูกไทค์ดำของกรมสอบสวนคดีพิเศษ   พัดชาอ่านชื่อและนามสกุลของเขาในใจ  แล้วเริ่มอ่านประวัติของชายหนุ่ม เขาคือร้อยตำรวจเอกเศรษฐพงศ์   เพียงพออายุ  27 ปี เป็นอดีตนายตำรวจชุดปฏิบัติการจู่โจมพิเศษหรืออรินทราช 26 เขาลาออกจากราชการตำรวจเพื่อรับทุนเรียนต่อระดับปริญญาโทด้านอาชญาวิทยาจากกระทรวงยุติธรรมพร้อมกับเข้าเรียนในสถาบันการสอบสวนคดีพิเศษ หรือ SWND  Academy  เป็นเวลา ปีโดยผ่านหลักสูตรพนักงานนำสืบคดีพิเศษ มีระยะเวลาการฝึกอบรมประมาณ ๓๖๐ ชั่วโมง แบ่งเป็นภาคทฤษฎี ๑๖๘ ชั่วโมง  ภาคปฏิบัติ ๑๙๒ ชั่วโมง และเขาผ่านการอบรมหลักสูตรตามมาตรา ๑๘ ของ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ รวมทั้งหลักสูตรการสอบสวนคดีพิเศษและกระบวนการยุติธรรม มีระยะเวลาการฝึกอบรมอีก ๑๒๐ ชั่วโมง ซึ่งมีหมวดวิชาที่ประกอบไปด้วย หมวดจริยธรรม กฎหมาย การสืบสวนสอบสวน และยุทธวิธี ได้สำเร็จดีเยี่ยม

    “ว้าว” พัดชาหัวเราะเป็นครั้งแรกของวันนี้ เมื่อเธอเห็นคะแนนประเมินของชายหนุ่ม “ เขาเป็นนักเรียนเกียรตินิยมเหรียญทองอันดับหนึ่งของ  SWND ACADEMY   เลยนะคะเนี่ย”

    ทรงยศยิ้ม เขาโล่งอกไปหนึ่งเปราะที่เธอเห็นแววชายหนุ่มคนนี้เช่นเดียวกับเขา แต่ประเด็นไม่ได้มีเพียงแค่นั้น  “ลองอ่านประวัติครอบครัวของเขาดู” เขากล่าวเสริม

    พัดชาจึงก้มหน้าอ่านเอกสารหน้าต่อไปอย่างตั้งใจ แต่สักพักหนึ่งจากรอยยิ้มน้อยๆที่ระบายบนใบหน้าเรียวคม คิ้วของเธอก็เริ่มขมวด ใบหน้าเต็มไปด้วยแววตื่นเต้นและตระหนก

    “ เรื่องน้องชายของเขา น่าจะเป็นแรงจูงใจที่ดีในการทำงานกับคุณนะ” ทรงยศออกความเห็น ยังคงเฝ้ามองพัดชาอ่านเอกสารอย่างใจจดใจจ่อ  แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมองท่านอธิบดีอย่างกังขา

    “ เขามีมันอยู่จริงหรือคะ?” พัดชาถาม เธอเห็นเจ้านายพยักหน้า แต่ก็อยากจะรู้ให้แน่ชัด “ ท่านทราบได้ยังไงคะว่าเป็นของแท้”

    “ เขาสืบเชื้อสายของช่างตีดาบจากสายตระกูลช่างฉิม บ้านโคกไม้เดน  เรื่องนี้ไม่ผิดแน่นอน” ทรงยศตอบเสียงเข้ม แม้ตอนนี้เขาก็ยังตื่นเต้นที่ได้พูดถึง “ เขาพกมันติดตัวตลอดเวลา ครูฝึกของเรายืนยันเรื่องนี้ เช่นเดียวกับคนในหน่วยอรินทราช”

    พัดชาสูดลมหายใจเข้าระงับความตื่นเต้นของตัวเอง ก่อนจะพูดเสียงเครียด “ อาจจะไม่ใช่มีดเล่มนี้ก็ได้นะคะ เรามีข้อมูลว่ามันสูญหายไปแล้ว”

    ทรงยศส่ายหน้า ก่อนจะตอบอย่างช่างใจ “ เราไม่มีวันรู้เรื่องนั้นจนกว่ามันจะดึงดูดมีดอีกเล่มมาอยู่คู่กัน ได้เหมือนในตำนาน” เขาหยิบรูปถ่ายของชายหนุ่มขึ้นมาโชว์ให้แพรพรรณ ก่อนจะสั่งกำชับ “ ผมนัดให้เขามาสัมภาษณ์กับคุณวันนี้ตอนบ่ายโมง คุณจะทดสอบเขาด้วยวิธีไหนก็ตามใจคุณ”

    พัดชาพยักหน้าชอบใจนี่อาจทำให้วันที่น่าอึดอัดนี้สนุกขึ้นบ้าง  เธอเปิดเอกสารหน้าถัดไปในแฟ้มข้อมูล มันปรากฏรูปถ่ายของชายหนุ่มอีกคน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเรียวสวย ใบหน้ามนรูปไข่ ผมสีอ่อน หน้าสวยจน พัดชาเผลอคิดไปว่านี่เป็นรูปถ่ายจากโมเดลลิ่งดาราเกาหลี ถ้าไม่ใช่เสื้อสูทสีดำกัดกระดุมเรียบร้อย ทับสีดำและเสื้อเชิ้ตขาวด้านใน ที่อกเสื้อสูทด้านซ้ายปักโลโก้อันทรงเกียรติ  ‘ F.B.I.’

    “แล้วคนนี้ล่ะคะ?” เธอหยิบรูปชายหนุ่มหน้าสวยโชว์ให้ท่านอธิบดีดู แพรพรรณสังเกตเห็นแววกังวลในสายตาของชายสูงวัยชั่วขณะ

    “ เขาเป็นหลานผมเอง ผมขอคุยกับเขาอีกครั้งก่อนจะส่งให้คุณ” ท่านอธิบดีตอบเสียงเข้ม ถือเป็นเด็ดขาดให้อีกฝ่ายมีหน้าที่แค่รับฟังและปฏิบัติตาม

    พัดชาถอนใจ อดคิดไม่ได้ว่าอะไรต่อมิอะไรในวันนี้ช่างจู่โจมเธอรวดเร็วเหลือเกิน  หญิงสาวยกกาแฟลาเต้ที่เพิ่งเสิร์ฟตรงหน้าขึ้นจิบ  แล้วเบ้หน้า   รู้สึกว่าวันแย่ๆของเธอยังดำเนินต่อไป

                                        นายแพทย์วัชรกาญจน์  บัวบานชายหนุ่มรูปร่างผอมโปร่งในชุดกราวสีขาวกำลัง  ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีอยู่ในลิฟท์โดยสารของศูนย์ราชการฯ อาคาร แม้ว่าเขายังมีอาการมึนหัวจากกิจกรรมบันเทิงเมื่อคืนอยู่บ้าง แต่ก็สดชื่นเกินพอที่จะลุยงานในวันนี้ซึ่งน่าจะเป็นวันดีของของเขาทีเดียว ดวงตากรุ่มกริ่มเป็นประกายภายใต้กรอบแว่นดำเหม่อลอยไปในค่ำคืนที่แสนชุ่มช่ำ   ชายหนุ่มก้าวออกจากประตูลิฟท์ เมื่อมันเปิดสู่ชั้น ของอาคาร B   ฝั่งตะวันออก   เขารู้สึกถึงแรงตบบนบ่าอย่างหนักอย่างไม่ทันตั้งตัว

    คุณหมอหนุ่มไหล่แทบทรุด ตอนที่หันไปมองมองชายร่างเตี้ยที่ยืนอยู่เบื้องหลัง

    “ เมื่อคืนเป็นไงบ้างวะ ไอ้เฟรม”  คุณหมอวัชรินทร์ ทักเสียงใส  เขาสวมสวมชุดแจ๊คเกตสีดำของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ซึ่งมีตัวอักษร CIFS อยู่ที่ด้านหลัง   ใบหน้าเหลี่ยมทะเล้นยื่นเข้ามากระซิบเสียงดังกับคุณหมอหนุ่ม“ได้ข่าวว่าเมื่อคืน แกปาดหน้าเค้กหมอเจมส์ไปได้งันรึวะ เสียดายฉันไม่ได้เห็นกับตา”

    คุณหมอหนุ่มมอง เพื่อนร่วมสถาบันอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะแม้ว่าเขาจะขึ้นชื่อเรื่องเสือปืนไว แต่ก็ไม่ใช่ประเภทกินที่ลับภายในที่แจ้ง  “ ไอ้ไทด์ แกอย่าเที่ยวไปพูดต่อหน้าไอ้เจมส์เชียวนะ ช่วงนี้ มันยิ่งเขม่นฉันอย่างไม่มีสาเหตุอยู่ด้วย” เขาเตือนเสียงจริงจัง

    อีกฝ่ายได้ฟังก็หัวเราะก๊าก ก่อนจะตบบ่าเพื่อนอีกรอบ “ แกยังไม่รู้อีกหรือว่าถูกมันเขม่นเรื่องอะไร  ก็เรื่องตำแหน่งหมอนิติเวชประจำสำนักวางแผนนำสืบคดีพิเศษของดีเอสไอน่ะสิ  แว่วๆว่าตัวเลือกตอนนี้เหลือแค่แกกับมันเท่านั้น”  มีแววอิจฉานิดๆอยู่ในน้ำเสียงของหมอนิพนธ์

    “ ยังก็ต้องรอผลการสอบบรรจุออกมาก่อนโว้ยเป็นแค่หมออินเทิร์น อย่าหวังอะไรมากนัก”  นายแพทย์วัชรกาญจน์ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ เขาถอนใจพึมพำ  “ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับคุณหญิงหมอ  ท่านว่าไงก็ว่างั้น? ”  เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้จริงจังนัก  เรื่องงานก็มักปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่กำหนดอยู่แล้ว ตั้งแต่การได้ทุนจากกระทรวงยุติธรรมเรียนต่อด้านนิติเวชที่ศิริราชจนถูกส่งมาฝึกงานอยู่ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ในปีนี้ซึ่งหากผลการสอบบรรจุเข้าเป็นราชการในกระทรวงยุติธรรมออกมาแล้วเขาจะถูกส่งไปเป็นแพทย์นิติวิทยาศาสตร์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร เพราะไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแต่อย่างไร

    “ แล้วไงวันนี้ถึงมาทำงานได้ล่ะ วันหยุดนายไม่ใช่หรือ” หมอนิพนธ์ถามอย่างใคร่รู้

    “ เคสด่วน” นายแพทย์วัชรกาญจน์ตอบอย่างเซ็งๆ พลางขยับสันแว่นให้เข้าที่  เขาเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วมองสงสัย จึงจำใจอธิบาย “ มีฝรั่งถูกฆ่าตัดคอ แล้วเอาหัวไปแขวนไว้กับสะพานพระราม พวกผู้ใหญ่สงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเคจีบี เลยโอนย้ายคดีมาที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ”

    หมอวัชรินทร์ทำหน้าทำตาสนใจเกินเหตุ ก่อนจะอดออกความเห็นไม่ได้ “ วันนี้เวรหมอเจมส์ผ่าศพไม่ใช่หรือ แล้วทำไมนายโดนเรียกมาด้วย”

    คุณหมอหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ คงเพราะเป็นคดีฆาตกรรมอำพราง เลยอยากให้หมอสองคนช่วยกันชันสูต”

    “ไอ้พวกอัจฉริย๊าา” หมอวัชรินทร์ทำเสียงสูงล้อเลียน ในใจก็คิดห่วงผลสอบตัวเองเหมือนกันว่าจะรอดหรือเปล่า

    ทั้งคู่ก้าวเดินไปตามระเบียงวนบนชั้นสองของอาคาร มุ่งหน้าสู่ที่ทำการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ย้ายมาอยู่ในศูนย์ราชการอาคาร แห่งนี้   สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้ก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยปฏิบัติงานมาตั้งแต่ปลายปี       พ.ศ. 2545   เป็นหน่วยงานสำคัญที่บุกเบิกกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยโดยใช้นิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยพิสูจน์ความบิสุทธ์ของผู้ต้องสงสัย และเงื่อนงำอำพรางของคดีความที่อายตนะทั้งหกของมนุษย์ไม่สามารถตรวจจับได้ ตามคำจำกัดความที่ว่า ‘ The Human Body is the best picture of the human soul’ โดยมีจุดมุ่งหมายให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย  

    ชายหนุ่มทั้งสองคนเดินผ่านบานประตูกระจกของสถาบันวิทยาศาสตร์เข้าไปโดยนายแพทย์วัชรกาญจน์ไม่สะกิดใจเลยว่าวันดีของเขาในวันนี้จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเองไปตลอดกาล  

    สำนักนิติเวชศาสตร์เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ผ่าพิสูจน์ศพ และใช้วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆช่วยหาสาเหตุการตายและพฤติการณ์การตาย  รวมทั้งการตรวจวินิจฉัยและบำบัดรักษาทางนิติจิตเวชอีกด้วย  ภายในสำนักนิติวิทยาศาสตร์ มีห้องผ่าศพเป็นห้องสีขาวสว่างไสวตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ส่วนหนึ่งของห้องถูกแบ่งเป็นโซนชำระล้าง ใช้สำหรับทำความสะอาดร่างกายศพที่ถูกนำเข้ามาชันสูตร  กลางห้องมีเตียงชันสูตรตั้งเรียงรายอยู่หลายเตียง   บางเตียงโล่งว่าง บางเตียงก็มีเจ้าของจับจ้องแล้ว

    นายแพทย์วัชรกาญจน์มองผ่านประตูกระจกของห้องผ่าศพเข้าไปเข้าเห็นร่าสูงของ นายแพทย์ศุภวิชญ์ ในชุดเสื้อกราวสีขาวยืนก้มๆเงยๆอยู่กับเตียงผ่าศพที่อยู่กลางห้อง  อารมณ์ดีของคุณหมอหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวทันที เขารีบผลักบานประตูกระจกเข้าไปในห้อง

    “ นายสมควรที่จะรอฉันก่อนไม่ใช่หรือ?” เขากึ่งถามกึ่งตำหนิเสียงดัง ทำให้อีกฝ่ายเงยจากเตียงขึ้นมามอง เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตอบแหลม ตาตี่ แต่จมูกโด่งสวยดึงโครงหน้าให้คมจนพอดูได้

    “นายจะโมโหอะไร ฉันยังไม่รู้ว่าจะต้องผ่าตรงไหนก่อนด้วยซ้ำ” หมอเจมส์พูดอย่างไม่ใส่ใจ แสดงท่าทางเกลียดขี้หน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน  ความแค้นจากเมื่อคืนที่ถูกฉกหญิงไปต่อหน้าต่อตายังฝังลึก “ ลุกไม่ขึ้นหรือไงวะ ถึงมาสาย”  เขาพูดกระแหนะกระแหน แต่เขาพูดจริงเรื่องศพ เพราะบนเตียงผ่าศพไม่มีอะไรเลยนอกจากศีรษะของชายต่างชาติ  ผมทองตัดสั้น ใบหน้าขาวซีดวางอยู่ตรงนั้น

    นายแพทย์วัชรกาญจน์ผงะ!  แม้ว่าเขาจะอ่านบันทึกประจำวันของตำรวจมาก่อนแล้ว แต่ดวงตาที่เบิกกว้างของเหยื่อที่จ้องมองมาทางเขาทำให้ขนคอตั้งชัน แต่ก็แค่นั้นเขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว เพราะชีวิตของหมอนิติเวชพิสูจน์ความจริงได้อย่างหนึ่งคือ ผีไม่มีในโลก

    เขาเดินเข้าไปหามันอย่างสบายใจ ก่อนจะหยิบถุงมือยางจากโต๊ะวางอุปกรณ์ชันสูตรที่อยู่ใกล้ๆกับ เตียงขึ้นมาสวมแล้วหันไปถามหมอเจตเสียงเข้ม“ รู้ช่วงเวลาตายหรือยัง?”

    อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่พอใจที่ถูกถามราวกลับเห็นเขาเป็นลูกมือ หมอเจมส์ยืนหน้าตาย

    นายแพทย์วัชรกาญจน์เห็นแล้วก็ถอนใจคงต้องทำเหมือนไม่มีหมอเจมส์อยู่ในห้องนี้   เขามองศีรษะเหยื่อแล้วพูดกับมันแทน “ ผู้ตายเป็นชาวต่างชาติผิวขาว อายุน่าจะสักประมาณสี่สิบปี จากลักษณะการตายแล้วน่าจะถูกฆ่ามาจากที่อื่นแล้วนำมาแขวนห้อยกับราวสะพาน ดูจากสภาพผิวหนังช่วงเวลาที่เสียชีวิตไม่น่าเกิน  24  ชั่วโมงที่ผ่านมา  ”  ชายหนุ่มว่า  เขาหยิบไฟฉายขนาดเล็กจากโต๊ะอุปกรณ์ แล้วย่อตัวลงส่องไฟเข้าไปในดวงตาที่เบิกโพลงทั้งสองข้าง เขาพิจารณา “ มีจุดแดงเยื่อบุตาขาว  แสดงว่าถูกฆ่ารัดคอก่อนจะถูกตัดศีรษะ”

    นายแพทย์ศุภวิชญ์ยืนมองอีกฝ่ายทำงานเหมือนรอจังหวะให้เขาวินิจฉัยพลาดแล้วจะได้หัวเราะเยาะ แต่นายแพทย์วัชรกาญจน์ก็ยังประณีต เขาจับศีรษะให้หงายหน้าขึ้น เพื่อตรวจสอบลำคอของเหยื่อ เขาเห็นรอยรัดคอที่แดงคล้ำพลาดรอบคอด้านหน้าเหนือคอหอยเล็กน้อย แต่ที่หน้าประหลาดใจก็คือ รอยตัดรอบคอมันเนียนเรียบเหมือนถูกตัดด้วยของมีคมที่คมกริบเป็นรอยตรงขอบเรียบ ไม่มีรอยช้ำที่ขอบ  กระดูกต้นคอถูกตัดขาดจากกันทีเดียว

     “ แผลเรียบร้อยขนาดนี้คงไม่ใช่แค่เหตุทะเลาะวิวาท หรืออาฆาตแค้นแน่” เขาบอกอย่างมั่นใจ ก่อนจะสรุปด้วยน้ำเสียงสลด  “หมอนี่ถูกมืออาชีพฆ่า”  คุณหมอหนุ่มพลิกศีรษะให้คว่ำหน้า เขาเห็นบาดแผลหลังท้ายถอยของเหยื่อ รอยบาดลึกสองแผลยาวประมาณหนึ่งนิ้ว ขนานกัน  ชายหนุ่มใช้นิ้วล้วงเข้าไปในบาดแผล มันเจาะทะลุถึงกัน!

    เขาหันไปทางหมอเจมส์อย่างฉุนเฉียว “ นายแก้เชือกที่ร้อยอยู่กับคอเหยื่อ ออกไปงั้นหรือ?”

    หมอเจมส์หัวเราะในลำคอ ก่อนจะยกสองมือปรามขึ้นปรามอีกฝ่าย “ ใจเย็นน่าฉันถ่ายรูปไว้หมดแล้ว เชือกที่ใช้เป็นเชือกจากถุงผ้าลม บอกได้เลยว่ามันเป็นการผูกเงื่อนแบบมืออาชีพชัดๆ”

    เมื่อได้ฟังคุณหมอก็ต้องนิ่งคิด นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่คดีถูกย้ายมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพราะมันเกี่ยวข้องกับราชการลับหรือไม่ก็แก็งมาเฟียต่างชาติ    เขาจับศีรษะพลิกมาข้างหน้าอีกครั้ง คราวนี้เขาใช้มือล้วงเข้าไปในปากและคอเพื่อทดสอบอาการเกร็งค้างของขากรรไกร มันแข็งค้าง “ ขากรรไกรหมอนี่ยังไม่คาย แสดงว่าตายมาไม่เกิน 12 ชั่วโมง   เขาบอก ขณะที่มือสัมผัสถึงบางอย่าง ที่อยู่ในลำคอ มันติดอยู่ตรงลิ้นไก่   คุณหมอหนุ่มเบ้หน้า ก่อนจะล้วงมันออกมา

    “อะไรวะนั่น” แม้แต่หมอเจตก็รีบเข้ามาใกล้เผื่อดูวัตถุพยานชิ้นใหม่ ให้ถนัดตา

    เช่นเดียวกับนายแพทย์กรกฏ ที่พยามเขม่นมองสิ่งที่อยู่ในมืออย่างพินิจพิจารณา แล้วต้องครางออกมาอย่างประหลาดใจ “ กลีบดอกไม้”

                                                      ห้องทำงานของผู้บัญชาการสำนักวางแผนนำสืบคดีพิเศษ หรือที่คนในกรมสอบสวนคดีพิเศษเรียกกันว่า ส.ว.น.ด. เป็นห้องกระจกฝ่าที่มีด้านหนึ่งเป็นกระจกใส   ม่านบังตาที่ซ้อนอยู่เปิดจนสามารถอ้ามองทะลุเห็นห้องโถงของชั้นใต้ดินได้ทั่ว ด้านหลังห้องเป็นชั้นวางหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือพิธีกรรม ประเพณี จิตวิทยา ตำนานพื้นบ้านประวัติศาสตร์ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ กลางห้องเป็นโต๊ะทำงานกระจกตัวใหญ่ คอมพิวเตอร์ PC   วางอยู่มุมหนึ่งของโต๊ะใกล้กับกรอบรูปไม้และโทรศัพท์ไร้สาย  

    ที่สะดุดตาก็คือมีช่อดอกไม้ขนาดใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ มีดอกกุหลาบทั้งสีแดงและขาวเบียดแข่งกันอวดดอกแรกแยม   มันส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั้งห้อง   แม้กระนั้นห้องทำงานของผู้บัญชาการสำนักก็ยังดูโล่งร้างว่างเปล่าในสายตาของเจ้าของคนใหม่

    พัดชา หยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องเธอหลับตาสูดลมหายใจ เพื่อสกัดกลั้นความทรงจำที่ผูกพันกับเจ้าของห้องคนเดิม  เมื่อหญิงสาวลืมตาขึ้น เธอรู้สึกถึงความชื้นที่ขอบตาของตัวเอง พัดชากัดปากตัวเองให้มีสติเธอสาบานแล้วว่าจะไม่ร้องไห้อีก   นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องบอกเวลาใกล้เที่ยงแล้ว  รู้สึกว่า  คอฟฟี่ เบรกของเธอกับท่านอธิบดีจะยาวนานเป็นเกือบสองชั่วโมงทีเดียว แต่มันก็ช่วยลดความตรึงเครียดของภาระหน้าที่ใหม่ได้ไม่น้อย   เธอเดินเข้าไปในห้องวางกระเป๋าและแฟ้มเอกสารไว้บนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หนังบุนวมสีดำ ความเย็นของหนังแท้แล่นผ่านชุดสูทเข้าไปถึงหัวใจของเธอ   พัดชามองช่อกุหลายบนโต๊ะทำงานด้วยหัวใจอันว่างเปล่าแล้วหยิบการ์ดสีขาวที่เหน็บมากับช่อดอกไม้ออกมาอ่านอย่างเฉยชา

    คนดีของผม ยินดีด้วยนะครับสำหรับตำแหน่งใหม่  หวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีของคุณ ผมจะเอาใจช่วยทุกลมหายใจ เพราะฉะนั้นรับโทรศัพท์เถอะ มันไม่กัดคุณหรอก

    พิษณุ

    พัดชาอยากยิ้มแต่เธอยิ้มไม่ออก แม้รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามจะให้กำลังใจ แต่เธอยังไม่พร้อมรับอะไรทั้งสิ้นในตอนนี้ แถมยังอดประหลาดใจในความเข้มแข่งของเขาไม่ได้ ซึ่งหัวใจเขาน่าจะแหลกสลายไปแล้วเหมือนกับเธอ

    หญิงสาวเลื่อนช่อดอกไม้ไปไว้ด้านข้างของโต๊ะ เธอจะเรียกดวงพรจัดการกับมันภายหลัง   ประตูกระจกของห้องทำงานเลื่อนเปิดออกอัตโนมัติ ร่างท้วมของชายสูงวัยปรากฏตัวขึ้นศีรษะเกือบล้านของเขาปกคลุมด้วยผมสีดอกเลา ใบหน้ากลมยิ้มจนตาหยี ในอ้อมแขนของเขามีหนังสือพิมพ์หอบใหญ่

    “ พ่อจัดห้องให้เราเอง ถูกใจหรือเปล่า?” ศาสตราจารย์วิทย์ถามลูกสาวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เขาเดินมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะของพัดชา ก่อนจะพยักพเยิดไปที่มุมโต๊ะ “ แต่ไม่รู้จะทำยังไงกับกรอบรูปนี่”

    พัดชามองตามสายตาของบิดาไปยังกรอบรูปไม้ที่มุมโต๊ะ  ใบหน้ายิ้มแย้มของคนสามคนที่ยืนกอดคอกันอย่างมีความสุข  โดยเฉพาะชายหนุ่มหน้าตาอ่อนโยนที่ยืนอยู่ตรงกลางเหมือจะยิ้มส่งตรงมาให้กับเธอ

    “ วางไว้อย่างนี้แหละค่ะ ดีแล้ว” เธอพึมพำตอบเบาๆ

    ผู้เป็นบิดก็ไม่ได้กล่าวขัดอะไร เขาส่งกองหนังสือพิมพ์ที่หอบติดมือมาด้วยให้กับเธอ ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มไปที่พาดหัวข่าวใหญ่ของวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552   “ ฆ่าตัดคอปริศนา เขย่าสะพานพระราม ข่าวเด่นกรอบบ่ายวันนี้”

    พัดชาหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านผ่านตาทีละฉบับ ก่อนจะวางลงอย่างลงอย่างเบื่อๆ “ ไม่เห็นมีข้อมูลอะไรใหม่เลยนี่คะ  ป่านนี้หมอนี่คงถูกส่งเข้าห้องชันสูตแล้วละมั้ง”

    “ทั้งหัวและตัวเลยล่ะ” ชายวัยเก๋าบอกอย่างตื่นเต้น “ ตำรวจเพิ่งงมน้ำเจอศพจมอยู่ใต้สะพานพระรามแปดเมื่อไม่ถึงชั่วโมงนี้เอง คงถูกหามส่งมาที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์เรียบร้อยแล้วมั้ง ท่าทางจะไปตกอยู่ที่สำนักคดีอาญาพิเศษ”

    แพรพรรณพยักหน้าแล้วส่งแฟ้มเอกสารที่ได้จากท่านอธิบดีให้กับผู้เป็นบิดา ก่อนจะพูดด้วยเสียงตื่นเต้น “ หนูอยากให้พ่ออ่านข้อมูลของผู้ชายคนนี้หน่อยค่ะ ท่านอธิบดีเจาะจงจะให้เขามาเป็นพนักงานนำสืบคดีพิเศษที่ชั้นใต้ดินของเรา”

    ศาสตราจารย์วิทย์ทำตาโต เขาเริ่มอ่านมันอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยมีผู้เป็นบุตรสาวคอยสังเกตปฏิกิริยาบนใบหน้าที่จากตื่นเต้น  เขาเกาคราง  คิ้วขมวด แล้วใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นวิตกกังวล เขาเงยขึ้นมองพัดชาด้วยความประหลาดใจ

    “ เขามีมันอยู่อย่างงั้นหรือ? ” ชายสูงวัยถามอย่างตื่นเต้น

    “ ยังไม่รู้ จนกว่าเราจะได้เห็นมันเสียก่อน” พัดชาตอบ ถึงกระนั้นแววตาของเธอกลับดูมีความหวัง เธอยังจดจำเรื่องราวที่บิดาเครื่องเล่าให้ฟังเหมือนเป็นนิทานก่อนนอนได้  พัดชาจึงถามผู้เป็นบิดาด้วยน้ำเสียงจริงจัง  “ มีช่างกี่ตระกูลคะที่ตีมีดหมอให้กับหลวงพ่อเดิม?”

    ชายวัยเก๋าถึงต้องนั่งกอดอกแล้วใช้สมองคิดอย่างหนักในการรวบรวมเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมีดหมอที่บุตรสาวเอ่ยถึง ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ควันตัมฟิสิกซ์ที่เคยผ่านองค์กรระดับโลกอย่างสหประชาชาติมาก่อน เขายังมีงานอดิเรกศึกษาตำราเวทมนต์  คาถา ตำนาน เครื่องราง ของขลัง มาตั้งแต่สมัยหนุ่ม แต่เรื่องมีดเล่มนี้ก็ยังฟังเหมือนเรื่องแต่งมากว่าตำนานจริง เพราะยังไม่มีใครเคยพบเห็นกันมาก่อน  “ถ้าพูดถึง มีดหมอหรือมีเทพศาสตราวุธของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพล่ะก็ ต้อง ถือว่าเป็นต้นตำรับของมีดหมอทั้งปวงที่เรารู้จักในประวัติศาสตร์ไทยทีเดียวล่ะ เท่าที่สืบค้นได้มันเริ่มมีบันทึกเรื่องราวไว้ตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2456 โน่นแน่ะ  หลวงพ่อเดิมท่านเป็นอาจารย์ของพระเกจิอาจารย์ทั้งหลายที่สร้างมีดหมอขึ้นในรุ่นต่อๆมา   มีดหมอของหลวงพ่อเดิมมีชื่อเพราะด้วยพุทธคุณในการล้างอาธรรพ์ คำสาป  ป้องกันภัยอันตรายทั้งหลายให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของ  ว่ากันว่าแค่แกว่งมีดลงในน้ำ น้ำก็กลายเป็นน้ำมนต์ที่ไม่ว่า ผีสาง นางไม้ที่ไหน ก็ต้องกระเจิงกันทั้งนั้น  ถ้าถามถึงตระกูลช่างใที่ตีมีดให้กับหลวงพ่อเดิมได้ปลุกเสกนั้น ก็มีตระกูลใหญ่อยู่สามตระกูลด้วยกันคือตระกูลช่างฉิม ตระกูลช่างไข่และตระกูลช่างสอน  แต่ละสายก็ล้วนมีฝีมือในการตีใบมีดและการแกะสลักที่อ่อนช้อยงดงามมีเอกลักษณ์ ทำให้มีดหมอของหลวงพ่อเดิมนอกจากจะเป็นวัตถุโบราณที่เข้มขลังขมังเวทย์แล้ว ยังเป็นงานศิลปะที่ทรงคุณค่าอีกด้วย” ศาสตราจารย์วิเชียรบรรยายราวกับกำลังเล่าถึงพงศาวดาร

    พัดชาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้นวมอย่างพอใจ แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาแล้ว แต่มันก็ยังคงเหลือเชื่อเกินจินตนาการ เธอเลิกคิ้วมองผู้เป็นบิดา “ แล้วยังไงต่อคะ?”

    ชายวัยเก๋าเริ่มเห็นมาดเจ้านายช่างสั่งในตัวลูกสาว เขากลั้นหัวเราะ แล้วเล่าเรื่องต่อด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น “ ในบรรดามีดเทพศาสตราวุธของหลวงพ่อเดิม มีมีดอยู่สองเล่มที่พิเศษกว่าเล่มอื่น เพราะมัน ‘ฆ่าได้ทุกอย่าง เทียบเคียงกับศาสตราวุธในตำนานอย่างดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน หรือ   พระแสงดาบคาบค่ายของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่มีใครเคยเห็นมีดสองเล่มนี้จริงๆ   ได้แต่บอกต่อกันมาว่า มันมีด้ามและปลอกมีดเป็นงาช้าง มีแหนรัดปลอกเป็นโลหะสามกษัตริย์เงิน ทอง และ นาค   คาดว่าช่างตีดาบไม่ตระกูลใดก็ตระกูลหนึ่งอาจเก็บเอาไว้เอง ”

    พัดชายิ้ม เธอประสานมือไว้บนโต๊ะ แล้วชะโงกหน้ามาพูดกับบิดาด้วยดวงตาคมเป็นประกาย  “ก็หวังว่าเขาจะเอามันมาด้วยวันนี้”

    ชายวัยเก๋าหัวเราะในลำคอ เขาเองก็อยากเห็นเช่นกัน

    เสียงโทรศัพท์ไอโฟนของพัดชาดังขึ้นขัดจังหวะ  เธอล้วงมือไปหยิบมันออกจากในกระเป๋า ชื่อที่ปรากฏบนจอทำให้แพรพรรณแปลกใจ

     “ ค่ะท่าน” เธอกดรับ พูดสาย

    ศาสตราจารย์วิทย์สังเกตสีหน้าลูกสาวที่กำลังคุยโทรศัพท์ เธอดูงุนงงและมีแววตระหนก แม้จะพยายามเก็บอาการแล้วก็ตาม

    “มีอะไรหรือเปล่า?” เขาถามทันทีหลังจากที่เธอวางสาย

    “ ท่านอธิบดีอยากให้เราส่งคนไปที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์  ศีรษะปริศนานั่นมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล” เธอตอบเสียงเครียด  แล้วหันไปหยิบโทรศัพท์ไร้สายบนโต๊ะขึ้นมาแล้วสั่งการ“ ดวงพร ดร.แพรวาอยู่ไหน? ”

                                                      ดวงตาเรียวคู่สวยกระพริบขนตาหนาเป็นจังหวะขณะที่ชายหนุ่มทอดสายตามองผ่านกระจกหน้าต่างห้องทำงานของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษไปยังถนนแจ้งวัฒนะ   ใบหน้าเรียวมนสะอาดหมดจนของเขานิ่งสงบเช่นเดียวกับท่าทางการยืน   ทำให้ร่างเพรียวสมส่วนสุภาพบุรุษชายไทยในชุดสูทสีดำดูสง่างามราวกับรูปหินอ่อนแกะสลัก  เขาหายใจแผ่วเบาล่องลอยอยู่ในความคิดของตัวเอง ริมฝีปากเต็มอิ่มขยับเป็นบางครั้งราวกับเผลอเรียกชื่อใครในห้วงคำนึง   เวลาเหมือนหยุดนิ่งรอบตัวเขา จนกระทั่งประตูไม้ขนาดใหญ่ของห้องทำงานเปิดออก   ชายหนุ่มจึงหันมองอย่างใจเย็น

    ร่างท้วมของทรงยศก้าวผ่านประตูห้องทำงานเข้ามา  เขาหยุดมองชายหนุ่มในชุดดำด้วยความยินดี ก่อนจะเผยยิ้มกว้างที่เจ้าตัวไม่ค่อยได้เปิดเผยกับใคร “ ขอโทษทีที่อาให้รอเสียนาน เดินทางเป็นไงบ้างล่ะเรา” เขากล่าวทักอย่างสนิทสนมก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาหนังสีน้ำตาลในมุมรับแขกใกล้กับโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ของตัวเองโดยมีอีกฝ่ายเดินตามไปด้วย

    “ ก็ดีครับ แต่ผมยังเพลียนิดหน่อยไม่ได้นั่งเครื่องบินนานขนาดนี้มานานแล้ว” ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงนุ่ม สุภาพก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับท่านอธิบดี

    ทรงยศมองใบหน้าสวยเหมือนมารดาของนนทนันท์ อัญชุลีประดิษฐ์มันทำให้เขาหวนนึกถึงอดีตเก่าก่อนมากมาย เขายิ้มใจดี “ คชา  อาดีใจนะที่เจอเรา  จะสิบห้าปีแล้วล่ะมั้งที่เราไปอยู่อเมริกา”

    คชาพยักหน้าตอบ “ครับ  ผมไม่เคยกลับมาเมืองไทยเลย ครั้งนี้เป็นความกรุณาของคุณอาจริงๆ ที่ส่งข่าวไป”  ในประโยคของชายหนุ่มแฝงด้วยความหมายลึกซึ้งซึ่งเป็นอันเข้าใจกันระหว่างคนทั้งสองดวงตาเรียวสวยของคชามองท่านอธิบดีอย่างลึกล้ำด้วยความหมายมากมาย

    ท่านอธิบดีหัวเราะ เขามองท่าทางสุภาพอ่อนน้อมชายหนุ่มซึ่งช่างผิดจากผู้เป็นบิดาที่เขาเคยรู้จักตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อน พงศ์พันธุ์  อัญชุลีประดิษฐ์ มหาเศรษฐีผู้ยิ่งผยอง เขารู้สึกใจหายเมื่อนึกถึงชื่อนี้ทุกครั้ง  “ พ่อเรา เคยช่วยเหลืออาไว้เยอะ” เขารำพันออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจริงจัง “ ดีเอสไอโชคดีต่างหากที่ได้เรามาร่วมงานด้วย  ตอนนี้บ้านเมืองเรากำลังตกอยู่ในกลียุคอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”

    คราวนี้กลายเป็นคชาที่แสดงสีหน้าประหลาดใจ “ มีอะไรร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือครับ?”

    ทรงยศถอนใจสีหน้าเขาเต็มไปด้วยความกังวล เขากล่าวเสียงเครียด  “ กรมสอบสวนคดีพิเศษตั้งขึ้นมาในปี พ.ศ. 2545  เนื่องจากโลกในยุคสหัสวรรษทำให้การก่ออาชญากรรมทวีความรุนแรงและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เรามีสำนักคดีรองรับการสอบสวนสืบสวนอาชญากรรมรูปแบบต่างๆถึง  10   สำนักคดี  แล้วทำไมรัฐบาลยังต้องตั้งสำนักวางแผนนำสืบคดีพิเศษขึ้นมาอีกละ? ”  ท่านอธิบดีเปิดประเด็นด้วยคำถามซึ่งเขารู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่รู้คำตอบ จริงๆแล้วมีไม่กี่คนในประเทศนี้ที่ล่วงรู้ความเป็นมาของชั้นใต้ดินแห่งตึกดีเอสไอ  

    คิมหันต์ได้แต่ทำหน้าสงสัย  ฝ่ายผู้เป็นอาจึงเล่าความให้ฟังด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งสำนักวางแผนนำสืบคดีพิเศษขึ้นมาในปีพ.ศ. 2549   หลังจากเกิดคลื่นยักษ์สึนามิถล่มภาคใต้ได้หนึ่งปี   เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้นำมาแค่ความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของประเทศเรา  ถ้าหากว่าตามความเป็นจริงแล้ว ความวุ่นวายในบ้านเมืองทั้งหลายล้วนเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้   จริยธรรมของคนในประเทศเสื่อมถอย   คนทำแท้งไร้ความละอาย   บ้านเมืองแตกแยก  เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ตายสยองอีกนับไม่ถ้วน  หลายคดียังคงเป็นปริศนามาทุกวันนี้ ”

    คชานิ่งอึ้งไป คิ้วเรียวของเขาขมวดมุ่น “ ทำไมเรื่องของบ้านเมืองเรา ถึงไปเกี่ยวข้องกับภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ล่ะครับ ?” เขาถามอย่างใคร่รู้พลางจับสังเกตสีหน้ากังวลของทรงยศ

    “มันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปสักหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องจริง” ทรงยศกล่าวออกตัวก่อนจะอธิบายที่มาที่ไป      “ การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกเกิดจากการแปรปรวนของแกนโลกซึ่งทำหน้าที่ควบคุมสนามแม่เหล็กไฟฟ้าโลกทั้งทิศเหนือและทิศใต้   และการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกครั้งนั้นทำในรอยเลื่อนบริเวณวงแหวนไฟเกิดการทรุดตัว ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดแผ่นดินไหว   ริกเตอร์  และคลื่นยักษ์แล้ว  ทั้งนักวิทยาศาสตร์และครูบาอาจารย์ด้านจิตวิญญาณยังจับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าโลกและมิติอื่นที่ปริแตกได้อีกด้วย”

    อาการชะงักของคชาที่นั่งฟังอย่างตั้งใจทำให้ทรงยศหยุดมอง ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสับสนและสงสัย   “ มิติอื่นที่คุณอาหมายถึงคืออะไรครับ?”

    ทรงยศมองดวงตาเรียวคู่สวยอย่างเอ็นดู “ หลานรัก ใต้เปลือกโลกที่เรานั่งทับอยู่ไม่ได้มีแต่ลาวาร้อนๆหรอกนะ”  เขาพูดติดตลกแต่สะกิดใจผู้ฟังไม่น้อย “ เมื่อแกนโลกขยับแรงขนาดนั้น ทำให้มิติที่ทับซ้อนเราอยู่เกิดเคลื่อนตัวและปริแตก  นั่นทำให้หลายสิ่งที่ควรจะอยู่ในอีกโลกหนึ่งกลับทะลักขึ้นมาในโลกของเราได้  และถ้ามองในระดับมหาภาค การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศของเราเท่านั้น”

    “ มันจะนำไปสู่อะไรหรือครับ?”คชาเริ่มหวั่นวิตกตามคำบอกเล่าของท่านอธิบดี  หลังจากปี ค.ศ. 2004 มีข้อมูลมากมายสนับสนุนเหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั่วโลกแม้แต่ในสหรัฐอเมริกา คดีประหลาดที่   F.B.I ยังงุนงง  

    ท่านอธิบดีส่ายหน้ากับคำถามของคชา  เขาตอบอย่างลังเล “ ยังไม่รู้จริงๆ วิทยาศาสตร์และความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของคนไทยยังไปไม่ถึงจุดนั้น แต่เราแน่ใจเหลือเกินว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังก้าวเข้ามา ”

    คชานิ่ง รับฟังและคิดตรองตามแบบฉบับของผู้ถูกฝึกมาให้ใช้สมองมากกว่ากำลัง เมื่อความคิดของชายหนุ่มตกผลึก  เขาจึงสบตาเพื่อนสนิทของบิดาอย่างเชื่อใจแล้วเอ่ยถาม “ คุณอาต้องการให้ผมทำอะไรบ้าง?”

    ทรงยศยิ้มอย่างโล่งอก เขากังวลมาตลอดว่าภารกิจที่จะมอบหมายให้กับคชาอาจเกินกำลังและไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มคาดหวังจะต้องเผชิญนอกเหนือจากการสะสางปัญหาเก่าของพงศ์พันธุ์ผู้เป็นบิดา ซึ่งเป็นเป้าประสงค์หลักในนการกลับมาเมืองไทยของชายหนุ่ม

    “ อาอยากให้หลานมาทำงานในตำแหน่งพนักงานนำสืบคดีพิเศษให้กับสำนักวางแผนนำสืบคดีพิเศษ หรือ ที่ใครต่อใครเรียกว่า ส.ว.น.ด. นั่นแหละ” ท่านอธิบดีบอกเสียงเข้ม ขณะที่ฝ่ายผู้ฟังมีท่าทีจริงจังทำให้ทรงยศพอใจยิ่งนัก เขากล่าวเสริมต่อ “ความเชี่ยวชาญในด้านสัญศาสตร์และเทววิทยาที่หลา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×