ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3
“ฝ้ายจำพี่เมฆได้มั้ยจ้ะ”  คุณกัลยากล่าวแนะนำชายหนุ่ม เมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กทำท่าจะเดินออกนอกห้อง
“ค่ะแม่”  เสียงหวานรับคำอย่างไม่เต็มใจนัก ยังไม่ยอมสบตาร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างมารดาตน ปวีณาเลือกที่จะนั่งข้างบิดาซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเขา
“วันนี้พี่เขาแวะมาเยี่ยมนะจ้ะ  ลูกคุยกับพี่เขาไปก่อนนะ แม่ว่าจะไปดูเด็กตั้งโต๊ะหน่อย”  ครั้นเห็นท่าทางบุตรสาวที่คล้ายไม่สนใจชายหนุ่ม และอีกฝ่ายที่พยายามส่งสายตาเว้าวอนให้ ทำให้คุณกัลยาต้องเอ่ยปากขอตัว เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้คุยกันเอง  พร้อมทั้งสะกิดคุณปรเมศร์ให้เดินตามออกไปด้วย  ก่อนที่ปวีณาจะทันตั้งตัว
ครั้นเมื่อได้อยู่กันตามลำพัง เมฆาก็ไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์  ชายหนุ่มเรียกขานอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“ฝ้าย สบายดีมั้ย”  ปวีณาแสร้งหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมาอ่านคล้ายไม่สนใจ  ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนอยู่ในห้องนี้อีกคน
“พี่มีของมาฝากฝ้ายด้วยนะ มานั่งนี่สิ”  ยังไม่ย่อท้อพยายามชวนหญิงสาวคุยไปเรื่อยๆ
“..............”  ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายเช่นเคย จนเมฆาต้องลุกขึ้นมาจับมือบาง ฉุดให้มานั่งบนโซฟาใกล้กัน
“ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้นะ”  ปวีณากัดฟันเสียงเบาพูดกับอีกฝ่าย กลัวว่าบิดามารดาที่อยู่ด้านนอกจะได้ยิน  พยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม ที่แน่นราวกับปลอกเหล็ก  ใบหน้าสวยงอง้ำอย่างขัดใจ
“ไม่!  จนกว่าฝ้ายจะพูดกับพี่ดีๆ ก่อน พี่ถึงจะปล่อย”  อีกฝ่ายยืนยันเสียงแข็งเช่นกัน เมื่อเห็นหญิงสาวแสดงอาการรังเกียจตนเช่นนี้
ปวีณาได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นอย่างโกรธเคือง หันหน้าไปอีกด้านไม่ยอมสบตาชายหนุ่ม 
เมฆามองร่างบางด้านข้างด้วยสายตาอ่อนโยน หากคนถูกมองจะหันมาเห็นสักนิด  ชายหนุ่มยกมืออีกข้างเกาะกุมมือบางไว้แนบอก
“พี่คิดถึงฝ้าย”  เสียงทุ้มเอ่ยอย่างอ่อนหวาน จนคนฟังใจเต้นระรัว
“คิดถึงพี่บ้างมั้ย”  มือหนาข้างหนึ่ง เลื่อนมาแตะคางอีกฝ่ายให้หันมาสบตา โดยอีกข้างยังเกาะกุมมือบางไว้แน่น
ใบหน้าหวานใสมีสีเข้มทันที ที่ได้สบกับดวงตาคู่ที่คุ้นเคย นัยน์ตาคู่นี้ที่เคยทำให้เธอหวั่นไหวมาก่อน 
ปวีณาสบดวงตาคมอย่างเผลอไผล หวนนึกถึงเมื่อครั้งก่อนที่คิดกับชายหนุ่มเกินกว่าคำว่าพี่ชาย  เมฆาทำให้เธอรู้สึกเป็นสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เขา  ชายหนุ่มดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี  แวะเวียนมาหาไม่เคยขาดสาย  แต่ทว่าการกระทำของเขาในช่วงหลังๆ มันช่างขัดแย้งกับคำพูดหวานที่บอกเธอ  คิดถึงตรงนี้ปวีณาก็รู้สึกตัวทันทีว่าไม่ควรหลงไปกับคำหวานของเขาอีกแล้ว
‘ยังไม่เข็ดอีกหรือไง  จำไว้สิว่าเขาทำอะไรกับเราไว้  คำพูดของผู้ชายคนนี้เชื่อถือไม่ได้’  เสียงในใจร้องเตือน  นัยน์ตาสีน้ำตาลทอประกายกร้าวมองเขาอย่างครุ่นเคือง
เมฆามองใบหน้าหวานที่เขาคิดถึงมาตลอด  เธอมองเขาด้วยสายตาอ่อนแสงลงเหมือนเมื่อครั้งก่อน ชายหนุ่มเผยยิ้มบาง หวนคิดว่าเธอคงเหมือนเดิม  แต่ทว่ารอยยิ้มต้องจางลงเมื่อสบกับดวงตากลมคู่นั้นที่มองเขาอย่างต่อว่า
“ฝ้ายยังโกรธพี่อยู่อีกหรือ”  ถามอย่างเว้าวอน จนคนถูกถามครุ่นเคืองเพิ่มขึ้น
“คุณทำอะไรผิดไว้กับฉันหรือไง  ฉันถึงต้องโกรธคุณน่ะ”  น้ำเสียงประชดประชัน เรียกอีกฝ่ายและแทนตัวเองอย่างห่างเหิน  จนชายหนุ่มหน้าหมองลงทันตา
“พี่รู้ว่าผิด  แต่ฝ้ายเองก็ไม่เปิดโอกาสให้พี่ได้แก้ตัวเลย จะให้พี่ทำยังไง  ฝ้ายบอกให้พี่ไป พี่ก็ไปอย่างที่ฝ้ายต้องการแล้ว  มันยังไม่พออีกหรือ”  ปวีณาหันมามองเขาทันควัน เขาจะรู้บ้างมั้ย
ว่าคำพูดนี้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย
“หึ...คุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ  ฉันไม่มีหน้าที่ต้องรับรู้  อย่าเอาเรื่องเก่าๆ มาฟื้นฝอยหาตะเข็บเลย มันไม่มีประโยชน์หรอกนะ  อ้อ....แล้วก็กรุณาปล่อยมือฉันได้แล้วด้วย  มันคงไม่เหมาะหรอกนะที่คุณจะมาจับมือถือแขนฉันแบบนี้”  เอ่ยอย่างเย็นชา จ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาว่างเปล่า ทำให้คนฟังหนาวถึงขั้วหัวใจ 
เมฆาหน้าสลดลง  คำพูดของเธอทำร้ายเขาอย่างเลือดเย็นดีๆ นี่เอง  ชายหนุ่มปล่อยมือบาง ล้วงหยิบของที่นำมาให้เธอ วางลงบนโต๊ะด้านหน้า
“นี่ของฝาก  พี่เลือกมาให้ฝ้ายโดยเฉพาะ  ฝ้ายจะเก็บมันไว้หรือทิ้งมันไปก็ได้ถ้าไม่ต้องการ  แต่ขออย่างเดียว  อย่าเอามาคืนพี่  ของที่พี่ให้ฝ้ายไปแล้ว  พี่ไม่เคยคิดอยากได้คืน”  เมฆากล่าวเสียงแผ่ว จนคนฟังรู้สึกผิด แต่ยังไว้ฟอร์มก้มหน้าสนใจหนังสือในมือแทน
ร่างสูงผุดลุกขึ้นทันทีที่กล่าวจบ  ปวีณามองเขาอย่างสับสนท่าทางนั้นทำให้เธอใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“พี่ว่าพี่กลับดีกว่านะ  ฝ้ายคงไม่อยากเห็นหน้าพี่สักเท่าไร”  เมฆาเดินออกจากห้องไปไม่หันมามองอีกฝ่ายว่าทำหน้าอย่างไรที่ได้ยินคำพูดเขา
ปวีณามองร่างสูงจนลับตา  มือบางเอื้อมไปหยิบของที่เขานำมาให้ไว้แน่น  นัยน์ตาสีน้ำตาลเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ที่เจ้าตัวพยายามไม่ให้มันรินไหลออกมา  ‘ฝ้ายผิดด้วยหรือ  ที่ไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว  ทำไมพี่ต้องกลับมา  ทำไม...’ 
สองสาวเพื่อนซี้นั่งคุยเล่นกันอยู่หน้าบ้าน  เช้าวันหยุดนี้นิสาพาเมฆามาเยี่ยมไร่ปาริชาติ  พอมาถึงแม่เพื่อนตัวดีก็ลากเปรมมิดาออกมาคุยกันด้านนอก  ทิ้งให้พี่ชายตัวเองอยู่พูดคุยกับบิดามารดาของเธอ  ริมฝีปากบางเอ่ยอย่างเซ็งๆ ขึ้นมาทันทีที่นั่งพัก
“ฮ้าววววว.......ง่วงชะมัดเลย วันหยุดทั้งทีแทนที่จะได้พักผ่อน  ดูสิต้องมาตื่นแต่เช้า  พี่เมฆเนี่ยอะไรก็ไม่รู้  อยู่ๆ ก็มาปลุกตั้งแต่ไก่โห่”  ปิดปากหาวหวอด บ่นอุบอิบว่าพี่ชายเธอให้เปรมมิดาฟัง 
นึกถึงเมื่อเช้าก็แปลกใจ ที่เมฆามาปลุกเธอตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง  พี่ชายเธอก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ยืนยิ้มหน้าแป้น บอกว่าจะมาไร่ปาริชาติให้เธอขับรถมาให้หน่อย  จนเธอต้องโวยว่าเวลานี้ยังไม่มีใครเขารับแขกกันหรอก  ไว้รอสายๆ หน่อยค่อยไปหาก็ได้  แต่เมฆาก็ยังไม่ยอม  ต้องกล่อมกันอยู่นานกว่าเมฆาจะยอมรอให้เช้ากว่านี้  นึกถึงหน้ามุ่ยเหมือนเด็กโดนขัดใจเมื่อเช้าก็นึกขำ  เออนะ ตัวก็โตกว่าเขาซะเปล่า ทำเป็นเด็กๆ ไปได้ 
 
“เอาน่า ทำเพื่อพี่ชายคนเดียวของแกหน่อยละกันฟ้า  พี่เขาคงอยากมาเจอใครบางคนเร็วๆ น่ะ”  ลูบผมเพื่อนสาวอย่างเอ็นดูและบอกเหตุผลที่คิดไว้ให้นิสาฟัง
“ใคร ?”  คิ้วสวยได้รูปขมวดชนกัน มองเปรมมิดาอย่างขอคำตอบ
“บ้านนี้มีใครอีกล่ะ  นอกจากฉัน  พ่อ  แม่  เมื่อวานพี่เมฆก็เจอฉันไปแล้ว  คิดดูสิว่ายังเหลือใคร”
“น้องฝ้ายเหรอ”  รำพันออกมาอย่างไม่แน่ใจ  เหลือบมองเปรมมิดา ก็เห็นเพื่อนสาวพยักหน้ารับ
“ไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลย”  ร้องเสียงหลงออกมาเบาๆ  อย่างเหนือความคาดหมาย เรื่องของเมฆาส่วนใหญ่เธอมักรู้ตลอดทุกเรื่อง
“ฉันเองก็เพิ่งมารู้เมื่อวานเหมือนกัน  อยู่ๆ พี่เมฆก็ถามถึงยัยฝ้ายขึ้นมา แถมทำหน้าเศร้า  ซะจนน่าสงสาร  แล้วที่สำคัญยัยฝ้ายก็เคยพูดไว้เหมือนกันว่าไม่อยากเจอหน้าพี่เมฆ  ฉันก็เลยมาคิดว่าสองคนนี้น่าจะเคยมีเรื่องอะไรกันมาก่อนแน่ๆ”
“อืม.....น่าคิดนะ  แกไม่ลองถามยัยฝ้ายดูล่ะ” 
“ไม่ล่ะ  ฉันไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของน้อง  ไว้รอให้ฝ้ายมันมั่นใจพอที่จะเล่าให้ฉันฟังเองจะดีกว่านะ”
“ก็แล้วแต่แกละกัน  ส่วนฉันกลับไปบ้านจะรีดเค้นพี่เมฆออกมาให้หมดเลย คอยดูสิ”  นิสาบอกอย่างหมายมาด 
“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาสองคนเถอะ  ว่าแต่แกมาช่วยฉันคิดแผนงานเทศกาลเดือนหน้าดีกว่า”  เปรมมิดารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องงาน  มองนิสาอย่างเหนื่อยใจ  เห็นท่าทางมุ่งมั่นของเพื่อนสาว ก็อดหนักใจแทนสองคนนั้นไม่ได้  หากปล่อยให้ยัยตัวแสบไปเข้าไปยุ่ง ท่าทางเรื่องราวจะยิ่งวุ่นขึ้นไปอีกน่ะสิ
“โห...แก  นี่มันวันหยุดนะ  เรื่องงานก็ไว้คิดวันทำงานสิ  วันหยุดเขามีไว้ให้พักผ่อนนะ”  โอดครวญอย่างน่าสงสาร  แต่มีหรือที่เปรมมิดาจะไม่รู้ทัน  เรื่องคนอื่นล่ะกระตือรือร้น  ทีกับเรื่องงานทำมาเป็นบ่น
“ไม่ต้องเลย  มาช่วยฉันคิดดีกว่าว่าเทศกาลนี้จะเลือกสถานที่ที่ไหนบ้าง  แล้วก็ควรจะมีกิจกรรมพิเศษอะไรขึ้นดีมั้ย”  น้ำเสียงเป็นการเป็นงาน จนนิสาลอบบ่นอุบอิบ  แต่ไม่วายคนถูกนินทาก็ยังได้ยินอยู่ดี มือบางฟาดลงบนมืออีกฝ่ายทันที
“โอ๊ย!  แกมาตีฉันทำไมเนี่ย  เจ็บนะ”  ลูบมือที่ถูกตีเบาๆ แหงนหน้าชวนน่าสงสารใส่เปรมมิดา
“ฉันว่าตีอีกทีก็ดีนะ  เผื่อผีที่อยู่ในตัวแกมันจะออกมา”  ว่าแล้วก็ทำท่าจะตีขึ้นมาจริงๆ  นิสารีบเก็บไม้เก็บมือไปซ่อนไว้ด้านหลังทันที
“ดุจริงๆ เลยแกนี่  เดี๋ยวหนุ่มๆ ก็เผ่นหนีกันหมดหรอก”
“ก็ให้หนีไปสิ  ใครเขาไปล่ามไว้ล่ะ  ตกลงแกจะช่วยฉันทำงานดีๆ มั้ย”  ตอบอย่างไม่ใส่ใจ  ท้ายเสียงนั้นถามขึ้นอีกครั้งอย่างจริงจัง  นิสาเลยต้องรีบตอบรับ เพราะกลัวเพื่อนงอน
“จ้า.....ช่วยจ้ะ  เพื่อนคนนี้ยินดีช่วยอยู่แล้ว”  กล่าวอย่างประจบ ท่าทีเป็นการเป็นงานขึ้น  สองสาวคุยเรื่องคอนเซ็ปต์งานที่จะทำกัน  จนไม่เห็นว่าเมฆาเดินหน้าสลดเข้ามาหา
“ฟ้า    นุ่น”  เสียงทุ้มเอ่ยเรียกอย่างอ่อนแรง
“อ้าว....พี่เมฆคุยกับพ่อแม่นุ่นเสร็จแล้วหรือคะ”  เปรมมิดาเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เสร็จแล้วจ้ะ  พี่ว่าจะกลับเลย  ฝากนุ่นลาคุณลุงคุณป้าด้วยนะ”
“ทำไมรีบกลับล่ะพี่เมฆ  เมื่อกี้ฟ้าบอกคุณป้าแล้วว่าเราจะมาขอข้าวเช้าทานด้วย  พี่เมฆก็ได้ยินนี่” 
นิสาเอ่ยค้านอย่างงงงันไม่แพ้กัน
“ใครบางคนคงไม่อยากให้พี่อยู่ร่วมโต๊ะด้วยหรอก”
“ถ้าใครบางคนที่คุณว่าหมายถึงฝ้ายล่ะก็  ฝ้ายก็ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น” 
เสียงหวานดังขึ้นด้านหลังชายหนุ่ม  เมฆารีบหันกลับไปสบดวงตากลมอย่างแปลกใจ  เขาหูฝาดไปหรือเปล่า ที่เห็นเธอมาขอโทษเขา  ร่างสูงยืนนิ่งเป็นบื้อใบ้ชั่วขณะ
“คุณแม่ให้มาตามพวกพี่ไปทานข้าวค่ะ  เชิญ”  ปวีณาหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้านทันทีที่กล่าวจบ ไม่แยแสอาการของชายหนุ่ม
“นี่ๆ  พี่เมฆไปสิ  น้องฝ้ายอุตส่าห์มาตามแล้วนะ”  นิสาสะกิดเรียกพี่ชายที่ยืนนิ่งค้างให้เดินตามร่างบางไป    เมฆาหันมามองน้องสาวเขาและเปรมมิดา  ทั้งสองก็พยักเพยิดให้เขาเดินตามไป
เปรมมิดายืนรอส่งนิสากับเมฆา จนรถแล่นลับสายตาไป  หมุนตัวเดินกลับเข้าบ้านก็เห็นบิดามารดากำลังพูดคุยกันเรื่องปวีณากับเมฆา  ร่างบางหย่อนตัวลงนั่งข้างมารดา เอ่ยถามอย่างสงสัย
“คุณพ่อคุณแม่ทำยังไงคะ  ยัยฝ้ายถึงได้เดินไปตามพี่เมฆกลับมาได้”
“พ่อกับแม่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยจ้ะ  พ่อแค่ใช้ให้ยัยฝ้ายไปตามเราด้านนอกเฉยๆ ว่าตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว  พ่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสองคนนั้นมีเรื่องกัน  เข้ามาถึงก็เห็นยัยฝ้ายนั่งนิ่งเงียบกำอะไรไว้ก็ไม่รู้แน่นเชียว  พอบอกให้ไปตาม เจ้าตัวก็ลุกขึ้นไปทันที พ่อเองก็ยังงงอยู่เลย”  คุณปรเมศร์บอกอย่างสงสัยไม่แพ้กัน
“แม่ว่าสองคนนี้มันยังไงๆ อยู่นะ  เมื่อกี้ตอนที่นั่งทานข้าว  ยัยฝ้ายก็นั่งเงียบเชียว ไม่พูดคุยเหมือนทุกวันเลย แล้วดูสิตอนนี้ก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่สุงสิงกับใคร”  คุณกัลยาแสดงความเห็นขึ้นมาบ้าง กับอาการที่แปลกไปของบุตรสาวคนเล็ก
สามคนพ่อแม่ลูก มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น  คนที่รู้ดีสำหรับเรื่องนี้ก็คงมีแต่เจ้าตัวที่อยู่ในห้องนอนเท่านั้น
ทันทีที่กลับมาถึงจวนผู้ว่า  นิสาก็ไม่รอช้ารีบลากพี่ชายให้มานั่งให้ตนสอบสวนทันที  อีกฝ่ายก็พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม  คาดคั้นหนักเข้าก็ทำท่าจะลุกหนีไปซะเฉยๆ  ดีที่ว่าเธอคว้าตัวไว้ได้ทัน  แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเธอซะจริงๆ โทรศัพท์เจ้ากรรมดันดังขึ้นขัดจังหวะซะนี่  ร่างบางคว้าโทรศัพท์ขึ้นรับอย่างหงุดหงิด น้ำเสียงห้วนจนคนฟังตาปริบๆ
“ฮัลโหล  จะคุยกับใครมิทราบ”
“เอ่อ....ที่นั่นจวนผู้ว่าอานนท์หรือเปล่าครับ”  ปลายสายเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“ใช่  ตกลงจะคุยกับใคร”  น้ำเสียงกึ่งตะคอกทำเอาคนฟังสะดุ้งรีบเอ่ยทันที
“ขอสายคุณเมฆาครับ”
เมื่อได้ยินคนโทรมาขอพูดกับพี่ชายหล่อน  นิสาก็หันมามองหน้าอีกฝ่าย ยื่นโทรศัพท์ให้อย่างไม่สบอารมณ์  คนเป็นพี่ได้แต่มองตาปริบๆ
“เอ้า...ของพี่    อ้อ....แล้วก็เรื่องที่คุยกันเมื่อกี้ยังไม่จบนะ  ฟ้าจะต้องรู้ให้ได้เลยว่ามีเรื่องอะไร”  กล่าวเสร็จก็ลุกเดินขึ้นชั้นบนทันที  ลับร่างน้องสาวตัวแสบแล้ว เมฆาก็ถอนใจอย่างหนักหน่วง  ต้องขอบคุณคนที่โทรมาจริงๆ
“ฮัลโหล”
“เมฆเหรอ”  ปลายสายถามอย่างไม่แน่ใจอีกครั้ง
“นายเองเหรอ  โทรมาถูกจังหวะจริงๆ  ขอบใจนะเว้ย”  ได้ยินเสียงปุ๊บ เมฆาก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร เอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายอย่างจริงใจ
“ไรวะ  ไม่เห็นเข้าใจเลยว่ะ  แล้วเมื่อกี้ใครรับ ดุชะมัดเลย  ตอนแรกนึกว่าโทรผิดซะอีก”  ปลายสายบอกอย่างงงๆ
“น้องข้าเอง  พอดีเมื่อกี้ของลงนิดหน่อยน่ะ  คุณเธอกำลังเล่นงานข้าอยู่เลย”
“โห...น้องสาวดุขนาดนี้เลยเหรอวะ  ชักกลัวแล้วสิ  ว่าถ้าไปที่โน่น น้องนายจะไม่กัดข้าเข้าให้”
“ไม่หรอกน่า  น้องข้าไม่ได้มีคนเดียวซะหน่อย  คนนี้ดุข้าไม่ส่งไปให้พานายเที่ยวหรอก”  เมฆาเอ่ยปลอบอีกฝ่ายให้สบายใจ
“ไหนนายว่ามีน้องสาวคนเดียวไง”  คิ้วขมวดทันทีที่เอ่ยถาม 
“ก็ใช่น้องแท้ๆ น่ะมีคนเดียว  แต่มีน้องสาวมีหลายคน”
“พูดไรวะ  ไม่เห็นเข้าใจเลย”
“เพื่อนน้องข้าเอง  รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว  ข้ารักเหมือนน้องแท้ๆ เลยแหละ”  เมฆาขยายความให้อีกฝ่ายเข้าใจมากขึ้น
“อ๋อ  แล้วก็ไม่บอกให้หมด”
“แล้วนี่โทรมามีไรรึเปล่า”
“จริงสิ  ข้าจะบอกว่าสัปดาห์หน้า  จะขึ้นไปหานะ  ตอนนี้ทำตัวเป็นหลานที่ดีอยู่ ให้ป้าเขาคลายใจซะก่อนแล้วค่อยชิ่ง”  พีระบอกเหตุผลที่โทรมาหาทันที
“เออ  ข้าจะได้บอกน้องข้าให้เตรียมพานายทัวร์”
“อีกเรื่องๆ ตกลงนายได้เจอน้องฝ้ายของนายแล้วหรือยังล่ะ”  ถามอย่างนึกขึ้นมาได้  เมฆาเคยเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องของผู้หญิงที่รัก  ที่ผิดใจกันจนต้องหนีมาเรียนต่อเมืองนอก
“เจอแล้ว”
“เป็นไงบ้างล่ะ”
“ก็ไม่ไงหรอก  แค่หน้าข้าน้องเขายังไม่อยากมองเลย”  น้ำเสียงสลดจนพีระนึกถึงสีหน้าของเพื่อนออก เวลาพูดถึงน้องฝ้ายเรื่องนี้ทีไร  มันทำหน้าเหมือนหมาถูกทิ้งทุกที
“เอาน่า  ตื้อเท่านั้นที่ครองโลกเว้ย  จำไว้  คนเคยมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน ยังไงก็ตัดกันไม่ขาดหรอก  เชื่อข้าสิ”  พีระบอกอย่างแนะนำ
“นายนี่พูดเหมือนน้องนุ่นเลยว่ะ”
“ใครวะ”  เอ่ยถามอย่างสงสัย  ในใจเต้นระรัว แค่ได้ยินชื่อนี้เท่านั้น
“ก็น้องข้าอีกคนที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้ไง”
“.......................”
“เฮ้ย!  พี  ยังอยู่หรือเปล่า”  เมฆาเรียกอีกฝ่ายเสียงดัง  เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ
“เอ่อ...ยังอยู่”  กว่าจะเรียกเสียงเรียกสติกลับมาได้ก็ทำเอาคนรอสงสัย
“เป็นไรไปวะ”  ถามอย่างฉงนกับอาการของเพื่อน
“เปล่าๆ ไม่ได้เป็นไร  ไว้เจอกันอาทิตย์ละกัน  เดี๋ยวข้าวางก่อน  ป้าอัมจะได้ไม่สงสัย”  บอกปฏิเสธยิกๆ ก่อนจะขอวางสายลง
เมฆาได้แต่มองโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายวางไปแล้วอย่างไม่เข้าใจ ร่างสูงยกมือเกาหัวแกรกๆ พึมพำอย่างมึนงง
“อะไรของมันวะ  ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย  ไอนี่นิ”
                                    *******************************
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น