ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ...เพียงเธอ...คนนี้...

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 48


        





    ท่ามกลางความมืด แสงจันทร์สาดส่องผ่านผ้าม่านที่เปิดแง้มไว้ ให้เห็นร่างบางที่นอนอยู่บนเตียง ดิ้นไปมา  เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า เสียงที่หลุดรอดจากริมฝีปากบางมีแต่ชื่อของใครคนหนึ่งตลอดเวลา “ อ้อม......อ้อม.....อ้อม ”





    “ เราขอโทษ.......อย่าไปนะ.....อย่าไป !   อย่าไป! ”  สิ้นเสียงร้องเรียกหญิงสาวเจ้าของร่างบางก็ผุดลุกขึ้นนั่ง หายใจปนหอบอย่างหนัก  เมื่อตั้งสติได้ เหลียวมองไปรอบห้องนอนที่มืดมิดในยามราตรีกาล  ตระหนักได้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่คือความฝัน





    มือบางเอื้อมไปเปิดสวิทซ์โคมไฟ  ลุกขึ้นจากเตียงกว้าง ก้าวเท้าเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าให้รู้สึกสดชื่น





    ภาพที่สะท้อนอยู่บนกระจก เป็นหญิงสาวรูปร่างบาง ใบหน้าเรียวรับกับนัยน์ตากลมโตที่อมเศร้า เปรมมิดายืนเกาะขอบอ่างล้างหน้าไว้แน่น  ความฝันเมื่อครู่คือสิ่งใดกัน ถึงได้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด \'เธอเป็นใครกันนะ ฉันถึงฝันเห็นเธอตลอด\'





    นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองใบหน้าของตัวเองในกระจกอีกครั้ง พลางถอนใจ  เดินออกจากห้องน้ำ ทิ้งตัวลงบนเตียงหนาอีกครั้ง





    เปรมมิดาหลับตาลง ครุ่นคิดอย่างหนัก ว่าภาพในความฝันนั้นต้องการจะสื่ออะไรถึงเธอกันแน่  เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าทำไมความฝันนี้ถึงได้ฉายชัดให้เธอได้เห็นอยู่เรื่อยๆ  





    สองปีแล้วที่เธอฝันเช่นนี้  ผู้หญิงในความฝันนั้นคือใครกันแน่ เธอไม่อาจหาคำตอบให้กับตัวเองได้ รู้แต่ว่าแค่เห็นใบหน้านั้น น้ำตาก็พลันเอ่อคลอขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ  คิดแล้วคิดอีกก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมากระทันหัน จนต้องรีบคว้ากระปุกยาข้างหัวเตียงกรอกเข้าปากรวดเดียว  





    สักพักร่างบางก็เริ่มตาปรือ รู้สึกง่วงงุน จนกระทั่งตากลมโตคู่นั้นปิดลงอีกครั้งอย่างสนิท โดยไม่มีภาพความฝันมารบกวน











    อาคารหรูสิบสามชั้นในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักบริษัทที่อยู่ในตึกนี้ บริษัทนำเที่ยวชื่อดังของตระกูลรัตตเมธา  ก่อร่างสร้างตัวมาได้นานนับสิบปี จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่ว





    ถึงแม้ว่าสาขาที่เชียงใหม่นี้จะไม่ใช่สำนักงานใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่นิดเดียว   ร่างบางที่กำลังจะเดินเข้าไปในตัวตึกชะงักฝีเท้าลงเมื่อได้ยินเสียงทักเจื้อยแจ้วดังมาจากด้านหลัง จนต้องหันกลับไปมอง





    “ นุ่น  วันนี้ลมอะไรหอบแกมาแต่เช้าได้เนี่ย”  



    นิสา  ประชาสัมพันธ์สาวคนเก่ง ที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติด้านหน้าตาและรูปร่างทุกประการ ทำให้เป็นที่หมายปองของบรรดาหนุ่มๆ ลูกค้าที่เข้ามาติดต่อเสมอ เรียกเธอไว้





    นิสากับเปรมมิดาเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก ก่อนที่ครอบครัวของเปรมมิดาจะพากันย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยขาดการติดต่อกัน ยังคงรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้อย่างเหนียวแน่น





    “ กฎข้อไหนห้ามพนักงานมาทำงานเช้ากันจ้ะ คุณประชาสัมพันธ์”  ร่างบางแย้มยิ้มเอ่ยแหย่คนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้





    ฝ่ายคนถูกแหย่ก็เดินหน้ามุ่ยเข้ามาทันที  





    “ไม่มีกฎข้อไหนห้ามหรอกค่ะ คุณผู้ช่วยเจ้าขา”  น้ำเสียงประชดประชันที่เอ่ยออกมา พร้อมกับท่าทีพินบพินอบที่คนทำตั้งใจล้อเลียนนั้น  ทำให้เปรมมิดาถึงกับกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่





    ‘ก็ดูเอาเถอะ ช่างเหน็บแนมได้ไม่แพ้กันจริงๆ อย่างนี้ค่อยสมกับเพื่อนซี้กันหน่อย’





    “ พอๆ เลิกเล่นได้แล้ว ฉันรีบเข้ามาทำงานที่ค้างเมื่อวานน่ะ ต้องรีบส่งคุณพินิจเช้านี้ด้วย”  ท้ายเสียงนั้นบ่นอย่างเซ็งๆ





    “งานด่วนเหรอ ! ”  





    “อือ....เห็นว่าลูกชายของคุณไพโรจน์ที่เสียไป กำลังจะกลับมาบริหารงานต่อแทนคนเป็นพ่อน่ะสิ คุณพินิจเลยรีบสะสางงานให้เรียบร้อย เตรียมรอผู้บริหารคนใหม่”





    “เหรอ  อย่างนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงมั้ยเนี่ย เปลี่ยนทีมผู้บริหารใหม่ แล้วคุณพินิจล่ะ”  นิสาถามด้วยความอยากรู้ เลือดนักประชาสัมพันธ์เข้าสิง ข่าวคราวความเคลื่อนไหวภายในบริษัท หล่อนจำเป็นต้องรู้แทบทุกเรื่อง





    “คุณพินิจท่านก็ไปเป็นที่ปรึกษาอาวุโสน่ะสิ  เห็นท่านบ่นๆ อยู่เหมือนกันว่าอยากจะพัก ให้คนรุ่นใหม่ได้ฉายแสงบ้าง”  เท้าก้าวไปเรื่อยๆ เข้าไปลิฟท์ กดหมายเลขชั้นที่หล่อนทำงาน แต่มือบางยังคงกดปุ่ม Open ไว้อยู่





    “หือม์ ข่าวนี้น่าสนใจ รับรองต้องเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์แน่เลย ว่าผู้บริหารใหม่จะเป็นยังไง” แม่เพื่อนสาวตัวดียืนยิ้มแก้มปริอยู่หน้าลิฟท์ ไม่มีวี่แววว่าจะถอยกลับไปประจำที่ของตนด้านหน้าบริษัท





    “น่าสนใจหรือไม่ เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง ส่วนตอนนี้ฉันว่าแกกลับไปประจำที่ก่อนดีกว่านะ    ฉันจะได้ขึ้นไปทำงานสักที”





    “อ๊ะ! ขอโทษ ลืมไปเลยว่าแกรีบ  ไปเหอะ ฉันไม่กวนแล้ว เดี๋ยวเที่ยงนี้เจอกัน”  นิสาอุทานอย่างตกใจ ที่ชวนคุยทำให้เพื่อนสาวเสียเวลา ทั้งที่อุตส่าห์รีบมาแต่เช้า   ก่อนจะนัดแนะเจอกันช่วงเที่ยงเช่นเคย แล้วเดินกลับไปประจำที่ของตน











    ท่าอากาศยานสนามบินดอนเมือง  เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย  ที่มารอรับและเพิ่งเดินออกมาจากช่องผู้โดยสารขาออก  ชายหญิงผมสีดอกเลาคู่หนึ่ง กำลังยืนชะเง้อมองหาบุคคลที่ตนมารอรับ  





    “คุณภัทร  เห็นตาพีหรือยังคะ”  





    “ยังเลย  คนเยอะแบบนี้ หาลำบากหน่อย”  เสียงทุ้มเอ่ยตอบผู้เป็นภรรยา แต่สายตานั้นก็พยายามช่วยมองหาร่างคนคุ้นเคย  ที่ทำได้อย่างยากลำบาก เนื่องจากมีเที่ยวการบินสองสายลงจอดพร้อมกัน ผู้คนจำนวนมากต่างทยอยกันออกมา





    “เอ๊ะ !  นั่นใช่ตาพีหรือเปล่าคะ”   สายตาที่เริ่มฝ้าฟางไปตามอายุนั้นเพ่งมองหาร่างหลานชายสุดที่รัก พลันสะดุดเห็นร่างที่ดูคุ้นเคย  ชายหนุ่มที่สวมแว่นดำนั้นคล้ายกับใครบางคนที่คุณอัมรารู้จักเป็นอย่างดี  แต่เพราะแว่นดำที่ปกปิดสายตานั้น  ทำให้คุณอัมราไม่แน่ใจว่าใช่คนที่กำลังมารอหรือไม่





    “ไหน.....ใช่เลย !  ตาพีทางนี้ !”   คุณภัทรมองตามสายตาของผู้เป็นภรรยา พินิศร่างสูงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จนมั่นใจว่าใช่คนที่รออยู่  มือหยาบโบกขึ้นพร้อมตะโกนเรียก จนร่างสูงนั้นหันมายิ้มให้ ก้าวเท้าอย่างเร็วเข็นกระเป๋าสัมภาระมาหาคนทั้งคู่ทันที





    คุณอัมรายืนมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยแววตารักใคร่ หลานชายที่เธอรักมากเหมือนเป็นลูกของตัวเองกลับมาแล้ว หลังจากที่ไปศึกษาต่อที่เมืองนอกนานนับ 4 ปี  





    “คิดถึงป้าอัม ที่สุดเลยครับ”  เสียงห้าวเอ่ย พร้อมโน้มตัวกอดกระชับผู้เป็นป้าแน่น จนรู้สึกถึงอ้อมแขนของคุณอัมราที่กอดตอบกลับมาเช่นกัน





    “ป้าก็คิดถึงเราเหมือนกัน  ไปอยู่ที่โน้นไม่คิดจะกลับมาเยี่ยมป้าบ้างเลยนะ”  น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความดีใจและตัดพ้อต่อว่าในตอนท้าย





    “ที่ผมไม่กลับมา ก็เพราะอยากจะรีบเรียนให้จบ จะได้รีบกลับมาอยู่บ้านเราไงครับ”





    พีระ  ดูคล้ายกับคนเป็นบิดามาก น้องชายของเธอที่เสียชีวิตไป เป็นคนที่รูปร่างสูง หน้าตาคมเข้ม เป็นที่ถูกตาต้องใจสาวๆ ด้วยบุคลิกเป็นคนเงียบขรึมทำให้ยิ่งดูน่าค้นหานั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมาลงเอยกับน้องสะใภ้ที่สุดแสนจะเซอร์ แต่คล่องแคล่วปราดเปรียวคนนั้นได้ จนกระทั่งทั้งคู่จบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุพร้อมกันอย่างน่าเศร้า





    แต่พีระไม่เหมือนกับบิดาก็ตรงนิสัยที่เป็นคนอารมณ์ดี สุภาพอ่อนโยน  แต่ถ้าบทจะเงียบหรือโกรธขึ้นมาก็ดูน่ากลัวไม่น้อยกว่าคนเป็นบิดานัก  





    “ไงตาพี  ไม่ควงแหม่มกลับมาฝากป้าเราด้วยหรือ ?”  คุณภัทรเอ่ยเสียงเย้า  เมื่อเห็นคุณอัมรานั้นมองชายหนุ่มอย่างเหม่อลอย ดูเศร้าสร้อยจนเขาต้องรีบดึงความคิดของผู้เป็นภรรยาให้กลับมา





    “เอ๊ะ! คุณนี่”   ได้ผลชะงัด คุณอัมราเสียงสูง ค้อนขวับใส่ภัทรทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มกับพีระ  “ป้าไม่เอาหลานสะใภ้เป็นฝรั่งนะ”





    สายตาหญิงสูงวัยเหลือบมองไปด้านหลังชายหนุ่มด้วยความกังวล ว่าจะมีใครตามมากับหลานของหล่อนด้วยหรือไม่อย่างระแวง





    “โธ่!  ไม่มีหรอกครับ ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปมองสาวๆ กัน ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียวเลย จริงๆ นะครับ ”  ว่าแล้วก็พยักหน้ายืนยันทิ้งท้ายอย่างน่าเอ็นดู  ฉีกยิ้มกว้างกอดประจบคุณอัมราอีกครั้งเมื่อเห็นผู้เป็นป้าเอ่ยเสียงอ่อนโยน





    “จ้ะ  ป้าเชื่อใจเราเสมอ  หลานคนนี้ไม่มีวันทำให้ป้าผิดหวังแน่ๆ จริงมั้ย”  ท้ายเสียงนั้นกึ่งถามกึ่งคาดคั้นในตัว แต่ลึกๆ แล้วก็ยังกังวล ก็หลานชายหน้าตาคมเข้ม มีเสน่ห์มัดใจสาวแบบนี้ รับรองได้เลยว่าสาวๆ ที่โน่นคงตามติดกันเกรียวเป็นแน่แท้  คนที่ผ่านร้อนมาก่อนย่อมรู้ดีที่สุด





    “รับรองครับ ผมให้สัญญา”  พีระยกมือขึ้นชูสามนิ้ว เลียนแบบการรับคำอย่างทหาร จนคู่สูงวัยนั้นมองอย่างเอ็นดู





    “เอาล่ะ  กลับไปคุยกันที่บ้านกันดีกว่านะ  ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็ไม่ได้ออกจากสนามบินแน่ๆ ถ้ายังคุยกันอยู่อย่างนี้น่ะ”  คุณภัทรแทรกขึ้นทันทีเมื่อเห็นคุณอัมราตั้งท่าจะเอ่ยถามสารทุกข์สุขดิบของชายหนุ่มต่อ





    “จริงด้วย  กลับบ้านกันเถอะ ป้าเตรียมของโปรดไว้ให้เราเยอะแยะเลย”  พีระเอ่ยขอบคุณอย่างอ่อนโยนพร้อมเข็นรถขนสัมภาระเดินออกจากสนามบินไปพร้อมกัน











    คาดิแลคสีดำแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ ที่รายล้อมด้วยสวนสวยอย่างน่ามอง ร่างสูงก้าวเท้าลงจากรถ มองดูบ้านด้วยความคิดถึง กลิ่นไอความอบอุ่นของครอบครัวในบ้านที่รักยิ่ง ทำให้ชายหนุ่มมีสีหน้าเศร้าหมองลงทันตา จนคุณภัทรและคุณอัมราที่ยืนอยู่ด้านข้างสังเกตเห็น





    “ป้าเราเขาให้คนมาทำความสะอาดอยู่ตลอด ตั้งแต่เราไปเรียนต่อนั่นแหละ”  คุณภัทรกล่าวพร้อมทั้งเหลือบมองเสี้ยวหน้าชายหนุ่มด้วยความเห็นใจ





    “ชอบมั้ยจ้ะ  ป้ารู้ว่าเราต้องอยากพักที่บ้านหลังนี้ เลยให้คนทำความสะอาดไว้ รอเรากลับมา”  สีหน้าชายหนุ่มยังคงเหม่อลอยจนคุณอัมราต้องพูดขึ้นมาบ้าง





    “ครับ ขอบคุณมากนะครับ ป้ารู้ใจผมที่สุดเลยครับ”  ร่างสูงของผู้เป็นหลานหันมายิ้มบางๆ กล่าวขอบคุณลุงกับป้าของเขา





    พีระรู้สึกได้ว่าสีหน้า ท่าทางของคู่สูงวัยนั้นมองเขาด้วยความเป็นห่วง  จึงรู้ตัวว่าทำให้พวกท่านไม่สบายใจ  จึงพยายามทำตัวให้ดูสดใสขึ้น มองรอบๆ บ้านอย่างพิจารณาและซักถามความเป็นอยู่ของพวกท่าน  จนกระทั่งลุงกับป้าของเขาขอตัวกลับก่อน เพื่อให้เขาได้พักผ่อน





    ชายหนุ่มหยุดยืนหน้าห้องนอนของตัวเอง มือหนาเอื้อมบิดลูกบิดเปิดประตูเข้าไป ห้องสีน้ำเงินเข้มนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ข้าวของทุกชิ้นยังคงวางอยู่ที่เดิม  





    พีระลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาวางบนเตียงกว้าง หยิบกรอบรูปสีเงินสองใบออกมาวางข้างหัวเตียง  นัยน์ตาสีน้ำตาล มองภาพทั้งสองด้วยแววตาอ่อนแสง รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้าคมสัน  





    “ผมกลับมาแล้วครับ”  พีระเอ่ยเสียงอ่อนโยนบอกกับภาพใบแรกที่เป็นรูปครอบครัวของเขา  ถ้อยคำที่ให้บุคคลในภาพรับรู้การกลับมาของเขานั้นเต็มไปด้วยความเศร้า ชายหนุ่มรีบขจัดความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นออกมาทำให้เขาเจ็บปวดลงไป  หันไปมองสบอีกภาพทันที





    มือหนาหยิบกรอบใบที่สองขึ้นมา  แววตาทอแสงอ่อนโยน ยิ้มให้คนในภาพ





    รูปหญิงสาวสองคนในชุดนิสิตของมหาลัยชื่อดัง ยืนกอดคอกันยิ้มให้กล้องอย่างสดใส เห็นได้ชัดถึงความสนิทสนมของทั้งสองคน





    มือของชายหนุ่มลากไล้ดวงหน้าของคนในภาพคนหนึ่งอย่างเผลอไผล  ริมฝีปากหยักเผยยิ้มสดใสกระจ่างตา นัยน์ตาคมเป็นประกายวาว ก่อนจะหม่นแสงลงพร้อมทั้งเอ่ยรำพันออกมาเบาๆ





    “เธออยู่ที่ไหนกันนะ”





    พีระลุกขึ้นจากเตียงกว้าง  ก้าวเท้าไปยืนตรงหน้าต่างที่เปิดรับภาพแสงตะวันกำลังอ่อนแสงลงในยามเย็น ทอดสายตามองตามขอบฟ้าจนสุดเส้น  





    “พี่คิดถึงเธอ”  ถ้อยคำนั้นเหมือนจะกระซิบสายลมฝากไปบอกให้เธอรับรู้



                            

                                                         **************************











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×