ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4
บทที่ 4
ภายในห้องนอนสีฟ้า  เจ้าของห้องยืนพิงกรอบหน้าต่างที่เฝ้ามองดูเขาตั้งแต่เธอขอตัวกลับขึ้นห้องมาก่อน จนกระทั่งเขากลับไปแล้ว ปวีณาก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม  นัยน์ตาหวานดูหมองเศร้า จ้องมองภาพถ่ายในมืออย่างสับสน 
ภาพคู่ของเธอกับเขาเมื่อครั้งเก่านั้น ก่อนที่เขาจะหายไปจากชีวิตเธอ  ความหลังที่หวานชื่นปนขมขื่นหวนคืนกลับมาให้นึกถึงอย่างไม่ตั้งใจ .
“พี่เมฆมาถึงแล้วเหรอคะ    ค่ะๆ เดี๋ยวฝ้ายจะรีบไป”  วางสายลง ก็ได้รับเสียงแซวจากบรรดาเพื่อนๆ ที่เงี่ยหูแอบฟังกันเป็นแถว  จนปวีณาอายหน้าแดง แสร้งโวยวายกลบเกลื่อน
“พวกแกมีญาติเป็นนกหวีดกันหรือไงห๊ะ  ไม่เคยเห็นคนคุยโทรศัพท์เหรอ”
“คนคุยโทรศัพท์น่ะเคยเห็น  แต่ไม่เคยเห็นคนบ้ามีความรักอ่ะ”  หนึ่งในกลุ่มเพื่อนแซวขึ้นมาทำให้คนอื่นพากันรับคำอย่างเห็นด้วย
“เอ๊ะ! ก็บอกแล้วไง  พี่ชาย! น่ะเข้าใจมั้ย”  เท้าสะเอวขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด ทั้งที่ในใจหวิวๆ ชอบกลเมื่อพูดคำนี้
“ไม่เข้าใจ”  บรรดาเพื่อนตัวแสบลากเสียงประสานกันพร้อมกันอย่างยียวน
“ฮึ้ย!  ฉันไม่พูดกับพวกแกแล้ว ไปดีกว่า”  เมื่อทำอะไรไม่ได้  ปวีณาเลยรีบพาตัวเผ่นออกมาจากห้องอย่างขัดใจ  ได้ยินเสียงหัวเราะของเพื่อนดังตามหลัง จนเจ้าตัวต้องกัดฟันกรอด รีบก้าวเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
ใบหน้าคมคายของร่างสูงในชุดนักศึกษายืนพิงรถสีดำคันหรู อยู่ข้างโรงเรียนสตรีชื่อดัง  เป็นที่สะดุดตาเหล่านักเรียนหญิงแทบทุกคน ในช่วงเย็นที่พากันเดินออกมาจากโรงเรียน  ต่างเฝ้ารอดูผู้โชคดีที่ชายหนุ่มมารอรับ 
ทันทีที่เห็นร่างบางเดินออกมา  เมฆาก็รีบก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว คว้ากระเป๋าถือของอีกฝ่ายมาถือไว้อย่างรู้หน้าที่ เปิดประตูให้หญิงสาวขึ้นนั่งแล้ววางกระเป๋าไว้เบาะหลัง รีบอ้อมกลับไปประจำที่แล้วขับรถคันหรูออกไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาอิจฉาของใครหลายคน
ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่  เมฆาเหลือบมองหญิงสาวข้างตัวที่แสร้งนั่งชมวิวข้างทาง  สายตาคมทอประกายหวานวาววับ ทอดมองร่างบางอย่างแสนรัก
“วันนี้เรียนหนักมั้ย”  ถามเสียงหวานอย่างเป็นห่วง
“นิดหน่อยค่ะ  ฝ้ายว่าจะลงเรียนพิเศษเพิ่ม พี่เมฆว่าดีมั้ยคะ”  เสียงใสรับคำพร้อมขอคำปรึกษาคนข้างๆ
“ไม่ดีจ้ะ”  ตอบกลับมาเสียงเข้ม 
ปวีณาส่งสายตาเป็นคำถาม มองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ  ‘ปกติถ้าเป็นเรื่องเรียน พี่เมฆมักจะเห็นด้วย แต่ไหงคราวนี้ว่าไม่ดีหว่า’
“ถ้าเรียนกับคนอื่น  พี่ว่าไม่ดี  แต่ถ้าเรียนกับพี่ก็ว่าไปอย่าง”    เมฆาหันมาตอบ นัยน์ตาสีสนิมวาววับสื่อความหมายบางอย่าง จนปวีณาต้องหลุบสายตาลงไม่กล้าสบตา ใบหน้าใสเป็นสีระเรื่อขึ้น จนคนมองลอบยิ้มอย่างพอใจ
“ฝ้ายจะเรียนอะไรล่ะ พี่จะสอนเอง เริ่มอาทิตย์หน้าเลยละกัน พี่ว่างพอดี  ไม่ต้องไปเรียนกับคนอื่นหรอก  พี่หวงรู้มั้ย”    เสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยน ทำเอาคนฟังใจเต้นแรงเสียจนกลัวคนข้างๆ จะได้ยิน
“ฝ้ายยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะเรียนกับพี่นะคะ”  ค้านเสียงใส ทั้งที่ในใจตอบตกลงไปเรียบร้อยแล้ว
“โห...ฝ้าย อย่าใจร้ายอย่างนี้สิ  เรียนกับอาจารย์คนนี้ไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาทนะ  แถมยังมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าคนนี้คนเดียว ด้วยการไปรับไปส่งทุกวันเลย”  ท้ายเสียงนั้นออดอ้อนจนคนฟังลอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ถ้าให้ดีต้องเลี้ยงหนังอาทิตย์ละเรื่อง”  ปวีณาเอ่ยอย่างลอยๆ ในใจนั้นรอลุ้นว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงหรือไม่
“โอเคเลยครับผม  งั้นประเดิมวันนี้เลยละกัน”  ปวีณาอมยิ้มอย่างชอบใจ ใบหน้าใสยังคงมีสีชมพูจางๆ    โดยมีเมฆามองดูอย่างอ่อนโยน และปวีณายิ่งหน้าแดงขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเอ่ย
“อะไรที่พี่ทำได้ แล้วฝ้ายจะมีความสุข พี่พร้อมจะทำเสมอ”
ความสัมพันธ์ของเขากับเธอก็ดูเหมือนจะพัฒนาเกินกว่าคำว่า ‘พี่น้อง’ เข้าไปทุกที  ท่าทางของเมฆาที่แสดงออก  ปวีณาก็พอที่จะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรหากไม่คิดเข้าข้างตัวเอง  ความกังวลไม่มั่นใจก่อเกิดขึ้นเล็กๆ ในหัวใจดวงน้อยๆ  ว่าสิ่งที่เขาแสดงออกนั้นมาจากความผูกพันฉันท์พี่น้อง  หรืออย่างที่ชายหนุ่มแสดงออกต่อหญิงสาวที่รัก  เธอไม่อาจเข้าใจได้ เมฆาไม่เคยพูดสิ่งนี้ออกมาชัดๆ ให้เธอได้รับรู้   
เธอเฝ้ารักเขามาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก  อาจดูไม่น่าเป็นไปได้  แม้แต่เธอเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน  ว่าจะมีเขาเข้ามาอยู่ในใจ  ยิ่งตอนนี้รู้แต่เพียงว่าไม่อยากให้เขาห่างหายไปจากเธอ  อยากให้อยู่กับเธอคนเดียวตลอดไป  จนบางครั้งเธอก็กลัวความรู้สึกนี้ ‘ความเห็นแก่ตัว’ ที่อยากจะครอบครองคนที่เรารัก    เธอกลัวว่าในอนาคตมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้รักนี้ต้องจบลง
ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี อบอวลไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นที่อีกฝ่ายมีให้เสมอมา  มันกลับแห้งผากลงทันตาที่ได้เห็น ‘พี่เมฆ’ กับผู้หญิงอีกคนที่เธอไม่รู้จัก  ท่าทีที่สนิทสนมของคนทั้งสองที่เธอบังเอิญเห็นขณะไปหาซื้อหนังสือที่ห้างสรรพสินค้ากับเพื่อนๆ 
ภาพฝ่ายหญิงเดินควงแขนพี่เมฆของเธอเข้าออกร้านโน้นร้านนี้  โดยที่เขาไม่มีท่าทีรังเกียจ กลับยิ้มแย้มแจ่มใส  ทำให้ใจดวงน้อยของคนที่มองอยู่เจ็บแปลบขึ้นมา  ยิ่งเห็นสายตาของหญิงสาวคนนั้นที่หันมาเหมือนเห็นเธอ ส่งยิ้มคล้ายเย้ยหยันมาให้  ปวีณาก็หันหลังวิ่งออกไปอีกทางที่ตรงกันข้ามกับทั้งคู่  ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนๆ ก่อนจะพากันวิ่งตามออกไปอย่างสงสัย
เมฆาเคยบอกกับเธอว่าเขาไม่ชอบที่จะเดินเที่ยวห้างฯ  เมื่อครั้งที่เธอเคยอ้อนขอให้เขามาเดินเป็นเพื่อน  พออ้อนมากเข้าเมฆาก็หน้ามุ่ยทันที จนเธอไม่เคยเอ่ยปากชวนเขาอีกเลยนับจากนั้น  แต่วันนี้เขากลับมากับอีกคนที่ไม่ใช่เธอ  ทำในสิ่งที่บอกว่าไม่ชอบ  มันหมายความว่ายังไง  มิน่าล่ะที่โทรมาบอกเธอเมื่อเย็นว่ามารับไม่ได้เพราะติดธุระสำคัญ  นี่เอง ธุระที่ว่า  มันคงสำคัญกับเขามากกว่าเธอ เพียงแค่คิดน้ำตาก็รื้นขึ้นคลอนัยน์ตาคู่สวย
“ทำอะไรอยู่จ้ะ  พี่มารอนานแล้วนะ”  เมฆาถามทันทีที่เห็นร่างบางเดินมาทางเขา
“มีประชุมห้องนิดหน่อยค่ะ”  เสียงใสตอบเนือยๆ บวกกับใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่าย  ทำให้คนถามคิ้วขมวดเข้าหากัน
“ฝ้ายเป็นไรหรือเปล่าจ้ะ ทำไมวันนี้ดูซึมๆ มีปัญหาอะไรบอกพี่ได้นะ”  เมฆาคว้ามือบางมากุมไว้หลวมๆ อย่างเป็นห่วง น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน จนหัวใจคนฟังเต้นระรัว
ปวีณาแหงนสบตาคนตรงหน้าที่มองมา แล้วต้องรีบหันหน้าหนี ปิดกั้นความดีใจกับอาการเป็นห่วงเป็นใยของเขาที่ส่งมาให้  เธอไม่เข้าใจว่าเขาจะมาห่วงเธอทำไม ในเมื่อสิ่งที่เขาทำเมื่อวานนั้นเป็นการทำร้ายเธอชัดๆ เสียงใสตอบกลับอย่างเบาๆ
“ปล่าวค่ะ  ฝ้ายแค่เครียดกับเรื่องเรียน”  บอกจบก็เมินหน้ามองไปทางอื่น
เมฆามองใบหน้าหวานที่หันหนีเขาไปอย่างไม่เข้าใจ ว่าเธอเป็นอะไรไป คล้ายกับไม่อยากเห็นหน้า เขา  ลองถามตัวเองในใจว่าเขาทำอะไรผิดต่อเธอหรือก็เปล่า  แล้วทำไมน้องฝ้ายของเขาถึงมีอาการเช่นนี้ หรือว่าเมื่อวานที่เขาไม่มาหา จะทำให้เธอน้อยใจ
“ฝ้ายโกรธพี่เรื่องเมื่อวานหรือเปล่าจ้ะ”  ถามอย่างสงสัยว่าเรื่องนี้ใช่สาเหตุของอาการเมินที่แสดงอยู่หรือไม่
“ไม่ค่ะ ฝ้ายไม่ได้โกรธ ก็พี่เมฆบอกเองไม่ใช่หรือคะ ว่ามี ‘ธุระสำคัญ’  แล้วฝ้ายจะโกรธพี่เมฆทำไมล่ะคะ  หรือว่ามันไม่ใช่ธุระสำคัญจริงๆ พี่เมฆถึงได้อยากรู้ว่าฝ้ายจะรู้สึกยังไง”  เสียงใสตอบกลับเรียบๆ แต่คนฟังแทบสะอึกด้วยความกังวลอย่างปิดไม่มิด
“เปล่าจ้ะ พี่ก็แค่ถามเฉยๆ กลัวฝ้ายจะโกรธก็เท่านั้นเอง”  นัยน์ตากลมมองท่าทางหลุกหลิกของอีกฝ่ายอย่างเจ็บปวด  รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ ที่ยอมให้เขาหลอก ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก
“พี่เมฆมีอะไรอยากจะบอกฝ้ายมั้ย”  ปวีณาทนความคับข้องใจไม่ไหว เอ่ยถามลองเชิง อยากให้เขาพูดในสิ่งที่เธออยากรู้
“ไม่มีนี่จ้ะ”  หน้าตาและน้ำเสียงแย้มยิ้ม เหมือนไม่มีเรื่องใดปิดบัง
“แน่ใจนะคะ”  ถามย้ำอีกครั้งอย่างให้โอกาส
“แน่ใจสิ  ทำไมวันนี้ฝ้ายถามพี่แปลกๆ มีอะไรหรือเปล่า  หือ?...”    คิ้วเข้มชนกันอย่างสงสัย
“ไม่มีค่ะ  เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ”  หญิงสาวตัดบทเสียงเรียบ  ก้าวเดินไปยังรถคันหรูของเมฆา
“โอเคครับ ข้าน้อยรับคำบัญชา”  เมฆาบอกอย่างเอาใจ เปิดประตูรถให้หญิงสาว  แล้วรีบวิ่งไปประจำที่ โดยไม่ทันสังเกตนัยน์ตาหวานที่บัดนี้ฉายแววเจ็บช้ำออกมา
จากที่เคยแวะเวียนมาอย่างสม่ำเสมอก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป เหลือแต่เพียงโทรหาเท่านั้นถ้าไม่สามารถมาได้  ปวีณาเคยลองโทรหาเขาก่อน แต่ก็ได้รับแต่เพียงสัญญาณตอบรับที่บ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายปิดเครื่อง หรือเสียงของการตัดสายสัญญาณ  เธอต้องรอให้เขาเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อนแทบทุกครั้งถึงจะได้ยินเสียงทุ้มๆ ที่คิดถึง
เพียงแค่นี้ปวีณาก็เริ่มแน่ใจ ว่าพี่เมฆของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  ทุกถ้อยคำหวานที่ยังมีมาให้ได้ยิน ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกยินดีเหมือนครั้งแต่ก่อนเลย  เธอได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะเหมือนเดิม
และแล้วเธอก็ได้รู้ถึงสาเหตุของท่าทางที่เปลี่ยนไปของเมฆา ในเย็นวันหนึ่งที่เขาไม่สามารถมาหาเธอได้อีกเช่นเคย  ทันทีที่ปวีณาก้าวเท้าออกจากโรงเรียน หญิงสาวร่างโปร่ง ใบหน้าสวยคม ดูรุ่นราวคราวเดียวกับเมฆาก็เข้ามาหาเธอ  นัยน์ตาหวานได้แต่มองสาวสวยตรงหน้าด้วยความสงสัย  จนอีกฝ่ายต้องเอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่แน่ใจเช่นกัน
“น้องชื่อฝ้ายหรือเปล่าคะ?”  เอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
“ใช่ค่ะ  มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”    ปวีณารู้สึกคุ้นตาคนตรงหน้ามากเหมือนเคยพบเจอที่ไหนมาก่อน แล้วพลันนึกออกเมื่อได้ยินเสียงบอกกล่าวของอีกฝ่าย
“พี่ชื่อทราย เป็น ‘คนสำคัญ’ ของเมฆ    เค้าเคยพูดถึงน้องให้พี่ฟัง  พี่ก็เลยอยากมาเห็นหน้าน้องสักครั้ง แต่พอดีเมฆเค้าไม่ว่าง  พี่เลยมาเองน่ะจ้ะ”  ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีสวยเน้นย้ำคำว่าคนสำคัญ เหมือนอยากจะบอกให้รับรู้ความนัยของประโยค  ท่าทางที่ดูเป็นมิตรในคราแรก เปลี่ยนไปจนรู้สึกได้ ว่าผู้มาเยือนไม่ได้ต้องการเป็นมิตรด้วย
“เหรอคะ  พี่ก็ได้เห็นแล้วนะคะ  งั้นฝ้ายคงต้องขอตัว”  ปวีณารู้สึกไม่อยากสนทนากับคนตรงหน้า  ผู้หญิงคนนี้คือคนเดียวกับที่เธอเห็นอยู่กับเมฆาในวันนั้น  อะไรบางอย่างร้องเตือนให้รีบไปจากตรงนี้ซะ ถ้าไม่อยากเจ็บปวดอีก  ทำให้สองเท้าก้าวอย่างเร็ว
“เดี๋ยวก่อนสิคะ  พี่มีเรื่องอยากคุยกับน้อง  พอจะมีเวลาให้พี่มั้ย”  สาวรุ่นพี่รีบดักหน้าร่างบางไว้  ไม่ให้หนีไปไหน
ปวีณามองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ  ก่อนจะพยักหน้าตกลง เมื่ออีกฝ่ายมุ่งมั่นเสียจนเธอมั่นใจว่าถ้าไม่ตอบตกลง ก็คงไม่ได้ไปจากตรงนี้แน่  เดินตามหญิงสาวที่บอกเธอว่าเป็นคนสำคัญของเมฆา ไปคุยกันในที่ที่เป็นส่วนตัวมากกว่านี้  เมื่อเดินเข้ามาถึงสวนสาธารณะข้างโรงเรียน  ฝ่ายที่เดินนำอยู่ก็หันมาพูดกับเธออย่างจริงจัง
“พี่จะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ  น้องคิดยังไงก็เมฆเค้า”
“ฉันจะคิดยังไง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะคะ”  ย้อนถามอีกฝ่ายเสียงเรียบ  มองคนตรงหน้าอย่างประเมิน
“ก็ไม่เกี่ยวหรอกนะ  แค่อยากจะบอกให้รู้ไว้ว่าเมฆเขาเป็นของฉัน  เขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเธอหรอกนะ  ก็แค่คนรู้จักที่อย่างมากก็เป็นได้แค่น้อง  เมฆเขาใจดี อาจจะทำให้ใครบางคนคิดได้ว่าเขารู้สึกพิเศษด้วย”  ถ้อยคำเรียกขานเริ่มเปลี่ยนเมื่อรับรู้ว่าสาวน้อยตรงหน้าเข้าใจดีว่าเธอมาด้วยเหตุใด
“เขาให้คุณมาบอกฉันหรือคะ”  ปวีณาพยายามบังคับไม่ให้เสียงสั่น  กลั้นใจถาม
หญิงสาวรุ่นพี่ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเคลือบพิษร้าย  กล่าวถ้อยคำไปเรื่อยๆ ที่คาดว่าทำร้ายจิตใจคนฟังได้เท่าไรยิ่งดี
“เมฆเขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก  แต่ฉันเห็นว่าเขาอึดอัดแค่ไหน ที่ต้องมาคอยดูแลเธอน่ะ  เธอยังเด็กอยู่  ยังมีโอกาสได้เจอคนอีกมากมาย  อย่ามาเป็นตัวเกะกะเมฆเขาอีกเลย”  คำที่ได้ยินทำเอาคนฟังแทบล้มทั้งยืน ใบหน้าซีดเผือด สองมือเย็นเฉียบกับคำว่า ‘ตัวเกะกะ’
ฝ้ายไม่มีค่าสำหรับพี่เลยใช่มั้ย?  เป็นได้แค่เพียงตัวขวางความสุขของพี่หรอกหรือ?  ที่ผ่านมาพี่ต้องทนอึดอัดกับการเอาใจใส่ฝ้ายอย่างนั้นใช่มั้ย?  ปวีณาถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่เข้าใจ  ตอนนี้เขาคงเบื่อเธอแล้วสินะถึงได้ห่างหายไป
“ขอบคุณนะคะที่ทำให้ฉันรู้อะไรมากขึ้น  แต่นี่เป็นเรื่องของฉันกับเขา  คุณไม่เกี่ยว ถึงแม้เขาจะไม่รู้สึกพิเศษกับฉันก็ตาม”  ม่านน้ำบางๆ พลันเอ่อขึ้นอย่างห้ามไม่ได้  แต่เจ้าตัวพยายามกลั้นไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น  เชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี
“ก็ช่วยไม่ได้นะ ถ้าอยากจะทำร้ายตัวเอง  อ้อ! จะบอกให้อีกอย่างนะ  ว่าที่เขาไม่ค่อยมาหาเธอน่ะ  เขาอยู่กับฉัน”  ถ้อยคำสุดท้ายที่ได้ยิน ยิ่งตอกย้ำให้เจ็บมากกว่าที่เป็น  สองเท้าที่ยืนอย่างมั่นคงเริ่มไร้เรี่ยวแรง แต่เจ้าตัวพยายามฝืนไว้อย่างสุดกำลัง
เมื่อเห็นสาวน้อยตัวสั่นสะท้านกับคำพูดของหล่อน  มุมปากเคลือบสีสวยก็ยิ้มพรายอย่างผู้ชนะ  ‘เด็กเมื่อวานซืน คิดจะมาแข่งกับฉันหรือยะ  ฝันไปเถอะ  แค่คำพูดไม่กี่คำก็รับไม่ได้ซะแล้ว อย่าหวังจะมาแข่งกับฉันเลย  เมฆเค้าต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น’
“ที่ฉันจะพูดก็มีแค่นี้แหละ  หวังว่าเธอคงจะเข้าใจที่ฉันบอกนะ  ฉันมาเตือนก็ด้วยความหวังดี  อยู่ห่างๆ เขาซะ ถ้าไม่อยากเจ็บปวด”  สาวสวยรุ่นพี่จากไปอย่างมีชัย  ทิ้งให้สาวน้อยที่อยู่เบื้องหลังยืนน้ำตาคลอเบ้า
‘ตาสว่างได้แล้วยัยฝ้ายหน้าโง่  รู้แล้วใช่มั้ยเหตุผลของทั้งหมด  เธอมันก็แค่เด็กที่ให้เขาหลอกเล่นไปวันๆ เท่านั้น  เลิกฝันกลางวันซะที เขาไม่เคยคิดกับเธอเหมือนอย่างที่เธอคิดกับเขาหรอก’  ปวีณาก่นด่าตัวเองให้เจ็บยิ่งขึ้น  จะได้ตอกย้ำเข้าไปลึกๆ ให้จำความเจ็บนี้ไว้ เพื่อไม่ให้มีซ้ำสอง  สลัดม่านน้ำตาและกลืนก้อนสะอื้นลงคอ  สองมือบางปาดคราบน้ำตาให้หมดไป  ก้าวเดินออกจากสถานที่ที่ทำให้รู้ความจริงที่เจ็บปวดด้วยแววตาเลื่อนลอย
หลังจากนั้นไม่ว่าเมฆาจะพยายามติดต่อเธอเท่าไร  เธอก็ไม่เคยคิดจะพบหรือพูดคุยกับเขาอีกเลย  ทั้งที่ในใจนั้นร่ำร้องถึงเขาตลอดเวลา  จนกระทั่งอีกฝ่ายทนไม่ไหว มานั่งดักรอเธอที่หน้าบ้าน
ร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ทำให้ความรู้สึกคิดถึงแล่นปราดเข้าหาใจดวงน้อย  สองเท้ากำลังจะก้าวเข้าไปหาด้วยความคุ้นเคย พร้อมๆ กับที่อีกฝ่ายก็ก้าวเข้าหาเธอเช่นกัน  ถ้อยคำบาดหูที่แว่บเข้ามาในจิตใต้สำนึก ทำให้ปวีณาหยุดชะงัก  เปลี่ยนเป็นเดินอย่างช้าๆ ผ่านชายหนุ่มไปอย่างไม่สนใจ แม้จะได้ยินเสียงเรียกเธอก็ตาม
เมฆาคว้าข้อมือร่างบางไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะเดินเข้าบ้าน แตะไหล่บางให้หันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ
“หลบหน้าพี่ทำไม...ฝ้าย”  ถามเสียงเข้ม อย่างข้องใจ
“ฝ้ายไม่ได้หลบ ทำไมต้องหลบ ไม่จำเป็นสักนิด”  ตอบอย่างรวนๆ ไม่มองหน้าคู่สนทนาที่ตอนนี้อารมณ์เริ่มคุกรุ่น เมื่อเธอมึนตึงใส่เขาอย่างไม่มีสาเหตุ
“แล้วที่ทำอยู่นี้จะให้พี่เรียกว่าอะไรล่ะ”  มือที่จับข้อมือหญิงสาวไว้เริ่มกำแน่นเป็นรอยแดงตามแรงอารมณ์
“ก็แล้วแต่จะคิด”  ปวีณานิ่วหน้าด้วยความเจ็บ  จนชายหนุ่มรู้สึกตัวคลายมือที่กำไว้ แต่ยังไม่ยอมปล่อย พยายามถามอย่างใจเย็น
“บอกพี่ได้มั้ยคนดี  ว่าพี่ทำอะไรผิด  ฝ้ายถึงหนีหน้าพี่แบบนี้  อย่าปล่อยให้พี่ไม่รู้อะไรอย่างนี้เลย  ถ้าพี่ทำผิดโดยไม่ตั้งใจ  พี่จะได้แก้ไขให้ดีขึ้น  ฝ้ายทำแบบนี้รู้มั้ยว่าพี่ทรมานแค่ไหน  ที่ไม่ได้เห็นฝ้าย”
“หึ....ทรมาน เมื่อก่อนเวลาพี่ไม่มา  ฝ้ายไม่เห็นพี่จะเป็นจะตายเลยนี่คะ”  บอกอย่างประชดประชัน
“ฝ้าย....”
“ปล่อยเถอะค่ะ  ฝ้ายจะเข้าบ้านแล้ว  ถ้าไม่จำเป็นพี่เมฆก็ไม่ต้องมาที่นี่แล้วนะคะ คนที่นี่ดูแลตัวเองได้”  พยายามแกะมือข้างที่ถูกกุมไว้ออก  แต่อีกฝ่ายกลับกำแน่นไม่ยอมปล่อย คล้ายว่าถ้าปล่อยแล้วจะไม่มีโอกาสได้พบเธออีก
“พี่มีอะไรอยากจะเล่าให้ฝ้ายฟังตั้งหลายอย่าง  แต่ฝ้ายกลับหนีพี่อย่างนี้ด้วยสาเหตุที่พี่ไม่รู้  ฝ้ายจะไม่ให้โอกาสพี่ได้พูดบ้างเลยเหรอ”  ทั้งสายตาและน้ำเสียงเว้าวอน  แต่คนฟังกลับสร้างกำแพงหนาไม่ยอมรับรู้ถ้อยคำเหล่านั้น
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ  ต่อไปนี้พี่อยากจะทำอะไรก็ตามสบาย  เราสองคนไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”
“หมายความว่าไง” 
“ก็อย่างที่บอกแหละค่ะ  ฝ้ายไม่อยากเห็นหน้าพี่อีกแล้ว  ออกไปจากชีวิตฝ้ายซะ  อย่าทำให้ฝ้ายต้องเกลียดพี่เลยค่ะ  แค่นี้ก็เกินพอแล้ว”  บังคับเสียงไม่ให้สั่น  ตอบอย่างเรียบๆ  ทั้งที่ในใจร้าวระบม
“ทำไม?  พี่ไม่เข้าใจ”  นัยน์ตาคมฉายแววเจ็บปวด  ‘ทำไมถึงไม่บอกให้เขารับรู้บ้าง  ว่าเธอโกรธเขาเรื่องอะไร’ 
“อย่าเข้าใจเลยค่ะ  ฝ้ายยังไม่พร้อมที่จะพูดจะฟังพี่ตอนนี้”
“แล้วเมื่อไรฝ้ายถึงจะพร้อม”  ถามเสียงแผ่วอย่างหมดแรง
“ฝ้ายตอบไม่ได้หรอกค่ะ  อาจจะเป็นเดือน เป็นปี หรือมากกว่านั้น”  นัยน์ตาหวานฉายแววเจ็บปวดไม่แพ้กัน
“พี่จะรอ  ถ้าฝ้ายไม่อยากเห็นหน้าพี่ในตอนนี้  พี่ก็จะไปให้พ้นหน้า เพื่อความสบายใจของฝ้าย”  ตอบทันควันอย่างหนักแน่น  ท้ายประโยคทำเอาคนฟังใจหายวาบ
ถ้าตาของเธอไม่ฝาด  นัยน์ตาคมคู่นั้นมีม่านน้ำบางๆ เอ่อคลอ  ใจที่เคยรัก แม้จะเจ็บเพราะเขา แทบจะอ่อนยวบ แต่เจ้าตัวก็ต้องกลั้นใจหันหน้าหนีภาพนั้น 
เมฆาหายหน้าไปจากชีวิตเธอจริงๆ อย่างที่เขาบอกไว้  เวลาที่ผ่านไปทำให้เธอได้คิดทบทวน  และพร้อมที่จะฟังคำอธิบายของเขา  ปวีณาเพียรติดต่อหาชายหนุ่มเท่าไรก็ไม่ได้  จนกระทั่งได้ข่าวจากบุพการีของเธอว่าเขาบินไปเรียนต่อเมืองนอกอย่างไม่มีกำหนดกลับ
  ‘ฝ้ายคงไม่มีความสำคัญกับพี่จริงๆ ใช่มั้ย  พี่ถึงได้หนีฝ้ายไปไกลอย่างนี้’  คิดอย่างน้อยใจ  ปล่อยน้ำตาไหลอาบแก้มนวล ให้กับความรักที่แสนเจ็บช้ำของตัวเอง
ปวีณากะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตาที่คลออยู่ไม่ให้รินไหลลงมา  ใจดวงน้อยยังเจ็บปวดกับภาพความหลังที่หวนนึกถึง  นำกรอบรูปในมือเก็บใส่ลิ้นชักล่างข้างหัวเตียงแล้วล็อกอย่างแน่นหนา  ล้มตัวนอนก้มหน้าแนบกับหมอน ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
บริษัทนำเที่ยวของตระกูลรัตตเมธา  พนักงานระดับผู้บริหารถูกเรียกเข้าประชุมตั้งแต่เช้า  หัวข้อของการประชุมไม่พ้นเรื่องที่เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์  คุณพินิจต้องการให้ทุกคนเตรียมความพร้อมและจัดงานเลี้ยงต้อนรับผู้บริหารคนใหม่  ที่จะเข้ามารับตำแหน่งในเดือนหน้า  รวมทั้งเรื่องของการวางคอนเซ็ปต์งานสำหรับนักท่องเที่ยวในเทศกาลรับลมหนาวด้วย  กว่าทุกคนจะออกมาจากห้องประชุมก็กินเวลาไปเที่ยงกว่าแล้ว
“แค่ผู้บริหารคนใหม่จะมาทำไมต้องวุ่นวายขนาดนี้ด้วยนะ”  หลายเสียงพึมพำอย่างหงุดหงิดที่โดนเรียกประชุมแต่เช้า
“นั่นสิ  เห็นว่าเพิ่งจบมาจากเมืองนอก    จบใหม่จะทำอะไรได้” 
“เห็นว่าเป็นหลานห่างๆ ของคุณพินิจนะ    ก็ลูกคุณไพโรจน์ไงล่ะ    คุณพินิจแค่มาช่วยบริหารให้ในช่วงที่เด็กมันเรียน”
“มิน่าล่ะ  ถึงได้ต้องจัดงานให้ใหญ่โต  ก็ลูกชายเจ้าของคนเก่านี่เอง”
“ลูกไม้ก็คงหล่นไม่ไกลต้นแหละน่า  ลูกชายคุณไพโรจน์ก็คงบริหารงานได้ดีไม่แพ้ท่านหรอก”  หลายเสียงสนับสนุนเช่นกัน
เปรมมิดากับนิสาที่เดินตามหลังออกมาได้ยินบทสนทนาที่กล่าวถึงตัวผู้บริหารคนใหม่อย่างยิ้มๆ  ‘ก็ดูเอาเถอะ  อยู่ในห้องประชุมเมื่อกี้สงบปากสงบคำกันทั้งนั้น  ไม่ว่าอะไรก็  ‘ครับ/ค่ะ  ได้ครับ/ค่ะ’’  พอออกมาเท่านั้นแหละเม้าส์กันใหญ่เลย
ทั้งคู่เดินออกไปรับประทานอาหารกันนอกบริษัท  เพราะเห็นว่าเวลาเลยเที่ยงมาเยอะแล้ว  คนคงจะไม่มาก  แล้วที่สำคัญคุณพินิจให้เข้างานช้าได้  เนื่องจากเห็นเวลาเลิกประชุมว่าใกล้จะบ่ายแล้ว  หลังจากทานเสร็จสองสาวก็เดินหาอะไรทานเล่นระหว่างเดินกลับบริษัท  นิสาเลยเล่าเรื่องเมื่อวานให้เพื่อนสาวฟัง
“เมื่อวานโมโหเป็นบ้าเลย  พี่เมฆนี่ปากแข็งอย่างกับโบกคอนกรีตแน่ะ”  เล่าด้วยท่าท่างหมั่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ก็บอกแล้ว  อย่าไปยุ่งเรื่องของสองคนนั่น  ขนาดยัยฝ้ายเองยังไม่ยอมพูดเลย  นับประสาอะไรกับพี่เมฆจะบอกพวกเราล่ะ  พ่อกับแม่ฉันเองก็สงสัยเหมือนกันแหละ”
“ก็ฉันอยากรู้นี่  อมพะนำกันอยู่นั่นแหละ  แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะดีกันล่ะ  กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะ  พี่เมฆก็เป็นกองทัพ  พวกเราก็คืออาหารที่ทำให้อิ่มท้อง  ถ้าพี่เมฆไม่ยอมรับให้พวกเราช่วย มันจะไปชนะอะไรได้ล่ะ”  บอกไปก็เคี้ยวผลไม้แก้มตุ่ยไปด้วย  เปรมมิดาได้แต่ขำในความช่างคิด  เปรียบเข้าไปได้ยังไง  ไม่เห็นเกี่ยวกับกองทัพที่ว่าเลย  ถ้าเป็นยัยเพื่อนตัวแสบก็ไม่แน่  ดูสิ กินได้ไม่หยุดปากเลย  ทำไมถึงได้ไม่อ้วนนะ
“ฉันว่าปล่อยๆ ไปเหอะ ถึงเวลาเดี๋ยวสองคนนั้นก็เล่าให้ฟังเองแหละ”
“กว่าจะเล่า ฉันก็ อกแตกตายพอดีน่ะสิ”  แสดงท่าทางประกอบการอกแตกตายจนเปรมมิดาหัวเราะคิก
“แกนี่มัน น่าจะไปเป็นตลกคาเฟ่มากกว่าประชาสัมพันธ์นะ  ฉันว่าน่าจะรุ่งกว่าเยอะเลย”  บอกอย่างแนะนำ  นิสาหันมาค้อนขวับหน้ามุ่ยทันที
“ สวยอย่างฉันนี่  เห็นแล้วมันตลกหรือไงยะ”  บ่นกระเง้ากระงอดอย่างน่ารัก  เลยได้รับรางวัลเป็นการหยิกแก้มดึงไปมา  จนแดงจากเพื่อนสาว
“แกนี่มันน่ารักน่าหมั่นเขี้ยวจริงๆ”  บอกเสร็จก็รีบวิ่งหนีเพื่อนตัวแสบทันที ก่อนที่จะโดนรางวัลกลับบ้าง
“เดี๋ยวเหอะนะยัยนุ่น มาดึงแก้มฉันจนแดงแล้วจะหนีไปไหน”  นิสาวิ่งตามจะจับเพื่อนสาวให้ได้  แต่ด้วยความที่ถือขนมอยู่เต็มมือทำให้พะวกพะวน เลยช้ากว่าร่างบางที่วิ่งนำไป
“แน่จริงตามให้ทันสิ    แม่เต่าน้อย”  เปรมมิดาหันมาร้องตะโกนเรียกอย่างยั่วประสาทคนวิ่งตาม  ทำให้ไม่ทันหันไปเห็นร่างสูงที่เดินออกมาจากร้านหนึ่ง
“โอ๊ย!”  เสียงหวานร้องจนคู่กรณีตกใจ  เมื่อดันเดินออกมาชนคนอื่นจนล้มกระแทกพื้น
“ขอโทษครับ  เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”  เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างห่วงใย 
“ไม่เป็นไรค่ะ”  เปรมมิดายิ้มแหยๆ เงยหน้ามองร่างสูงตรงหน้า  แว่บแรกที่ได้เห็น  ใบหน้าของชายหนุ่มซ้อนทับกับภาพของใครบางคนในฝันที่หล่อนเห็นเป็นประจำแล้วจางหายไป  แว่บเดียวจริงๆ ที่เธอเห็น รอยยิ้มที่มีเริ่มจางหายเปลี่ยนเป็นมองอย่างพินิจแทน
ร่างสูงตรงหน้าก็มีอาการไม่ต่างจากหญิงสาวนัก  พีระแปลกใจมากเลยทีเดียว ที่มาเจอเธอที่นี่ทันทีที่ได้สบดวงตากลมโตคู่นี้  ในอกก็เต้นระรัว อย่างตื่นเต้นดีใจ  ‘ในที่สุดก็ได้เจอ  ขอบคุณมากน้องสาวที่น่ารักของพี่’  บอกกับตัวเองในใจขอบคุณใครบางคนที่เขาแวะไปเยี่ยมก่อนเดินทางมาเชียงใหม่ 
สบนัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองเขาอย่างจับจ้อง  ชายหนุ่มก็รู้สึกตัวยื่นมือหนาให้ร่างบาง  เปรมมิดาจับมือที่ยื่นมาให้  ลุกขึ้นยืนอย่างลำบาก เนื่องจากที่ล้มไปเมื่อครู่หัวเข่าเธอกระแทกพื้นไปเต็มๆ  พีระสำรวจอาการร่างบางตรงหน้าอย่างจับผิด  นัยน์ตาคมสะดุดเห็นสิ่งแปลกปลอมที่ปรากฏอยู่บนหัวเข่าด้านขวาของเธออย่างจัง
“คุณได้แผลนี่”
“คะ?  ไม่เห็นรู้สึกเลยค่ะ มันชาๆ มากกว่า”  เปรมมิดาบอกอย่างมึนงง
“ตอนนี้คุณไม่รู้สึกเจ็บ  แต่เดี๋ยวอีกสักพักคุณจะรู้สึกเจ็บมากๆ เลย”  บอกน้ำเสียงเหมือนขู่เด็กเล็กๆ จนร่างบางส่งยิ้มแหยๆ ให้
“นุ่น”  เสียงหวานใสของนิสาดังขึ้น  พร้อมกับร่างสมส่วนที่วิ่งเข้ามาหาเพื่อนสาวทันทีที่เห็นเธออยู่กับคนแปลกหน้า
สองสาวไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มกระจ่างตากับนัยน์ตาคมที่ทอประกายวาววับ  หลังจากได้ยินชื่อคู่กรณีของเขา  ทำให้ช่วยยืนยันว่าเป็น  ‘เธอ’  จริงๆ
นิสาสำรวจบาดแผลบนหัวเข่าเพื่อนด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก  ก็เธอไม่ชอบพวกเลือดนี่ เห็นแล้วพาลจะเป็นลมซะให้ได้  ถึงแม้จะแผลเล็กๆ ก็เถอะ ทำให้ความกลัวคันยิกๆ ขึ้นมาได้เหมือนกัน  สำรวจอาการและเรื่องราวจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว  นิสาก็ประคองเพื่อนสาวเดินทันที  โดยลืมไปว่ายังมีร่างสูงคู่กรณียืนอยู่ด้านหลังอีกคน
“ไปโรงพยาบาลดีกว่ามั้ยครับ”  เสียงทุ้มห้าวที่เอ่ยขึ้นทำให้สองสาวหันมาสนใจเขาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ แผลนิดเดียวเอง ทายาก็หาย”  เปรมมิดาตอบอย่างเกรงใจ  จะว่าไปเธอเองก็ผิดเหมือนกันที่วิ่งไม่ดูทางให้ดี
“แต่ถ้าแผลอักเสบ?”  ชายหนุ่มยังคงไม่วางใจ และอยากเห็นหน้าเธอให้นานกว่านี้
สองสาวสบตากันอย่างใช้ความคิด  ชายหนุ่มคนนี้คงรู้สึกผิดที่เห็นแผล และอยากจะไถ่โทษเพื่อความสบายใจ หากเปรมมิดามีอาการหนักกว่าที่เห็น  สบตากันอยู่พักหนึ่ง  นิสาเลยตัดสินใจพูดแทนเพื่อนสาว
“เอางี้ละกัน  เพื่อความสบายใจของทุกคน  คุณมีนามบัตรหรือเบอร์โทรมั้ยคะ  ถ้าหากว่าเพื่อนฉันเป็นหนักต้องเข้าโรงพยาบาล  เราจะติดต่อเบิกค่ารักษากับคุณ  แต่ถ้าไม่เป็นไรมาก เราก็คงไม่รบกวนหรือโทษคุณ เพราะเพื่อนฉันยืนยันอย่างนี้”  เปรมมิดาพยักหน้ายืนยันอย่างเห็นด้วย
“ก็ได้ครับ”  พีระรับอย่างจำยอม  มือหนากวัดเขียนเบอร์มือถือของตนให้อีกฝ่าย  ยื่นให้ร่างบาง  แต่เป็นนิสาที่คว้าไว้แทน พร้อมกล่าวขอตัว
ร่างสูงยืนมองสองสาวที่ประคองกันเดินไปด้วยแววตามุ่งมั่น  เขาจะไม่ยอมให้พบกันแค่ครั้งเดียวแน่นอน  ยังไงเขาก็รู้แล้วว่าเธออยู่ที่จังหวัดนี้  คงจะตามหาได้ไม่ยาก  ยืนมองดูจนกระทั่งลับสายตาแล้วหันหลังออกเดินไปอีกทาง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น