ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hug Me Please

    ลำดับตอนที่ #3 : 03 The game will begin soon

    • อัปเดตล่าสุด 23 มิ.ย. 54

















    03
     

    “ อุ่น นี่แกโกรธฉันจริงๆเหรอ ”  ยัยเพื่อนตัวแสบที่หักหลังฉันวันนั้นตามเซ้าซี้ถามซ้ำไปซ้ำมาทั้งวัน ทั้งๆที่ฉันไม่ตอบอะไรเลย และไม่แม้จะสนใจฟังซะด้วยซ้ำไป

                “ อุ่น แกไม่พูดแบบนี้ ฉันไม่สบายใจนะ แกไม่พอใจอะไร แกก็บอกฉันมาเลยสิ ”  คราวนี้เธอกระโดดมาขวางหน้าและ ไม่ยอมให้ฉันเดินหนีอีกต่อไป

                สายตาของเธอบอกว่าต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ แต่สำหรับความโกรธของฉันมันก็มีมากเหมือนกัน ฉันไม่มีทางที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แน่ถ้าเราต้องคุยกัน ฉันอาจจะพูดจาร้ายกาจกับเธอ หรือถ้าแย่ไปกว่านั้น เราอาจะทะเลาะกันจนเลิกคบกันไปเลยก็ได้ นั่นคือสิ่งที่ฉันกลัวและไม่อยากให้เกิดขึ้น

                ทำไมน่ะเหรอ เพราะฉันไม่อยากโดดเดี่ยว ไม่อยากจะต้องเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างคนเดียว และฉันก็ไม่อยากอ้างว้าง เงียบเหงาเหมือนที่ผ่านๆมา

    ฉันจึงแค่มองหน้าเธอและตั้งใจจะเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง แต่ว่าไซน์ก็กลับตามมาขวางฉันเอาไว้อีก

                “ แกจะเดินหนีฉันแบบนี้ไม่ได้นะ ”  และน้ำเสียงออกคำสั่งนั่น มันทำให้ฉันเริ่มจะขาดสติเต็มที

                “ ... ” 

                “ แกพูดออกมาสิ แกเป็นบ้าอะไรของแก ฮะ ”

                “ พูดจบหรือยัง ถ้ายังก็เอาไว้วันหลัง เพราะว่าตอนนี้ฉันจะไปทำงาน ฉันไม่ใช่คนว่างงานที่ชอบทำเรื่องตลกไปวันๆ เหมือนแก ”  ฉันพูดอย่างเจ็บแสบ

                เหมือนคำพูดของฉันมันคงไปกระทบไซน์ตรงจุดเกินไปหน่อย เธอเลยโกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด มือก็กำแน่นอย่างโกรธจัด หรือจริงๆเธออยากจะเข้ามาตั๊นหน้าฉัน อันนี้ก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ฉันเองก็โกรธมากเหมือนกันนั่นแหละ

                “ แกพูดเกินไปแล้วนะ อุ่น ”

                “ มันเกินไปตรงไหน ฉันว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ และฉันเองก็กำลังสงสัย นี่แกเป็นเพื่อนฉันจริงๆหรือเปล่า ไซน์ วันนั้นแกขอร้องฉันให้ไปทำเรื่องบ้าๆให้แก แต่พอฉันทำ แกกลับทิ้งฉันไปอย่างนั้นน่ะ ”  ฉันตะโกนกลับไป

                คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มจะหันมามองเรามากขึ้นเรื่อยๆ มันก็แหงล่ะ นี่มันทางเข้าออกมหาลัยนี่ แล้วเสียงของเราสองคนก็เบาซะที่ไหน

    ฉันว่าตอนนี้ เราทั้งคู่คงเป็นอะไรที่เด่นน่าดู

    “ ฉันไม่ได้ทิ้งแก แกต้องรู้สิ ว่าฉันไม่มีทางทิ้งแกแน่ๆ ”  ไซน์พูดน้ำตาคลอ แต่น้ำเสียงหนักแน่น

    “ ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น ฉันรู้แค่ว่าแกให้ฉันไปเจอไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วแกก็เดินหนีไป ”

    “ เขาไม่ใช่ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้นะ ”  เธอย้อนกลับมาทันควันและหลบตาฉันอย่างรวดเร็ว

    “ งั้นแสดงว่าแกรู้จักเขา แกรู้ใช่มั้ยว่าไอ้บ้านั่นเป็นใคร ”  ฉันเข้าไปใกล้เธอและเขย่าไหล่แรงๆ เพื่อที่จะให้เธอเงยหน้ามาสบตากับฉัน

    “ ฉันบอกตอนนี้ไม่ได้ แต่ซักวันแกก็จะรู้ ”  เธอตอบเสียงเบา แต่ก็ยังหลบตจาฉันอยู่

    “ เขาสำคัญกับแกมากเหรอ และมันเป็นความลับมากหรือไง ถึงบอกฉันไม่ได้   

    “ ใช่ มันสำคัญมาก แต่ขอให้รู้ ที่ฉันทำไป เพราะว่าฉันหวังดีจริงๆ ”  ไซน์ดึงมือฉันมากุมไว้ และเงยหน้าขึ้นมามองฉัน ซึ่งสายตานั่นไม่ได้บ่งบอกว่าโกหกเลยซักนิด และฉัน...ฉันจะเชื่อเธอได้มั้ย

    “ ตลอดเวลาที่เราเป็นเพื่อนกัน แกคือคนที่หวังดีกับฉันที่สุดคนหนึ่ง และครั้งนี้ ..ฉันจะลองเชื่อใจแกซักครั้ง ”  ฉันยิ้มและดึงไซน์มากอด ไม่สนทั้งนั้นว่าใครจะมองเรายังไง

    นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้กอดใครแน่นๆขนาดนี้ มันอบอุ่นยังไงไม่รู้ ฉันเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เพียงแค่รู้สึกว่ามันปลอดภัย และยังมีใครอีกคนอยู่เคียงข้าง ฉันรู้สึกว่าบางอย่างได้เข้ามาเติมชีวิตขึ้นมาอีกนิด

    มันคงจริงอย่างที่ใครๆเคยพูด ว่าบางที การกระทำมันก็แสดงออกได้ชัดเจนกว่าคำพูด และครั้งนี้ฉันก็เข้าใจมันอย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ

    “ ขอบใจที่แกเชื่อใจฉันนะ ”  เธอดึงตัวเองออกจากอ้อมกอด และจับมือฉันไว้

    “ ไปเถอะ ไปกินข้าวกัน มือนี้เจ๊ไซน์เลี้ยงเอง ”  เธอดึงมือฉันให้เดินตามไปทันที และฮัมเพลงในคอไปด้วย

    ฉันจะเชื่อใจเธอนะ..ดีไซน์  เพราะฉะนั้นเธออย่าทิ้งฉันล่ะ ได้โปรดเถอะ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ฉันคงไม่เหลือใคร ไม่เหลือแล้วจริงๆ

     

    หลังจากเหตุการณ์นั้น นายคุณกราฟอะไรนั่นก็หายเงียบไป จนฉันคิดว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นเพียงฝันร้ายที่ผ่านพ้นไปจากชีวิตแล้ว บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องตลกที่เขาทำแก้เซ็งเล่นๆ หรืออะไรประมาณนั้นล่ะ

       ฉันนอนมองเพดานห้องสีขาวที่อยู่มาสามปีกว่าๆนี่แล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แปลกที่อยู่ดีๆฉันก็นึกถึงครอบครัวซึ่งฉันละเลยมานานเหลือเกิน นานจนฉันลืมไปแล้วว่าตัวเองคิดถึงมันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มีก็แต่สมุดบัญชีของแม่ที่ยังเตือนใจให้รู้ว่าฉันเองก็มีครอบครัว ยังมีใครอีกคนที่ฉันต้องดูแล

    ครอบครัวฉันมีแต่แม่ แม่คนเดียวเท่านั้น ถึงท่านจะไม่ได้รักฉันเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยท่านก็ยอมรับว่าฉันเป็นลูกล่ะนะ แค่นี้มันก็ดีถมไปแล้ว

    และเสียงโทรศัพท์ก็ทำให้ฉันกลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง

    “ สวัสดีค่ะ ” 

    “ สวัสดีครับ ไออุ่น ”  เสียงผู้ชายที่ดังมาจากปลายสาย ทำให้ฉันต้องมองเบอร์ที่หน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง และก็พบว่าเป็นเบอร์ที่ฉันไม่ได้เมมไว้ในเครื่อง แปลก...ปกติฉันไม่เคยให้เบอร์ใครที่ไหนง่ายๆนะ แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ

    “ ขอโทษนะคะ คุณคือ... ”

    “ กราฟฟิก แฟนคุณไง ”  ทั้งๆที่ฉันเกือบจะลืมเขาไปแล้วแท้ๆ ฉันคงคิดผิดไปเองที่ว่าเขาจะหายไปจากชีวิต และฉันจะมีชีวิตปกติเหมือนที่เคยเป็น

    ความรู้สึกมันกำลังบอกว่าฉันคิดผิด ฉันคิดผิดทั้งหมดเลย

    “ คุณต้องการอะไร ”  น้ำเสียงฉันแสดงความไม่ยินดีอย่างชัดเจน

    “ ตามสัญญาที่คุณได้เซ็นมันไป ซึ่งนี่ก็ผ่านระยะเวลาที่ผมให้คุณเตรียมตัวเตรียมใจแล้ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องทำตามสิทธิซักที ”

    “ คุณมันโมเม พูดเองเออเอง คิดไปเองทั้งนั้น ”

    “ จะคิดยังไงก็ตามใจ ...ว่าแต่ตอนนี้คุณอยู่ไหนล่ะ ผมจะไปรับ ” 

    ฉันมองนาฬิกาที่ผนังห้อง ซึ่งตอนนี้บอกเวลาสองทุ่ม และฉันเองอยู่ในสภาพที่พร้อมจะเข้านอนได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่ว่าฉันเป็นเด็กอนามัยจัดอะไรหรอกนะ แต่เพราะพรุ่งนี้มีงานที่ร้านกาแฟแต่เช้าน่ะสิ

    “ วันอื่นละกันนะ วันนี้ฉันไม่ว่าง ”

    “ ทำอะไรถึงไม่ว่าง ”  หมอนี่นี่กวนประสาทชะมัด ไม่เคยมีใครเคยบอกนายหรือไง ว่าการปฏิเสธด้วยคำว่าไม่ว่างน่ะ นั่นหมายถึงการแสดงความไม่อยากทำสิ่งนั้นๆอย่างมีมรรยาท แต่ฉันก็ได้แต่พูดในใจเท่านั้นล่ะนะ เฮ้ออ

    “ ตอนนี้คุณอยู่ไหน อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ... และขอเตือนว่าอย่าโกหก เพราะถ้าผมรู้ ผมจะลงโทษคุณ และจะมาหาว่าผมใจร้ายไม่ได้นะครับ ”  เขาพูดสบายๆ แต่มันกลับทำให้ฉันประสาทเสีย

    “ ตอนนี้อยู่หอพัก กำลังจะเข้านอน และไม่อยากออกไปไหน ...ค่ะ ”  ฉันตอบแบบประชด พร้อมกับเบ้หน้าใส่โทรศัพท์ เผื่อว่ามันจะส่งไปถึงเขาได้ จะได้รู้กันไปเลยว่าฉันน่ะ เกลียดขี้หน้าเขาขนาดไหน

    “ ก็ไปแต่งตัวสิ มันจะยากอะไรล่ะ ”  เขาทำเสียงหงุดหงิด

    “ ก็มันยากตรงที่ฉันไม่อยากไป ” 

    “ อ่าฮะ งั้นเหรอ สัญญานั่นว่ายังไงแล้วนะ คุณจะต้องเชื่อฟังและทำตัวเป็นคนรักที่ดีใช่มั้ยนะ เอ๊ะ .. แล้วถ้าไม่ทำตามสัญญา ผมก็จะ... ”

    “ เลิกเอาสัญญาบ้าๆนั่นมาขู่ฉันซักที ”  ฉันตะโกนกลับไปอย่างโกรธจัด

    “ ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ไม่มีวัน ”

    “ ผมว่าแล้วว่าคุณต้องมาไม้นี้ ผมก็เลยเมมเบอร์โทรศัพท์ของพ่อแม่คุณมาด้วย เผื่อว่าเราจะต้องแต่งงานกันแบบสายฟ้าแล่บ ” 

    “ คุณนี่มัน .... ”

    “ บอกที่อยู่มาเร็ว เดี๋ยวมันจะดึกไปกว่านี้นะ ”

    แล้วแบบนี้ฉันจะทำยังไงได้ล่ะ โธ่เอ๊ย... และนี่ฉันต้องสู้รบกับเขาไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย

     

     แล้วในที่สุด ฉันก็ต้องเดินตามเขาต้อยๆ เหมือนตัวอะไรซักอย่าง ส่วนเขาก็เดินผิวปากแบบอารมณ์ดี๊ อารมณ์ดีอยู่ข้างหน้า ชิ เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้จริงๆ

    เราทั้งคู่เดินเข้ามาด้านในร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่ง ไม่รู้เขาเรียกกันว่าอะไร แต่อารมณ์ประมาณจะมากินข้าวก็ไม่ใช่ มานั่งดื่มก็ไม่เชิง หรือว่ามานั่งชิลก็ไม่แน่ใจอีก เอาเป็นว่ามันเป็นร้านอะไรซักอย่างนี่ล่ะ

    “ เรามาที่นี่ทำไม ”  ฉันเร่งฝีเท้าไปเดินข้างเขาและถามคำถามที่ฉันควรจะถามตั้งแต่ลงจากรถ

    “ มาเจอเพื่อนผม ”  เขาหันมาตอบพร้อมกับคว้ามือฉันไปจับไว้ และเขาก็ดึงฉันให้เดินไปข้างหน้าพร้อมๆกัน

    แปลก...ที่ฉันไม่ได้ดึงมือออกทั้งๆที่ควรจะทำ แปลก...ที่ฉันรู้สึกว่ามือนี้อบอุ่นและปลอดภัย แปลก...ที่ตัวฉันขยับเข้าไปเดินใกล้เขาเองโดยที่สมองไม่ได้สั่ง และมันก็แปลก ...ที่ใจฉันมันเต้นแรงผิดปกติ

    กลิ่นน้ำหอมเย็นๆของเขาที่ลอยมาแตะจมูก ยิ่งกระตุ้นให้ฉันขยับไปใกล้เขาอีก ฉันไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้นเลยนะ ตัวมันไปของมันเอง และตอนนี้มันก็บังคับให้ฉันหันไปมองเขา

    ก่อนหน้านี้ก็พอจะจำได้ลางๆล่ะนะว่าหมอนี่หน้าตาดี แต่ทำไมพอมองใกล้ๆแบบนี้ ฉันว่าเขาชักจะดูดีเกินไปแล้วนะเนี่ย โดยเฉพาะใบหน้าเรียวๆรับกับจมูกที่ตั้งเป็นสันได้รูปนั่น ไหนจะคิ้วเข้มๆบนตาสวยๆของหมอนั่นอีก ยังไม่นับผิวขาวๆและหน้าใสๆของเขาอีกนะ

    ถึงว่าสิ ทำไมสาวๆในร้านถึงได้มองเรากันใหญ่ สาเหตุมาจากคนข้างๆฉันนี่เอง พวกหล่อนคงคิดในใจแหละ ว่าหน้าตาแบบฉันไม่น่าจะคู่ควรกับเขา ซึ่งมันก็จริงซะด้วยสิ

    “ จ้องหน้าผมนานขนาดนี้ มีอะไรรึเปล่าเนี่ย ”  เขาหยุดเดินและใช้มืออีกข้างๆมาลูบแก้มฉันเบาๆ

    เมื่อกี้มองด้านข้างยังหวั่นไหว แต่พอเห็นหน้าเขาตรงๆแบบนี้ ฉันยิ่งทำอะไรไม่ถูก สมองถึงกับว่างเปล่าไปชั่วขณะ นี่ฉันคงไม่ได้หลงเสน่ห์หมอนี่...ใช่มั้ย

    “ ปะ ปะ เปล่า ไม่ได้มีอะไร ”  และฉันก็ได้สติ เมื่อไฟในร้านทั้งหมดเปลี่ยนเป็นแสงสีส้มทึมๆกว่าเดิม รวมทั้งจังหวะดนตรีที่เปลี่ยนไปด้วย

    “ ตื่นเต้นมั้ย เป็นกังวลรึเปล่า ”  เขาถามด้วยสายตาห่วงใย และในใจฉัน.. ก็เริ่มจะสับสน

    ตกลงเขาเป็นคนยังไงกันแน่นะ บางทีก็ดูร้ายกาจจนไม่อยากจะอยู่ใกล้ แต่บางทีเขาก็อบอุ่นอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อว่านั่นจะเป็นคนๆเดียวกัน

    ตัวตนจริงๆของเขาคือแบบไหนกันแน่ ฉันไม่รู้จริงๆ

    “ ไม่หรอก แปลกใจนิดหน่อย ว่าทำไมต้องพามาเจอเพื่อนคุณด้วย ”  ฉันตอบและพยายามที่จะเสมองไปทางอื่นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญกับสายตาของเขา ที่มันทำให้ฉัน...ไม่เป็นตัวของตัวเอง

    “ ไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงกับการคบกันของเรานะ แต่สำหรับผม..มันสำคัญ และผมก็จริงจัง ผมจะบอกเหตุผลกับคุณแน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง เพียงแค่ตอนนี้...มันยังไม่ถึงเวลา ”  เขายืดตัวขึ้นและเปลี่ยนจากจับมือมาโอบเอวฉันไว้หลวมๆ

    “ ตอนนี้หน้าที่ของผม ก็คือทำให้คุณรู้จักผมมากขึ้น ส่วนหน้าที่ของคุณ ก็คือ การพยายามทำความรู้จักผม คนที่เป็นแฟนคุณ และอาจจะเป็นคู่ชีวิตในอนาคตด้วย ”

    “ ถ้าคุณพบว่าฉันไม่ใช่ล่ะ คุณจะทำยังไง ” 

                “ ผมก็คงจะปล่อยคุณไป ”  เขาพูดเสียงเรียบ แต่ว่าทำไมใจฉัน...มันถึงกลับเต้นช้าลงแปลกๆล่ะ

     

                “ สวัสดีค่ะ ”  ฉันยกมือไหว้ผู้ชายสามคนบนโต๊ะและยิ้มให้พวกเขานิดๆเป็นเชิงทักทาย ก่อนที่จะนั่งลงตรงข้ามกันกับตรงที่พวกเขานั่ง โดยที่มีกราฟฟิกนั่งข้างๆ

                ก่อนหน้านี้ เขาเล่าให้ฉันฟังนิดหน่อยว่า เขาทั้งสี่คนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เพราะว่าพ่อแม่สนิทกัน บ้านก็อยู่ใกล้ๆกัน เรียนก็เรียนโรงเรียนเดียวกัน เข้ามหาลัยก็ยังจะเป็นมหาลัยเดียวกันอีก พูดง่ายๆก็คือแทบจะโตมาด้วยกัน เขาจึงอยากให้ฉันมาทำความรู้จักกับเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งต่อไปอาจจะมาเป็นเพื่อนสนิทของฉันด้วย

                “ สวัสดีครับ น้องอุ่นใช่มั้ย ”  ผู้ชายผิวสีแทนหน้าตาคมเข้มที่นั่งตรงข้ามฉันพอดีเป็นคนเอ่ยปากถามคนแรก

                “ ค่ะ ใช่ค่ะ ”  ฉันตอบและยิ้มให้เขานิดๆ

                “ น่ารักกว่าที่นายกราฟเล่าไว้อีกนะครับเนี่ย ”

                ฉันไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงได้แต่ยิ้มให้เขาอีกครั้ง พลางหันไปมองหน้านายแฟนกำมะลออย่างหาตัวช่วย ฉันควรจะวางตัวยังไงดีนะ     

                ทั้งๆที่ตอนแรกฉันบอกกับตัวเองว่าจะไม่ตื่นเต้นกับการเจอเพื่อนสนิทเขา แต่ตอนนี้บอกตรงๆว่าฉันกำลังตื่นเต้นและกังวัลมากจนถึงขั้นอึดอัด ที่แย่ไปกว่านั้นฉันควบคุมความรู้สึกนึกคิดของตัวเองไม่ได้เลย

                เขาเองก็คงจะดูอาการฉันออก จึงยิ้มให้ฉันอย่างให้กำลังใจ และดึงมือฉันมากุมไว้ ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับเพื่อนๆของเขาต่อ

                “ อย่าจ้องหน้าแฟนฉันขนาดนั้นสิ หวงนะคร้าบ ”  เขาพูดติดตลกแต่เรียกเสียงหัวเราะจากคนในโต๊ะได้เป็นอย่างดี บรรยากาศจึงดูผ่อนคลายขึ้น

                “ อุ่นครับ นี่นายอัฐ นายนัท นายฟรีซ เพื่อนสนิมผม ”  เขาแนะนำไล่ไปทีละคน และฉันก็ได้แต่พยักหน้าตามตอนมองหน้าพวกเขา ให้ตายเถอะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนปัญญาอ่อนยังไงไม่รู้

                “ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณอัฐ คุณนัท คุณฟรีซ ” 

                “ อย่าเรียกเป็นทางการขนาดนั้นเลยนะครับ เรียกพี่จะดูเป็นกันเองกว่า ”  คนที่ชื่อฟรีซพูดและขยิบตาให้ฉันหนึ่งทีอย่างขี้เล่น แต่เหมือนมีอะไรซักอย่างทำให้ฉันไม่สามารถละสายตาออกมาได้  

                เขาเป็นคนผิวขาวจัด และมีรูปร่างค่อนข้างผอม ใบหน้าเรียวสวย รวมทั้งคิ้วเข้มๆกับดวงตายาวรีนั่น ริมฝีปากที่ดูเหมือนยิ้มนิดๆอยู่ตลอดเวลาก็ยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์ ถึงแม้ว่าผมทรงรากไทรสีน้ำตาลเข้มจะทำให้หน้าเขาดูซีดไปหน่อยในสายตาฉัน แต่ว่ามองรวมๆแล้วเขาจัดว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมากๆ แถมบางมุมยังสวยเหมือนผู้หญิงอีกต่างหาก เขาดูโดดเด่นจริงๆ

                “ ตกลงตามนี้นะครับ ”  เขาพูดย้ำอีกที ซึ่งนั่นทำให้ฉันได้สติ หลังจากที่รู้สึกว่าตัวเองจะมองหน้าเขานานเกินไป

                 “ ค่ะ ”

                หลังจากนั้นเราก็นั่งทานข้าวกันไป คุยกันไปอย่างสนุกสนาน ไม่สิ จะพูดให้ถูกต้องบอกว่าเขาแค่สี่คนมากกว่า แต่มันก็ดีไปอีกแบบ เพราะจริงๆฉันก็ไม่อยากให้ใครมาสนใจฉันอยู่แล้ว ไม่ต้องมองมาที่ฉัน มองผ่านฉันไปเลยยิ่งดี

                “ ทำไมน้องอุ่นดูเงียบๆจัง ไม่สนุกเหรอคะ ”  นายอัฐ เอ่อ..พี่อัฐน่ะ ถามฉันขึ้นมาหลังจากที่กราฟไปเข้าห้องน้ำ

                “ เปล่าหรอกค่ะ อุ่นแค่ไม่รู้จะพูดอะไร ฟังเฉยๆก็สนุกดี ”  ฉันยิ้มเจื่อนๆ

                เขาเองก็จัดว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คมเข้มเหมือนนัท หรือว่าโดดเด่นเหมือนฟรีซ แต่เขาก็มีรูปร่างสูงใหญ่พอดู ใบหน้าตี๋ๆนั่นก็คงจะทำให้สาวๆกรี๊ดได้ไม่น้อยล่ะ ฉันว่านะ

                “ น้องอุ่นยังเรียนอยู่ใช่มั้ยครับ ”  เขายังชวนฉันคุยต่อ

                “ ใช่ค่ะ ตอนนี้อุ่นอยู่ปีสี่ ใกล้จบแล้วล่ะค่ะ คุณอัฐ ”

                “ คงคุณอะไรกัน เรียกพี่เถอะ ดูสนิทกว่าตั้งเยอะ ถึงแม้ว่าไอ้อัฐกับไอ้นัทมันจะหน้าแก่ก็เถอะนะ ฮ่าๆ ”  ฟรีซพูดแทรกแบบขำๆ และหลังจากนั้นก็โดนทั้งคู่มองด้วยสายตาโหดเหี้ยม พลางเอื้อมมือไปตบหัวเขาด้วย

                ฉันอดกลั้นยิ้มออกมากับท่าทางเด็กๆของพวกเขาไม่ได้ ดูไปดูมาพวกเขาก็น่ารักดีนะ อืม..แล้วนายกราฟล่ะ จะเป็นแบบเดียวกันรึเปล่า เอ๊ะ แล้วนี่ฉันจะไปคิดถึงหมอนั่นทำไมกัน

                “ โห น้องอุ่นยิ้มแล้วน่ารักดีนะ ดีกว่าหน้าบึ้งตั้งเยอะ ”  พี่นัทเองก็เริ่มจะแซวฉัน

                “ นั่นสิ เอางี้ เลิกคบกับไอ้กราฟมันเหอะ มาคบพี่แทนดีกว่า ”  ฟรีซแกล้งทำหน้าจริงจัง และยื่นหน้ามาพูดกับฉันด้วยเสียงที่พยายามดัดให้ดูหล่อ ซึ่งมันดูตลกมากกว่า

                ฉันเองก็รู้ว่าเขาแค่พูดเล่น แต่มันก็ยังรู้สึกเขินๆอยู่ดี ยิ่งพอมองหน้าเขา ฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงไปใหญ่

                “ ให้มันน้อยๆหน่อยนะครับ ไอ้คุณเพื่อนทั้งสาม โดยเฉพาะแก ไอ้ฟรีซ นี่แกจะจีบแฟนฉันหรือไง ”  กราฟเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พอรู้อีกทีเขาก็นั่งข้างฉันเรียบร้อยแล้ว แถมยังเอามือมาโอบไหล่ฉันอีก

                ส่วนคนถูกว่าก็ยิ้มหน้าทะเล้นและยักคิ้วกวนๆให้กราฟ ก่อนที่จะหันมามองหน้าฉัน แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก

                “ ก็แฟนแกน่ารักดี ”

                “ นี่ใจคอแกจะจีบแฟนฉันต่อหน้าฉันเลยรึไง ไอ้เพื่อนเวร ”  กราฟพูดขำๆ

                “ ถ้าฉันจีบ แกจะว่าไง ”

                “ ฉันเอาแกตายแน่ เพื่อน ”  ฟรีซไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ยกแก้วเบียร์ของตัวเองมาดื่ม

     พอหันไปมองกราฟ ก็เห็นว่าเขากำลังทำหน้าบึ้งตึงเหมือนไปโกรธใครมาอย่างนั้น ทั้งๆที่เมื่อกี้เขายังอารมณ์ดีอยู่เลย เขามองหน้าฟรีซอย่างน่ากลัว ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้ดูเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลย

                ฉันก็ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเองหรือว่าอะไรหรอกนะ แต่ต้นเหตุมันเป็นเพราะฉันหรือเปล่า

                “ แกนี่ขี้หวงจริงๆเลย ”  ฟรีซพูดหน้านิ่งๆ

                แล้วอยู่ๆ คนทั้งโต๊ะก็หัวเราะครืนตามกราฟฟิกและฟรีซ ยกเว้นฉัน ที่ตอนนี้ทำหน้าเอ๋อรับประทานไปเรียบร้อย ให้ตายเถอะ ฉันไม่เข้าใจในมิตรภาพของผู้ชายจริงๆ สรุปว่าเมื่อกี้ มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่น ...อย่างนั้นใช่รึเปล่า

                “ อุ่น เป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า ”  กราฟคงจะเห็นว่าฉันเงียบไป จึงหันมาถามฉันด้วยสายตาเป็นกังวล และเอามือมาทาบหน้าผากฉันด้วย

                “ เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร....ค่ะ ”  ต่อหน้าเพื่อนเขา ฉันควรจะรักษามรรยาทไว้หน่อย ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบขี้หน้าเขาเท่าไหร่ แต่ฉันก็ไม่ควรทำให้เขาเสียหน้า

                “ น้องอุ่นคงจะเบื่อพวกเราแล้ว ”  พี่นัทพูดหน้าเศร้า (เขาแกล้งทำนั่นแหละ)

                “ เปล่าค่ะ อุ่นแค่ง่วงๆ นิดหน่อย ”  ฉันตอบและยิ้มให้พวกเขาอย่างจริงใจ

                จะว่าไป คุยกับพวกเขาก็สนุกดี ถึงแม้ว่าเราเพิ่งจะพบกันครั้งแรก แต่พวกเขาก็ดีกับฉันมาก ทั้งๆที่ฉันก็ไม่ค่อยดูจะเป็นมิตรซักเท่าไหร่ แถมยังทำให้บรรยากาศมันดูไม่อึดอัด ฉันเองก็ลดความกดดันไปได้ตั้งเยอะ ตรงๆเลยนะ ฉันคิดว่าพวกเขาน่าคบมากกว่าคนที่นั่งข้างๆซะอีก

    “ ว้า แสดงว่าพวกพี่น่าเบื่อใช่มั้ยเนี่ย ”  ฟรีซแซวต่อ

                “ เปล่านะคะ วันนี้อุ่นไปเรียนทำอาหารมาทั้งวันน่ะค่ะ ก็เลยเหนื่อยๆ ”  ซึ่งฉันก็เหนื่อยจริงๆนั่นแหละ วันนี้ฉันยืนทำอาหารตลอด ไม่ได้นั่งเลย และนี่มันก็ดึกมากแล้วด้วย ช่วงเวลานี้มันควรจะเป็นเวลาพักผ่อนของฉันสิ

                “ กราฟ นายพาน้องอุ่นกลับเถอะ นี่ก็จะเที่ยงคืนแล้ว จะได้ขับรถกลับไม่ดึกมาก ”  พี่อัฐพูด

                แต่ฉันว่านี่มันไม่น่าจะเรียกว่าดึกแล้วนะ ก็มันจะขึ้นวันใหม่อยู่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้วน่ะสิ ไม่รู้ว่าปกติพวกเขากลับบ้านกันกี่โมงกันแน่ ดูแต่ละคนไม่เห็นจะมีใครดูง่วงเหงาหาวนอนซักนิด แถมยังดูจะสดชื่นสดใสดีซะอีกเถอะ

                “ อืม เอางั้นก็ได้ งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่เดิม ”  เขาขยิบตาให้เพื่อนๆ และประคองฉันลุกจากเก้าอี้

                “ อย่าหวานกันมาก อิจฉาว่ะ บอกตรงๆ ” 

                “ แกก็หาซักคนสิ ฟรีซ ”

                “ ถ้าไม่ได้แบบแฟนแกฉันไม่เอา ฮ่าๆ ”

                ไม่รู้ฉันคิดไปเองรึเปล่า แต่ฉันรู้สึกว่ามือของกราฟฟิกที่โอบอยู่นั้นกระชับแน่นขึ้น ฟรีซเองก็เอาแต่จ้องหน้าฉันไม่หยุด ฉันจึงหันไปยิ้มให้คนอื่นแทนเพื่อลดอาการประหม่าที่มันกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง

                บรรยากาศในโต๊ะเองก็เริ่มไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของฟรีซรึเปล่าที่ทำให้เป็นแบบนี้ แต่ฉันเองก็มองไม่เห็นสาเหตุอื่น

                แต่ฉันคิดว่าเขาคงแค่อยากแกล้งฉันเท่านั้นแหละ หรือบางทีเขาอาจจะแค่ล้อเล่นกับเพื่อนเขาก็ได้ ฉันคงจะเข้าใจผิดไปเอง

                “ เราไปกันเถอะ ฉันง่วงแล้วนะคะ ”  ฉันหันไปพูดกับเขาเสียงหวาน และเกาะแขนเขาเพื่อเราจะได้ออกจากสถานการณ์ตรงหน้านี้ซักที

                เขาเองก็ดูจะงงๆกับท่าทางของฉันที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แต่ฉันเองก็ไม่สนใจและยังเสแสร้งแกล้งทำต่อไป ทั้งที่จริงๆไม่ได้อยากจะอยู่ใกล้เขาด้วยซ้ำ  

                “ อ่าฮะ รับทราบครับผม ”  เขายิ้มหวานให้ฉันอย่างน่าขนลุก หวังว่าตานั่นคงจะไม่เข้าใจผิดคิดว่าฉันพิศวาสเขาหรอกนะ

                “ อุ่นไปก่อนนะคะ พี่อัฐ พี่นัท พี่ฟรีซ ”  ฉันโบกบือบอกลาเขาเบาๆ และยิ้มอีกทีก่อนที่จะถูกกราฟลากออกไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

                ระหว่างที่เราเดินกลับไปที่รถ เขายังไม่ยอมปล่อยมือที่โอบฉันไว้ และยังบีบมันแรงขึ้นจนฉันรู้สึกเจ็บ ไม่รู้ว่าโมโหเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลย

                ใครๆก็ว่ากันว่าผู้หญิงน่ะเข้าใจยาก แต่ฉันว่าจริงๆแล้วสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้ชายน่ะ เข้าใจยากกว่าร้อยเท่า แถมเรายังเดาความคิดพวกเขาไม่ได้อีก

                “ มันเจ็บนะ ”  ฉันพูดตอนที่เขาเปิดประตูและยัดฉันลงไป

                “ ทำไมพูดไม่เพราะเลยล่ะ ทีเมื่อกี้ยังพูดหวานกับคนอื่นได้อยู่เลย แต่พอกับแฟนนี่ขึ้นเสียงใส่ ”  เขาพูดจบก็ปิดประตูใส่หน้าฉันและเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ

                “ ถ้าไม่เต็มใจจะไปส่งก็ไม่ต้องไป ฉันจะกลับเอง ”  ฉันพูดและเอื้อมมือจะไปเปิดประตู แต่เขาก็กดล็อคมันซะก่อน พอหันไปมอง เขาเองก็กลับทำหน้ายิ้มเยาะใส่ฉัน

                “ ใครบอกไม่เต็มใจ ผมจะอุ้มคุณไปส่งให้ถึงบนเตียงเลย ที่รัก ”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×