03
“ อุ่น นี่แกโกรธฉันจริงๆเหรอ ” ยัยเพื่อนตัวแสบที่หักหลังฉันวันนั้นตามเซ้าซี้ถามซ้ำไปซ้ำมาทั้งวัน ทั้งๆที่ฉันไม่ตอบอะไรเลย และไม่แม้จะสนใจฟังซะด้วยซ้ำไป
“ อุ่น แกไม่พูดแบบนี้ ฉันไม่สบายใจนะ แกไม่พอใจอะไร แกก็บอกฉันมาเลยสิ ” คราวนี้เธอกระโดดมาขวางหน้าและ ไม่ยอมให้ฉันเดินหนีอีกต่อไป
สายตาของเธอบอกว่าต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ แต่สำหรับความโกรธของฉันมันก็มีมากเหมือนกัน ฉันไม่มีทางที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แน่ถ้าเราต้องคุยกัน ฉันอาจจะพูดจาร้ายกาจกับเธอ หรือถ้าแย่ไปกว่านั้น เราอาจะทะเลาะกันจนเลิกคบกันไปเลยก็ได้ นั่นคือสิ่งที่ฉันกลัวและไม่อยากให้เกิดขึ้น
ทำไมน่ะเหรอ เพราะฉันไม่อยากโดดเดี่ยว ไม่อยากจะต้องเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างคนเดียว และฉันก็ไม่อยากอ้างว้าง เงียบเหงาเหมือนที่ผ่านๆมา
ฉันจึงแค่มองหน้าเธอและตั้งใจจะเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง แต่ว่าไซน์ก็กลับตามมาขวางฉันเอาไว้อีก
“ แกจะเดินหนีฉันแบบนี้ไม่ได้นะ ” และน้ำเสียงออกคำสั่งนั่น มันทำให้ฉันเริ่มจะขาดสติเต็มที
“ ... ”
“ แกพูดออกมาสิ แกเป็นบ้าอะไรของแก ฮะ ”
“ พูดจบหรือยัง ถ้ายังก็เอาไว้วันหลัง เพราะว่าตอนนี้ฉันจะไปทำงาน ฉันไม่ใช่คนว่างงานที่ชอบทำเรื่องตลกไปวันๆ เหมือนแก ” ฉันพูดอย่างเจ็บแสบ
เหมือนคำพูดของฉันมันคงไปกระทบไซน์ตรงจุดเกินไปหน่อย เธอเลยโกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด มือก็กำแน่นอย่างโกรธจัด หรือจริงๆเธออยากจะเข้ามาตั๊นหน้าฉัน อันนี้ก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ฉันเองก็โกรธมากเหมือนกันนั่นแหละ
“ แกพูดเกินไปแล้วนะ อุ่น ”
“ มันเกินไปตรงไหน ฉันว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ และฉันเองก็กำลังสงสัย นี่แกเป็นเพื่อนฉันจริงๆหรือเปล่า ไซน์ วันนั้นแกขอร้องฉันให้ไปทำเรื่องบ้าๆให้แก แต่พอฉันทำ แกกลับทิ้งฉันไปอย่างนั้นน่ะ ” ฉันตะโกนกลับไป
คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มจะหันมามองเรามากขึ้นเรื่อยๆ มันก็แหงล่ะ นี่มันทางเข้าออกมหาลัยนี่ แล้วเสียงของเราสองคนก็เบาซะที่ไหน
ฉันว่าตอนนี้ เราทั้งคู่คงเป็นอะไรที่เด่นน่าดู
“ ฉันไม่ได้ทิ้งแก แกต้องรู้สิ ว่าฉันไม่มีทางทิ้งแกแน่ๆ ” ไซน์พูดน้ำตาคลอ แต่น้ำเสียงหนักแน่น
“ ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น ฉันรู้แค่ว่าแกให้ฉันไปเจอไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วแกก็เดินหนีไป ”
“ เขาไม่ใช่ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้นะ ” เธอย้อนกลับมาทันควันและหลบตาฉันอย่างรวดเร็ว
“ งั้นแสดงว่าแกรู้จักเขา แกรู้ใช่มั้ยว่าไอ้บ้านั่นเป็นใคร ” ฉันเข้าไปใกล้เธอและเขย่าไหล่แรงๆ เพื่อที่จะให้เธอเงยหน้ามาสบตากับฉัน
“ ฉันบอกตอนนี้ไม่ได้ แต่ซักวันแกก็จะรู้ ” เธอตอบเสียงเบา แต่ก็ยังหลบตจาฉันอยู่
“ เขาสำคัญกับแกมากเหรอ และมันเป็นความลับมากหรือไง ถึงบอกฉันไม่ได้ ”
“ ใช่ มันสำคัญมาก แต่ขอให้รู้ ที่ฉันทำไป เพราะว่าฉันหวังดีจริงๆ ” ไซน์ดึงมือฉันมากุมไว้ และเงยหน้าขึ้นมามองฉัน ซึ่งสายตานั่นไม่ได้บ่งบอกว่าโกหกเลยซักนิด และฉัน...ฉันจะเชื่อเธอได้มั้ย
“ ตลอดเวลาที่เราเป็นเพื่อนกัน แกคือคนที่หวังดีกับฉันที่สุดคนหนึ่ง และครั้งนี้ ..ฉันจะลองเชื่อใจแกซักครั้ง ” ฉันยิ้มและดึงไซน์มากอด ไม่สนทั้งนั้นว่าใครจะมองเรายังไง
นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้กอดใครแน่นๆขนาดนี้ มันอบอุ่นยังไงไม่รู้ ฉันเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เพียงแค่รู้สึกว่ามันปลอดภัย และยังมีใครอีกคนอยู่เคียงข้าง ฉันรู้สึกว่าบางอย่างได้เข้ามาเติมชีวิตขึ้นมาอีกนิด
มันคงจริงอย่างที่ใครๆเคยพูด ว่าบางที การกระทำมันก็แสดงออกได้ชัดเจนกว่าคำพูด และครั้งนี้ฉันก็เข้าใจมันอย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ
“ ขอบใจที่แกเชื่อใจฉันนะ ” เธอดึงตัวเองออกจากอ้อมกอด และจับมือฉันไว้
“ ไปเถอะ ไปกินข้าวกัน มือนี้เจ๊ไซน์เลี้ยงเอง ” เธอดึงมือฉันให้เดินตามไปทันที และฮัมเพลงในคอไปด้วย
ฉันจะเชื่อใจเธอนะ..ดีไซน์ เพราะฉะนั้นเธออย่าทิ้งฉันล่ะ ได้โปรดเถอะ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ฉันคงไม่เหลือใคร ไม่เหลือแล้วจริงๆ
หลังจากเหตุการณ์นั้น นายคุณกราฟอะไรนั่นก็หายเงียบไป จนฉันคิดว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นเพียงฝันร้ายที่ผ่านพ้นไปจากชีวิตแล้ว บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องตลกที่เขาทำแก้เซ็งเล่นๆ หรืออะไรประมาณนั้นล่ะ
ฉันนอนมองเพดานห้องสีขาวที่อยู่มาสามปีกว่าๆนี่แล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แปลกที่อยู่ดีๆฉันก็นึกถึงครอบครัวซึ่งฉันละเลยมานานเหลือเกิน นานจนฉันลืมไปแล้วว่าตัวเองคิดถึงมันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มีก็แต่สมุดบัญชีของแม่ที่ยังเตือนใจให้รู้ว่าฉันเองก็มีครอบครัว ยังมีใครอีกคนที่ฉันต้องดูแล
ครอบครัวฉันมีแต่แม่ แม่คนเดียวเท่านั้น ถึงท่านจะไม่ได้รักฉันเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยท่านก็ยอมรับว่าฉันเป็นลูกล่ะนะ แค่นี้มันก็ดีถมไปแล้ว
และเสียงโทรศัพท์ก็ทำให้ฉันกลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง
“ สวัสดีค่ะ ”
“ สวัสดีครับ ไออุ่น ” เสียงผู้ชายที่ดังมาจากปลายสาย ทำให้ฉันต้องมองเบอร์ที่หน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง และก็พบว่าเป็นเบอร์ที่ฉันไม่ได้เมมไว้ในเครื่อง แปลก...ปกติฉันไม่เคยให้เบอร์ใครที่ไหนง่ายๆนะ แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ
“ ขอโทษนะคะ คุณคือ... ”
“ กราฟฟิก แฟนคุณไง ” ทั้งๆที่ฉันเกือบจะลืมเขาไปแล้วแท้ๆ ฉันคงคิดผิดไปเองที่ว่าเขาจะหายไปจากชีวิต และฉันจะมีชีวิตปกติเหมือนที่เคยเป็น
ความรู้สึกมันกำลังบอกว่าฉันคิดผิด ฉันคิดผิดทั้งหมดเลย
“ คุณต้องการอะไร ” น้ำเสียงฉันแสดงความไม่ยินดีอย่างชัดเจน
“ ตามสัญญาที่คุณได้เซ็นมันไป ซึ่งนี่ก็ผ่านระยะเวลาที่ผมให้คุณเตรียมตัวเตรียมใจแล้ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องทำตามสิทธิซักที ”
“ คุณมันโมเม พูดเองเออเอง คิดไปเองทั้งนั้น ”
“ จะคิดยังไงก็ตามใจ ...ว่าแต่ตอนนี้คุณอยู่ไหนล่ะ ผมจะไปรับ ”
ฉันมองนาฬิกาที่ผนังห้อง ซึ่งตอนนี้บอกเวลาสองทุ่ม และฉันเองอยู่ในสภาพที่พร้อมจะเข้านอนได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่ว่าฉันเป็นเด็กอนามัยจัดอะไรหรอกนะ แต่เพราะพรุ่งนี้มีงานที่ร้านกาแฟแต่เช้าน่ะสิ
“ วันอื่นละกันนะ วันนี้ฉันไม่ว่าง ”
“ ทำอะไรถึงไม่ว่าง ” หมอนี่นี่กวนประสาทชะมัด ไม่เคยมีใครเคยบอกนายหรือไง ว่าการปฏิเสธด้วยคำว่าไม่ว่างน่ะ นั่นหมายถึงการแสดงความไม่อยากทำสิ่งนั้นๆอย่างมีมรรยาท แต่ฉันก็ได้แต่พูดในใจเท่านั้นล่ะนะ เฮ้ออ
“ ตอนนี้คุณอยู่ไหน อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ... และขอเตือนว่าอย่าโกหก เพราะถ้าผมรู้ ผมจะลงโทษคุณ และจะมาหาว่าผมใจร้ายไม่ได้นะครับ ” เขาพูดสบายๆ แต่มันกลับทำให้ฉันประสาทเสีย
“ ตอนนี้อยู่หอพัก กำลังจะเข้านอน และไม่อยากออกไปไหน ...ค่ะ ” ฉันตอบแบบประชด พร้อมกับเบ้หน้าใส่โทรศัพท์ เผื่อว่ามันจะส่งไปถึงเขาได้ จะได้รู้กันไปเลยว่าฉันน่ะ เกลียดขี้หน้าเขาขนาดไหน
“ ก็ไปแต่งตัวสิ มันจะยากอะไรล่ะ ” เขาทำเสียงหงุดหงิด
“ ก็มันยากตรงที่ฉันไม่อยากไป ”
“ อ่าฮะ งั้นเหรอ สัญญานั่นว่ายังไงแล้วนะ คุณจะต้องเชื่อฟังและทำตัวเป็นคนรักที่ดีใช่มั้ยนะ เอ๊ะ .. แล้วถ้าไม่ทำตามสัญญา ผมก็จะ... ”
“ เลิกเอาสัญญาบ้าๆนั่นมาขู่ฉันซักที ” ฉันตะโกนกลับไปอย่างโกรธจัด
“ ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ไม่มีวัน ”
“ ผมว่าแล้วว่าคุณต้องมาไม้นี้ ผมก็เลยเมมเบอร์โทรศัพท์ของพ่อแม่คุณมาด้วย เผื่อว่าเราจะต้องแต่งงานกันแบบสายฟ้าแล่บ ”
“ คุณนี่มัน .... ”
“ บอกที่อยู่มาเร็ว เดี๋ยวมันจะดึกไปกว่านี้นะ ”
แล้วแบบนี้ฉันจะทำยังไงได้ล่ะ โธ่เอ๊ย... และนี่ฉันต้องสู้รบกับเขาไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย
แล้วในที่สุด ฉันก็ต้องเดินตามเขาต้อยๆ เหมือนตัวอะไรซักอย่าง ส่วนเขาก็เดินผิวปากแบบอารมณ์ดี๊ อารมณ์ดีอยู่ข้างหน้า ชิ เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้จริงๆ
เราทั้งคู่เดินเข้ามาด้านในร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่ง ไม่รู้เขาเรียกกันว่าอะไร แต่อารมณ์ประมาณจะมากินข้าวก็ไม่ใช่ มานั่งดื่มก็ไม่เชิง หรือว่ามานั่งชิลก็ไม่แน่ใจอีก เอาเป็นว่ามันเป็นร้านอะไรซักอย่างนี่ล่ะ
“ เรามาที่นี่ทำไม ” ฉันเร่งฝีเท้าไปเดินข้างเขาและถามคำถามที่ฉันควรจะถามตั้งแต่ลงจากรถ
“ มาเจอเพื่อนผม ” เขาหันมาตอบพร้อมกับคว้ามือฉันไปจับไว้ และเขาก็ดึงฉันให้เดินไปข้างหน้าพร้อมๆกัน
แปลก...ที่ฉันไม่ได้ดึงมือออกทั้งๆที่ควรจะทำ แปลก...ที่ฉันรู้สึกว่ามือนี้อบอุ่นและปลอดภัย แปลก...ที่ตัวฉันขยับเข้าไปเดินใกล้เขาเองโดยที่สมองไม่ได้สั่ง และมันก็แปลก ...ที่ใจฉันมันเต้นแรงผิดปกติ
กลิ่นน้ำหอมเย็นๆของเขาที่ลอยมาแตะจมูก ยิ่งกระตุ้นให้ฉันขยับไปใกล้เขาอีก ฉันไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้นเลยนะ ตัวมันไปของมันเอง และตอนนี้มันก็บังคับให้ฉันหันไปมองเขา
ก่อนหน้านี้ก็พอจะจำได้ลางๆล่ะนะว่าหมอนี่หน้าตาดี แต่ทำไมพอมองใกล้ๆแบบนี้ ฉันว่าเขาชักจะดูดีเกินไปแล้วนะเนี่ย โดยเฉพาะใบหน้าเรียวๆรับกับจมูกที่ตั้งเป็นสันได้รูปนั่น ไหนจะคิ้วเข้มๆบนตาสวยๆของหมอนั่นอีก ยังไม่นับผิวขาวๆและหน้าใสๆของเขาอีกนะ
ถึงว่าสิ ทำไมสาวๆในร้านถึงได้มองเรากันใหญ่ สาเหตุมาจากคนข้างๆฉันนี่เอง พวกหล่อนคงคิดในใจแหละ ว่าหน้าตาแบบฉันไม่น่าจะคู่ควรกับเขา ซึ่งมันก็จริงซะด้วยสิ
“ จ้องหน้าผมนานขนาดนี้ มีอะไรรึเปล่าเนี่ย ” เขาหยุดเดินและใช้มืออีกข้างๆมาลูบแก้มฉันเบาๆ
เมื่อกี้มองด้านข้างยังหวั่นไหว แต่พอเห็นหน้าเขาตรงๆแบบนี้ ฉันยิ่งทำอะไรไม่ถูก สมองถึงกับว่างเปล่าไปชั่วขณะ นี่ฉันคงไม่ได้หลงเสน่ห์หมอนี่...ใช่มั้ย
“ ปะ ปะ เปล่า ไม่ได้มีอะไร ” และฉันก็ได้สติ เมื่อไฟในร้านทั้งหมดเปลี่ยนเป็นแสงสีส้มทึมๆกว่าเดิม รวมทั้งจังหวะดนตรีที่เปลี่ยนไปด้วย
“ ตื่นเต้นมั้ย เป็นกังวลรึเปล่า ” เขาถามด้วยสายตาห่วงใย และในใจฉัน.. ก็เริ่มจะสับสน
ตกลงเขาเป็นคนยังไงกันแน่นะ บางทีก็ดูร้ายกาจจนไม่อยากจะอยู่ใกล้ แต่บางทีเขาก็อบอุ่นอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อว่านั่นจะเป็นคนๆเดียวกัน
ตัวตนจริงๆของเขาคือแบบไหนกันแน่ ฉันไม่รู้จริงๆ
“ ไม่หรอก แปลกใจนิดหน่อย ว่าทำไมต้องพามาเจอเพื่อนคุณด้วย ” ฉันตอบและพยายามที่จะเสมองไปทางอื่นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญกับสายตาของเขา ที่มันทำให้ฉัน...ไม่เป็นตัวของตัวเอง
“ ไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงกับการคบกันของเรานะ แต่สำหรับผม..มันสำคัญ และผมก็จริงจัง ผมจะบอกเหตุผลกับคุณแน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง เพียงแค่ตอนนี้...มันยังไม่ถึงเวลา ” เขายืดตัวขึ้นและเปลี่ยนจากจับมือมาโอบเอวฉันไว้หลวมๆ
“ ตอนนี้หน้าที่ของผม ก็คือทำให้คุณรู้จักผมมากขึ้น ส่วนหน้าที่ของคุณ ก็คือ การพยายามทำความรู้จักผม คนที่เป็นแฟนคุณ และอาจจะเป็นคู่ชีวิตในอนาคตด้วย ”
“ ถ้าคุณพบว่าฉันไม่ใช่ล่ะ คุณจะทำยังไง ”
“ ผมก็คงจะปล่อยคุณไป ” เขาพูดเสียงเรียบ แต่ว่าทำไมใจฉัน...มันถึงกลับเต้นช้าลงแปลกๆล่ะ
“ สวัสดีค่ะ ” ฉันยกมือไหว้ผู้ชายสามคนบนโต๊ะและยิ้มให้พวกเขานิดๆเป็นเชิงทักทาย ก่อนที่จะนั่งลงตรงข้ามกันกับตรงที่พวกเขานั่ง โดยที่มีกราฟฟิกนั่งข้างๆ
ก่อนหน้านี้ เขาเล่าให้ฉันฟังนิดหน่อยว่า เขาทั้งสี่คนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เพราะว่าพ่อแม่สนิทกัน บ้านก็อยู่ใกล้ๆกัน เรียนก็เรียนโรงเรียนเดียวกัน เข้ามหาลัยก็ยังจะเป็นมหาลัยเดียวกันอีก พูดง่ายๆก็คือแทบจะโตมาด้วยกัน เขาจึงอยากให้ฉันมาทำความรู้จักกับเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งต่อไปอาจจะมาเป็นเพื่อนสนิทของฉันด้วย
“ สวัสดีครับ น้องอุ่นใช่มั้ย ” ผู้ชายผิวสีแทนหน้าตาคมเข้มที่นั่งตรงข้ามฉันพอดีเป็นคนเอ่ยปากถามคนแรก
“ ค่ะ ใช่ค่ะ ” ฉันตอบและยิ้มให้เขานิดๆ
“ น่ารักกว่าที่นายกราฟเล่าไว้อีกนะครับเนี่ย ”
ฉันไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงได้แต่ยิ้มให้เขาอีกครั้ง พลางหันไปมองหน้านายแฟนกำมะลออย่างหาตัวช่วย ฉันควรจะวางตัวยังไงดีนะ
ทั้งๆที่ตอนแรกฉันบอกกับตัวเองว่าจะไม่ตื่นเต้นกับการเจอเพื่อนสนิทเขา แต่ตอนนี้บอกตรงๆว่าฉันกำลังตื่นเต้นและกังวัลมากจนถึงขั้นอึดอัด ที่แย่ไปกว่านั้นฉันควบคุมความรู้สึกนึกคิดของตัวเองไม่ได้เลย
เขาเองก็คงจะดูอาการฉันออก จึงยิ้มให้ฉันอย่างให้กำลังใจ และดึงมือฉันมากุมไว้ ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับเพื่อนๆของเขาต่อ
“ อย่าจ้องหน้าแฟนฉันขนาดนั้นสิ หวงนะคร้าบ ” เขาพูดติดตลกแต่เรียกเสียงหัวเราะจากคนในโต๊ะได้เป็นอย่างดี บรรยากาศจึงดูผ่อนคลายขึ้น
“ อุ่นครับ นี่นายอัฐ นายนัท นายฟรีซ เพื่อนสนิมผม ” เขาแนะนำไล่ไปทีละคน และฉันก็ได้แต่พยักหน้าตามตอนมองหน้าพวกเขา ให้ตายเถอะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนปัญญาอ่อนยังไงไม่รู้
“ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณอัฐ คุณนัท คุณฟรีซ ”
“ อย่าเรียกเป็นทางการขนาดนั้นเลยนะครับ เรียกพี่จะดูเป็นกันเองกว่า ” คนที่ชื่อฟรีซพูดและขยิบตาให้ฉันหนึ่งทีอย่างขี้เล่น แต่เหมือนมีอะไรซักอย่างทำให้ฉันไม่สามารถละสายตาออกมาได้
เขาเป็นคนผิวขาวจัด และมีรูปร่างค่อนข้างผอม ใบหน้าเรียวสวย รวมทั้งคิ้วเข้มๆกับดวงตายาวรีนั่น ริมฝีปากที่ดูเหมือนยิ้มนิดๆอยู่ตลอดเวลาก็ยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์ ถึงแม้ว่าผมทรงรากไทรสีน้ำตาลเข้มจะทำให้หน้าเขาดูซีดไปหน่อยในสายตาฉัน แต่ว่ามองรวมๆแล้วเขาจัดว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมากๆ แถมบางมุมยังสวยเหมือนผู้หญิงอีกต่างหาก เขาดูโดดเด่นจริงๆ
“ ตกลงตามนี้นะครับ ” เขาพูดย้ำอีกที ซึ่งนั่นทำให้ฉันได้สติ หลังจากที่รู้สึกว่าตัวเองจะมองหน้าเขานานเกินไป
“ ค่ะ ”
หลังจากนั้นเราก็นั่งทานข้าวกันไป คุยกันไปอย่างสนุกสนาน ไม่สิ จะพูดให้ถูกต้องบอกว่าเขาแค่สี่คนมากกว่า แต่มันก็ดีไปอีกแบบ เพราะจริงๆฉันก็ไม่อยากให้ใครมาสนใจฉันอยู่แล้ว ไม่ต้องมองมาที่ฉัน มองผ่านฉันไปเลยยิ่งดี
“ ทำไมน้องอุ่นดูเงียบๆจัง ไม่สนุกเหรอคะ ” นายอัฐ เอ่อ..พี่อัฐน่ะ ถามฉันขึ้นมาหลังจากที่กราฟไปเข้าห้องน้ำ
“ เปล่าหรอกค่ะ อุ่นแค่ไม่รู้จะพูดอะไร ฟังเฉยๆก็สนุกดี ” ฉันยิ้มเจื่อนๆ
เขาเองก็จัดว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คมเข้มเหมือนนัท หรือว่าโดดเด่นเหมือนฟรีซ แต่เขาก็มีรูปร่างสูงใหญ่พอดู ใบหน้าตี๋ๆนั่นก็คงจะทำให้สาวๆกรี๊ดได้ไม่น้อยล่ะ ฉันว่านะ
“ น้องอุ่นยังเรียนอยู่ใช่มั้ยครับ ” เขายังชวนฉันคุยต่อ
“ ใช่ค่ะ ตอนนี้อุ่นอยู่ปีสี่ ใกล้จบแล้วล่ะค่ะ คุณอัฐ ”
“ คงคุณอะไรกัน เรียกพี่เถอะ ดูสนิทกว่าตั้งเยอะ ถึงแม้ว่าไอ้อัฐกับไอ้นัทมันจะหน้าแก่ก็เถอะนะ ฮ่าๆ ” ฟรีซพูดแทรกแบบขำๆ และหลังจากนั้นก็โดนทั้งคู่มองด้วยสายตาโหดเหี้ยม พลางเอื้อมมือไปตบหัวเขาด้วย
ฉันอดกลั้นยิ้มออกมากับท่าทางเด็กๆของพวกเขาไม่ได้ ดูไปดูมาพวกเขาก็น่ารักดีนะ อืม..แล้วนายกราฟล่ะ จะเป็นแบบเดียวกันรึเปล่า เอ๊ะ แล้วนี่ฉันจะไปคิดถึงหมอนั่นทำไมกัน
“ โห น้องอุ่นยิ้มแล้วน่ารักดีนะ ดีกว่าหน้าบึ้งตั้งเยอะ ” พี่นัทเองก็เริ่มจะแซวฉัน
“ นั่นสิ เอางี้ เลิกคบกับไอ้กราฟมันเหอะ มาคบพี่แทนดีกว่า ” ฟรีซแกล้งทำหน้าจริงจัง และยื่นหน้ามาพูดกับฉันด้วยเสียงที่พยายามดัดให้ดูหล่อ ซึ่งมันดูตลกมากกว่า
ฉันเองก็รู้ว่าเขาแค่พูดเล่น แต่มันก็ยังรู้สึกเขินๆอยู่ดี ยิ่งพอมองหน้าเขา ฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงไปใหญ่
“ ให้มันน้อยๆหน่อยนะครับ ไอ้คุณเพื่อนทั้งสาม โดยเฉพาะแก ไอ้ฟรีซ นี่แกจะจีบแฟนฉันหรือไง ” กราฟเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พอรู้อีกทีเขาก็นั่งข้างฉันเรียบร้อยแล้ว แถมยังเอามือมาโอบไหล่ฉันอีก
ส่วนคนถูกว่าก็ยิ้มหน้าทะเล้นและยักคิ้วกวนๆให้กราฟ ก่อนที่จะหันมามองหน้าฉัน แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก
“ ก็แฟนแกน่ารักดี ”
“ นี่ใจคอแกจะจีบแฟนฉันต่อหน้าฉันเลยรึไง ไอ้เพื่อนเวร ” กราฟพูดขำๆ
“ ถ้าฉันจีบ แกจะว่าไง ”
“ ฉันเอาแกตายแน่ เพื่อน ” ฟรีซไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ยกแก้วเบียร์ของตัวเองมาดื่ม
พอหันไปมองกราฟ ก็เห็นว่าเขากำลังทำหน้าบึ้งตึงเหมือนไปโกรธใครมาอย่างนั้น ทั้งๆที่เมื่อกี้เขายังอารมณ์ดีอยู่เลย เขามองหน้าฟรีซอย่างน่ากลัว ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้ดูเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลย
ฉันก็ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเองหรือว่าอะไรหรอกนะ แต่ต้นเหตุมันเป็นเพราะฉันหรือเปล่า
“ แกนี่ขี้หวงจริงๆเลย ” ฟรีซพูดหน้านิ่งๆ
แล้วอยู่ๆ คนทั้งโต๊ะก็หัวเราะครืนตามกราฟฟิกและฟรีซ ยกเว้นฉัน ที่ตอนนี้ทำหน้าเอ๋อรับประทานไปเรียบร้อย ให้ตายเถอะ ฉันไม่เข้าใจในมิตรภาพของผู้ชายจริงๆ สรุปว่าเมื่อกี้ มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่น ...อย่างนั้นใช่รึเปล่า
“ อุ่น เป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า ” กราฟคงจะเห็นว่าฉันเงียบไป จึงหันมาถามฉันด้วยสายตาเป็นกังวล และเอามือมาทาบหน้าผากฉันด้วย
“ เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร....ค่ะ ” ต่อหน้าเพื่อนเขา ฉันควรจะรักษามรรยาทไว้หน่อย ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบขี้หน้าเขาเท่าไหร่ แต่ฉันก็ไม่ควรทำให้เขาเสียหน้า
“ น้องอุ่นคงจะเบื่อพวกเราแล้ว ” พี่นัทพูดหน้าเศร้า (เขาแกล้งทำนั่นแหละ)
“ เปล่าค่ะ อุ่นแค่ง่วงๆ นิดหน่อย ” ฉันตอบและยิ้มให้พวกเขาอย่างจริงใจ
จะว่าไป คุยกับพวกเขาก็สนุกดี ถึงแม้ว่าเราเพิ่งจะพบกันครั้งแรก แต่พวกเขาก็ดีกับฉันมาก ทั้งๆที่ฉันก็ไม่ค่อยดูจะเป็นมิตรซักเท่าไหร่ แถมยังทำให้บรรยากาศมันดูไม่อึดอัด ฉันเองก็ลดความกดดันไปได้ตั้งเยอะ ตรงๆเลยนะ ฉันคิดว่าพวกเขาน่าคบมากกว่าคนที่นั่งข้างๆซะอีก
“ ว้า แสดงว่าพวกพี่น่าเบื่อใช่มั้ยเนี่ย ” ฟรีซแซวต่อ
“ เปล่านะคะ วันนี้อุ่นไปเรียนทำอาหารมาทั้งวันน่ะค่ะ ก็เลยเหนื่อยๆ ” ซึ่งฉันก็เหนื่อยจริงๆนั่นแหละ วันนี้ฉันยืนทำอาหารตลอด ไม่ได้นั่งเลย และนี่มันก็ดึกมากแล้วด้วย ช่วงเวลานี้มันควรจะเป็นเวลาพักผ่อนของฉันสิ
“ กราฟ นายพาน้องอุ่นกลับเถอะ นี่ก็จะเที่ยงคืนแล้ว จะได้ขับรถกลับไม่ดึกมาก ” พี่อัฐพูด
แต่ฉันว่านี่มันไม่น่าจะเรียกว่าดึกแล้วนะ ก็มันจะขึ้นวันใหม่อยู่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้วน่ะสิ ไม่รู้ว่าปกติพวกเขากลับบ้านกันกี่โมงกันแน่ ดูแต่ละคนไม่เห็นจะมีใครดูง่วงเหงาหาวนอนซักนิด แถมยังดูจะสดชื่นสดใสดีซะอีกเถอะ
“ อืม เอางั้นก็ได้ งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่เดิม ” เขาขยิบตาให้เพื่อนๆ และประคองฉันลุกจากเก้าอี้
“ อย่าหวานกันมาก อิจฉาว่ะ บอกตรงๆ ”
“ แกก็หาซักคนสิ ฟรีซ ”
“ ถ้าไม่ได้แบบแฟนแกฉันไม่เอา ฮ่าๆ ”
ไม่รู้ฉันคิดไปเองรึเปล่า แต่ฉันรู้สึกว่ามือของกราฟฟิกที่โอบอยู่นั้นกระชับแน่นขึ้น ฟรีซเองก็เอาแต่จ้องหน้าฉันไม่หยุด ฉันจึงหันไปยิ้มให้คนอื่นแทนเพื่อลดอาการประหม่าที่มันกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง
บรรยากาศในโต๊ะเองก็เริ่มไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของฟรีซรึเปล่าที่ทำให้เป็นแบบนี้ แต่ฉันเองก็มองไม่เห็นสาเหตุอื่น
แต่ฉันคิดว่าเขาคงแค่อยากแกล้งฉันเท่านั้นแหละ หรือบางทีเขาอาจจะแค่ล้อเล่นกับเพื่อนเขาก็ได้ ฉันคงจะเข้าใจผิดไปเอง
“ เราไปกันเถอะ ฉันง่วงแล้วนะคะ ” ฉันหันไปพูดกับเขาเสียงหวาน และเกาะแขนเขาเพื่อเราจะได้ออกจากสถานการณ์ตรงหน้านี้ซักที
เขาเองก็ดูจะงงๆกับท่าทางของฉันที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แต่ฉันเองก็ไม่สนใจและยังเสแสร้งแกล้งทำต่อไป ทั้งที่จริงๆไม่ได้อยากจะอยู่ใกล้เขาด้วยซ้ำ
“ อ่าฮะ รับทราบครับผม ” เขายิ้มหวานให้ฉันอย่างน่าขนลุก หวังว่าตานั่นคงจะไม่เข้าใจผิดคิดว่าฉันพิศวาสเขาหรอกนะ
“ อุ่นไปก่อนนะคะ พี่อัฐ พี่นัท พี่ฟรีซ ” ฉันโบกบือบอกลาเขาเบาๆ และยิ้มอีกทีก่อนที่จะถูกกราฟลากออกไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ระหว่างที่เราเดินกลับไปที่รถ เขายังไม่ยอมปล่อยมือที่โอบฉันไว้ และยังบีบมันแรงขึ้นจนฉันรู้สึกเจ็บ ไม่รู้ว่าโมโหเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลย
ใครๆก็ว่ากันว่าผู้หญิงน่ะเข้าใจยาก แต่ฉันว่าจริงๆแล้วสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้ชายน่ะ เข้าใจยากกว่าร้อยเท่า แถมเรายังเดาความคิดพวกเขาไม่ได้อีก
“ มันเจ็บนะ ” ฉันพูดตอนที่เขาเปิดประตูและยัดฉันลงไป
“ ทำไมพูดไม่เพราะเลยล่ะ ทีเมื่อกี้ยังพูดหวานกับคนอื่นได้อยู่เลย แต่พอกับแฟนนี่ขึ้นเสียงใส่ ” เขาพูดจบก็ปิดประตูใส่หน้าฉันและเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ
“ ถ้าไม่เต็มใจจะไปส่งก็ไม่ต้องไป ฉันจะกลับเอง ” ฉันพูดและเอื้อมมือจะไปเปิดประตู แต่เขาก็กดล็อคมันซะก่อน พอหันไปมอง เขาเองก็กลับทำหน้ายิ้มเยาะใส่ฉัน
“ ใครบอกไม่เต็มใจ ผมจะอุ้มคุณไปส่งให้ถึงบนเตียงเลย ที่รัก ”
ความคิดเห็น