ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fontana รักนี้ ฉันขอล่ะ!

    ลำดับตอนที่ #5 : Capitolo IV

    • อัปเดตล่าสุด 8 ม.ค. 55


                   

                 ดังนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง  แกล้งทรมานให้ฉันได้เจอ...กับอะไรๆ ที่ไม่อยากเจอ  ชีวิตต้องระหกระเหินมาไกลถิ่น  ติดต่อใครก็ไม่ได้  ต้องมาร่วมทางกับนายจอตโตที่ฉันพึ่งรู้จักได้สักพัก

                จอตโตหาที่พักได้ใกล้ๆ กับปั๊มน้ำมัน  โรงแรมที่เขาเลือกค่อนข้างสะดวก  มีทั้งเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ต่างกับคอนโดห้องหนึ่ง  ภายในแม้เฟอร์นิเจอร์จะตกแต่งค่อนข้างเยอะแต่ก็ดูสวยหรูตามสไตล์อิตาเลียนแท้ๆ  แต่โชคร้ายก็ดันมาเกิดขึ้นอีก  เมื่อห้องพักเหลืออยู่...ห้องเดียว -_-“

                ฉันนั่งอยู่บนเตียงคู่นั่งดูรูปถ่ายครอบครัวของตัวเอง  ป่านนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ  ทุกคนจะวุ่นวายเดือดร้อนที่ฉันหายไปหรือเปล่า  ขอโทษนะทุกคน...

     

    ณ มุมหนึ่งในที่เดียวกัน...

                ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยืนมองตัวเองที่หน้ากระจก  เขาจ้องลึกเข้าไปในบาดแผลที่ถูกกระสุน  ในมือถือมีดผ่าตัดที่ จอห์นนี่ หมอชาวอเมริกันที่เป็นเพื่อนกับพ่อเขาให้ไว้ 

                นายควรพกของพวกนี้ไว้บ้างนะ

                เหมือนมีเสียงจากอดีตที่ยังคงก้องอยู่ในมโนสำนึกพร่ำบอกเขา  ชายหนุ่มเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่เติบโตมากับครอบครัวที่อบอุ่นครั้งที่เขาอยู่ที่ประเทศไทย  เขาอาศัยอยู่กับแม่แค่สองคนมาตลอดจนวันที่แม่...จากเขาไป

                ชายหนุ่มอายุแค่สิบห้านั่งมองรูปของแม่เขา  พยายามทำใจกับการจากไปแบบไม่มีวันหวนกลับ  แล้วชายอีกคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา...

                ‘Mi dispiace’ (เสียใจด้วย)

                ‘…’

                ไปด้วยกันนะ...

                ‘…’

                ‘จอตโต

                นับแต่นั้นมาเขาก็ได้เข้ามาสู่โลกที่ทุกคนต่างขนานนามกันว่า...มาเฟีย  แต่มันไม่ใช่ความปราถนาของเขา

                ทำไมผมต้องพกไว้ด้วยล่ะครับ

                ‘เผื่อฉุกเฉิน นายอาจต้องใช้มัน

                จอตโตสนิทกับหมอจอห์นนี่มากกว่าพ่อหรือพี่ชายของเขาเสียอีก  เขาเป็นผู้ช่วยให้กับหมอจอห์นนี่ในคลินิกเถื่อนอยู่หลายปีควบคู่กับการเรียนหนังสือไปด้วย  เขาเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากคนๆ นี้  แม้ว่าจะเป็นเวลาอันสั้นก็ตาม

                การผ่าเอากระสุนออกด้วยตัวเองของจอตโตผ่านไปได้ด้วยดี  เขาเสียเลือดไปพอสมควร  จอตโตจัดการเย็บแผลเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว  เขามองภาพสะท้อนในกระจกที่มีใบหน้าซีดไม่เป็นธรรมชาติ  แก้มไม่มีเลือดฝาด  ริมฝีปากซีดและแห้งผาก  มือทั้งสองข้างสั้นเทายึดไว้กับขอบอ่างล้างหน้า  สายตาก็พลันมองภาพของอีกคนที่นั่งอยู่บนเตียงก้มมองกระเป๋าสตางค์  เธอคนที่ดันมาได้ยินบทสนทนาในบาร์กาแฟ  เธอคนที่เขาลากขึ้นรถด้วยวิธีที่ค่อนข้างสุภาพ  และเธอกับเขาคือคนที่พึ่งรู้จักกัน

                มายาวีหญิงสาวชาวไทยผิวสองสี  เส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มออกจะหยักศกกับนัยน์ตาสีเดียวกัน  เธอนั่งก้มหน้านิ่งมองกระเป๋าสตางค์  จอตโตไม่สามารถรู้ถึงสีหน้าของเธอว่าเป็นอย่างไร  เขาจัดการเก็บอุปกรณ์ที่วางเกลื่อนอยู่หน้ากระจกให้เรียบร้อยแล้วจึงไปนั่งอยู่ข้างๆ เธอ

                จอตโตถือวิสาสะชำเลืองมองกระเป๋าสตางค์ของเธอ  รูปถ่ายครอบครัวที่มีพ่อแม่ลูกสาวสี่คนรวมมายาวีด้วย  เขาสังเกตเห็นหยดน้ำเล็กๆ สองสามหยดอยู่บนรูปนั้น  เสียงสะอื้นไห้อันแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาให้เขาได้ยิน  เธอกำลัง...ร้องไห้

                เป็นไรหรือเปล่า เขาถาม

                เปล่าหรอกเธอตอบ

    ปากก็พูดว่าไม่เป็นไร  แต่มือก็ทำหน้าที่เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า  มายาวีจัดแจงเก็บกระเป๋าสตางค์ให้กลับไปอยู่ในกระเป๋าสะพายเช่นเดิม  เธอจ้องหน้าเขาสลับกับบาดแผลที่ไหล่ซ้าย

    ไหนนายบอกจะให้ฉันทำแผลให้ไง

    ไม่ดีกว่า ฉันทำเองคงดีที่สุด

    ทานยาหรือยัง

    ยังเลย

    ฉันจัดยาให้แล้วกัน

    พูดเสร็จก็ลุกออกไปยังห้องครัวให้เขานั่งอยู่คนเดียว  สายตาของเขาเหลือบไปเห็นแสงไฟสะท้อนออกมาจากกระเป๋าเป้ของตัวเอง  มันคือแสงจากหน้าจอโทรศัพท์ของมายาวี  จอตโตรีบหยิบมันออกมาดู 

    ข้อความ

     

    ~พี่วีอยู่ไหน ลินโทรไปพี่ก็ไม่รับ ทุกคนเป็นห่วงนะ~

     

    ไงล่ะทีนี้

     

    ~พี่มาธุระ ไม่ต้องเป็นห่วง~

     

    เขาบรรจงพิมพ์ข้อความเพื่อตอบกลับไปหาคนที่ชื่อลินแล้วกดส่งทันที  เป็นจังหวะเดียวกับที่มายาวีออกมาจากห้องครัวพร้อมแก้วน้ำดื่มและขวดยาพารา  จอตโตรีบซ่อนโทรศัพท์ไว้ข้างหลังพร้อมกับกดปุ่มปิดเครื่อง

                ทานยาแล้วก็พักซะ

                เธอพูดพร้อมกับยื่นแก้วน้ำดื่มกับยาพาราสองเม็ดมาทางเขา  จอตโตรับยากับแก้วน้ำดื่มมาจัดการเสร็จเรียบร้อยก็ยื่นกลับไปให้เธอตามเดิม  เขามองหญิงสาวตรงหน้าที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขาสั้นของเขาอย่างไม่มีเหตุผล  มีแต่ความรู้สึกว่า...อยากมอง

                มองไร เธอพูด

                ไม่มีไร

                จอตโตเบือนหน้าหนีจากสายตาเอาเรื่องของคนตรงหน้า  มายาวีเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้งพร้อมกับแก้วน้ำดื่ม  เขาจึงได้หันกลับทางเดิม

                ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้านะ

                ไม่เป็นไร

                เสียงขอบคุณดังออกมาจากหลังกำแพงห้องแล้วทุกอย่างก็เงียบลง  ไม่มีการสนทนาใดต่อหลังจากนั้น 

                ฉันนอนก่อนนะ จอตโตพูด

                ...

                จอตโตเลิกผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างอันสูงโปร่งของตัวเองกันความหนาวยามค่ำ  เขาสวมแค่เสื้อกล้ามกับกางเกงตัวเดิมที่เขาใส่มาทั้งวัน  อาจเป็นเพราะแผลอักเสบบวกกับฤทธิ์ยาทำให้เขาหลับไปภายในไม่กี่นาที

                มายาวีเดินออกมาหยุดอยู่ข้างเตียงฝั่งที่จอตโตนอน  เธอนั่งคุกเข่ามองคนตรงหน้าที่กำลังหลับพริ้มด้วยฤทธิ์ยา  เธอมองเขาอย่างไม่มีเหตุผล  มองแล้วรู้สึกมีความสุข

                นายจะใช่คนที่ฟ้าส่งมาหรือเปล่านะ

                ...

                แต่ก็ช่างเถอะ...

                ...

                “Buonna notte” (ราตรีสวัสดิ์)

     

                ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

                แม่หรอ~”

                ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

                ขออีกห้านาทีนะ~”

                แต่เดี๋ยวนะ...ฉันไม่ได้อยู่ไทยนี่นา  แม่จะมาเคาะประตูปลุกทำไม  นึกได้ฉับพลันก็ลุกขึ้นจากเตียงทันใด  จอตโตยังคงนอนหลับอยู่อีกฟากหนึ่งของเตียง  ฉันสาวเท้าเดินไปที่ประตูอย่างระมัดระวังกลัวว่าจะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ  แต่กลับเป็น...

                “Buongiorno” (อรุณสวัสดิ์)

                พนักงานโรงแรม ^_^”

                “Buongiorno” (อรุณสวัสดิ์)

                ฉันยิ้มให้กับพนักงานหญิงที่ยืนอยู่หน้าประตู  ด้านหลังเป็นรถเข็นที่มีถาดอาหารอยู่สองถาด  ส่วนในอ้อมแขนของพนักงานคือชุดที่ฉันใช้บริการซักรีดเมื่อวานนี้

                “Come stai” (สบายดีไหมค่ะ)

                “Bene” (สบายดีค่ะ)

                พนักงานหญิงพูดพร้อมกับส่งเสื้อผ้ามาให้ฉันแล้วเธอก็ยกถาดอาหารเข้ามาในห้อง  ฉันหันไปมองนาฬิกาที่อยู่ข้างฝาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า  เริ่มต้นวันใหม่แล้วสินะ

                “Molte grazie” (ขอบคุณค่ะ)

                ฉันกล่าวขอบคุณพนักงานหญิง  เธอโค้งให้ฉันหนึ่งครั้งแล้วก็เดินออกจากห้องไป  ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนที่จอตโตจะตื่น  ฉันจัดการธุระของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วจอตโตก็ยังไม่ตื่นอีก  เป็นอะไรหรือเปล่านะ

                นาย

                ...

                อ้า~ตัวร้อนจี๋เลย

                ฉันใช้หลังมืออังหน้าผากของเขาที่ยังหลับอยู่  ตัวเขาร้อนราวกับไฟ  นี่ขนาดเมื่อวานทานยาไปแล้วนะยังตัวร้อนเป็นไข้ได้ 

                นาย

                โอ๊ะ!”

                นายตื่นแล้ว

                ฉันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเขาขยับตัวแล้วก็ร้องขึ้นพร้อมกับใช้มือขวากุมไหล่ซ้ายไว้  จอตโตตื่นเต็มตาหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง  เขาทำหน้าเจ็บปวดกับแผลที่ต้องกระสุนเมื่อวานนี้  ฉันจำได้ว่าเขาจัดการเอากระสุนออกและเย็บแผลด้วยตัวเอง  แผลคงอักเสบสินะ

                นายเป็นอะไรมากหรือเปล่า ฉันถามขึ้น

                พอทนไว้

                ไปหาหมอดีกว่าไหม

                ฉันก็ว่าดีเขาตอบ

                จอตโตพยุงตัวขึ้นนั่งพิงกับหมอนหนุน  ฉันช่วยเขาขยับหมอนเพื่อให้เขานั่งได้พอดี  เขายังคงใส่กางเกงตัวเดิมแต่เปลือยท่อนบนเห็นกล้ามเนื้อสมส่วนตามฉบับผู้ชายหุ่นดี  ตรงไหล่ซ้ายปิดผ้าก็อตไว้หลวมๆ ด้วยเทปกาวเส้นเล็กกับจุดสีแดงตรงกลาง  เห็นแล้วฉันก็อดสงสารปนเสียวแทนเขาไม่ได้ที่จัดการทำแผลเอง  เป็นฉันคงร้องแหกปากลั่นไปทั้งซอยแล้ว  แต่ก็น่านับถือเขาจริงๆ ที่ไม่ส่งเสียงโหยหวนเจ็บปวดให้ได้ยิน

                แล้วนายจะไปหาหมอที่โรงพยาบาลไหนล่ะ

                แถวนี้แหละ

                ฉันไม่ได้หูฝาดใช่ไหมที่ได้ยินเขาพูดว่าแถวนี้

                ไปไหวหรือเปล่า

                ฉันไม่เสียเวลาเดินไปเองหรอกนะ โทรไปตามให้มาหาถึงที่เลยจะดีกว่า

                อะ...อืม ^_^

                จอตโตจัดแจงโทรศัพท์หาใครสักคน  ส่วนฉันเดินไปดูที่โต๊ะอาหารว่าเช้านี้มีอะไรให้ทานบ้าง  จอตโตวางสายไปแล้วเขาก็ดินมาสมทบกับฉันที่โต๊ะ  เรานั่งทานอาหารเช้ารอให้หมอมาตรวจอาการของเขา 

     

    ฉันนั่งดื่มกาแฟเอสเปรสโซถ้วยเท่าจอกเหล้าอยู่ที่ระเบียง  หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย  ฉันคอยมองเข้าไปในห้องที่มีจอตโตกับชายอีกคนที่คาดว่าน่าจะเป็นหมอกำลังดูอาการเขาอยู่  ฉันจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูอาการของเขาบ้าง 

                นายควรจะไปหาฉันมากกว่าที่จะทำเองนะ

                เสียงพูดภาษาไทยที่ออกจะติดๆ ขัดๆ ออกสำเนียงลาตินของชายร่างสูงดังแว่วมา  เขากำลังจัดแจงเก็บอุปกรณ์เข้ากระเป๋าสีดำที่มีเครื่องหมายบวกสีแดงอยู่ตรงกลาง  ส่วนจอตโตกำลังสำรวจแผลที่ได้รับการรักษาและปิดผ้าก็อตใหม่ที่ดูเรียบร้อยกว่าเดิม  สีหน้าของเขาดูดีขึ้นกว่าเมื่อเช้าที่ใบหน้าซีดไม่ค่อยมีเส้นเลือดฝาด  เขาเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มน้อยๆ ส่งมาให้ฉัน

                นี่ยาครับคุณผู้หญิง

                ขอบคุณค่ะ คุณ...

                นาโปลีครับ J

                ค่ะ...นาโปลี

                ‘นาโปลีคุณหมอหนุ่มอายุน่าจะประมาณยี่สิบห้าปี  ชื่อของเขาคือชื่อเมืองหลวงในแคว้นกัมปาเนียที่ทุกคนรู้จักกันในนามของ เนเปิลส์ เขาเป็นชายรูปร่างสมส่วนและตัวสูงกว่าจอตโตเสียอีก  ผิวขาวเนียนตัดกับนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลสดใส  เขาค่อนข้างสุภาพกว่านายจอตโตด้วย(พาดพิงอีกแล้ว...ไรเตอร์)

                คุณพูดไทยได้ด้วยหรอค่ะ ฉันถามเขา

                ได้อยู่ครับอาจจะไม่ชัดเท่าไหร่ ต้องขอบคุณจอตโตที่สอนให้นะครับ

                ฉันชำเลืองมองจอตโตที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร  ออกจะเมินเสียด้วยซ้ำไป ฉันเลยทำเป็นไม่สนใจเดินไปส่งนาโปลีที่หน้าห้อง  แล้วก็กลับมาจัดยาให้เขาทาน

                ดูนายโอเคขึ้นเยอะเลยนะ

                ก็ค่อยยังชั่วแล้ว

                เขาพูดพร้อมกับรับยาไปทานรวดเดียวหมด  ทานอย่างนี้น่าจะติดคอตายไปเลยดีกว่า  ไอ้ท่าทีกวน ๆ นี่น่าหมั่นไส้จริง

                แล้วนายจะทำไงต่อ

                ...

                เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็หยิบเสื้อเชิ้ตที่พาดอยู่โซฟามาสวม  แล้วจึงหันมาหาฉันทั้งที่ติดกระดุมยังไม่เสร็จ

                ฉันจะพาเธอไปที่ไร่

                ไร่?

                “Si.” (ใช่)

                ถ้าเขาพูดถึงไร่  แถวตอสกานาที่ทำเกษตรส่วนใหญ่จะเป็นไร่องุ่น  บริเวณที่ทำไร่องุ่นกันส่วนใหญ่อยู่ที่ฟีเรนเซ (ฟลอเรนซ์) นี่เขาจะพาฉันไปทำไร่หรือไง  แต่คิดในแง่ดีไว้มายาวีอาจจะมีอะไรเลวร้ายกว่านี้ก็ได้ (นี่แง่ดีแล้วหรอ -_-“)

                ธุรกิจนายหรอ

                อืม...ของพ่อน่ะ แต่ท่านยกให้

                จอตโตติดกระดุมเสื้อจนเสร็จพร้อมกับหยิบเสื้อสูทผ้าวูลสีน้ำตาลมาสวมทับ  เขาจัดแจงใส่นาฬิกาข้อมือพร้อมกับหยิบกุญแจรถและโทรศัพท์เตรียมออกจากห้อง

                นี่นายจะไปไหน ฉันร้องทักขึ้น

                ธุระ...เดี๋ยวมา อย่าไปไหนล่ะ

                ปัง!

                ฉันยังไม่ทันได้อ้าปากถามคำถามต่อไปเจ้าตัวก็ปิดประตูใส่เสียแล้ว  พึ่งจะทำแผลเสร็จก็ออกไปทำธุระเลยเนี่ยนะ  แล้วนี่ก็ทิ้งฉันไว้ในห้องคนเดียว  จะทำไงล่ะทีนี้?

     

    Io sono Giotto…

                ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของมายาวีที่ได้มาเจอกับผม จอตโต  จริงๆ แล้วผมก็คือประชาชนคนไทยคนหนึ่ง  แต่มีพ่อเป็นคนอิตาเลียนที่ผมไม่เคยเจอกว่าสิบห้าปี  มันคงไม่สำคัญอะไรแล้วล่ะ...

                อัลฟาโรเมโอ 159 สีแดงเลือดหมูคันงามยังคงจอดอยู่เดิม  มันจะไปไหนได้ยังไงเพราะกุญแจอยู่กับผม  ขืนมีใครขโมยมันไปได้ล่ะก็...จะตามไปยิงทิ้งเลย  มันคือหนึ่งในของรักของหวงที่สุดของผมน่ะ J

                ผมปล่อยให้มายาวีอยู่ในห้องคนเดียวแล้วก็รีบออกมาไม่ให้เจ้าตัวได้ถามอะไร  ผมมีธุระต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป

                ณ  บาร์กาแฟที่หาได้แทบทั่วทุกมุมของอิตาลีโดยเฉพาะโรม  แต่สำหรับที่ฟลอเรนสซ์ก็หาได้พอตัว  ผมนั่งจิบเอสเปรสโซรอบุคคลสำคัญที่ผมนัดไว้

                จอตโต

                ผมหันตามเสียงเรียกของชายวัยกลางคนที่กำลังเดินมานั่งข้างๆ ผม  เขาเป็นคนที่ผมไว้วางใจที่สุด  คอยช่วยเหลือผมตลอดไม่ว่าสถานการณ์ไหน  ผมรักเขาเหมือนพ่อผมอีกคนรองจากหมอจอห์นนี่และพ่อของผมเอง

                ได้ข่าวอะไรจากพวกที่โรมหรือเปล่าครับ

                เราเสียคนไปพอสมควรฝั่งนั้นก็เหมือนกัน

                บทสนทนาดำเนินขึ้นภายใต้ภาษาที่ผมรักที่สุด  คุณนวพล หรือลุงพลตามที่ผมเรียกเขาเป็นนักธุรกิจค้าอาวุธและเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจหลายๆ อย่างของผมและพ่อ  เราเป็นคนไทยเหมือนกันจึงคุยกันรู้เรื่อง  คุยกันถูกคอกว่าใครอีกคน....

                ผมควรแนะนำให้รู้จักกับคนที่ชื่อ ออสกาหรือเปล่า  เขาเป็นพี่ชายผมพี่ชายแฝดแต่คนละฝา  เราเกิดวันเดียวกันที่เดียวกัน  พ่อแม่เดียวกันแต่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย  ออสกาได้แม่ไปเยอะทั้งสีผมที่เป็นสีดำ  ผิวสีน้ำผึ้ง  ดวงตาคมแต่เป็นสีน้ำเงินเข้มเหมือนพ่อ  ส่วนผมนั้น...ได้พ่อมาเยอะ  ทั้งผมสีน้ำตาล ผิวขาวแบบชาวตะวันตก  ดวงตาที่แสนอ่อนโยนแต่ผมก็ได้แม่มาเหมือนกันนะ  ก็นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นี้ไง J

                “ได้ข่าวว่าเธอได้รับบาดเจ็บ

                ครับ

                ไม่เป็นไรมากใช่ไหม

                ครับ

                เป็นไรหรือเปล่า ถามคำตอบคำ

                ลุงพลเอื้อมมือมาจับไหล่ซ้ายผมที่ได้รับบาดเจ็บ  ผมทำหน้าเหยเกเพราะปวดแผลตามแรงกดของฝ่ามือลุงพล  เขาสังเกตเห็นอาการผมก็ชักมืออกทันที

                ลุงขอโทษ เธอเจ็บตรงนี้หรอ

                ครับ แต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมแล้วล่ะครับ

                ลุงพลถามไถ่อาการของผมอีกนิดหน่อยก่อนที่ผมจะวกกลับมาที่เรื่องเดิม

                มีใครจัดการปิดข่าวเรื่องนี้หรือยังครับ

                พ่อนายจัดการเรียบร้อยแล้วล่ะไม่ต้องห่วง ห่วงเรื่องอื่นดีกว่า

                ...

                คนที่เธอพามาด้วย


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×