ตอนที่ 62 : คนสวนกับต่างโลก ภาค พิภพพฤกษา ตอนที่ 61 พฤกษาอัคคี
คนสวนกับต่างโลก ภาค พิภพพฤกษา ตอนที่ 61 พฤกษาอัคคี
พฤกษาอัคคีเป็นตัวตนพิเศษที่กำเนิดในพื้นที่ของดงพญาไฟ มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาได้ในโลกภายนอกเพราะต้นไม้เหล่านี้ปรับตัวตามสภาพพื้นที่ของมิติพิเศษจนกลายพันธุ์ไปจากเดิม พลังของมิติบรรพชนนั้นแท้จริงแล้วมันคือพลังที่มีต้นกำเนิดมาจากหงส์เพลิงอัคคีหนึ่งในสี่จตุรเทพที่พิทักษ์ผืนป่าบรรพกาล
นี่คือพลังของสัตว์อสูรในตำนานผู้ถือครองธาตุไฟในอดีตไม่น่าเชื่อว่าหลังจากมันตายไปแล้วเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพลังงานเหล่านั้นของมันยังคงอยู่ข้ามผ่านกาลเวลามาเป็นมรดกให้กับอนุชนรุ่นหลังได้พัฒนาพลังต่อไป
ดังนั้นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในมิติบรรพชนนี้จึงต้องปรับตัวตามสภาพเพื่อที่จะได้อยู่รอดต่อไปหลังจากสถานที่นี้ได้กลายเป็นมิติที่ถูกปิดตายและมีทางเข้าออกได้แค่ทางเดียวเท่านั้นนั่นก็คือการลอดผ่านวงแหวนโบราณที่เป็นสมบัติของราชวงศ์
กรี๊ซซซซ ซ่าา ซ่าาา นี่คือเสียงของพฤกษาอัคคีที่มีอยู่นับไม่ถ้วนในดงพญาไฟ มันมิใช่พฤกษาธรรมดาทั่วไป เมื่อพื้นที่กลายเป็นมิติปิดตายและพลังงานของหงส์เพลิงอัคคีไม่สามารถรั่วไหลออกไปภายนอกได้ มันจึงถูกดูดซับวนเวียนไปมากลายเป็นพลังงานหนึ่งเดียวให้กับสิ่งมีชีวิตในมิติแห่งนี้
มิติปิดตายจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการวิวัฒนาการ สิ่งมีชีวิตบางส่วนนำพลังงานที่ได้มาพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณของมันจนสามารถมีสตินึกคิดขึ้นมาได้กลายเป็นพฤกษาที่มีวิญญาณของธาตุไฟ!
มิใช่เฉพาะเหล่าพฤกษาเท่านั้นที่ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้แต่สัตว์อสูรบางพวกที่ไม่สามารถออกไปได้ก็ยังต้องวิวัฒนาการเพื่อที่จะอยู่รอดให้ได้ในสภาวะเช่นนี้ แต่ก็มีบางส่วนที่ตกตายเพราะทนพลังของธาตุไฟนี้ไม่ไหวคงเหลือทิ้งไว้เพียงกองซากที่เต็มไปด้วยกระดูกและแก่นเวทย์ของพวกมัน และนั่นคือของรางวัลสำหรับผู้ที่ท้าทายดงพญาไฟ!
ควับ ควับ กี๊ซซซซ
เสียงกิ่งก้านนับไม่ถ้วนหวดฟาดเข้าใส่ผู้เคราะห์ร้ายอย่างไม่ปราณียามที่มันถูกล่วงล้ำอาณาเขต พฤกษาอัคคีที่ซึมซับพลังงานและพัฒนาจิตวิญญาณธาตุไฟขึ้นมาได้มันจะดุร้ายเป็นพิเศษ ในเวลาปกติมันแทบจะไม่เคลื่อนไหวใด ๆ แต่ยามที่มีสิ่งใดเข้าใกล้มัน เมื่อนั้นมันจะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารในทันที
"ให้ตายสิวะ.....ไอ้ต้นไม้บ้านี่ทำไมมันถึงได้ยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้"เสียงสบถดังออกมาเป็นระยะพร้อมกับที่คณะแสวงโชคอิสระเหล่านี้ต้องรับมือกับการโจมตีต่อเนื่องของพฤกษาอัคคีอย่างไม่ได้หยุดพัก
"ตอนแรกมันไม่ได้คลั่งขนาดนี้...แกไปทำบ้าอะไรมามันถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาโจมตีเอาเป็นเอาตายอย่างนี้ได้"สมาชิกที่มาด้วยกันหันกลับไปตะคอกด่าชายหัวทองที่มาด้วยกันอย่างหัวเสีย
"โว้ยยย...จะไปรู้ได้ยังไงวะ...ก็เห็นอยู่ว่าไม่ได้แยกตัวไปไหน..รีบ ๆ ถอนรากถอนโคนมันซักทีได้ไหม ข้าใกล้จะหมดแรงอยู่แล้ว" ชายหัวทองตอบกลับมาอย่างอ่อนแรงในมือของเขาเกาะกุมดาบยาวด้วยมืออันสั่นเทา หลังมือของเขาแดงฉานไปด้วยเลือดที่มาจากบาดแผลที่ถูกโจมตีจากพฤกษาอัคคี
"นั่นมันบ้าอะไร!!" คู่หูของชายหัวทองตะโกนออกมาใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ มีบางสิ่งที่คล้ายกับรากไม้จากเถาวัลย์เกาะกุมบาดแผลของสหายของเขาเอาไว้ เส้นสายยึกยือของมันราวกับกำลังหยั่งรากและดูดเอาบางสิ่งเข้าไป
"บ้าเอ๊ย!....มันดูดเลือดข้า" ปรากฏว่าพฤกษาอัคคีเหล่านี้พยายามต่อสู้ที่จะดูดซับเลือดในกายของสิ่งมีชีวิต มันชอนไชไปตามบาดแผลและหยั่งรากลงไปเพื่อดูดเลือดราวกับอสูรกายผีดิบที่หิวกระหาย
ควับ อ๊ากกกกก
ชายหัวทองไม่รอช้าตัดสินใจใช้มืออีกข้างจับดาบยาวก่อนสะบัดตัดเฉือนไปที่บาดแผลของตนเองทันที เขาตัดเนื้อส่วนที่ถูกรากของพฤกษาอัคคีชอนไชออกไป เลือดเนื้อบริเวณนั้นถูกตัดสะบั้นในคราเดียวจนขาดจากกัน เลือดของเขาสาดกระจายไปทั่วบริเวณนั้น ก่อนที่ชายที่มาด้วยกันจะเข้ามาดึงตัวเขาออกไปอย่างว่องไว
รากไม้มากมายเลื้อยมาดูดเลือดเหล่านั้นอย่างหิวกระหาย การกระทำนี้ของมันเรียกได้ว่าสร้างความหวาดผวาให้กับเหล่าผู้คนไม่น้อย หลังจากที่ชายหัวทองตัดสะบั้นรากของมันออกไปแล้ว มันยิ่งทวีความเกรี้ยวกราดและดุร้ายไปเป็นเท่าทวีคูณ
พรึบบบ ซี่ซี่ซี่ นักเวทย์ในกลุ่มที่เห็นเหตุการณ์นี้เลือกที่จะใช้บทเวทย์เปลวเพลิงส่งออกไปเผาทำลายรากไม้เหล่านั้น แต่ปรากฏว่ารากของพฤกษาอัคคีกลับไม่เป็นอะไร มันไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับมันได้สักนิดเดียว
ต้องรู้ว่าพลังเพียงเท่านี้ไม่สามารถที่ทำอันตรายใด ๆ ให้กับมันได้เพราะมันสามารถวิวัฒนาการจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตธาตุไฟต่อให้สถานที่นี้เป็นโชคของเหล่าผู้ใช้ธาตุไฟแต่อีกนัยหนึ่งมันก็เป็นฝันร้ายที่พวกเขาต้องมาเผชิญหน้ากับพฤกษาอัคคี!
ครืนน บลัสสสสส ตรึมม
สายลมไร้ที่มาพุ่งทะยานผ่านหน้าของคณะแสวงโชคนี้ไปก่อนที่มันจะพุ่งเข้าทำลายรากไม้เหล่านั้นทันที ไม่เพียงเท่านี้มันบังพุ่งทะยานเข้าหาลำต้นขนาดใหญ่ของพฤกษาอัคคีก่อนจะบดขยี้ทำลาย
"เวนก้า! ให้ตายสิ มาได้เวลาพอดี" มีเสียงไชโยโห่ร้องของบรรดาผู้เยาว์ในกลุ่มอิสระ ยามที่พวกเขาได้พบหน้ากับชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะของสำนักปีกดำ
"พวกเจ้ารีบไปรวมกับคนอื่น ๆ ได้แล้ว วันนี้เราจะพอกันแค่นี้ มีคนบาดเจ็บมากเกินไปแลกกับแก่นเวทย์เล็กน้อยที่ได้มานับว่าไม่คุ้มเอาเสียเลย"ชายที่ชื่อเวนก้า หรืออัจฉริยะของสำนักปีกดำกล่าวขึ้นมาอย่างหัวเสีย
เข้าต้องลาดตระเวนไปโดยรอบเพื่อช่วยเหลือสมาชิกส่วนใหญ่ที่ตกอยู่ในอันตราย เด็กชายเริ่มรู้สึกว่ามันไม่คุ้มเอาเสียเลยกับงานคุ้มกันเช่นนี้ ต่อให้รางวัลที่สำนักตั้งเอาไว้มันจะล่อตาล่อใจก็ตาม นั่นเพราะสมาชิกสำนักปีกดำเข้ามาเยอะเกินไปจึงทำให้เขาต้องใช้พลังออกไปมากกว่าเดิมถึงสองเท่า
"พักงั้นหรือนี่ยังเข้าไปได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าจะให้เราพักแล้วงั้นหรือ?" มีเสียงไม่พอใจพูดดังออกมา
"ใช่ ๆ เจ้าคิดว่าโอกาสเช่นนี้มีมาบ่อย ๆ หรือยังไง ภูผาอัคคีมิได้มีเป็นสิบลูกข้าถึงจะใจเย็นอยู่ได้ ที่แห่งนี้เหลือเวลาอีกไม่มากหากไม่เร่งรีบไปให้ถึงภูผาอัคคีเราอาจจะไม่มีโอกาสอีกเลย ข้ารู้ว่าที่แห่งนี้มิได้ให้ประโยชน์กับเจ้าที่เป็นผู้ใช้ธาตุลมแต่เจ้าก็น่าจะเห็นใจผู้อื่นบ้าง"
เวนก้าหันมาถลึงตามองคนเหล่านี้อย่างดุร้าย
"พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องพักหรือยังไง เจ้าคิดว่าข้าต้องรับผิดชอบแต่ชีวิตพวกเจ้าใช่ไหม เผื่อว่าเจ้าจะลืมไปว่าสำนักของเรามีสมาชิกเข้ามาร่วมห้าสิบคน และกับอีแค่ต้นไม้ต้นเดียวกับพวกเจ้าสี่ห้าคนยังโค่นไม่ได้แล้วเจ้าคิดว่าข้าคนเดียวสามารถตลุยฝ่าไปทั้งป่าได้หรือ "
"พวกเราจะกลับไป" หนึ่งในสมาชิกกลุ่มนี้ที่ดูฉลาดกว่ารีบออกปากอย่างว่องไว การทำให้เวนก้าไม่พอใจสมควรเป็นเรื่องท้าย ๆ ที่พวกเขาจะทำในสถานการณ์ที่มีอันตรายรอบด้านเช่นนี้
"ดี" เวนก้าสบถออกมาก่อนจะหายวับไป
เหนือยอดไม้ขึ้นไปเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของวาเลน ไม่เฉพาะเหตุการณ์ตรงหน้าเท่านั้น เขาลอบเร้นกายไปในสถานที่ใกล้เคียงเพื่อดูสถานการณ์ต่าง ๆ ของแต่ละกลุ่มที่เข้ามาว่าพวกเขามีวิธีรับมืออย่างไร
"มิใช่ทุกต้นจะมีจิตวิญญาณธาตุไฟ ดู ๆ ไปแล้วมันคล้ายกับ กับดักธรรมชาติหากสามารถรู้ได้ว่าต้นไหนที่เป็นอันตรายเราก็แค่หลีกเลี่ยงมันเพื่อลดการสูญเสียได้" คารีสที่ตามติดวาเรนมาด้วยพูดวิเคราะห์ขึ้นมาครานี้เขามิยอมที่จะคาดสายตาจากวาเลนแม้แต่นาทีเดียว วาเลนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของคารีสแต่เขามีบางสิ่งที่ยังคงรบกวนจิตใจ
"ข้าสามารถรู้ถึงความเป็นมาของพฤกษาอัคคีเหล่านี้ได้ผ่านพลังของสัมผัสพฤกษา แต่ที่ไม่เข้าใจคือเหตุใดสถานที่นี้จึงถูกทำให้จำกัดการบิน?" วาเลนพูดออกมาเบา ๆ การเคลื่อนกายและธาตุลมของเขายังคงใช้ได้ไม่มีปัญหาหากไม่นำมาใช้ในการลอยตัวเหนือยอดไม้
ที่เขาไม่เข้าใจเพราะกฎเหล่านี้กลับไม่มีผลบังคับใช้กับอสูรตระกูลวิหค เหล่าวิหคสามารถบินบนท้องฟ้าได้อย่างอิสระสบาย ๆ นอกจากมันจะบรรทุกคู่หูมนุษย์เอาไว้ มันจะถูกกฎการบินจำกัดในทันที รวมถึงอสูรมีปีกประเภทอื่นก็เช่นกัน
วาเลนคาดว่าสถานที่แห่งนี้ถูกกำกับด้วยกฎบางอย่างที่ห้ามมนุษย์ขึ้นบินเหนือยอดพฤกษาอัคคีเพื่อกันมิให้ผู้คนใช้พลังบินข้ามไป กฎเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์บางอย่างที่วาเลนยังไม่แน่ใจจึงทำให้เขาอดกังวลมิได้
วาเลนและคารีสกลับไปเพื่อเล่ารายละเอียดต่าง ๆ ให้ผู้คนในกลุ่มได้ทราบสถานการณ์ สถานที่ตั้งชั่วคราวของพวกเขานั้นกลายเป็นสถานที่โล่ง ต้นไม้ทุกต้นในบริเวณนั้นล้วนถูกตัดทำลายโดยนักเวทย์ภายในกลุ่มขององค์ชายสาม และองค์หญิงสี่ มีร่องรอยของการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเป็นอนุสรณ์ไว้โดยรอบสถานที่แห่งนี้ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมา
ในทุก ๆ สี่ถึงห้าต้นของพฤกษาที่ถูกทำลายนี้จะมีพฤกษาอัคคีที่มีจิตวิญญาณรวมอยู่ในนั้นด้วย และเพราะเหตุการณ์นี้วาเลนจึงอาสาที่จะออกไปตรวจสอบพื้นที่บริเวณอื่นว่ามีเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ด้วยหรือไม่ปรากฏว่าทั่วทั้งดงพญาไฟมีพฤกษาอัคคีที่มีจิตวิญญาณธาตุไฟอีกมากมายจนแทบมิอาจประมาณได้
"สถานการณ์ของกลุ่มอื่น ๆ นั้นก็ไม่เชิงว่าดีนัก ก่อนกลับมาข้าพบว่าคนของสำนักปีกดำก็พบกับปัญหาเช่นเดียวกันนี้ พวกเขาเลือกที่จะกำจัดพฤกษาอัคคีเป็นบริเวณกว้างพอที่จะหยุดพักอาศัยได้และล่าถอยออกไปรวมกลุ่มกัน กลุ่มอื่น ๆ ก็ทำในลักษณะเดียวกันนั้น พวกเขายังไม่สามารถผ่านไปจนถึงกลางดงพญาไฟได้ " คารีสอธิบายสถานการณ์ทั่วไปเพิ่มเติม
ยังไม่ทันที่การหารือจะได้ข้อสรุปใด ๆ ปรากฏว่าแนวป้องกันภายนอกที่ได้จัดวางเอาไว้มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาให้ได้ยิน สิ้นเสียงระเบิดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องสลับกับเสียงคำรามของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ทราบสายพันธุ์ดังขึ้นมาสนั่นหวั่นไหว
การประชุมหารือถูกยกเลิกในทันทีทุกคนต่างเร่งรีบไปยังที่เกิดเหตุด้วยท่าทีร้อนรนและกังวลใจ
เบื้องหน้าของกลุ่มองค์ชายสามตอนนี้ปรากฏว่ามีฝูงกระทิงไฟที่วิ่งตะลุยเข้ามาราวกับหนีตาย ตอนนี้มันพยายามโจมตีผู้คนโดยรอบราวกับจะยึดเอาอาณาเขตตรงนี้โดยไม่สนว่าเจ้าของที่เดิมจะยินยอมหรือไม่ นี่อาจเป็นสาเหตุของเสียงกรีดร้องจากแนวป้องกันที่ไม่อาจรับมือกับพวกมันได้และถูกพวกมันทำร้าย
ยามเมื่อมันเห็นผู้คนมากมายยังคงทะยานเข้ามา ราวกับมันไม่สามารถหันหลังกลับได้เช่นกันมันจึงยอมเลือกสู้ตายกับกลุ่มคนเบื้องหน้ามากกว่าจะหันหลังกลับไปยังที่ ๆ พวกมันจากมา
เบื้องหลังของอสูรที่กลุ่มของวาเลนกำลังรับมือนี้ ปรากฏร่างของปักษาสีทองที่กำลังจ้องมองอยู่ไกล ๆ มันมองฝูงกระทิงไฟที่มันเข่นฆ่าและไล่ล่าโจมตีก่อนหน้านี้เพื่อต้อนมายังเส้นทางที่มันวางเอาไว้ นี่คือหนึ่งในแผนตัดกำลังที่มันเลือกใช้ก่อนการเผชิญหน้าจริงกับเด็กชายที่มันหมายตา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เจ้าเล่ห์จริงเจ้านกตัวนี้
จับอินกไฟมากินเลย น่าจะอร่อย ช่างก่อเรื่องดีนัก
ถอนขนอินกทองย่างไฟเลย
อินกนี่ อยากโดนถอนขนย่างรึไงฮะ!!