คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ:จุดเริ่มต้น
บทนำ:จุดเริ่มต้น
ณ
โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครมากนัก
ที่โต๊ะม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใกล้กับต้นลีลาวดีสีแดงที่กำลังผลิใบใหม่
หลังหน้าหนาวกำลังจะผ่านพ้นไป กลุ่มนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม
กำลังนั่งคุยเล่นกันในช่วงพักกลางวัน
“นี่ๆ วันนี้เรามาเล่นต่อเพลงกันดีกว่า ใครจะเริ่มก่อนดี”อร หรือเอมอร
เด็กหญิงตัวสูงผิวสีน้ำผึ้งถามขึ้นเป็นคนแรก
“ใครคิดก็เริ่มก่อนเลย”จันทร์ หรือจันทร์เจ้า
เด็กผู้หญิงตัวเล็กถักเปียสองข้างพูดขึ้น
“ไม่ได้ อย่างนั้นจะเป็นการบังคับเพื่อนมากเกินไป เราว่ามาโอน้อยออกกันดีกว่าว่าใครจะเริ่มก่อน”หมิว
หรือมินตรา เด็กหญิงตัวเล็กหน้ารักที่สุดในกลุ่มพูดขึ้น
“งั้นเรามาโอน้อยออกกันเลยดีกว่า”เจ หรือเจติมา
เด็กหญิงตัวเล็กผิวสีน้ำผึ้งพูดขึ้น ก่อนที่ทั้งสี่คนจะเริ่มโอน้อยออก
จนในที่สุดก็ได้ผู้ที่จะเริ่มเล่นก่อนเป็นคนแรก ก็คือจันทร์เจ้านั่นเอง
“เริ่มละนะ...หวานละมุนละไม อยู่ในทุกตอน หวานทุกความรู้สึก
ไม่มีวันจางหายไป อยู่ในหัวใจ กับความหวานทุกเรื่องราวของคุณ”
“เคยรักเธอรึเปล่า ยังจำไม่ได้ เรารักกันเมื่อไหร่ พูดมาสักคำ
เธอหายไปไม่บอก นี่หรือคนรักกัน มันยากเกินจะทำใจ รับได้”เอมอรร้องต่อทันที
“ดึกลับดับแสง แอบแฝงในฟ้าราตรี ส่งกลิ่นอบอวลป่วนในหัวใจให้เกินข่มตา
ขาวราวดวงเดือนเลื่อนลอยกันลงมา จากบนนภา กลายเป็นดอกไม้ราตรี”มินตรา
สาวสวยร้องออกมาทำให้เพื่อนสาวอีกสามคนปรบมือในเสียงอันไพเราะของ
“ต้องอยู่ให้ไหวในเมื่อไม่มีเธอ และอยู่ให้ไหวแม้จะไม่เหลือใคร ความเจ็บของฉันซ่อนเอาไว้ข้างในใจ
ไม่แสดงให้ใครได้รู้...ว่าฉันยังมีเยื่อใย ”เจร้องเป็นคนสุดท้าย
เธอเลือกเพลงของนักร้องหน้าใหม่ที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษมาร้อง จนทำให้ มินตราอดแซวไม่ได้
“แหม ขนาดจะต่อเพลง ยังหาเพลงพี่พีทมาร้องจนได้เลยนะเจ”
เมื่อโดนเพื่อนแซว เด็กสาวก็หน้าแดงขึ้นมาทันที
“ก็มันนึกอะไรไม่ออกนี่ คิดเพลงนี้ได้ก็เลยร้องขึ้นมา เอาล่ะ
ตาแกแล้วยัยอร ย ยักษ์ จ้ะ”เจติมาเปลี่ยนเรื่องทันที ก็ถ้าไม่รีบเปลี่ยน
เดี๋ยวเหล่าบรรดาเพื่อนๆของเธอก็จะแซวเธออีกจนได้ ไม่รู้จะตั้งหน้าตั้งตาแซวกันทำไม
ก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งแอบปลื้มศิลปินที่ชื่นชอบก็แค่นั้น พี่พีทของเธอเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่กำลังโด่งดังอยู่ในตอนนี้
เพิ่งออกอัลบั้มแค่อัลบั้มเดียวก็มีเพลงที่ติดชาร์ตอันดับหนึ่งของหลายๆคลื่นวิทยุแล้ว
และยังมีแฟนคลับอีกมากมายที่ติดตามผลงานของพี่เขา เธอเองก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับนั้นด้วยเช่นกัน
แต่จะให้เธอตามไปกรีดพี่เขาถึงขอบเวทีหรือตามงานอีเวนต์ต่างๆเห็นทีว่าเรื่องนี้คงจะเป็นไปไม่ได้ซะแล้ว
ก็พ่อสุดที่รักของเธอประกาศไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอขอพ่อไปติดตามพี่พีทแล้วว่าถ้าไปก็ไม่ต้องมาเรียกว่าพ่อ
ถึงขนาดตัดพ่อตัดลูกกันเลย แล้วอย่างนี้เธอจะกล้าไปได้ยังไงกัน
อีกอย่างตอนนี้เธอและเพื่อนๆก็กำลังจะขึ้นมัธยมปลาย ชีวิตการเรียนของเธอกำลังจะเข้าใกล้การเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเข้าไปอีกหนึ่งขั้น
เธอตั้งใจเอาไว้แล้วว่าเธอจะต้องสอบเข้าเรียนในคณะแพทยศาสตร์ให้ได้ เพื่อให้พ่อขอเธอภาคภูมิใจ
และตัวเธอเองก็อยากที่จะทำตามความฝันของตัวเองที่จะได้ช่วยเหลือคนที่มีความทุกข์จากความเจ็บป่วย
เพราะเธอไม่อยากให้ใครอีกหลายคนจะต้องจากไปเพราะไม่ได้รับการรักษาอย่างสุดความสามารถ
เหมือนแม่ของเธอที่จากเธอไปตั้งแต่เธออายุได้เพียงแค่แปดปี
“อย่าทำแบบนี้ไม่ว่ากับใครเข้าใจมั้ย
ถ้าไม่รักไม่ต้องไปทำแบบนี้ให้ใคร อย่าทำอย่างนี้เพราะเขาจะมองว่าเธอน่ะใจร้าย
ที่ทำเหมือนเธอให้ใจ แต่มันก็ไม่จริง”อรร้องเพลงนี้ออกมา
ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างหนัก จนเพื่อนๆต้องเข้ามาปลอบกันยกใหญ่
“ใจเย็นๆนะอร เรื่องมันผ่านไปแล้ว เราต้องยอมรับความจริงนะ”เจกอดปลอบเพื่อนสาว
“ฉันรู้ว่าฉันต้องทำใจ แต่ทำไมล่ะแก
ทำไมเขาไม่บอกฉันซะตั้งแต่ทีแรกว่าเขาคิดกับฉันแค่เพื่อนน่ะ
ปล่อยให้ฉันมีความหวังอยู่ได้ตั้งนาน ฮือๆๆ”อรตัดพ้อออกมา
“พวกผู้ชายมันก็อย่างนี้แหละแก ดีแล้วที่แกหลุดออกมาจากชีวิตของไอ้ตรีภพมันได้
ชีวิตแกจะได้ดีขึ้น”มินตราว่า ทำให้เธอโดนจันทร์เจ้าหยิกที่แขน
“แกจะไปตอกย้ำยัยอรทำไมอีกล่ะ
แค่นี้เพื่อนก็เสียใจจะแย่อยู่แล้ว”จันทร์เจ้าว่า
“เสียใจก็ยิ่งเจ็บ เจ็บแล้วจะได้จำ
ว่าเราไม่ควรไปเสียน้ำตาให้คนอย่างมันอีก จำไว้นะว่าชีวิตเรามีค่ามากกว่ามัน จนแกจะต้องร้องว่า...อยากร้องไห้
แต่เสียดายน้ำตา หยดน้ำนี้มีค่าเกินมากกว่าจะรินให้ใคร
จะร้องไห้ให้หัวใจดวงหนึ่งที่มันเผลอ ไปรักคนนึงที่เขาไม่เคย จะเห็นว่าเราสำคัญ”มินตราแหกปากร้องออกมา
เป็นที่ตลกขบขันให้กับเพื่อนๆ จนอรหยุดร้องไห้
“ขอบใจพวกแกมากนะที่คอยอยู่ข้างๆฉัน คราวหน้าถ้าพวกแกอกหัก
ฉันจะคอยมาอยู่เป็นเพื่อนพวกแกบ้าง”อรพูดออกมา แต่เพื่อนทั้งสามต่างโบกมือ
“ม่ายอาว”สามคนต่างประสานเสียงกัน
“ฉันยังไม่คิดจะมีแฟนหรอกนะ เพราะฉะนั้นแกก็ไม่ต้องมาปลอบฉันหรอก
เพราะฉันไม่มีทางอกหักแน่”มินตราพูดอย่างมั่นใจ
“ส่วนฉันก็ยังไม่ขออกหักเร็วๆนี้หรอกจ้ะ
ฉันกับพี่กอล์ฟเรายังรักกันดีอยู่”จันทร์เจ้าว่า
“ส่วนฉัน...ก็คงไม่มีแฟนไปจนแก่นั่นแหละ เพราะฉันแอบตั้งใจไว้แล้วว่า
ถ้าไม่ใช่พี่พีท ก็ขออยู่เป็นโสดดีกว่า”เจพูดอย่างเขินๆ
“งั้นแกก็คงอยู่เป็นโสดไปจนตายนั่นแหละ แกใช้อะไรคิดวะยัยเจ ศิลปินผู้โด่งดังระดับพี่พีทเนี่ยนะ
จะมาชายตามองแก ดูซิ ตัวก็เล็ก ผิวก็สีน้ำผึ้งซะขนาดนี้ อีกอย่างนะ
ชีวิตนี้แกจะได้พบเจอพี่เขารึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย พ่อแกไม่อนุญาตให้ไปตามพี่เขาไม่ใช่หรอ”เอมอรพูดขึ้นมา
“ก็นั่นไง ฉันตั้งใจไว้แล้วว่าจะอยู่เป็นโสด ดูแลพ่อดีกว่า
ไม่มีผู้ชายคนไหนจะรักเราไปมากกว่าพ่อของเราเองแล้วล่ะ”เจติมาพูดขึ้น
เพื่อนสาวทั้งสามคนก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่จะสะดุ้งเสียงออดเข้าเรียน
“ใครก็ได้ช่วยเปลี่ยนเสียงออดโรงเรียนเราทีเถอะ ฟังกี่ทีก็สะดุ้งทุกที
ไม่รู้จะดังไปไหน”มินตราบ่นออกมา ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา ก็เสียงออดโรงเรียนมันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา
แล้วทั้งสี่คนก็เดินเข้าไปเรียนวิชาต่อไปในคาบเรียนตอนบ่ายอย่างสดใสอีกครั้ง
หลังจากที่เรียนคาบวิชาภาษาไทยแล้วคุณครูสั่งงานเป็นการทำโครงงานวิชาภาษาไทยที่เราสนใจ
พวกเธอทั้งสี่คนจึงตกลงกันว่าจะศึกษาเรื่องวรรณคดีและวรรณกรรมไทยที่สนใจ
“เราว่าจะเลือกวรรณคดีมาสองเรื่องแล้วก็วรรณกรรมอีกสองเรื่อง
ทุกคนว่าไง”จันทร์เจ้าถามความคิดเห็นของเพื่อนๆ
“ก็ดีนะ เลือกมาคนละหนึ่งเรื่องเลยดีกว่าว่าเราจะทำเรื่องอะไรกันบ้าง”อรบอก
แล้วทุกคนก็เขียนชื่อเรื่องที่ต้องการศึกษาลงในกระดาษ แล้วนำมารวมกัน
เพื่อเปิดอ่านแต่ละชื่อว่ามีเรื่องอะไรบ้าง
“มัทนพาธา...ขุนช้างขุนแผน...คู่กรรม...สี่แผ่นดิน ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่เราจะต้องไปศึกษาและวิเคราะห์ตัวละครเด่นในแต่ละเรื่อง อืม...ขุนช้างขุนแผนนี่ใครเลือกน่ะ”มินตราถามออกมา
“ฉันเอง”จันทร์เจ้ายกมือ
“มันมีหลายตอนมากเลยนะ ยกมาซักตอนหนึ่งเพื่อวิเคราะห์ก็น่าจะพอนะ”มินตราว่า
ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย จันทร์เจ้าจึงเลือกตอนขุนช้างถวายฎีกา
แล้วทั้งสี่คนก็ช่วยกันหาข้อมูลมาทำโครงงาน จนถึงเวลาเลิกเรียน
“นี่ เย็นนี้ไปทำโครงงานที่บ้านฉันก็แล้วกันนะ
โทรบอกผู้ปกครองกันให้เรียบร้อยล่ะ เดี๋ยวจะโดนเอ็ดกันว่ากลับบ้านเย็นแล้วไม่โทรรายงาน”มินตราว่า
“เดี๋ยวฉันโทรหาพ่อก่อนนะ”เจบอกกับกลุ่มเพื่อน ก่อนจะโทรรายงานคุณเจษ
ผู้เป็นพ่อทันที
“ฮัลโหล พ่อเหรอคะ วันนี้เจขออนุญาตกลับบ้านเย็นหน่อยนะคะ
พอดีว่ามีทำโครงงานวิชาภาไทยน่ะค่ะ จะไปทำกันที่บ้านหมิว
ถ้าเสร็จแล้วจะโทรให้พ่อมารับนะคะ”เจติมาพูดจบก็รีบวางสายทันที เธอแค่ต้องการจะโทรรายงานเท่านั้น
ไม่อยู่รอฟังคำบ่นของบิดาเด็ดขาด เอาไว้รอฟังทีเดียวตอนนั่งรถกลับบ้านดีกว่า
เด็กสาวคิดในใจ ก่อนจะไปทำโครงงานที่บ้านเพื่อนกันต่อ เด็กสาวทั้งสี่คนพากันเดินกลับ
เนื่องจากบ้านของมินตรานั้นอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนสักเท่าไหร่
ทั้งสี่คนใช้เวลาเดินกลับประมาณสิบห้านาทีก็ถึงบ้าน บ้านของมินตราเป็นบ้านสวนที่รายล้อมไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด
มีทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้นที่สามารถออกผลให้เก็บกินได้
เป็นบ้านสวนที่มีบรรยากาศร่มรื่นอย่างมากเพราะหลังบ้านของมินตรานั้นติดกับแม่น้ำ
“มากันแล้วหรอ มาๆ มานั่งพัก ดื่มน้ำดื่มท่าให้ชื่นใจก่อนนะลูกๆ”คุณวิราวัลย์
คุณแม่ของมินตราที่รออยู่แล้วจึงเดินนำน้ำแดงผสมโซดาเย็นชื่นใจมาให้เหล่าบรรดาเด็กๆดื่มแก้กระหายกัน
“ขอบคุณค่ะคุณแม่”เจติมากล่าวขอบคุณเป็นคนแรก
คุณวิราวัลย์อนุญาตให้เด็กๆเรียกเธอว่าแม่ได้ เพราะอยากสร้างความสนิทสนมกับเพื่อนๆของลูกสาวให้บรรยากาศในการมาเที่ยวบ้านของเพื่อนๆไม่ตึงเครียดหรือเกร็งกันมาก
เพราะส่วนใหญ่จะกลัวการมีผู้ใหญ่จับตามอง
แต่เธอมีวิธีที่จะทำให้ทั้งเพื่อนลูกและลูกสาวของเธออยู่กันอย่างร่าเริงได้ไม่ยาก
โดยการเฝ้าดูอยู่ห่างๆ แต่เมื่อไหร่ที่เริ่มเล่นพิเรนทร์เโอเคก็จะเข้าไปปรามบ้างเล็กๆน้อยๆ
“จ้ะ เดี๋ยวแม่ไปเอาขนมมาให้นะ”คุณวิราวัลย์บอกกับเด็กสาว
ก่อนจะหายเข้าไปในครัว
“ฉันอิจฉาแกจังเลยยัยหมิว มีแม่ดีแบบนี้ เป็นแม่ฉันหน่อยไม่ได้
ดูแลดีเหมือนกันนนะ กับเพื่อนๆของลูก แต่กับลูกตัวเองนะ แอบบ่นโน่นบ่นนี่
หาว่าฉันไม่เรียบร้อยเหมือนพวกแกบ้างแหละ ฉันนี่เซ็งเลย”จันทร์เจ้าบ่นออกมา
ทำเอาเพื่อนๆที่เหลือหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน
“หัวเราะอะไรกันครับสาวๆ”พี่บาส พี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของมินตราร้องทักขึ้น
หลังจากกลับจากโรงเรียน
“สวัสดีค่ะพี่บาส”ทั้งสามคนพูดทักทายพร้อมกัน ยกเว้นมินตรา
“โอ๊ย จะไปทักเค้าทำไม คนอย่างไอ้พี่บาสเนี่ย
ไม่สมควรจะได้ความเคารพจากพวกเราหรอก ดูทำตัวเข้าซิ เที่ยวไปท้าตีท้าต่อยกับคนอื่นเค้าไปทั่ว
นักเลงชะมัด”มินตราอดค่อนแคะไม่ได้
“พูดจาให้มันดีๆหน่อยรนะเราน่ะ เดี๋ยวจะหาแฟนไม่ได้เอา คนอื่นน่ะพี่ไม่ห่วงหรอก
ห่วงก็แต่ยัยปากกรรไกรอย่างเราเนี่ยแหละ
ยัยมะเหมี่ยว”พี่บาสตอกกลับได้เจ็บแสบไม่แพ้กัน
แต่เพื่อนๆต่างก็ชินกับการปะทารมของพี่น้องคู่นี้แล้ว
เพราะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เจอกัน แต่เห็นทะเลาะกันแบบนี้ ความจริงแล้วทั้งคู่รักกันมาก คอยช่วยเหลือกันทุกอย่าง
และดูท่าพี่บาสจะหวงน้องสาวเอามากๆเลยด้วย ก็น้องสาวเขาสวยขนาดนี้นี่นา
ที่มีเรื่องชกต่อยนี่ก็เพราะกันพวกผู้ชายที่คิดจะตามจีบน้องสาวเขานี่แหละ
เขาน่ะอยากมีน้องสาว แต่ดันมีน้องชายซะงั้น แต่ตอนนี้จะเรียกน้องชายก็ไม่ถูก
เพราะบอลเริ่มจะออกอาการว่าจะเป็นสาวมากกว่าเป็นหนุ่มตั้งแต่อยู่มัธยมหนึ่ง
“แล้วนี่บอลไปไหนล่ะ”พี่บาสถามขึ้น เพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำกับมินตราแล้ว
“ยังไม่กลับ สงสัยว่าจะอยู่ซ้อมเต้นโคฟเวอร์เพลงเกาหลีอยู่ที่โรงเรียน
คงจะกลับค่ำๆนั่นแหละ”มินตราว่าอย่างหน้าตาเฉย
“นี่ เบาๆหน่อยสิ เดี๋ยวแม่ได้ยิน
แม่ยิ่งไม่อยากให้ไอ้บอลมันเป็นอย่างนี้อยู่”พี่บาสว่า
“ก็ใจมันรักไปแล้วนี่
นี่ฉันก็กะว่าอยากจะไปร่วมทีมกับน้องอยู่เหมือนกันนะเนี่ย บอลจะได้ไม่เหงา
ฮ่ะๆๆ”มินตราพูดจบก็หัวเราะใส่พี่ชาย
“ไอ้...”พี่บาสเตรียมจะอ้าปากด่าน้องสาวแล้ว
แต่คุณวิราวัลย์เดินมาพอดี
“ไอ้อะไรจ๊ะ บาส”คุณวิราวัลย์ถาม
“เปล่าครับป้าวิ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ
เดี๋ยวจะลงมาทานข้าวด้วย”พี่บาสพูดจบก็วิ่งเข้าบ้านไป
“ยังไงกันหลานคนนี้”คุณวิราวัลย์ส่ายหัวกับความเจ้าเล่ห์ของหลานชาย
“แม่คะ หมิวขออนุญาตไปนั่งทำงานที่ศาลาริมน้ำนะคะ”มินตราบอกกับแม่
ก่อนที่ทุกคนจะไปช่วยกันคิดวิเคราะห์ตัวละครในวรรณคดีและวรรณกรรมต่อ
เด็กหญิงทั้งสี่ต่างช่วยกันวิเคราะห์ตัวละครเด่นของแต่ละเรื่องจนกระทั้งเย็นมาก
พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว จึงถูกเรียกให้มาทานข้าวเย็น
“สาวๆ มาทานข้าวได้แล้วครับ”พี่บาสเดินมาตามที่ศาลาริมน้ำ
“ค่ะ กำลังจะเสร็จแล้วค่ะ”อรตอบ ก่อนจะรีบเขียนงานให้เสร็จ
แล้วทั้งสี่คนจึงมารับประทานอาหารเย็นกันข้างในบ้าน
“มื้อนี้คงต้องฝากท้องไว้ที่นี่แล้วนะคะ”จันทร์เจ้าพูดขึ้น
ซึ่งคุณวิราวัลย์ก็ยิ้มอย่างใจดีไปให้
“ได้สิจ๊ะ กินกันให้อิ่มนะ ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกกันได้
เดี๋ยวแม่หามาให้”คุณวิราวัลย์ว่า ก่อนจะลุกออกไป
“แล้วคุณแม่ไม่ทานด้วยกันหรอคะ”เอมอรถาม
“ไม่หรอก แม่เค้ารอพ่อน่ะ คู่นี้เค้าทานข้าวพร้อมกันทุกวันแหละ
เห็นแล้วอิจฉา”มินตราพูดแซวแม่ตัวเอง ก่อนที่สี่สาวกับสองหนุ่มจะร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
สองหนุ่มที่ว่าก็คือพี่บาสกับน้องบอลซึ่งกับมาจากโรงเรียนแล้วนั่นเอง
“แล้ววันนี้น้าหวานไม่ลงมากินข้าวหรอพี่บาส”มินตราถามถึงแม่ของพี่บาสกับน้องบอลที่มีศักดิ์เป็นน้าของเธอ
ซึ่งก็เป็นน้องสาวของแม่เโอเคนั่นเอง
“ไม่ล่ะมั้ง เห็นบ่นว่าอ้วนไปแล้ว นี่คงไดเอทอยู่น่ะ”พี่บาสว่า
“แหม แม่พี่บาสนี้วัยรุ่นจังนะคะ”เอมอรว่า
“แน่นอน
ดูท่าแม่พี่คงจะวัยรุ่นกว่าสาวๆบางคนแถวนี้อีก”พี่บาสพูดพลางเหล่มองเจติมา
ทำให้ทุกคนขำออกมา เพราะรู้ว่าเจติมานั้นนอกจากจะบ้าเรียนแล้ว ยังชอบทำตัวเป็นป้าเอามากๆเลยเช่นเดียวกัน
“ไม่ต้องมามองกันเลยนะ
แค่ไม่แต่งตัวตามสมัยนิยมนี่ก็โดนหาว่าเป็นป้าแล้วหรอ ไม่ยุติธรรมเลย ไม่เอาแล้ว
กลับบ้านดีกว่า”เจติยาว่า ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะอาหารทันที
“โอ๋ๆๆ พี่ล้อเล่น อย่างอนสิครับสาวน้อย”พี่บาสรีบมาง้อทันที
“ว้ายยยยย มีงอนง้อกันด้วย คู่นี้นี่ยังไงกันเนี่ย”เอมอรแซวเพื่อนสาว
“ไม่ได้นะ หยุดความคิดนี้ทันทีเลยนะทุกคน
ยัยเจจะคบกับอีตาพี่บาสไม่ได้เด็ดขาด
เพื่อนฉันจะต้องเจอผู้ชายที่ดีกว่าอีพี่บาสแน่นอน อย่าฉุดรั้งเพื่อนฉันเลยนะพี่บาส
ฉันขอร้อง”มินตราลงทุนเดินมาเกาะแขนพี่ชายทันที
“เฮ้ย อะไรกัน คิดไปถึงไหนเนี่ย พี่ไม่ได้คิดอะไรกับเจนะ
แล้วเจก็ไม่ได้คิดอะไรกับพี่ด้วย ไม่เชื่อถามเจสิ”พี่บาสบอก
ซึ่งเจติยาก็พยักหน้ารับอย่างเร็วๆ ก็เธอไม่ได้คิดอะไรกับพี่ชายเพื่อนจริงๆนี่ เธอมีผู้ชายในดวงใจแล้ว
ก็พี่พีท พีรวัฒน์นั่นยังไงล่ะ เป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอจะเป็นแฟนด้วย
“งั้นก็แล้วไป อย่าให้รู้เด็ดขาดนะว่าแอบคบกันน่ะ”มินตราจ้องหน้าทั้งสองคนสลับกันไปมา
“ไม่มีทาง”พี่บาสและเจติมาพูดออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ซึ่งทำเอาทุกคนหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“เอ้า เคลียร์กันเสร็จแล้วก็มานั่งกินข้าวกันได้แล้วฮ่ะ
บอลลี่หิวแล้ว”บอลพูดขึ้นมา ก่อนที่ทุกคนจะรีบนั่งลงรับประทานอาหารเย็นกันอย่างสนุกสนาน
บรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง ทำให้เพื่อนๆต่างก็ไม่อยากกลับบ้าน
แต่เมื่อถึงเวลา ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง
โดยที่เอมอรกับจันทร์เจ้ากลับด้วยกันเพราะบ้านอยู่ทางเดียวกันโดยมีคุณพ่อของจันทร์เจ้ามารับทั้งสองคนไปทันทีที่จันทร์เจ้าโทรไปบอกให้มารับ
ส่วนเจติมานั้น ติดต่อคุณเจษไม่ได้ จนออกอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
“มีอะไรรึเปล่าเจ”มินตราที่เห็นเพื่อนหน้าเครียดถามขึ้นมา
“เราติดต่อพ่อไม่ได้น่ะสิ สงสัยแบตฯหมดแน่เลย”เจติมาว่า
“แล้วไม่มีเบอร์อื่นเหรอ ลองโทรเข้าเบอร์บ้านดูสิ”มินตราแนะนำ
เจติมาจึงโทรเข้าบ้าน แต่ก็ไม่มีคนรับสายอยู่ดี
“จริงสิ วันนี้พ่อต้องไปต่างจังหวัดนี่นา พ่อเคยบอกไว้ ตายแล้ว
แล้วอย่างนี้ฉันจะกลับบ้านยังไงล่ะเนี่ย”เจติมาบ่นออกมา รู้อย่างนี้เธอน่าจะอยู่รอฟังพ่อบ่นซักหน่อยจะได้จำได้ว่าวันนี้เธอต้องอยู่บ้านคนเดียว
“เอาอย่างนี้มั้ย คืนนี้นอนค้างกับฉันก่อน
แล้วพรุ่งนี้เช้าจะให้พ่อไปส่ง ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุดอยู่ดี นะๆ
อยากมีเพื่อนนอนคุยตอนก่อนนอนมานานแล้ว ค้างที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันหาชุดให้ใส่”หมิวว่า
เจติมาทำท่าทางลังเล ก่อนที่จะมีสายเข้า เป็นเบอร์แปลกที่เธอไม่คุ้น
“สวัสดีค่ะ”เจติมาพูดไปตามสาย
“นี่พ่อเองนะลูก พอดีว่าแบตฯพ่อหมดเลยขอยืมโทรศัพท์พ่อหนุ่มคนหนึ่งมาโทรหาลูกน่ะ
พ่อจะบอกว่าวันนี้พ่อมาทำธุระที่กรุงเทพฯ และคงกลับพรุ่งนี้เช้าเลย ตอนนี้ลูกยังอยู่ที่บ้านหมิวอยู่ใช่มั้ย
คืนนี้ก็ค้างที่บ้านหมิวไปก่อนก็แล้วกันนะ พ่อจะไปรับพรุ่งนี้เช้านะลูก รักลูกนะ
บาย”พ่อพูดจบก็รีบวางสายไปทันที
“พ่อฉันโทรมาบอกว่าให้ฉันค้างที่บ้านแกไปก่อน
เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะมารับ”เจติมาบอก สร้างความยินดีให้กับมินตราเป็นอย่างมาก
ก่อนจะรีบจัดแจงพาเธอไปอาบน้ำ แล้วนอนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้จนดึก
จนคุณวิราวัลย์ต้องมาบอกให้ปิดไฟนอนได้แล้ว นั่นแหละเด็กหญิงทั้งสองจึงได้นอนหลับกันเสียที
ซึ่งการนอนค้างบ้านเพื่อของเจติมาในครั้งนี้ถือเป็นครั้ง และยังคงมีครั้งต่อๆมา
เมื่อวันสุดสัปดาห์ที่คุณเจษจะต้องไปต่างจังหวัด ก็มักจะมาฝากลูกสาวไว้กับคุณวิราวัลย์
ให้ดูแลแทน
เพราะครอบครัวนี้ก็เหมือนกับเป็นอีกครอบครัวหนึ่งของเด็กสาวที่ชื่อเจติมาไปแล้ว
จวบจนตอนนี้ เวลาที่ทั้งเจติมาและมินตรากำลังจะก้าวเข้าสู่รั้วอุดมศึกษาอย่างเต็มตัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เพราะจะมีการสอบเข้าศึกษาในคณะต่างๆที่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกต้องการ
ซึ่งสำหรับเจติมาแล้ว เธอยังคงใฝ่ฝันในการที่จะเข้าเรียนในคณะแพทย์อย่างเดิม
ส่วนมินตรานั้น ใฝ่ฝันว่าจะเป็นสัตวแพทย์ เพราะเธอเป็นคนที่รักสัตว์มาก
ฝันว่าอยากจะเปิดคลินิกรักษาสัตว์แถวบ้าน
ทั้งสองคนยังคงเป็นเพื่อนรักกันเหมือนเดิม
ถึงแม้ว่าเอมอรและจันทร์เจ้าจะย้ายโรงเรียนไปตอนมัธยมปลาย
แต่พวกเธอก็ติดต่อกันบ้างเป็นบางเวลา แต่ด้วยการเรียนที่หนักหน่วงในช่วง ม.ปลาย
เจติมาก็ไม่ค่อยมีเวลามาสนใจข่าวสารบ้านเมือง ยิ่งพวกหนัง ละคร
หรือการติดตามศิลปินที่ชื่นชอบด้วยแล้ว
ยิ่งออกห่างจากสาระบบชีวิตของเด็กสาวไปไกลเลยทีเดียว จนมินตราต้องคอยอัพเดทข่าวคราวของพีท
พีรวัฒน์ ซุปเปอร์สตาร์ คนใหม่ของเมืองไทยให้เจติยาฟังอยู่เสมอ
เจติยาก็ได้แต่ฟังเอาไว้ ไม่ได้สนใจหรือกรี๊ดกร๊าดเหมอนเมื่อก่อน
เพราะตอนนี้เธอคิดว่าเรื่องของศิลปินดาราสำคัญน้อยกว่าการเรียนของเธอ
“นี่ยัยเจ พี่พีทของแกน่ะ เดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วนะ ได้ข่าวมาว่าได้ไปขึ้นคอนเสิร์ตร่วมกับศิลปินต่างชาติในงานประกาศรางวัลศิลปินยอดเยี่ยมระดับนานาชาติด้วยแหละ”มินตราที่ตอนนี้คอยติดตามผลงานของพีรวัฒน์แทนเจติยานำข่าวมาบอก ความจริงแล้วมินตราก็ชื่นชอบนักร้องซุปเปอร์สตาร์คนนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่มากเท่าเจติมาหรอก เธอรู้ดี ถึงแม้ภายนอกจะนิ่งๆไม่แสดงอาการอะไร แต่ภายในใจนี่เจติมาสามารถเก็บรายละเอียดข้อมูลทุกอย่างได้ขึ้นใจเลยทีเดียว
“นี่หมิว ฉันว่าเรามาช่วยกันคิดดีกว่ามั้ย ว่าเราจะทำรายงานของอาจารย์คะนึงนิตย์เรื่องอะไรดี”เจติยาหันมาดุเพื่อนสาว
มินตราจึงได้แต่ยิ้มอย่างน่ารักก่อนจะเสนอชื่อเรื่องมา
“ฉันว่าทำเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปในจังหวัดดีมั้ย
ฉันอยากไปเที่ยวพอดีเลย”หมิวเสนอ ซึ่งเพื่อนๆคนอื่นในกลุ่มก็เห็นด้วย
เพราะว่าจะได้เป็นการพักผ่อนไปในตัว เนื่องจากช่วงนี้เรียนก็หนัก งานก็เยอะ
แถมยังจะต้องอ่านหนังสือสอบอีกต่างหาก จึงตกลงกันว่าจะไปทำรายงานเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของจังหวัด
ซึ่งก็คือตลาดน้ำชื่อดังที่อยู่ในจังหวัดนั่นเอง
และได้นัดกันไปทำรายงานในเช้าวันเสาร์ที่จะถึงนี้นั่นเอง
“เจ วันศุกร์นี้ค้างคืนที่บ้านฉันมั้ย
แกจะได้ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งรถจากบ้านแกมาหาฉันก่อน”มินตราถาม
เพราะรู้ดีว่าบ้านของเจติมาอยู่คนละจังหวัดกับโรงเรียน
ถึงแม้จะไม่ไกลจากโรงเรียนมากนักก็ตาม
แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่ม
“ไม่ดีกว่า
พอดีว่าศุกร์นี่ฉันนัดกับพ่อไว้แล้วว่าเราจะลงสวนไปตัดกล้วยกันน่ะ”เจติมาบอก มินตราจึงเสียดายขึ้นมาทันที
เพราะวันศุกร์นี้ พี่บาสจะกลับมาจากกรม พี่ชายเธอได้เข้ารับราชการทหารอากาศ
ประจำการอยู่ที่กรุงเทพฯ นานๆจะได้กลับมาบ้านซักที
“เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะหมิว คราวนี้ขออยู่กับพ่อซักหน่อย
เดี๋ยวคุณพ่อเจษจะน้อยใจเอาว่ามีลูกสาวทั้งทีแต่ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเห็นตา
วันๆหมกตัวอยู่แต่ในห้อง อ่านแต่หนังสือ
ไม่ยอมช่วยงานพ่อบ้าง”เจติมาแอบล้อเลียนบิดา ซึ่งทั้งสองคนได้แต่ขำ
ก่อนที่จะต้องหยุดขำเกือบจะทันทีที่อาจารย์เดินเข้ามาในห้องเรียน
แล้วทั้งคู่ก็ต้องกลับไปนั่งที่และตั้งใจเรียนเหมือนที่เคยปฏิบัติมา
วันเสาร์ที่รอคอยการไปเที่ยว
เอ้ย การไปทำรายงานที่ตลาดน้ำแสนสนุกของทุกคนก็มาถึง
เจติมาเดินทางมาที่บ้านของมินตราก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งรถเมล์มาลงที่ตลาดน้ำ
แล้วไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ
“แก้วกับจูนไปสัมภาษณ์พวกแม่ค้าขายอาหารหรือของกินนะ
ส่วนปอยกับแนนไปสัมภาษณ์ผู้ให้บริการเรือล่องแม่น้ำ
เดี๋ยวฉันกับเจจะไปสัมภาษณ์คนที่ขายพวกเสื้อผ้าหรือพวกของใช้แล้วก็ของที่ระลึกนะ
เสร็จแล้วให้ไปเจอกันที่สวนชัยพัฒนานะ”มินตราพูดจบ
ทุกคนก็แยกย้ายกันไปสัมภาษณ์ในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ ดูท่าว่าส่วนะของเจติมากับมินตราคงจะเยอะมากเพราะมาถึงที่นัดหมายเป็นคู่สุดท้าย
“หายไปซะนานเชียวนะพวกเธอ”แนนแซว
“เราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันดีกว่านะ เริ่มหิวแล้ว”จูนว่า
ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าอร่อย
ก่อนจะกลับมานั่งทำรายงานต่อตรงที่เดิม ซึ่งเป็นสวนที่ร่มรื่น มีความเป็นธรรมชาติ
และมีความสงบในตัวของมันเอง ทุกครั้งที่มาเที่ยว
เจติมาและมินตราจึงชอบมานั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศที่นี่มาก
“นี่ๆ เมื่อกี้ที่ฉันเดินไปเข้าห้องน้ำมานะ
ได้ยินว่าที่นี่เค้ามีถ่ายละครกันด้วยแหละ เราไปดูกันมั้ย”แก้วบอกกับเพื่อนๆ
“ไม่ดีกว่า เราทำงานกันเถอะ เดี๋ยวงานจะไม่เสร็จเอานะ”เจติมาว่า
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่อยากค้างงานไว้ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นดินพอกหางหมู
เดี๋ยวจะไม่มีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบ
หลังจากที่ทุกคนช่วยกันทำรายงานจนเสร็จแล้ว
ก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่านี่เป็นเวลาค่อนข้างจะเย็นมากแล้วจึงแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง
ซึ่งเจติมาต้องนั่งรถเมล์ไปอีกหลายต่อกว่าจะถึงบ้าน
แล้วถ้าไปไม่ทันรถเที่ยวสุดท้ายเธอคงต้องโทรให้พ่อมารับแน่ๆ
แต่เธอเองก็ไม่อยากจะรบกวนเวลาทำงานของพ่อเธอซักเท่าไหร่
“ตายแล้ว ลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่โต๊ะแน่ๆเลย...พวกแกกลับไปก่อนเลย
เดี๋ยวฉันตามไป”เจติมาบอกกับเพื่อนๆ
“ให้ฉันรอแกดีกว่านะ”มินตราว่า ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก
“ไม่เป็นไรหรอกหมิว เดี๋ยวฉันกลับเองได้
แกมีนัดกับที่บ้านไม่ใช่หรอว่าวันนี้จะไปทานข้าวนอกบ้านนี่ พี่บาสกลับมาทั้งที
รีบไปเถอะ เดี๋ยวทุกคนจะรอนะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก
ถ้าไม่ทันเดี๋ยวฉันโทรให้พ่อมารับก็ได้”เจติมาบอกกับมินตรา
ทำให้เธอคลายกังวลลงไปได้ จึงกลับไปพร้อมกับเพื่อนๆที่เหลือ
ส่วนเจติมานั้นย้อนกลับไปเอากระเป๋าสตางค์ที่ลืมไว้
“เฮ้อ โชคดีที่ยังอยู่”เจติมาเดินมาหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง ก่อนจะยัดมันลงไปในกระเป๋าสาพายแบบย่ามของเธอ
ก่อนจะเดินกลับออกมา แต่ด้วยทางเดินที่เป็นร่องสวน บวกกับความแคบของช่องทางเดิน
ทำให้เจติมาซึ่งกำลังก้มมองพื้นมองไม่เห็นผู้ชายอีกคนที่กำลังรีบเดินสวนมาเช่นกัน
และด้วยทิศทางที่เธอเดินนั้นใกล้กับตลิ่งมากกว่าอีกฝ่าย เมื่อเกิดการปะทะกันแล้วจึงทำให้เด็กสาวตัวเล็กกระเด็นตกลงไปในคูน้ำด้านข้างอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ตู้มมมม”เสียงของเจติมาที่ตกลงไปในน้ำทำให้คนที่เดินชนถึงกับสะดุ้ง
นี่เขาโมโหจนเดินไม่มองทางขนาดนี้เลยหรือนี่
ความจริงแล้วเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะชนเธอให้ตกลงไปในน้ำหรอก เพียงแต่เขากำลังโมโหผู้จัดการส่วนตัวของเขาอยู่ต่างหาก
ที่ทำให้วันหยุดของเขาต้องลดลงมาหนึ่งวันเพราะนัดคิวไว้ชนกันจึงต้องเลื่อนการถ่ายทำละครตอนที่เขาเป็นแขกรับเชิญมาเป็นวันหยุดของเขาแบบนี้
“ขอโทษครับ”เมื่อพีรวัฒน์ได้สติก็รีบขอโทษเธอทันที และยื่นมือไปให้เธอจับ
เจติมาที่ได้ยินเสียงอันคุ้นหูนั่นแล้วถึงกับตกอยู่ในภวังค์
ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนจริงๆว่าจะได้เจอตัวเป็นๆของศิลปินที่ชื่นชอบแบบนี้
ปลุกให้วิญญาณความคลั่งไคล้ในตัวพี่พีทของเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ หนู เอ้ย ฉันขึ้นไปเองได้ เดี๋ยวมือคุณจะเลอะเปล่าๆ”เจติมาว่า
ก่อนจะพยายามดันตัวเองให้ขึ้นมาจากคูน้ำ แต่ตัวเธอคงจะเตี้ยเกินไปเลยทำให้เธอขึ้นมาไม่ได้ซักที
พีรวัฒน์เห็นดังนั้นจึงนั่งลงยองๆ แล้วยื่นมือไปให้จับอีกรอบ
“ขึ้นเองไม่ไหวก็อย่าฝืนสิครับน้อง ให้พี่ช่วยดีกว่านะ”พีรวัฒน์พูดกับหญิงสาวก่อนจะยิ้มบางๆให้
แค่นี้ก็ทำให้เจติมาเข้าใจคำว่าเพียงแค่ยิ้มให้ หัวใจก็ละลายแล้ว
“ขอบคุณค่ะ”เจติมาพุดได้เพียงแค่นั้น ก็ถูกผู้ชายตรงหน้าดึงให้ขึ้นมาจากน้ำอย่างง่ายดาย
พีรวัฒน์แอบคิดด้วยซ้ำว่าวันๆหนึ่งผู้หญิงคนนี้กินอะไรเข้าไปบ้างรึเปล่า
ทำไมตัวถึงได้เบาขนาดนี้
“น้องนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ
เดี๋ยวพี่ไปหาชุดให้น้องเปลี่ยนก่อนดีกว่า เปียกไปทั้งตัวแบบนี้
เดี๋ยวเป็นปอดบวมจะแย่”พีรวัฒน์ว่า ก่อนที่จะรีบเดินจากไป
ปล่อยให้เจติมาตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองอยู่อย่างนั้น พอตั้งสติได้
เธอก็ร้องกรี๊ดออกมาดังๆ
“อ๊ายยยยยยยยย”เจติมาอยากจะกรี๊ดเป็นภาษาอิตาลี
นี่เธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าในชีวิตนี้จะได้เจอพี่พีทตัวเป็นๆแบบนี้
แถมเมื่อกี้ยังได้สัมผัสมือของพี่ปอนด์อีกต่างหาก เธออยากจะกรีดร้องอีกแปดล้านรอบให้สะใจ
แต่ก็ทำได้แค่คิด เพราะพีรวัฒน์เดินกลับมาพร้อมกับถุงเสื้อผ้าในมือ
ก่อนจะยื่นถุงกระดาษให้เธอ
“นี่เสื้อผ้าชุดใหม่ พี่ซื้อใช้คืนชุดที่เลอะนะครับ
แล้วก็ไปล้างเนื้อล้างตัว ทางที่ดี อาบน้ำเลยดีกว่า
ขืนกลับออกไปในสภาพแบบนี้คงตกเป็นเป้าสายตาแน่ๆ ห้องน้ำอยู่ด้านหลังนั่นนะครับ
พี่เพิ่งไปถามคนแถวนี้มา”พีรวัฒน์บอกพร้อมกับส่งยิ้มให้เจติมา
เขายิ้มให้เธออีกแล้ว เจติมาไม่รู้ว่าตัวเองจะทนทานเสน่ห์ของรอยยิ้มเขาได้แค่ไหน
“เอ่อ ขอบคุณนะคะ แต่ว่าฉันต้องรีบกลับ
ฉันขอไม่รับของพวกนี้ก็แล้วกันนะคะ”เจติมาว่าก่อนจะรีบเดินออกมา แต่พีรวัฒน์รั้งไว้
“ไม่ได้หรอกครับ พี่ปล่อยให้เราออกไปสภาพแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
เปลี่ยนชุดก่อนก็ยังดี นะครับ อย่าให้พี่รู้สึกผิดไปมากกว่านี้เลย”พีรวัฒน์พูดพร้อมกับส่งสายตาคล้ายจะอ้อน
เจติมาเห็นแล้วเกิดอาการเก้อเขินขึ้นมาทันที
“ก็ได้ค่ะ”เจติมารับถุงกระดาษพวกนั้นมา
แล้วรีบไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วเปลี่ยนชุดใหม่ทันที โชคดีที่รายงานทั้งหมดอยู่ที่มินตรา
ถ้าเกิดอยู่ในกระเป๋าเธอ ป่านนี้คงเปียกน้ำจนไม่เหลือชิ้นดีแน่ๆ กว่าเธอจะเปลี่ยนชุดเสร็จ
รถเมล์ที่จะไปบ้านเธอเที่ยวสุดท้ายก็ออกจากท่ารถไปแล้ว เจติมายืนดูนาฬิกาข้อมือ
พร้อมกับถอนหายใจหนักๆออกมาอย่างไม่รู้จะทำยังไง
“เสร็จแล้วหรอครับ”ปรมัตเดินมาถามจากด้านหลัง ทำเอาเจติมาตกใจ
“อุ้ย...เอ่อ เสร็จแล้วค่ะ”เจติมาบอก
“ถ้าไม่รังเกียจ พี่ขออนุญาตไปส่งน้องที่บ้านนะครับ
ถือว่าเป็นการไถ่โทษที่ทำให้น้องเสียเวลาไปมากเลย”พีรวัฒน์บอก
“คือว่า...ตอนนี้ที่บ้านยังไม่มีใครอยู่น่ะค่ะ ก็เลยกะว่าจะไปหาข้าวเย็นทานก่อน
ไม่รบกวนพี่ดีกว่าค่ะ”เจติมาหาข้ออ้างไปเรื่อย
ความจริงแล้วพ่อเธอก็ยังคงอยู่ที่บ้านนั่นแหละ แต่ขืนให้ผู้ชายไปส่งที่บ้าน
แถมยังเป็นศิลปินคนโปรดที่เคยคลั่งไคล้(และตอนนี้ก็ยังคลั่งไคล้อยู่)อีกด้วย
พ่อเธอคงได้ลากปืนลูกซองมาจ่อหน้าพี่พีทของเธอแน่ๆ
“ดีเลยครับ พี่ก็กำลังหิวอยู่พอดี
งั้นเอาเป็นว่าพี่ขอเลี้ยงมื้อเย็นน้องก็แล้วกันนะครับ ตกลงตามนี้ ไป
เราไปทานมื้อเย็นกันดีกว่า “ว่าแล้วพีรวัฒน์ก็ดันหลังเจติมาให้เดินไปขึ้นรถของเขาที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถด้านหลัง
แล้วขับพาเธอออกไปทันที โดยทิ้งพี่หมึก ผู้จัดการของเขาไว้ที่นี่
ให้หาทางกลับเอาเอง...
ความคิดเห็น