ตอนที่ 59 : คนสวนกับต่างโลก ภาค พิภพพฤกษา ตอนที่ 58 มิติบรรพชน / ภูผาอัคคี
คนสวนกับต่างโลก ภาค พิภพพฤกษา ตอนที่ 58 มิติบรรพชน / ภูผาอัคคี
เมื่อการจัดสรรที่นั่งลงตัว ทั้งหมดล้วนเข้าประจำที่เพื่อเริ่มงานตามแบบพิธีของราชวงศ์ องค์กษัตริย์ไมเทรียสถูกเชิญมาเพื่อเปิดงานในค่ำคืนนี้ ชายวัยกลางคนปรากฏกายขึ้นในปรัมพิธี ชุดที่พระองค์เลือกสวมใส่ในค่ำคืนนี้ คือฉลองพระองค์ที่มีสีทองประดับไปด้วยลวดลายงามตา
คนอื่นอาจจะนิยมในความหรูหราของมันแต่ทว่าวาเลนกลับเห็นความจริงในสิ่งเหล่านั้น ลวดลายที่มองว่างามตาแท้จริงแล้วมันแฝงไปด้วยพลังที่มิอาจจะพรรณนาได้
มีสัญลักษณ์แห่งพลังด้านป้องกันไม่ต่ำกว่าห้าตัวถูกสลักเอาไว้บนชุดนั้น นั่นหมายความว่ามันจะเป็นฝันร้ายทันทีหากมีใครคิดที่จะเร้นกายรอบโจมตีพระองค์ นอกจากจะไม่สำเร็จแล้วเผลอ ๆ ยังโดนผลสะท้อนกลับและการกระนาบโจมตีของเหล่าองค์รักษ์อีกด้วย
อีกทั้งกษัตริย์ไมเทรียสเองก็มิได้มีพลังเวทย์ที่ต่ำต้อย พระองค์คือจอมเวทย์ที่ทรงพลังฉกาจฉกรรจ์ อีกเพียงไม่นานก็จะสามารถบรรลุระดับของมหาจอมเวทย์ขั้นต้นได้ นี่จึงทำให้การป้องกันภายในมิได้เคร่งครัดจนเกินไป นั่นเพราะพระองค์เชื่อมั่นว่า พระองค์สามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่วิตกกังวลว่าจะเกิดการลอบโจมตี กษัตริย์ที่อ่อนแอจะกล้าเสี่ยงเช่นนี้หรือ? ไม่มีทาง!
เบื้องหลังของพระองค์นั้นตามติดมาด้วยพระราชินีคู่ใจ และเจ้าจอมที่มีบรรดาศักดิ์ต่ำกว่าพระราชินีอีกสามพระองค์ ทุกพระองค์นั้นคือมารดาของเหล่าเจ้าหญิงและเจ้าชายที่เป็นทายาทสายตรงขององค์กษัตริย์ไมเทรียส
หากการขึ้นเป็นกษัตริย์มิได้ถูกตัดสินด้วยอำนาจของวิหคอมตะ เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มีสิทธิ์จะได้ครองบัลลังก์คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเชื้อสายของพระราชินี เจ้าชายองค์โตอย่างองค์ชายหนึ่งแมกนัส เพราะอำนาจของพระราชินีนั้นจะเป็นสิ่งค้ำจุลฐานอำนาจให้ยิ่งใหญ่กว่าใคร
นั่นเป็นเรื่องการเมืองที่วาเลนไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ และถ้าเลือกได้เขาย่อมไม่อยากยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับมัน แต่การพบพานกับองค์ชายสามนั้นดูเหมือนในตอนนี้นั้นการไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันจะกลายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไปไม่ได้เสียแล้ว
หลังจากที่กษัตริย์ไมเทรียสประทับยังที่นั่งของพระองค์แสงรัศมีสีทองก็พาดผ่านตามหลังมาเป็นสาย บนคอนทองคำใกล้ ๆ ปรากฏร่างของวิหคที่เป็นสัตว์อสูรคู่ใจของพระองค์ มันคือวิหคทองคำอมตะ!
ประกายตาของมันกวาดผ่านไปทั้งห้องโถง ก่อนจะมาหยุดที่วาเลน ในเสี้ยววินาทีที่มันเห็นเด็กชายประกายอำมหิตปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันทันที นัยน์ตาของมันมีทั้งแววของความโกรธและรังเกียจในตัวของเด็กชายอย่างหาที่สุดมิได้
วาเลนสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่มันส่งมาเขาลอบระวังตัวทันที จิตพยาบาทนี้ยากที่จะเมินเฉยได้ มันเป็นสัตว์อสูรที่ผ่านกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญามาแล้วจนกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นเวลาช้านาน เพราะฉะนั้นเด็กชายจึงไม่อาจที่จะดูแคลนสติปัญญาของมันได้
มิใช่แค่วาเลนเท่านั้นที่รู้สึกได้ถึงสิ่งนี้ องค์ชายสามมีท่าทีที่มึดครึ้มทันทีเช่นกันเมื่อวิหคอมตะแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา หากมิได้คุณชายเจ็ดช่วยเอาไว้ ความลับที่มันแฝงวิญญาณปรสิตไว้ในกายของวิหคอัคคีก็จะกลายเป็นความลับตลอดไป
ความลับนี้จะตายไปพร้อมกับวิญญาณของวิหคอัคคีและมันก็จะทำเช่นนี้ต่อไปและไม่ว่าเวลาจะยาวนานเท่าไหร่ มันจะเป็นอสูรตัวสุดท้ายที่ยืนหยัดอยู่ได้เสมอ
องค์ชายสามรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้รู้ความจริงเรื่องนี้หลังจากที่วาเลนจัดการกับวิญญาณปรสิตของมันแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถล่วงเกินมันได้อยู่ดี อสูรที่อยู่คู่บัลลังก์มาช้านานและถูกกล่าวขานว่าเป็นวิหคปกปักษ์ราชวงศ์ ไม่ใช่สิ่งที่จะล่วงเกินได้
ผู้คนเกินกว่าครึ่งล้วนศรัทธาในตัวมัน นี่จึงเป็นสิ่งที่สร้างความยุ่งยากอย่างมากมายมหาศาลให้กับเขา
ยิ่งในตอนนี้คุณชายเจ็ดและเขาได้ล่วงเกินในตัวมัน ทั้งสองไม่รู้ว่ามันจะจัดการและเอาคืนพวกเขาในรูปแบบใด
มุมปากของกษัตริย์ไมเทรียสยกขึ้นน้อย ๆ ราวกับว่าเข้าใจบางอย่างได้ ก่อนที่มันจะหายไปอย่างฉับไว จนไม่มีใครสังเกตเห็น ท่าทางที่ชัดเจนของอสูรของพระองค์นั้นบ่งบอกสิ่งที่คาดไว้ได้ทันที
เหตุการณ์นี้ทำให้พระองค์หวนนึกไปถึงพระอนุชาของพระองค์ น้องชายหนึ่งเดียวที่พระองค์ได้สูญเสียไปแล้วในตอนนี้ พระอนุชาไมเรียส กรีนแลนด์
"มันมิใช่ผู้ปกปักษ์หรืออารักษ์หากแต่เป็นปีศาจร้าย วันนึงมันจะเผยตัวให้ท่านได้เห็น ท่านพี่...และมันจะสายเกินกว่าที่ท่านจะแก้ไขได้"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความแค้นใจเอื้อนเอ่ยออกมา ดังกังวาลในจิตใจของพระองค์อีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ
วันเวลาไหลผ่านไปยาวนาน แลกกับอำนาจที่พระองค์ได้มาทว่ากลับเสียพระอนุชาหนึ่งเดียวของพระองค์ไป นี่คือความเสียใจหนึ่งเดียวที่ไม่อาจย้อนคืนได้ของกษัตริย์ไมเทรียส
พระองค์ยังจำวันแรกครั้งที่มันยังเป็นวิหคของพระบิดาและเลือกร่างสถิตของมันเป็นอินทรีย์ทองคำโบราณ สัตว์อสูรคู่ใจของพระองค์ได้ ทันทีที่มันเลือกนั่นเป็นครั้งแรกที่พระองค์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของมัน ราวกับว่านั่นมิใช่อสูรของพระองค์อีกต่อไป พร้อม ๆ กันนั้นอสูรของพระอนุชาของพระองค์ก็สิ้นใจอย่างไร้สาเหตุ นี่คือความคับข้องใจของกษัตริย์ไมเทรียสเสมอมา
"ข้ามีเรื่องจะประกาศหลังจากงานเลี้ยงจบลง...ช่วงเวลานี้จงสำราญกับอาหารเบื้องหน้า" สุรเสียงของกษัตริย์ไมเทรียสดังก้องกังวาลไปทั้งห้องโถงจัดเลี้ยง พระองค์ผายมือเป็นสัญญาณเพื่อเริ่มงานในทันที
เสียงดนตรีขับขานเคล้าคลอ ชวนให้บรรยากาศผ่อนคลาย ผู้คนล้วนดื่มกินกันตามอัธยาศัย วาเลนสังเกตุว่าบรรยากาศงานเลี้ยงนั้นเป็นไปอย่างหรูหราและสะดวกสบาย
แต่ถึงอย่างนั้นผู้ได้รับเชิญและผู้ติดตามส่วนใหญ่ก็ยังคงไว้ซึ่งมารยาทตามแบบธรรมเนียมที่ต้องปฎิบัติกับเหล่าราชวงศ์
"คุณชายเจ็ด.."วาเลนหันไปหาผู้ที่เรียกขานตน ใบหน้าขององค์ชายสามตอนนี้มีใบหน้าที่ยุ่งยากใจ ราวกับอมยาขมเอาไว้ในปาก เขาต้องการสารภาพบางอย่างที่น่ากระอักกระอ่วนใจ วาเลนพอจะคาดเดาได้ว่าเขาจะพูดสิ่งใด
"งานในครั้งนี้...จัดขึ้นเนื่องจากความประสงค์ของวิหคอมตะ พระบิดาที่สามารถสื่อสารกับมันได้จึงได้สั่งให้ออกป้ายเชิญผู้เยาว์ที่มีความสามารถทั่วราชอาณาจักรมายังพระราชวัง.."องค์ชายสามหยุดพูดเพราะคิดว่าเพียงแค่นี้คุณชายเจ็ดก็สามารถรับรู้ในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อได้แล้ว
เหตุการณ์ที่เกิดในตระกูลโอเดลรอสนั้นถึงจะมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ใช่ว่าจะไม่มีคนนอกรับรู้ มีสายสืบตระกูลผู้หนึ่งหลบเร้นไปหลังจากเหตุการณ์นั้น วาเลนไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าข่าวสารที่ถูกส่งออกไปเป็นเช่นไร และไปถึงใครบ้าง มันจึงยากที่จะคาดการณ์ว่าใครรับรู้ถึงการกระทำของเขาบ้าง
"ไม่มีสิ่งใดที่ท่านต้องรู้สึกผิดองค์ชาย อย่างไรเสียเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นส่วนหนึ่งมาจากการกระทำของข้า" วาเลนพูดออกมาด้วยท่วงท่าสบาย ๆ แม้ในใจจะมีความว้าวุ่นเกาะกุมเอาไว้เล็ก ๆ ที่ยังคงสลัดออกไปไม่ได้ก็ตาม เขาคาดไว้แล้วเช่นกันว่ามันต้องมีวันนี้ ไม่มีทางที่วิหคตัวนี้จะปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
"ข้าต้องยอมรับอย่างไม่อายว่าเวลานี้ข้าไม่สามารถที่จะจัดการกับเรื่องนี้ลำพังได้ วิหคอมตะมันไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปโดยง่าย ข้าไม่รู้ได้ว่ามันมีแผนอะไรแอบซ่อนเอาไว้ มีเพียงเสด็จพ่อเท่านั้นที่พอจะเชื่อมใจ และสามารถรับรู้ความต้องการของมันได้ แต่ท่านไม่ได้ตรัสสิ่งใดกับเรื่องนี้ แต่ข้าเชื่อว่ามันไม่ใช่แผนการดี ๆ อย่างแน่นอน" องค์ชายสามพูดออกมาอย่างกังวลใจ
"มีหลายอย่างในชีวิตที่เราคาดเดาไม่ได้องค์ชาย มันก็แค่หนึ่งในบรรดาเรื่องเหล่านั้น...ข้ามิอยากให้ท่านวิตกกังวลจนเกินไป เพราะถึงอย่างไรแล้วเราจะได้รู้หลังจากงานเลี้ยงนี้จบลง" วาเลนตอบกลับเบา ๆ เพื่อให้องค์ชายสามลดความกังวลใจ
องค์ชายสามพยักหน้าอย่างเบาใจ เขาคิดไม่ผิดที่เชื้อเชิญสหายน้อยผู้นี้มา จะมีสักกี่คนที่ยังสามารถสงบสติอารมณ์เอาไว้ได้หลังจากที่ต้องกลับมาในงานที่มีผู้ไม่หวังดีจัดเอาไว้เพื่อรอตอนรับเขา ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไปตามทางที่ศัตรูจัดเอาไว้ ต้องมีพลังใจมากมายมหาศาลเพียงใด หรือต้องมั่นใจในตัวเองขนาดไหนถึงยังมีท่าทีสงบอยู่ได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
"คุณชายเจ็ด....ดีจริง ๆ ที่ได้พบเจ้าที่งานนี้"สุรเสียงที่ดังกังวาล ดังผ่านเข้ามาจากทางด้านหลังขององค์ชายสาม
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยองค์ชายสามพลั้นหน้าง้ำลงหลายส่วน เขาจำต้องหลีกทางให้ตามมารยาทของราชวงศ์
"พี่ใหญ่..." วาเลนมองใบหน้าขององค์ชายสามที่ทักพี่ชายต่างมารดาอย่างเสียมิได้ อาการต่าง ๆ ถูกแสดงไว้บนใบหน้าอย่างไม่ปิดบัง นี่เป็นลักษณะของคนที่ถูกเดาทางและยั่วยุได้ง่าย วาเลนลอบสังเกตท่าทางและวิเคราะห์ผู้คนรอบกายอย่างระมัดระวัง หนทางข้างหน้าเขาจำต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจ หากต้องทำอะไรซักอย่างร่วมกันกับผู้คนเหล่านี้
"องค์ชายหนึ่ง..."วาเลนค้อมกายบนใบหน้าประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่ไร้ความรู้สึกใด ๆ ให้จับทางได้ถูก องค์ชายหนึ่งบังเกิดความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก เด็กเบื้องหน้าที่เจอกันนี้มิได้ให้ความรู้สึกที่ธรรมดาเหมือนคราแรกที่เจอกันอีกต่อไป
ลักษณะเฉพาะตัวที่คาดเดาไม่ได้ ทำให้เขาอึดอัดใจในใจลึก ๆ แล้วเด็กคนนี้ถูกวางไว้เป็นหนึ่งในเหล่าคนที่เขาต้องการนำมาใช้งาน ต่อให้ชื่อเสียงด้านอื่น ๆ ของคุณชายสามอลองเฟย์ จะเด่นล้ำมากกว่า แต่ทว่าฝีมือด้านการปรุงยานั้นมิใช่สิ่งที่อลองเฟย์สามารถเชี่ยวชาญเทียบเท่าได้ ซึ่งในเรื่องนี้เขาได้ประจักษ์มากับตาของตัวเองแล้ว ยามเมื่อวาเลนรักษาวิหคทมิฬ! เม็ดยาของเขานั้นอาจนับได้ว่าล้ำหน้านักหลอมโอสถของราชวงศ์ไปมากนัก
"มิคาดว่าเจ้าจะมาในงานนี้ด้วยเช่นกัน หลายครั้งที่ข้าเฝ้าถามอาวุโสในตระกูลโอเดลรอสนั้น มักได้คำตอบว่าเจ้ามิใคร่จะสนใจงานเลี้ยงเสียเท่าไหร่ หากรู้ว่าเจ้าตั้งใจจะมา ในฐานะที่เป็นสหายสนิทกับพี่เจ้าข้าจะออกบัตรเชื้อเชิญให้ในทันที คิดเสียว่าข้าเป็นพี่เจ้าอีกคนก็ได้" องค์ชายหนึ่งพูดราวกับว่าเขามิได้เห็นว่าที่แห่งนั้นมีน้องชายต่างมารดายืนอยู่ องค์ชายสามกำมือแน่น ในแววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
วาเลนมองว่าองค์ชายหนึ่งผู้นี้ฉลาดในการพูด เพียงไม่กี่คำกลับหว่านความหวาดระแวงให้กับองค์ชายสามได้ อีกทั้งยังสามารถพูดเพื่อซื้อใจเขาได้ในคราวเดียว แต่น่าเสียดายที่ทัศนคติของวาเลนนั้นมิได้ต้องการเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกสั่งให้ซ้ายหัน ขวาหัน อีกทั้งตัวเขาก็มิได้ลุ่มหลงในอำนาจ คำพูดเพียงเท่านั้นจึงมิอาจมีผลใด ๆ ต่อจิตใจของเขาได้
ใบหน้าของคุณชายสามอลองเฟย์ที่ติดตามมาด้านหลังราวกับกินยาขม เมื่อองค์ชายหนึ่งแสดงถึงความปรารถที่ต้องการจะได้ตัวของวาเลนมาร่วมงานด้วย ความริษยาที่มีแต่เดิมในใจบัดนี้มันกลับลุกโชนขึ้นใหม่ราวกับราดน้ำมันลงบนไฟในทันที
"นับเป็นเกียรติในความปรารถนาดีขององค์ชาย... ตัวข้ามิได้มีความสามารถมากมายเฉกเช่นพี่ชายของข้า นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้มาเปิดหูเปิดตา เพราะความกรุณาขององค์ชายสามจึงได้บัตรเชิญมาหนึ่งใบ..."วาเลนหยิบบัตรเชิญที่องค์ชายสามออกให้มาด้านหน้า ผู้ที่ติดตามองค์ชายหนึ่งมาจึงรู้ได้ทันทีว่า วาเลนน่าจะมิใช่ผู้เยาว์ธรรมดาทั่วไป ไม่มีทางที่เหล่าเจ้าชายจะมอบความไว้ใจสูงสุดให้กับคนที่ไร้ประโยชน์อย่างแน่นอน วาเลนเห็นหลายคนหรี่ตามองป้ายเชิญในมือของเขา บางคนถึงกับแสดงสีหน้าริษยาออกมา
"ยิ่งตัวข้าเห็นพี่ชายสร้างความดีความชอบไว้มากมายแล้วได้รับบัตรเชิญในงานนี้ด้วยเช่นกันจึงมิกล้าเข้าไปทักทาย ด้วยเกรงว่าจะเป็นที่วุ่นวายเสียป่าว.."ยิ่งวาเลนพูดยิ่งตอกย้ำคุณชายสามอลองเฟย์ให้ช้ำใจ ทั้งยังสร้างความกระอักกระอ่วนใจให้องค์ชายหนึ่งอีกต่อนึง
ไม่มีใครรู้ว่าเทศกาลล่าที่ผ่านมานั้นคุณชายสามอลองเฟย์ทุ่มเทไปเท่าไหร่จึงทำให้องค์ชายหนึ่งสามารถชนะในงานเทศกาลได้ แต่ทว่าเขากลับมิได้รับบัตรเชิญสูงสุดขององค์ชายหนึ่งไป กลับเป็นเด็กชายในชุดรัดรูปที่ดูสุขุมแทนที่ได้มัน เขาคนนั้นคือหนึ่งในคุณชายของตระกูลนักรบอิกไทน์....ที่วาเลนไม่คุ้นหน้า
นี่จึงทำให้คุณชายอลองเฟย์แค้นจนแทบเป็นบ้าและกระอักเลือดตาย องค์ชายหนึ่งสูดหายใจลึกพยายามเลี่ยงที่จะสนทนาต่อในเรื่องที่สุ่มเสี่ยงที่จะผิดใจเอาได้ การตอบกลับของวาเลนทำให้องค์ชายหนึ่งเห็นแล้วว่าเขามิใช่คนง่าย ๆ สบาย ๆ อย่างที่ตาเห็น เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะมีสติปัญญาที่เด่นล้ำกว่าพี่ชายของเขา? คำถามเหล่านี้ว่ายวนเวียนอยู่ในหัวขององค์ชายหนึ่ง โดยที่ยังมิได้คำตอบ
การสนทนาต่อจากนั้นจึงผ่านไปอย่างกระท่อนกระแท่นก่อนที่คณะขององค์ชายหนึ่งจะจากไปยังที่ของตน งานเลี้ยงดำเนินมาถึงช่วงเวลาสุดท้าย ก่อนที่ทั้งหมดจะพร้อมใจกันเงียบเป็นสัญญาณว่าพร้อมจะรับฟังคำกล่าวของกษัตริย์ไมเทรียสในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
"ก่อนที่ข้าจะประกาศเรื่องสำคัญ อยากให้พวกเจ้ารู้ว่า ป้ายเชิญทุกใบที่ได้ส่งออกไปนั้นล้วนให้เกียรติแก่บรรดาผู้เยาว์ที่ได้ชื่อว่าอัจฉริยะของอาณาจักรกรีนแลนด์แทบทั้งสิ้น เมื่อได้ยินดังนี้ข้าจึงอยากให้พวกเจ้าตั้งใจฟังให้ดี!"
"ในปีนี้วิหคอมตะและข้ามีความเห็นตรงกันว่าควรมอบโชคเพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าให้กับบรรดาผู้เยาว์ที่จะเป็นกำลังสำคัญให้กับราชวงศ์ในอนาคตข้างหน้า"
"ข้าจะเปิดมิติบรรพชนของราชวงศ์ขึ้นมาเพื่อให้พวกเจ้าแสวงหาโชคในนั้น มิตินี้จะมีเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น แม้สมบัติต่าง ๆ มันจะถูกกักเก็บไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่ทว่าพลังที่ยังคงค้างในนั้นมากพอที่จะพัฒนาพวกเจ้าต่อไปได้ โดยเฉพาะผู้ใช้ธาตุไฟ" สิ้นคำกล่าวของกษัตริย์ไมเทรียสสร้างเสียงฮือฮาอย่างมากมายในห้องโถงของราชวัง
แม้แต่วาเลนก็อดที่จะตื่นเต้นมิได้ แต่ยามเมื่อสายตาเหลือบขึ้นไปเห็นวิหคอมตะที่ทรงตัวอยู่บนคอนทองคำก็อดที่จะหยุดกังวลเกี่ยวกับมันมิได้เช่นกัน
ไม่มีใครไม่รู้จักดินแดนบรรพชนของราชวงศ์ มันคงอยู่มายาวนาน และมีตำนานเล่าขานมากมาย มีอันตรายนับไม่ถ้วนภายในนั้น
"นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องตัดสินใจ มีผู้คนมากมายใช้สิทธินี้และไม่ได้กลับออกมา ถึงแม้ว่าการสำรวจภูผาอัคคี สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของหนึ่งในสี่จตุรเทพประจำทิศใต้ อย่างหงส์เพลิงอัคคี! จะยั่วยวนใจ แต่จงรู้ไว้ว่า 'ดงพญาไฟ' ไม่เคยปรานีใครที่ย่างกายผ่านมัน"
หากต้องการไปให้ถึงภูผาอัคคี ไม่มีทางลัดอื่นใด นอกจากต้องผ่านดงพญาไฟ นี่เป็นเรื่องทั่วไปที่ผู้คนรู้ดี ไม่มีใครไม่เคยได้ยินดงอาถรรพ์นี้หากได้ฟังเรื่องมิติบรรพชนของราชวงศ์กรีนแลนด์
------------------------------------------------------------------------
หงส์เพลิงอัคคี
Cr.จาก https://www.facebook.com/pages/category/Musician-Band/AVE-FENIX-433101190113829/
ขอบคุณทุกการติดตามและกำลังใจที่ยังคงให้กันเสมอมานะครับ รัก ๆ ^_^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ยุ่งยากซะแล้วสิ
#แต่ก็อยากให้มาเรื่อยๆอ่า~
#สู้ๆนะไรท์
•̀ᴗ-