คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Capitolo IV
ดังนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง แกล้งทรมานให้ฉันได้เจอ...กับอะไรๆ ที่ไม่อยากเจอ ชีวิตต้องระหกระเหินมาไกลถิ่น ติดต่อใครก็ไม่ได้ ต้องมาร่วมทางกับนายจอตโตที่ฉันพึ่งรู้จักได้สักพัก
จอตโตหาที่พักได้ใกล้ๆ กับปั๊มน้ำมัน โรงแรมที่เขาเลือกค่อนข้างสะดวก มีทั้งเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ต่างกับคอนโดห้องหนึ่ง ภายในแม้เฟอร์นิเจอร์จะตกแต่งค่อนข้างเยอะแต่ก็ดูสวยหรูตามสไตล์อิตาเลียนแท้ๆ แต่โชคร้ายก็ดันมาเกิดขึ้นอีก เมื่อห้องพักเหลืออยู่...ห้องเดียว -_-“
ฉันนั่งอยู่บนเตียงคู่นั่งดูรูปถ่ายครอบครัวของตัวเอง ป่านนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ ทุกคนจะวุ่นวายเดือดร้อนที่ฉันหายไปหรือเปล่า ขอโทษนะทุกคน...
ณ มุมหนึ่งในที่เดียวกัน...
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยืนมองตัวเองที่หน้ากระจก เขาจ้องลึกเข้าไปในบาดแผลที่ถูกกระสุน ในมือถือมีดผ่าตัดที่ ‘จอห์นนี่’ หมอชาวอเมริกันที่เป็นเพื่อนกับพ่อเขาให้ไว้
‘นายควรพกของพวกนี้ไว้บ้างนะ’
เหมือนมีเสียงจากอดีตที่ยังคงก้องอยู่ในมโนสำนึกพร่ำบอกเขา ชายหนุ่มเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่เติบโตมากับครอบครัวที่อบอุ่นครั้งที่เขาอยู่ที่ประเทศไทย เขาอาศัยอยู่กับแม่แค่สองคนมาตลอดจนวันที่แม่...จากเขาไป
ชายหนุ่มอายุแค่สิบห้านั่งมองรูปของแม่เขา พยายามทำใจกับการจากไปแบบไม่มีวันหวนกลับ แล้วชายอีกคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา...
‘Mi dispiace’ (เสียใจด้วย)
‘
’
‘ไปด้วยกันนะ...’
‘
’
‘จอตโต’
นับแต่นั้นมาเขาก็ได้เข้ามาสู่โลกที่ทุกคนต่างขนานนามกันว่า...มาเฟีย แต่มันไม่ใช่ความปราถนาของเขา
‘ทำไมผมต้องพกไว้ด้วยล่ะครับ’
‘เผื่อฉุกเฉิน นายอาจต้องใช้มัน’
จอตโตสนิทกับหมอจอห์นนี่มากกว่าพ่อหรือพี่ชายของเขาเสียอีก เขาเป็นผู้ช่วยให้กับหมอจอห์นนี่ในคลินิกเถื่อนอยู่หลายปีควบคู่กับการเรียนหนังสือไปด้วย เขาเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากคนๆ นี้ แม้ว่าจะเป็นเวลาอันสั้นก็ตาม
การผ่าเอากระสุนออกด้วยตัวเองของจอตโตผ่านไปได้ด้วยดี เขาเสียเลือดไปพอสมควร จอตโตจัดการเย็บแผลเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว เขามองภาพสะท้อนในกระจกที่มีใบหน้าซีดไม่เป็นธรรมชาติ แก้มไม่มีเลือดฝาด ริมฝีปากซีดและแห้งผาก มือทั้งสองข้างสั้นเทายึดไว้กับขอบอ่างล้างหน้า สายตาก็พลันมองภาพของอีกคนที่นั่งอยู่บนเตียงก้มมองกระเป๋าสตางค์ เธอคนที่ดันมาได้ยินบทสนทนาในบาร์กาแฟ เธอคนที่เขาลากขึ้นรถด้วยวิธีที่ค่อนข้างสุภาพ และเธอกับเขาคือคนที่พึ่งรู้จักกัน
‘มายาวี’ หญิงสาวชาวไทยผิวสองสี เส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มออกจะหยักศกกับนัยน์ตาสีเดียวกัน เธอนั่งก้มหน้านิ่งมองกระเป๋าสตางค์ จอตโตไม่สามารถรู้ถึงสีหน้าของเธอว่าเป็นอย่างไร เขาจัดการเก็บอุปกรณ์ที่วางเกลื่อนอยู่หน้ากระจกให้เรียบร้อยแล้วจึงไปนั่งอยู่ข้างๆ เธอ
จอตโตถือวิสาสะชำเลืองมองกระเป๋าสตางค์ของเธอ รูปถ่ายครอบครัวที่มีพ่อแม่ลูกสาวสี่คนรวมมายาวีด้วย เขาสังเกตเห็นหยดน้ำเล็กๆ สองสามหยดอยู่บนรูปนั้น เสียงสะอื้นไห้อันแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาให้เขาได้ยิน เธอกำลัง...ร้องไห้
“เป็นไรหรือเปล่า” เขาถาม
“เปล่าหรอก” เธอตอบ
ปากก็พูดว่าไม่เป็นไร แต่มือก็ทำหน้าที่เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า มายาวีจัดแจงเก็บกระเป๋าสตางค์ให้กลับไปอยู่ในกระเป๋าสะพายเช่นเดิม เธอจ้องหน้าเขาสลับกับบาดแผลที่ไหล่ซ้าย
“ไหนนายบอกจะให้ฉันทำแผลให้ไง”
“ไม่ดีกว่า ฉันทำเองคงดีที่สุด”
“ทานยาหรือยัง”
“ยังเลย”
“ฉันจัดยาให้แล้วกัน”
พูดเสร็จก็ลุกออกไปยังห้องครัวให้เขานั่งอยู่คนเดียว สายตาของเขาเหลือบไปเห็นแสงไฟสะท้อนออกมาจากกระเป๋าเป้ของตัวเอง มันคือแสงจากหน้าจอโทรศัพท์ของมายาวี จอตโตรีบหยิบมันออกมาดู
“ข้อความ”
~พี่วีอยู่ไหน ลินโทรไปพี่ก็ไม่รับ ทุกคนเป็นห่วงนะ~
“ไงล่ะทีนี้”
~พี่มาธุระ ไม่ต้องเป็นห่วง~
เขาบรรจงพิมพ์ข้อความเพื่อตอบกลับไปหาคนที่ชื่อ ‘ลิน’ แล้วกดส่งทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่มายาวีออกมาจากห้องครัวพร้อมแก้วน้ำดื่มและขวดยาพารา จอตโตรีบซ่อนโทรศัพท์ไว้ข้างหลังพร้อมกับกดปุ่มปิดเครื่อง
“ทานยาแล้วก็พักซะ”
เธอพูดพร้อมกับยื่นแก้วน้ำดื่มกับยาพาราสองเม็ดมาทางเขา จอตโตรับยากับแก้วน้ำดื่มมาจัดการเสร็จเรียบร้อยก็ยื่นกลับไปให้เธอตามเดิม เขามองหญิงสาวตรงหน้าที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขาสั้นของเขาอย่างไม่มีเหตุผล มีแต่ความรู้สึกว่า...อยากมอง
“มองไร” เธอพูด
“ไม่มีไร”
จอตโตเบือนหน้าหนีจากสายตาเอาเรื่องของคนตรงหน้า มายาวีเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้งพร้อมกับแก้วน้ำดื่ม เขาจึงได้หันกลับทางเดิม
“ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้านะ”
“ไม่เป็นไร”
เสียงขอบคุณดังออกมาจากหลังกำแพงห้องแล้วทุกอย่างก็เงียบลง ไม่มีการสนทนาใดต่อหลังจากนั้น
“ฉันนอนก่อนนะ” จอตโตพูด
“...”
จอตโตเลิกผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างอันสูงโปร่งของตัวเองกันความหนาวยามค่ำ เขาสวมแค่เสื้อกล้ามกับกางเกงตัวเดิมที่เขาใส่มาทั้งวัน อาจเป็นเพราะแผลอักเสบบวกกับฤทธิ์ยาทำให้เขาหลับไปภายในไม่กี่นาที
มายาวีเดินออกมาหยุดอยู่ข้างเตียงฝั่งที่จอตโตนอน เธอนั่งคุกเข่ามองคนตรงหน้าที่กำลังหลับพริ้มด้วยฤทธิ์ยา เธอมองเขาอย่างไม่มีเหตุผล มองแล้วรู้สึกมีความสุข
“นายจะใช่คนที่ฟ้าส่งมาหรือเปล่านะ”
“...”
“แต่ก็ช่างเถอะ...”
“...”
“Buonna notte” (ราตรีสวัสดิ์)
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“แม่หรอ~”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“ขออีกห้านาทีนะ~”
แต่เดี๋ยวนะ...ฉันไม่ได้อยู่ไทยนี่นา แม่จะมาเคาะประตูปลุกทำไม นึกได้ฉับพลันก็ลุกขึ้นจากเตียงทันใด จอตโตยังคงนอนหลับอยู่อีกฟากหนึ่งของเตียง ฉันสาวเท้าเดินไปที่ประตูอย่างระมัดระวังกลัวว่าจะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ แต่กลับเป็น...
“Buongiorno” (อรุณสวัสดิ์)
พนักงานโรงแรม ^_^”
“Buongiorno” (อรุณสวัสดิ์)
ฉันยิ้มให้กับพนักงานหญิงที่ยืนอยู่หน้าประตู ด้านหลังเป็นรถเข็นที่มีถาดอาหารอยู่สองถาด ส่วนในอ้อมแขนของพนักงานคือชุดที่ฉันใช้บริการซักรีดเมื่อวานนี้
“Come stai” (สบายดีไหมค่ะ)
“Bene” (สบายดีค่ะ)
พนักงานหญิงพูดพร้อมกับส่งเสื้อผ้ามาให้ฉันแล้วเธอก็ยกถาดอาหารเข้ามาในห้อง ฉันหันไปมองนาฬิกาที่อยู่ข้างฝาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า เริ่มต้นวันใหม่แล้วสินะ
“Molte grazie” (ขอบคุณค่ะ)
ฉันกล่าวขอบคุณพนักงานหญิง เธอโค้งให้ฉันหนึ่งครั้งแล้วก็เดินออกจากห้องไป ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนที่จอตโตจะตื่น ฉันจัดการธุระของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วจอตโตก็ยังไม่ตื่นอีก เป็นอะไรหรือเปล่านะ
“นาย”
“...”
“อ้า~ตัวร้อนจี๋เลย”
ฉันใช้หลังมืออังหน้าผากของเขาที่ยังหลับอยู่ ตัวเขาร้อนราวกับไฟ นี่ขนาดเมื่อวานทานยาไปแล้วนะยังตัวร้อนเป็นไข้ได้
“นาย”
“โอ๊ะ!”
“นายตื่นแล้ว”
ฉันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเขาขยับตัวแล้วก็ร้องขึ้นพร้อมกับใช้มือขวากุมไหล่ซ้ายไว้ จอตโตตื่นเต็มตาหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เขาทำหน้าเจ็บปวดกับแผลที่ต้องกระสุนเมื่อวานนี้ ฉันจำได้ว่าเขาจัดการเอากระสุนออกและเย็บแผลด้วยตัวเอง แผลคงอักเสบสินะ
“นายเป็นอะไรมากหรือเปล่า” ฉันถามขึ้น
“พอทนไว้”
“ไปหาหมอดีกว่าไหม”
“ฉันก็ว่าดี” เขาตอบ
จอตโตพยุงตัวขึ้นนั่งพิงกับหมอนหนุน ฉันช่วยเขาขยับหมอนเพื่อให้เขานั่งได้พอดี เขายังคงใส่กางเกงตัวเดิมแต่เปลือยท่อนบนเห็นกล้ามเนื้อสมส่วนตามฉบับผู้ชายหุ่นดี ตรงไหล่ซ้ายปิดผ้าก็อตไว้หลวมๆ ด้วยเทปกาวเส้นเล็กกับจุดสีแดงตรงกลาง เห็นแล้วฉันก็อดสงสารปนเสียวแทนเขาไม่ได้ที่จัดการทำแผลเอง เป็นฉันคงร้องแหกปากลั่นไปทั้งซอยแล้ว แต่ก็น่านับถือเขาจริงๆ ที่ไม่ส่งเสียงโหยหวนเจ็บปวดให้ได้ยิน
“แล้วนายจะไปหาหมอที่โรงพยาบาลไหนล่ะ”
“แถวนี้แหละ”
ฉันไม่ได้หูฝาดใช่ไหมที่ได้ยินเขาพูดว่าแถวนี้
“ไปไหวหรือเปล่า”
“ฉันไม่เสียเวลาเดินไปเองหรอกนะ โทรไปตามให้มาหาถึงที่เลยจะดีกว่า”
“อะ...อืม” ^_^
จอตโตจัดแจงโทรศัพท์หาใครสักคน ส่วนฉันเดินไปดูที่โต๊ะอาหารว่าเช้านี้มีอะไรให้ทานบ้าง จอตโตวางสายไปแล้วเขาก็ดินมาสมทบกับฉันที่โต๊ะ เรานั่งทานอาหารเช้ารอให้หมอมาตรวจอาการของเขา
ฉันนั่งดื่มกาแฟเอสเปรสโซถ้วยเท่าจอกเหล้าอยู่ที่ระเบียง หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ฉันคอยมองเข้าไปในห้องที่มีจอตโตกับชายอีกคนที่คาดว่าน่าจะเป็นหมอกำลังดูอาการเขาอยู่ ฉันจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูอาการของเขาบ้าง
“นายควรจะไปหาฉันมากกว่าที่จะทำเองนะ”
เสียงพูดภาษาไทยที่ออกจะติดๆ ขัดๆ ออกสำเนียงลาตินของชายร่างสูงดังแว่วมา เขากำลังจัดแจงเก็บอุปกรณ์เข้ากระเป๋าสีดำที่มีเครื่องหมายบวกสีแดงอยู่ตรงกลาง ส่วนจอตโตกำลังสำรวจแผลที่ได้รับการรักษาและปิดผ้าก็อตใหม่ที่ดูเรียบร้อยกว่าเดิม สีหน้าของเขาดูดีขึ้นกว่าเมื่อเช้าที่ใบหน้าซีดไม่ค่อยมีเส้นเลือดฝาด เขาเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มน้อยๆ ส่งมาให้ฉัน
“นี่ยาครับคุณผู้หญิง”
“ขอบคุณค่ะ คุณ...”
“นาโปลีครับ” J
“ค่ะ...นาโปลี”
‘นาโปลี’ คุณหมอหนุ่มอายุน่าจะประมาณยี่สิบห้าปี ชื่อของเขาคือชื่อเมืองหลวงในแคว้นกัมปาเนียที่ทุกคนรู้จักกันในนามของ ‘เนเปิลส์’ เขาเป็นชายรูปร่างสมส่วนและตัวสูงกว่าจอตโตเสียอีก ผิวขาวเนียนตัดกับนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลสดใส เขาค่อนข้างสุภาพกว่านายจอตโตด้วย(พาดพิงอีกแล้ว...ไรเตอร์)
“คุณพูดไทยได้ด้วยหรอค่ะ” ฉันถามเขา
“ได้อยู่ครับอาจจะไม่ชัดเท่าไหร่ ต้องขอบคุณจอตโตที่สอนให้นะครับ”
ฉันชำเลืองมองจอตโตที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร ออกจะเมินเสียด้วยซ้ำไป ฉันเลยทำเป็นไม่สนใจเดินไปส่งนาโปลีที่หน้าห้อง แล้วก็กลับมาจัดยาให้เขาทาน
“ดูนายโอเคขึ้นเยอะเลยนะ”
“ก็ค่อยยังชั่วแล้ว”
เขาพูดพร้อมกับรับยาไปทานรวดเดียวหมด ทานอย่างนี้น่าจะติดคอตายไปเลยดีกว่า ไอ้ท่าทีกวน ๆ นี่น่าหมั่นไส้จริง
“แล้วนายจะทำไงต่อ”
“...”
เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็หยิบเสื้อเชิ้ตที่พาดอยู่โซฟามาสวม แล้วจึงหันมาหาฉันทั้งที่ติดกระดุมยังไม่เสร็จ
“ฉันจะพาเธอไปที่ไร่”
“ไร่?”
“Si.” (ใช่)
ถ้าเขาพูดถึงไร่ แถวตอสกานาที่ทำเกษตรส่วนใหญ่จะเป็นไร่องุ่น บริเวณที่ทำไร่องุ่นกันส่วนใหญ่อยู่ที่ฟีเรนเซ (ฟลอเรนซ์) นี่เขาจะพาฉันไปทำไร่หรือไง แต่คิดในแง่ดีไว้มายาวีอาจจะมีอะไรเลวร้ายกว่านี้ก็ได้ (นี่แง่ดีแล้วหรอ -_-“)
“ธุรกิจนายหรอ”
“อืม...ของพ่อน่ะ แต่ท่านยกให้”
จอตโตติดกระดุมเสื้อจนเสร็จพร้อมกับหยิบเสื้อสูทผ้าวูลสีน้ำตาลมาสวมทับ เขาจัดแจงใส่นาฬิกาข้อมือพร้อมกับหยิบกุญแจรถและโทรศัพท์เตรียมออกจากห้อง
“นี่นายจะไปไหน” ฉันร้องทักขึ้น
“ธุระ...เดี๋ยวมา อย่าไปไหนล่ะ”
ปัง!
ฉันยังไม่ทันได้อ้าปากถามคำถามต่อไปเจ้าตัวก็ปิดประตูใส่เสียแล้ว พึ่งจะทำแผลเสร็จก็ออกไปทำธุระเลยเนี่ยนะ แล้วนี่ก็ทิ้งฉันไว้ในห้องคนเดียว จะทำไงล่ะทีนี้?
Io sono Giotto
ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของมายาวีที่ได้มาเจอกับผม ‘จอตโต’ จริงๆ แล้วผมก็คือประชาชนคนไทยคนหนึ่ง แต่มีพ่อเป็นคนอิตาเลียนที่ผมไม่เคยเจอกว่าสิบห้าปี มันคงไม่สำคัญอะไรแล้วล่ะ...
อัลฟาโรเมโอ 159 สีแดงเลือดหมูคันงามยังคงจอดอยู่เดิม มันจะไปไหนได้ยังไงเพราะกุญแจอยู่กับผม ขืนมีใครขโมยมันไปได้ล่ะก็...จะตามไปยิงทิ้งเลย มันคือหนึ่งในของรักของหวงที่สุดของผมน่ะ J
ผมปล่อยให้มายาวีอยู่ในห้องคนเดียวแล้วก็รีบออกมาไม่ให้เจ้าตัวได้ถามอะไร ผมมีธุระต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป
ณ บาร์กาแฟที่หาได้แทบทั่วทุกมุมของอิตาลีโดยเฉพาะโรม แต่สำหรับที่ฟลอเรนสซ์ก็หาได้พอตัว ผมนั่งจิบเอสเปรสโซรอบุคคลสำคัญที่ผมนัดไว้
“จอตโต”
ผมหันตามเสียงเรียกของชายวัยกลางคนที่กำลังเดินมานั่งข้างๆ ผม เขาเป็นคนที่ผมไว้วางใจที่สุด คอยช่วยเหลือผมตลอดไม่ว่าสถานการณ์ไหน ผมรักเขาเหมือนพ่อผมอีกคนรองจากหมอจอห์นนี่และพ่อของผมเอง
“ได้ข่าวอะไรจากพวกที่โรมหรือเปล่าครับ”
“เราเสียคนไปพอสมควรฝั่งนั้นก็เหมือนกัน”
บทสนทนาดำเนินขึ้นภายใต้ภาษาที่ผมรักที่สุด ‘คุณนวพล’ หรือลุงพลตามที่ผมเรียกเขาเป็นนักธุรกิจค้าอาวุธและเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจหลายๆ อย่างของผมและพ่อ เราเป็นคนไทยเหมือนกันจึงคุยกันรู้เรื่อง คุยกันถูกคอกว่าใครอีกคน....
ผมควรแนะนำให้รู้จักกับคนที่ชื่อ ‘ออสกา’ หรือเปล่า เขาเป็นพี่ชายผมพี่ชายแฝดแต่คนละฝา เราเกิดวันเดียวกันที่เดียวกัน พ่อแม่เดียวกันแต่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ออสกาได้แม่ไปเยอะทั้งสีผมที่เป็นสีดำ ผิวสีน้ำผึ้ง ดวงตาคมแต่เป็นสีน้ำเงินเข้มเหมือนพ่อ ส่วนผมนั้น...ได้พ่อมาเยอะ ทั้งผมสีน้ำตาล ผิวขาวแบบชาวตะวันตก ดวงตาที่แสนอ่อนโยนแต่ผมก็ได้แม่มาเหมือนกันนะ ก็นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นี้ไง J
“ได้ข่าวว่าเธอได้รับบาดเจ็บ”
“ครับ”
“ไม่เป็นไรมากใช่ไหม”
“ครับ”
“เป็นไรหรือเปล่า ถามคำตอบคำ”
ลุงพลเอื้อมมือมาจับไหล่ซ้ายผมที่ได้รับบาดเจ็บ ผมทำหน้าเหยเกเพราะปวดแผลตามแรงกดของฝ่ามือลุงพล เขาสังเกตเห็นอาการผมก็ชักมืออกทันที
“ลุงขอโทษ เธอเจ็บตรงนี้หรอ”
“ครับ แต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมแล้วล่ะครับ”
ลุงพลถามไถ่อาการของผมอีกนิดหน่อยก่อนที่ผมจะวกกลับมาที่เรื่องเดิม
“มีใครจัดการปิดข่าวเรื่องนี้หรือยังครับ”
“พ่อนายจัดการเรียบร้อยแล้วล่ะไม่ต้องห่วง ห่วงเรื่องอื่นดีกว่า”
“...”
“คนที่เธอพามาด้วย”
ความคิดเห็น