คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : n o t a l o n e : 01 (100%)
- 01 -
แบคฮยอนเอนตัวพิงกับเบาะพลางทอดสายตาออกไปนอกรถแม้จะมองไม่เห็นอะไรก็ตาม สายลมอ่อนๆพัดผ่านใบหน้าของเขาทำให้นึกถึงเหตุการณ์ตอนเด็กๆที่เขา พ่อและแม่ ทั้งสามคนเดินทางด้วยกันอย่างมีความสุข แบคฮยอนชอบเดินทางไกล ทำให้พ่อและแม่ของเขามักจะพาแบคฮยอนไปเที่ยวที่ไกลๆบ้านตลอด แบคฮยอนมีความสุขทุกครั้งที่ได้
“เราจะไปพักกันที่ไหนหรือคะ คุณชานยอล”
“เกาะ”
โบ มีนาพี่เลี้ยงของแบคฮยอนพยักหน้าเมื่อได้รับคำตอบ เธอหันหน้ากลับมามองแบคฮยอนที่นั่งอยู่เบาะหลังเพียงลำพังเขากำลังทอดสายตาออกไปนอกรถ เธอรู้สึกสงสารแบคฮยอนจับใจที่ไม่สามารถช่วยทำอะไรให้แบคฮยอนรูสึกดีขึ้นได้เลย มีนามองแบคฮยอนอยู่นานจนชานยอลต้องมองหน้าอีกฝ่ายผ่านกระจกหลังตาม
ครืนน
ชานยอลจอดรถหน้าร้านซุปเปอร์มาร์เกตแห่งหนึ่งเพื่อซื้อกาแฟดื่มแก้ง่วง ส่วนมีนาก็ลงไปหาซื้อขนมนมเนยมาให้คุณหนูของเธอที่เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
ชานยอลเป็นฝ่ายกลับมาถึงรถก่อน เขายืดเส้นยืดเส้นสักพักก็กลับไปนั่งประจำที่คนขับของตัวเอง มองผ่านกระจกหลังก็เห็นแบคฮยอนตื่นแล้วแต่ยังคงนั่งนิ่งๆเหมือนเคย ชานยอลหันหน้ามาทางแบคฮยอนโดยตรงก่อนที่จะยกมือขึ้นโบกไปมาผ่านหน้าของคนตัวเล็ก แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรกลับมานอกจากความเงียบ ชานยอลมองจ้องเข้าไปในดวงตาของแบคฮยอนพลางนั่งคิดว่าตอนนี้แบคฮยอนกำลังรู้สึกอย่างไรกัน
โศกเศร้า เสียใจ สินะ..
“มีอะไรหรอครับ”
คำพูดของแบคฮยอนทำให้ชานยอลสะดุ้งด้วยความตกใจ ทำไมแบคฮยอนถึงรู้หล่ะว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ หรือว่า. . .จะไม่ได้ตาบอดจริงๆงั้นหรอ
“ใช่พี่มีนาหรือป่าวครับ หรือว่าคุณปาร์ค”
คำถามถัดมาทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัด แบคฮยอนมองไม่เห็นจริงๆว่าใครที่อยู่บนรถกับเขาระหว่าชานยอลกับมีนา แต่ก็ยังเชื่อไม่สนิทใจเท่าไร
“นาย..ลองบอกมาซิว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่”
“ครับ?..คุณปาร์คหนะหรอครับ..”
ชานยอลไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าใบหน้าของเขานั้นยื่นเข้ามาใกล้แบคฮยอนมากขนาดไหน ที่แบคฮยอนรู้ว่ามีใครกำลังทำอะไรอยู่นั้นก็เป็นเพราะว่าลมหายใจของชานยอลรดใบหน้าของแบคฮยอนนั่นแหละ
แต่แบคฮยอนจะไปรู้ได้ยังไงหล่ะว่าชานยอลกำลังทำอะไรอยู่..
“คุณปาร์คกำลัง…มองผม”
“…”
“..ใช่หรือป่าวครับ”
สองมือบางค่อยๆยกขึ้นสัมผัสใบหน้าของชานยอลอย่างแผ่วเบา แบคฮยอนรู้สึกเกร็งเล็กน้อยเพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนแต่ความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่า เขาสัมผัสเรียวคิ้วโค้งไล่ลงมาที่ดวงตาคม จมูกโด่งเป็นสัน..
“อืม..คุณตาโตกว่าผมนะ”
“…”
“จมูกโด่งด้วย”
“…”
ก่อนที่จะแตะที่ริมฝีปาก แบคฮยอนก็รีบชักมือกลับไปวางบนตักของตนดังเดิมเมื่อคิดว่าตนเองนั่นทำเกินไปแล้ว เขาไม่ควรทำกับปาร์ค ชานยอลแบบนี้ ชานยอลอายุมากกว่าเขา โตกว่าเขา เขาควรจะให้ความเคารพชานยอลมากกว่านี้
ชานยอลที่เผลอไผลกับสัมผัสจากมือบางนั้นก็รีบหันกลับไปข้างหน้าทันที ไม่รู้ว่าสติเขาขาดหายไปตอนไหนกันนะ เขาคงขะง่วงมากแน่ๆเลย ชานยอลยกแก้วกาแฟดื้มอีกหลายอีกเพื่อหวังให้ตนมีสติมากกว่านี้
“คุณปาร์คครับ..ผม ผมเป็นอย่างไงบ้างหรอ”
“…”
“ผมหล่อเหมือนคุณปาร์คบ้างหรือป่าวครับ”
ตอนแรกชานยอลหันมามองด้วยความสงสัย แต่แล้วเขากลับยกยิ้มออกมาเมื่อได้ยินประโยคคำพูดจากคนตัวเล็ก
“นายคิดว่าฉันหล่องั้นหรอ”
“ครับ ผมว่าคุณต้องมีผู้หญิงมาชอบเยอะมากๆแน่เลย”
“…”
“คุณต้องฮอตมากแน่ๆเลย เพื่อนคุณคงเยอะมากๆเลยใช่มั้ยครับ…” น้ำเสียงแผ่วเบาลงจนปาร์ค ชานยอลต้องเงยหน้ามองผ่านกระจกหลังอีกครั้ง แบคฮยอนคงจะเหงามากสินะ..
“ใครบอกล่ะ ฉันนะขี้เหร่มากๆเลยแหละ”
“ไม่จริง คุณโกหก ผมว่าคุณต้องหล่อแน่ๆเลย”
“นายพูดอย่างกลับมองเห็นหน้าฉันงั้นแหละ ”
ประโยคที่ออกมาจากชานยอลโดยไม่ทันคิดทำให้แบคฮยอนมีสีหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด เกิดความเงียบขึ้นภายในรถจนชานยอลรู้สึกอึดอัด ก็ไม่ต่างจากแบคฮยอนหรอกเขาก็อึดอัดไม่แพ้กันนั่นแหละ
“นาย..หล่อกว่าฉันนะ”
คำพูดของชานยอลเรียกใบหน้าของแบคฮยอนให้หันกลับมาได้ แม้จะมองไม่เห็นก็ตามแต่ก็เรียกรอยยิ้มจากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดี นั่นทำให้ชานยอลที่มองใบหน้าของเขาผ่านกระจกรู้สึกใจชื้นขึ้นมาที่ไม่ได้พูดทำร้ายจิตใจแบคฮยอนไปมากกว่านี้
“คุณมีเพื่อนเยอะหรือป่าวครับ”
“ทำไม..ฉันไม่ชอบคนเยอะ วุ่นวาย” ชานยอลขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจพร้อมพูดเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง
“ผมไม่มีเพื่อน..”
“…”
“มีแค่มีนาคนเดียว”
“มีเพื่อนเยอะหรือไม่เยอะมันไม่สำคัญหรอกนะ ถ้าไม่จริงใจน่ะ”
“จริงหรอครับ มีคนไม่จริงใจต่อกันด้วยหรอครับ”
“…”
“คุณ..เป็นเพื่อนกับผมได้มั้ย”
ชานยอลหันไปเห็นมีนากำลังเดินหิ้วของตรงมายังรถแล้ว เขาจึงสตาร์ทรถรอก่อนที่จะหันกลับไปมองแบคฮยอนกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างแต่เป็นเพราะมีนาดันเปิดประตูรถเข้ามาก่อนทำให้เขาเลือกที่จะเงียบแทน และไม่นานรถของชานยอลก็ค่อยๆเคลื่อนออกไปตรงไปยังจุดหมายปลายทาง
Roading,,,
รถของชานยอลยังคงขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ บนท้องถนนนอกตัวเมือง พระอาทิตย์ที่ทำท่าจะลับขอบฟ้าอยู่รำไร มีเสียงพูดคุยเบาๆดังขึ้นภายในรถคันหรู
“คุณปาร์คคะ อีกนานมั้ยคะกว่าจะถึง”
“อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงท่าเรือแล้วครับ”
“ต้องขึ้นเรือด้วยหรอคะ”
“ใช่ครับ”
ปาร์คชานยอลนึกในใจอย่างตลกขบขัน ไปเกาะถ้าไม่ขึ้นเรือแล้วจะให้ขึ้นอะไรไปหล่ะ เครื่องบินหรือไง? เค้าไม่ได้รวยขนาดนั้นนะ
“มีอะไรหรือป่าวครับ” ชานยอลถามออกไปตามมารยาทเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของมีนาประกอบกับที่เธอหันไปมองแบคฮยอนที่นอนหลับอยู่เบาะหลัง
“คุณหนูเมาเรือน่ะค่ะ นานมากมั้ยคะกว่าจะถึงเกาะ”
“ก็ประมาณหนึ่งชั่วโมงครับ”
มีนาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจพร้อมกับปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมเมื่อไม่มีบทสนทนาที่เธอจะพูดต่อ บางทีการพูดคุยกับชานยอลในขณะที่เขากำลังขับรถนั้นอาจจะเป็นการรบกวนสมาธิ
ครึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งสามคนก็มาถึงท่าเรือ ชานยอลอาสายกกระเป๋าทั้งหมดขึ้นบนเรือ โดยที่มีนาบอกว่าจะช่วยด้วยแต่ชานยอลกลับปฏิเสธและบอกว่าจะเป็นคนยกเองให้มีนาคอยดูแลแบคฮยอนแทน ใช้เวลาไม่นานทั้งสามคนก็ขึ้นมาอยู่บนเรือ มีนาก็คอยดูแลแบคฮยอนตลอดเวลาไม่ห่างเพราะกลัวว่าแบคฮยอนอาจจะเกิดอาการเมาเรือได้
“คุณปาร์คคะ ฝากดูแบคฮยอนหน่อยนะคะ พอดีฉันรู้สึกปวดท้องนิดหน่อยนะค่ะ”
มีนาพาแบคฮยอนเดินมาหาชานยอลที่หัวเรือ เขากำลังยืนรับลมอยู่เพียงลำพัง ชานยอลหันมาพยักหน้าให้แทนคำตอบ ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กที่ยังคงยืนอยู่นิ่งๆ เป็นเพราะคลื่นทะเลที่ซัดมาแรงทำให้เรือโคลงเคลงจนคนตัวเล็กเซเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งตัว ชานยอลที่เตรียมจะเข้าไปรับร่างเล็กไว้แล้วแต่ก็ชะงักมือไว้เสียก่อนเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนสามารถกลับมาทรงตัวได้ดังเดิมแล้ว
เรือเกิดโคลงเคลงอีกครั้ง แบคฮยอนก็เกิดอาการเซอีกรอบ ชานยอลจับจ้องมองแบคฮยอนดูว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป
“คุณปาร์ค..คุณปาร์คครับ”
ชานยอลไม่ปริปากตอบรับอะไรทั้งสิ้น นอกจากขยับกายของตนเองไปยืนด้านหลังของแบคฮยอนแทน พร้อมกับอ้าสองมือกว้างเผื่อแบคฮยอนอาจจะล้มลง แบคฮยอนที่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดใดเลยจึงค่อยๆเอื้อมมือหาที่ยึดจับแต่ก็คว้าได้เพียงแค่ความว่างเปล่า
“คุณปาร์คอยู่ตรงนี้หรือป่าวครับ”
“…”
“คุณปาร์ค..”
“…”
“พี่มีนา…ผมกลัว”
หยดน้ำใสใสไหลอาบแก้มคนตัวเล็กโดยที่ปาร์คชานยอลที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่ทันได้เห็น เขาได้ยินเพียงแค่น้ำเสียงที่สั่นเครือของคนตัวเล็ก จนกระทั่งได้ยินเสียงสะอื้นของแบคฮยอนนั่นแหละ ชานยอลจึงได้รู้สึกตัวว่ากำลังทำให้คนตัวเล็กกลัวมากขนาดไหน เขาเดินอ้อมไปยืนด้านหน้าของแบคฮยอนนึกโทษตัวเองที่เล่นพิเรนท์ไม่รู้เวล่ำเวลา ชานยอลก็แค่อยากจะรู้ว่าคนที่มองไม่เห็นเขาเอาตัวรอดในยามขับขันยังไงก็เท่านั้นแหละ
ไม่ได้นึกว่าจะทำให้แบคฮยอนร้องไห้แบบนี้
ชานยอลค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือบางที่กำลังพยายามไขว่คว้าความว่างเปล่าในอากาศ แบคฮยอนหยุดชะงักมือก่อนจะจับมือของปาร์คชานยอลแน่นเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่เพียงลำพังแล้ว แบคฮยอนดึงมือชานยอลเข้าหาตัวเองอย่างแรงเหมือนกลัวว่ามันจะหายไป
“ โทษที ”
“คุณปาร์ค…อย่าไปไหนนะครับ ”
“กลัวขนาดนั้นเลยหรือไง”
แบคฮยอนพยักหน้าอย่างไม่อายกับความขี้ขลาดก่อนจะก้มหน้าลงพลางยกมือปาดน้ำตาที่แก้ม
“นายไม่ควรจะทำตัวให้เป็นภาระของใครนะ ควรยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองไม่ใช่ต้องมีใครมาดูแลนายอยู่ตลอดเวลา นายไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ”
แบคฮยอนสะอึกกับคำพูดของชานยอล ชานยยอลพูดแทงใจดำเขาเหลือเกิน เขาค่อยๆทอดถอนมือออกจากมือของร่างสูง นั่นทำให้ชานยอลก้มมองด้วยความแปลกใจกับท่าทีของเขา แบคฮยอนปาดน้ำตาหยดสุดท้ายบนใบหน้าของตัวเองก่อนจะค่อยๆหันหลังให้ชานยอล
“ครับ...ผมจะไม่เป็นภาระของใคร”
สิ้นเสียงแบคฮยอนก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าโดยไม่รู้จุดหมาย เขารู้แต่ว่าตอนนี้อยากจะออกไปให้ไกลที่สุด ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีคนใจร้ายอย่างชานยอลอยู่ด้วย
ชานยอลมองตามพลางนึกสงสัย นี่เขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า พูดแรงไปงั้นหรอ ก็ไม่นี่..ที่เขาพูดมันถูกทุกอย่างเขาก็แค่หวังดีกับแบคฮยอนไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายแบคฮยอนสักหน่อย…
“ อ้วกก ”
เสียงพะอึดพะอมดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยอาหารและขนมที่ยังไม่ทันย่อยขย้อนออกมาเกือบทั้งหมด มีนาลูบหลังแบคฮยอนด้วยความเป็นห่วงมือซ้ายก็ยกขวดน้ำป้อนให้ ทันทีที่ลงจากเรือได้ไม่นานแบคฮยอนก็ทนต่อแรงอัดของอาหารภายในร่างกายเขาไม่ไหว เขารู้สึกมึนหัวและอยากจะอ้วกเต็มทีตั้งแต่ยังไม่ทันลงจากเรือเลยด้วยซ้ำ
“ชานยอลทำไมมาถึงช้าจังว่ะ”
“รถติด”
“อ้อ นึกว่าโดนลอบยิงตายห่าไปแล้ว”
ชานยอลโยนกระเป๋าเป้สองใบส่งให้คิม จงอินอย่างแรงตัดบทสนทนาที่น่ารำคาญระหว่างเขาและจงอิน ก่อนที่ตัวเองจะแบกกระเป๋าใบใหญ่ตามลงมา ชานยอลวางมันลงบนพื้นทรายก่อนจะเหลียวหลังหันไปมองมีนาที่กำลังเช็ดปากให้แบคฮยอนอยู่ ที่จริงแบคฮยอนก็โตพอสมควรแล้วนะ ประคบประหงมแบบนี้นี่เองถึงดูแลตัวเองไม่ได้สักที
“ นั่นนะหรอคุณหนูแบคฮยอนอะไรนั่น”
ชานยอลหันกลับมามองผู้ชายผิวเข้มก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ คิดดีแล้วใช่ไหม ที่เข้าไปยุ่งกับครอบครัวนั้นอีก”
จงอินหยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน ก่อนจะคาบมันด้วยปาก ชานยอลเห็นอย่างนั้นก็เบนสายตาหนีเขาไม่ได้รังเกียจแต่ก็ไม่ได้ชอบ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหามีนาและแบคฮยอนทิ้งคิม จงอินให้ยืนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เพียงลำพัง
หวังว่าการมาของคุณหนูแบคฮยอนจะไม่นำพาหายนะมาที่นี่นะ
“คุณไหวมั้ย”
ชานยอลเอ่ยปากถามมีนาเมื่อเห็นว่าเธอประคองแบคฮยอนอย่างทุลักทุเล ทนดูได้ไม่นานจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดึงตัวแบคฮยอนมาประคองเอง
“เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ชานยอลจัดการประคองร่างเล็กเดินไปอย่างช้าๆคนตัวเล็กก็เดินโดยไม่พูดไม่จาอะไรเลย เขาอยากจะปฏิเสธการช่วยเหลือของชานยอลแต่เขาไม่สามารถทำอย่างนั้นได้จึงเลือกที่จะเงียบแทน สายลมอ่อนๆในยามค่ำคืนพัดผ่านจนร่างเล็กรู้สึกหนาวจนขนลุกในขณะเดิน เขายกมือขึ้นลูบแขนตัวเองด้วยความเย็นเยียบ
“หนาวหรอ”
แบคฮยอนส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงปฏิเสธแต่ร่างกายกลับสั่นเทิ้มตรงข้ามกับคำตอบ
“พูดเองนะ คิดว่าฉันจะถอดเสื้อให้นายหรือไง ไม่มีทาง”
แบคฮยอนหันหน้าไปทางชานยอลพร้อมขมวดคิ้วมุ่น ถึงแม้จะมองไม่เห็นอะไรก็ตาม
“โกรธหรอ…เชิญ ใครสนกัน? ”
ชานยอลตั้งใจพูดกวนประสาทแบคฮยอน แต่นั่นกลับทำให้สองมือบางของแบคฮยอนแกะมือของชานยอลออกจากเขา ชานยอลมองการกระทำของแบคฮยอนพลางนึกขัน
ทำเป็นเก่ง..
“เก่งจริง ทำไมไม่เดินหละ”
“…”
“ไหนเก่งนัก โชว์ฉันหน่อยสิ”
“ชู่วว”
นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากของตัวเองเป็นสัญญาณบอกให้ชานยอลเงียบเสียงลง ยิ่งรู้จักแบคฮยอนก็ยิ่งทำตัวแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ เขาคิดแต่เพียงว่าแบคฮยอนเป็นคนประหลาด..
“มีคนเดินตามคุณมาข้างหลังหรือป่าวครับ”
ชานยอลหันไปมองด้านหลังของตัวเองก็ไม่เห็นอะไรนอกจากคนขับเรือกำลังขับเรือห่างออกไปไกลแล้วและเสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่ง
“จะเล่นอะไรของนา..”
เขายังพูดไม่ทันจบฝ่ามือบางก็เอื้อมมาปิดปากของร่างสูงจนเขาหยุดชะงัก แบคฮยอนพลางทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เกิดความเงียบขึ้นอยู่ไม่นานก็มีเสียงร้องทักขึ้น
“เห้ย สองคนนั้นจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย”
“คุณปาร์คคะ รีบพาคุณหนูเข้ามาเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดนะคะ”
ชานยอลเงยหน้าไปมองทางต้นเสียงก่อนจะดึงมือคนตัวเล็กที่ปิดปากตนอยู่ออกพร้อมกับจูงมือเขาให้
เดินตามตัวเองไป พลางนึกเสียเวลาในใจ
“เอาไงต่อวะชานยอล”
“นายเป็นใคร”
ชานยอลพูดพร้อมกับมองหน้าบุคคลที่สามที่เนื้อตัวและใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดและรอยฟกช้ำ ชานยอลนึกเอะใจกับคำพูดของแบคฮยอนจึงตัดสินใจเดินกลับไปที่ท่าเรืออีกครั้งก่อนจะพบเข้ากับร่างของผู้ชายคนนึงโชกไปด้วยเลือดและหน้าตาปูดบวมเหมือนโดนทำร้ายมา
“แค่กๆ”
เขาสำลักน้ำที่จงอินเป็นคนสาดใส่ก่อนจะค่อยๆปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก
“ผม ผมไม่รู้ "
"อ้าว ไอ้นี่ แกไม่รู้จักตัวเองหรอวะ ความจำเสื่อมหรือไง" จงอินจิ๊ปากอย่างรำคาญ
ชานยอลและจงอินมองหน้ากันสักพักก่อนจะพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณรู้กัน จงอินขยับเข้าไปใกล้ก่อนจะนั่งยองๆลงตรงหน้าของเขา จงอินเอื้อมมือไปดึงป้ายชื่อที่ติดอยู่กับเสื้อนักเรียนของเขาขึ้นมาเช็ดคราบฝุ่นออกพร้อมกับสะกดอ่านทีละคำ
“โอ เซฮุน…ไอ้นักเรียนมัธยมปลายนี่มันชื่อโอ เซฮุน”
ขอบคุณคอมเม้นนะคะ ♡
ความคิดเห็น