ตอนที่ 24 : คนสวน กับต่างโลก ภาค พิภพพฤกษา ตอนที่ 23 ประชุมทีม
คนสวน กับต่างโลก ภาค พิภพพฤกษา ตอนที่ 23 ประชุมทีม
ลานทุ่งโล่งบริเวณชายป่าบรรพกาล ถูกจับเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลล่าสัตว์อสูร ทุ่งโล่งแห่งนี้ สามารถรองรับคนได้ถึง หนึ่งแสนคน และบัดนี้มันก็เต็มไปด้วยเหล่าร้านค้าและผู้คนมากมาย ที่ต่างมาจับจองพื้นที่ค้าขาย และจับจ่ายซื้อของในช่วงเทศกาล
พูดได้ว่างานนี้ถือเป็นงานใหญ่ ที่เหล่าผู้คนให้ความสนใจ ที่จะเดินทางมาเข้าร่วมมากที่สุด มันจึงทำให้บรรยากาศงานคึกคัก และมีสีสัน เปลี่ยนทุ่งโล่งที่เคยเงียบเหงาให้กลายเป็นมีชีวิตชีวา เพิ่มมากขึ้น
หากมองจากทิศทางของป่าบรรพกาล จะเห็นหอคอยสูงตระหง่าน อยู่ด้านหลังกำแพงวัง นั่นคือ พระราชวังกรีนแลนด์ สถานที่ของเหล่าราชวงศ์ ตระกูลเอลโดรอสของวาเลนนั้น ตั้งอยู่อีกฟากของพระราชวัง นั่นหมายถึงเขาต้องใช้เวลา ในการเดินทางเกือบสองเท่า จากตระกูลมาถึงเขตพระราชวัง แล้วเดินทางตัดผ่านพื้นที่เขตนอกของพระราชวังมาถึงทุ่งโล่งของป่าบรรพกาลแห่งนี้ อีกทีหนึ่ง
การเดินทางลากจูงต่าง ๆ นั้นอนุญาตให้เพียงขบวนที่เดินทางภาคพื้นดินเท่านั้น เหนือน่านฟ้าขึ้นไปกลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม สำหรับการเดินทางข้ามผ่านพระราชวังแห่งนี้ ยกเว้น ขบวนของ ปักษาครามซึ่งเป็นขบวนสำหรับเหล่าราชวงศ์ เท่านั้น ที่สามารถบินผ่านไปได้
วาเลนและคารีส เดินทางมาถึงได้ซักพักหนึ่งแล้ว วันนี้จะเป็นวันที่องค์ชายสามนัดรวมพลและแบ่งมอบหมายงานในหน้าที่ หนึ่งทีม ถูกกำหนดให้มีสมาชิกได้ไม่เกิน สิบคน และแต่ละทีมต้องมีป้ายยืนยันแสดงตัวตนเพื่อจะเข้าร่วม แต่ละทีมไม่สามารถร่วมทำภารกิจหรือจับมือกับทีมอื่นได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจัดให้ภายในทีมนั้น มีหน้าที่ ๆ หลากหลาย แบ่งไปตามความถนัด อย่างชัดเจน
"ข้างหน้านั่นคือ กระโจมของเหล่าราชวงศ์" คารีสกระซิบบอกวาเลนเบา ๆ เขาก้าวผ่านไปด้านหน้า ก่อนจะชูป้ายสีแดงสัญลักษณ์วิหคเพลิงขององค์ชายสามให้ผู้คุมด้านหน้าได้ดู ผู้คุมพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหลีกทางให้
การก้าวผ่านเข้าไปในเขตเหล่านี้นั้นย่อมกลายเป็นที่จับตา เพราะผู้เยาว์ส่วนใหญ่ที่จะเข้ามาได้ย่อมต้องกลายเป็นหนึ่งใน กองกำลังใด กองกำลังหนึ่ง ของเหล่าองค์ชายและองค์หญิง ของราชวงศ์
ภายในมีกระโจมที่ตั้งเรียงรายอยู่ห้ากระโจม นั่นบ่งบอกถึงจำนวนทายาทของราชวงศ์กรีนแลนด์ วาเลนรับรู้ว่าสามในห้านั้นคือเหล่าองค์ชาย สองคนสุดท้ายเขาไม่เคยได้ยิน และไม่เคยรับรู้ข่าวคราวใด ๆ มาก่อน
วาเลนสังเกตเห็นว่าคารีสก็ทำท่าแปลกใจ เขาขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะหันไปสบสายตากับวาเลน สื่อเป็นทำนองว่า เขาก็ไม่เคยรับรู้เรื่องนี้เช่นกัน
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินผ่านกระโจมอีกสองหลังขององค์ชายหนึ่ง และ องค์ชายสองไปนั้น ปรากฎว่าผู้เยาว์ส่วนใหญ่ล้วนให้ความสนใจ และหนึ่งในนั้นตาไวพอที่จะสามารถมองเห็นได้ถึงป้ายผ่านทาง สีแดง สัญลักษณ์ขององค์ชายสาม พวกเขาชี้ชวนและสะกิดให้ผู้เยาว์คนอื่น ๆ ได้ดู
นักล่าผู้หนึ่งมองมาด้วยท่าทางเหยียดหยาม พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พึงพอใจที่ต้องเสียเวลาให้กับทีมที่ไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ การแข่งขันที่รู้ผลแล้วแบบนี้ไม่มีอะไรที่น่าท้าทายสำหรับพวกเขา
ผู้เยาว์ส่วนใหญ่ที่สังกัดในทีมขององค์ชายหนึ่งและองค์ชายสองล้วนมีประสบการณ์ในเทศกาลล่าไม่ต่ำกว่าสองครั้ง และในทุก ๆ ครั้ง พวกเขาก็ไม่เคยคาดหวัง ว่าทีมขององค์ชายสามจะสร้างเรื่องน่าประหลาดใจใด ๆ ให้กับพวกเขา
แต่ปีนี้มิคาดว่า ทีมที่สามจะทำให้พวกเขาผิดหวังมากมายขนาดนี้ ผู้เยาว์เหล่านี้คืออะไร ? พวกเขาราวกับผู้เยาว์ที่เพิ่งปลุกพลังเวทขึ้นมาได้ เหตุใดจึงมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน พวกเขาควรเอาเวลาไปฝึก มากกว่าจะมาฝันเฟื่องที่นี่มิใช่หรือ?
"พวกเราดูสิ นั่นคือทีมตัวเก็งในปีนี้ล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า "เขาอดตระโกนเสียงดังอย่างหยามเหยียดไล่ตามหลังคารีสและวาเลนออกมาไม่ได้
"ตัวเก็ง หรือ ตัวเกร็ง กันแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าว่าพวกเขาน่าจะเป็นตัวเกร็ง เสียมากกว่าเมื่อเจอสัตว์อสูรในป่าบรรพกาล" เสียงเย้ยหยันเป็นลูกคู่สร้างความเดือดดาล ให้กับคารีสเป็นอย่างมาก วาเลนเอื้อมมือมาจับต้นแขน ก่อนจะใช้สายตาที่จริงจังจ้องมอง
"อย่าให้ใครยั่วโมโห จนสติแตกได้ ผู้ชนะคนสุดท้าย ย่อมเป็นคนที่ใช้สติปัญญามากกว่าอารมณ์เสมอ เจ้าจะต้องมีสติแม้ในยามที่สถานการณ์วิกฤตก็ตาม" วาเลนพูดเบา ๆ ให้คารีสได้คิด ก่อนจะเดินนำต่อไป คารีสเก็บอาการไม่พอใจ ก่อนจะหันมองหน้าผู้คนเหล่านั้น และจดจำเอาไว้ เด็กน้อยจดจำมันจนขึ้นใจ ก่อนจะเดินตามวาเลนต่อไปอย่างจำยอม
เมื่อเห็นท่าทีเหล่านั้น ผู้เยาว์ที่ส่งเสียงเย้ยหยันจึงส่งเสียงหัวเราะดัง ๆ อันน่ารังเกลียด อย่างสะใจ
มีเด็กชายสองคน ที่ยืนรออยู่ด้านหน้ากระโจมถัดออกไปอีกหลังสังเกตเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น พวกเขาคือผู้เยาว์ที่สังกัดทีมขององค์ชายสาม เด็กทั้งสองนี้บังเกิดความไม่พอใจ และยิ่งเห็นว่าผู้ถูกกระทำไม่ตอบโต้ใด ๆ ยิ่งเกิดความไม่พอใจมากขึ้นไปอีกเท่าตัว
"ขี้ขลาด"หนึ่งในนั้นสาดวาจาร้ายกาจใส่วาเลนทันที ขณะที่เขากำลังจะเดินก้าวเข้าไปในเขตกระโจม พร้อมกับถุยน้ำลายลงพื้นด้านหน้าวาเลน การกระทำนี้ถึงกับทำให้คารีสสติแตกทันที
วาบบบ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ตูมมมมมม
สายฟ้าผ่าฟาดลงมาอย่างรวดเร็วตรงตำแหน่งศรีษะของทั้งสองทันทีโดยไม่มีคำเตือน แต่มันก็ถูกเบี่ยงวิถีสลายหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ด้วยธาตุที่หักล้างพวกมัน สายลมที่หมุนวนบนฝ่ามือของวาเลนนั้นเป็นหลักฐานอย่างดี ว่าใครที่เป็นผู้สลายมันออกไป
"คารีส"เสียงที่ถูกกดต่ำ ถูกเอ่ยออกมาเพียงสั้น ๆ เพื่อดึงสติเพื่อนตัวน้อย เมื่อเห็นว่าคารีสสลายสายฟ้าให้หายไปหมดแล้ว วาเลนจึงปรายสายตามองทั้งสองคนก่อนจะเอ่ยพูดเบา ๆ
"ถ้าพวกเขาตาย ทีมเราก็จะไม่ได้มีโอกาสไปเดินเล่นในนั้นนะ" วาเลนพูดยิ้ม ๆ แต่สายตาของเขากลับไม่ได้ยิ้มตาม มันคมกริบราวใบมีด ที่พร้อมจะกรีดแทงทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา
เด็กหนุ่มทั้งสองคนหลั่งเหงื่อเย็นเชียบเต็มแผ่นหลัง เข่าของทั้งคู่แทบจะพร้อมใจกันทรุดลงตรงนั้น หลุมบ่อที่เต็มไปด้วยควันข้าง ๆ คือผลของสายฟ้าที่ฟาดลงมาเต็มกำลัง แม้แต่ช้างก็คาดว่าจะตายภายใต้การฟาดโจมตีเพียงครั้งเดียว
แต่ที่ทำให้ทั้งสองขนลุกมากกว่านั้นคือ คมมีดสายลม ที่ทิ้งล่องรอยไว้ข้าง ๆ กันนั้น ตัดพื้นดินกินลึกเข้าไปในเนื้อจนน่ากลัว ไม่เท่านั้นมันยังปล่อยพลังอำนาจของมันลากยาวไปอีกเกือบเมตร หากนี่เป็นร่างกายมนุษย์มิคาดว่ามันคงโดนหั่นออกเป็นสองท่อนได้ในคราวเดียว ผู้ใช้เวทธาตุพิเศษสายฟ้า และ ผู้ใช้เวทธาตุลม!
ร่างกายของทั้งสองอดสั่นเทาไม่ได้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ราวกับว่าอยู่ ๆ ทั้งคู่ก็ได้ไปเยือนประตูของยมโลกมา
วาเลนและคารีสเดินผ่านทั้งคู่ไปอย่างไม่ใส่ใจ เขาตรงเข้าไปในประตูของกระโจมด้านหน้าทันที ข้างในเต็มไปด้วยเหล่าผู้เยาว์ที่มาถึงก่อนหน้า
"ท่านคารีส เชิญทางด้านนี้ "ชายหนุ่มคนสนิทขององค์ชายสามจัดแจง ที่นั่งให้กับคารีสในทันที เมื่อเห็นเด็กน้อยที่คุ้นตาเดินเข้ามา เขามองข้ามวาเลนอย่างไม่ใยดี
"จะเป็นไรไหม ท่านกาเร็ท ถ้าข้าจะจัดหาที่นั่งให้นายน้อยก่อน"คารีสไม่เดินไปนั่งตามคำเชิญแต่กลับ เลือกที่จะมองหาตำแหน่งที่นั่งดี ๆ ให้วาเลน เขาพยายามแสดงออกให้รู้ว่าผู้ที่มากับเขานั้น ไม่อาจมองข้ามได้
"ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าได้จัดที่ไว้ให้แล้ว เชิญด้านนี้ เถิด คุณชาย" กาเร็ทจัดเก้าอี้ของวาเลนเอาไว้ในแถวรอบนอกแสดงให้เห็นถึงลำดับความไม่สำคัญอย่างชัดเจน ผู้มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นและตัดสินใจ กับแผนการต่าง ๆ ในทีม คือผู้ที่นั่งอยู่วงใน เท่านั้น
คารีสมีท่าทีลำบากใจในทันที เขาเริ่มมีอารมณ์คุกรุ่นอีกรอบ แต่เมื่อสบสายตากับวาเลนแล้ว เขาจำต้องเข้าไปนั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
คารีสส่ายหน้า เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าการข่าวของพวกเขานั้นล้าหลังอยู่เสมอ คุณชายเจ็ดที่พวกเขารับฟังมา คือ คุณชายเจ้าสำราญ และเป็นตัวไร้ประโยชน์ อย่างหาผู้ใดเปรียบมิได้ เขาจึงปฎิบัติอย่างหยาบคายและไม่ให้เกียรติเช่นนี้
กาเร็ทผู้จัดแจงทุกอย่างเป็นดังที่คารีสคิดไว้ หากมิได้เด็กน้อยคารีส ที่มีศักยภาพที่เด่นล้ำ เป็นไปไม่ได้ ที่เขาจะรับเอาคนประเภทนี้เข้ามา กาเร็ทคิดอ่านในใจ แต่หากเสียมารยาทต่อเด็กน้อยผู้ใช้ธาตุสายฟ้ามากไป เกรงว่าแผนที่วางไว้ คงไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง
วาเลนไม่ใส่ใจ เขาคาดเอาไว้อยู่แล้วกับสถานการณ์เช่นนี้ ดีเสียอีกที่เขาจะได้มีเวลามากขึ้นและไม่ต้องมามัวกังวล และมีแรงกดดันใด ๆ กับหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะได้รับ วาเลนจึงแสดงออกด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับเป็นคุณชายที่มีนิสัยง่าย ๆ และไม่ถือหรือใส่ใจใด ๆ กับการกระทำนี้
ต่างกับผู้ที่เพิ่งตามเข้ามาใหม่ ใบหน้าของทั้งคู่ไร้สีเลือด ท่าทางมั่นใจก่อนหน้านี้เลือนหายไปจนหมดสิ้น เป็นธรรมดาของผู้ที่เพิ่งจะผ่านประตูแห่งความตายมา ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ได้รับมอบหมาย ให้ออกไปต้อนรับผู้เดินทางมาใหม่ในทีม แต่ใครจะคาดคิดว่าจะพบกับผู้เยาว์ ที่มีความสามารถโดดเด่น เช่นนี้ จนทั้งคู่เกือบเอาชีวิตไปทิ้ง ยิ่งเข้ามาแล้วพบว่าที่นั่งของคารีสนั้นนั่งติดกับที่นั่งขององค์ชายสาม ยิ่งทำให้ทั้งสองใบหน้าหม่นหมองลงไปอีกเท่าตัว
ผู้ที่ทั้งสองเกรงกลัวกลับไม่ใช่เด็กน้อยผู้ใช้สายฟ้า กลับเป็นเด็กน้อยที่ดูธรรมดา ๆ ให้ความรู้สึกที่ไม่น่าอันตราย แต่ทั้งคู่กลับรับรู้ได้ถึงประกายแห่งความน่ากลัว ที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าแย้มยิ้ม อารมณ์ดี
ทั้งคู่ไม่เข้าใจว่าทำไม เด็กน้อยคนนี้ถึงได้ถูกละเลยและถูกเมินเฉยราวกับไม่ถูกใส่ใจ หรือ ท่านกาเร็ทไม่ได้รับรู้ถึงศักยภาพนี้ของคนตรงหน้า ครั้นจะพูดออกมา ก็กลัวจะไปกระตุ้นโทสะอย่างไม่ตั้งใจ
"พวกเจ้าควรหาที่นั่งได้แล้ว เราจะได้เริ่มกันเสียที" กาเร็ทพูดขึ้นเมื่อเห็นท่าทีอยู่ไม่สุขของอีกสองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ทั้งสองตัดสินใจ นั่งลงเงียบ ๆ และไม่พูดสิ่งใด
เมื่อผู้ร่วมทีมมาพร้อมหน้า กาเร็ทจึงไปเชิญองค์ชายสามมาเพื่อเริ่มการประชุม
ชายหนุ่มในชุดคลุมลายปักษาสีแดงเดินเข้ามาด้วยท่าทางองอาจ ใบหน้านั้นปราศจากความถือดี อย่างที่บรรดาองค์ชายส่วนใหญ่พึงมี แต่ในขณะนี้มันกลับถูกแทนที่ด้วยความไม่มั่นใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่วาเลนได้พบกับองค์ชายสาม ท่าทางของเขาดูแตกต่างจากองค์ชายหนึ่งอย่างลิบลับ
องค์ชายผู้นั้นให้ความรู้สึกเจ้าเล่ห์ เพทุบาย ส่วนองค์ชายสามผู้นี้กลับดูมีลักษณะที่ตรงไปตรงมา ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมกลโกงใด ๆ วาเลนพอจะมองออกแล้วว่าเหตุใด องค์ชายผู้นี้ถึงได้มีพัฒนาการที่ช้า กว่าผู้เป็นพี่ชาย นั่นเพราะเขาไม่มีความมั่นใจ และตัดสินใจได้ไม่เฉียบขาด!
"การแข่งขันจะจัดขึ้นทั้งหมด ห้าวัน ในป่าบรรพกาล อย่างที่รู้กันว่า ในป่านี้ แม้แต่นักเวทย์ ที่ทรงพลังก็ยังถูกฆ่าตายได้โดยง่าย สัตว์อสูรส่วนใหญ่ล้วนร้ายกาจและไม่อาจประมาทได้ ข้าจึงอยากให้ทุกคน ระมัดระวังเป็นอย่างมาก "องค์ชายสามพูดขึ้น อย่างกลุ้มใจ เห็นได้ชัดว่าผู้เยาว์ส่วนใหญ่ภายในทีมนั้นแทบไม่มีประสบการณ์ภายในป่าแห่งนี้ นี่นับเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก!
"การแข่งขันนี้ เน้นไปที่การล่าสัตว์อสูร การนับคะแนนนั้นสัตว์อสูรระดับต่ำ จะถูกนับเป็น สิบตัวต่อหนึ่งคะแนน เป้าหมายของเราจึงต้องการให้ล่าสัตว์อสูรเหล่านี้ สัตว์อสูรวิเศษหนึ่งตัวนั้นไม่นับว่าง่ายต่อการล่า แต่หากล่ามันได้ ถึงแม้จะเป็นสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำก็นับ เป็น สิบคะแนนต่อหนึ่งตัว ยังไม่ต้องพูดถึงสัตว์อสูรในระดับที่สูงกว่านี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงมัน เพราะอสูรเหล่านั้นแม้แต่จอมเวทย์ก็ยังยากที่จะต่อกรกับพวกมันได้ " ทุกคนในทีมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ นับว่าถูกแล้วที่จะเลือกเป้าหมายที่ไขว่คว้าได้ การตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไป อาจไม่ช่วยให้ได้สิ่งใด สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นอาจต้องนำชีวิตเข้าไปอยู่ท่ามกลางอันตราย ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ทัน
"หากโชคร้ายจริง ๆ แล้วพบพานกับพวกมัน ให้เร่งหนีให้สุดชีวิต ช่วงเวลานั้นจะไม่มีการเอาโทษใด ๆ ทั้งสิ้น ขอให้รักษาชีวิตให้ปลอดภัยเป็นพอ" องค์ชายสามพูดทิ้งท้าย วาเลนเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใด คารีสถึงได้มีท่าทีเทใจให้กับองค์ชายผู้นี้ เขาคือผู้ที่มีจิตใจห่วงใยผู้อื่น มากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง นี่นับเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้ปกครองอาณาจักรพึงมี
"นี่คือป้ายของกลุ่มนักล่าที่สาม ซึ่งก็คือกลุ่มของเรา ด้านหน้าจะสลักตราประทับรูปวิหคเพลิง ด้านหลังจะสลักหน้าที่ตำแหน่งรับผิดชอบของทุกคนเอาไว้ กฎการแข่งระบุไว้ว่า พวกท่านต้องมีมันทุกคน หากในระหว่างการแข่ง พวกท่านไม่สามารถรักษาป้ายเอาไว้ได้นั่นหมายถึงคน ๆ นั้นต้องออกจากการแข่งขันในทันที จะมีผู้คุมกฎที่ตามดูในทุก ๆ ที่ของป่าบรรพกาลมาพาตัวออกไป "กาเร็ทพูดหัวข้อที่น่าหนักใจเพิ่มเติมให้ทุกคนในทีมได้รับฟัง
"อะไรนะ! อย่านี้ไม่เท่ากับว่า หากกลุ่มอื่นเลือกโจมตีเพื่อชิงป้าย นี่มิเท่ากับว่าเป้าหมายชัยชนะจะมิเปลี่ยนมาเป็นผู้เข้าแข่งขันแทนอย่างงั้นหรอกรึ" ชายหนุ่มคนหนึ่งในทีม ถามขึ้นอย่างตระหนกตกใจ กับสิ่งที่ได้ยิน
"นี่คือสิ่งที่น่ากังวลใจที่สุด ข้าจึงจำเป็นต้องรู้ระดับพลังของพวกท่านทุกคน เพื่อวางตำแหน่งให้เหมาะสมภายในทีม" กาเร็ทพูดต่ออย่างหนักใจ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าการแข่งครั้งนี้ทีมองค์ชายสามเสียเปรียบมากมายขนาดไหน ผู้เยาว์ส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์ แถมระดับพลังเวทก็ยังไม่อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับ ทีมอื่น ๆ ได้
"ข้าอยู่ในระดับ นักเวทขั้นต่ำ" หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่อีกหลาย ๆ เสียงจะตามมา
"ข้าด้วย"
"ข้าก็เหมือนกัน"
"ส่วนข้าและน้อง อยู่ในระดับผู้ใช้เวทขั้นสูง" สองคนที่ออกไปต้อนรับหน้ากระโจมพูดขึ้น ปรากฎว่าคนเหล่านี้ล้วนมีระดับนักเวท กันแล้ว
"ท่านกราดิส ข้าคงต้องเสียมารยาทถามถึงระดับพลังของท่านแล้ว"กาเร็ทสอบถามอย่างเกรงใจ ถึงเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งใกล้ ๆ กับองค์ชายสาม
กราดิส มอเดอร์ลีน อัจฉริยะหนุ่มจากตระกูลผู้ฝึกสัตว์ เขาคือหนึ่งในผู้เยาว์ที่โดดเด่น ของตระกูลมอเดอร์ลีน ตระกูลนี้แตกต่างจากโอเดลรอสตรงที่ เน้นไปที่การฝึกสัตว์อสูร มากกว่าที่จะล่าสังหาร แต่โอเดลรอสนั้นไม่ใช่ ถึงแม้จะจับเป็นได้มากมาย แต่พวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญด้านการฝึกพวกมัน
ตระกูลของวาเลนนั้น เพียงกักสัตว์อสูรเหล่านั้นไว้เพื่อจำหน่ายให้ผู้ที่สนใจเพียงเท่านั้นเอง นี่คือความแตกต่างของทั้งสองตระกูล
ในความเป็นจริงแล้วนั้น คนที่องค์ชายสามหมายตามากที่สุดก็คือ คุณชายอลองเฟย์ โอเดลรอส แต่เมื่อเป้าหมายที่เล็งไว้หลุดลอยไปเข้าร่วมกับองค์ชายหนึ่ง กาเร็ทจึงจำเป็นต้องดึงตัวกราดิส มาเข้าร่วมแทนในทันที เพราะเขาไม่มีตัวเลือกอื่นดี ๆ มากมายนัก
"จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ความลับอะไร ท่านกาเร็ท ตัวข้านั้น อยู่ในระดับนักเวทขั้นกลาง อีกไม่เท่าไหร่มันจะเลื่อนไปในระดับสูง" กราดิสตอบสั้น ๆ แต่มันกลับกลบความภาคภูมิใจของผู้เยาว์ทั้งหลายจนหายไปอย่างไม่มีชิ้นดี
แววตายินดีปรากฎขึ้นบนใบหน้าขององค์ชายสาม อย่างน้อย ๆ ทีมนี้ก็ยังพอมีนักเวทขั้นกลาง ให้เขาได้ภาคภูมิใจ
"ท่านคารีส" กาเร็ทหันมาถามต่อทันที
"ข้าอยู่ในระดับ นักเวทขั้นกลางเช่นกัน"คารีสตอบสั้น ๆยิ่งทำให้บรรยากาศในขณะนั้น น่ายินดีมากขึ้นไปอีกเท่าตัว
ตอนนี้ ทั้งสิบคน ที่คัดมา มี ผู้ใช้เวทระดับสูง สองคน นักเวทระดับต่ำ สามคน และมีนักเวทระดับกลาง สามคน รวมทั้งกาเร็ท สุดท้ายแล้ว มีนักเวทระดับสูงคือ องค์ชายสาม อีกหนึ่ง นี่ไม่ถือว่าน่าเกลียดจนเกินไป
ในขณะที่ทุกคนกำลังยินดีอย่างออกนอกหน้าอยู่นั้น ดูเหมือนว่ายังมีผู้ร่วมทีมอีกหนึ่งคนที่พยายามจะเข้ามามีส่วนร่วม ด้วย
"ส่วนข้าคุณชายเจ็ดจากตระกูลโอเดลรอส ข้าอยากบอกพวกท่านว่า ข้าเพิ่งปลุกพลังได้เมื่อไม่นานมานี้ นี่ข้าควรนับว่าอยู่ในระดับใด?" ทุกคนในทีมแทบเป็นลมสลบคาโต๊ะ นี่เขาไปอยู่หลังเขามาหรือยังไง นี่มันเรื่องง่าย ๆ ที่ควรรู้ไม่ใช่หรือ? คุณชายผู้นี้ไม่รู้ได้อย่างไรกัน
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น คือ องค์ชายสาม! ท่านเอาผู้ที่เพิ่งปลุกพลังเวทได้ มาทำหน้าที่ใดในทีมกัน ?!!
------------------------------------------
ระดับของพลังเวทย์ จะสัมพันธ์กับจุดกำเนิดพลังภายในกาย นะครับ
ผู้ใช้เวทย์ จุดกำเนิดพลังจะถูกสร้างเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่
นักเวทย์ จุดกำเนิดพลังขยายจากแอ่งน้ำขนาดใหญ่กลายเป็นทะเลสาบแห่งพลัง
จอมเวทย์ จุดกำเนิดพลังขยายจากทะเลสาบแห่งพลังกลายเป็น ทะเลพลังเวทย์
มหาจอมเวทย์ ทะเลพลังเวทย์ ถูกสร้างเป็นโลกแห่งมหาสมุทรจุดกำเนิดพลัง
แต่ละระดับจะแบ่งย่อยออกเป็นอีก สามขั้น คือ ต่ำ กลาง และสูง
ผู้ที่ปลุกพลังโดยการแปลงสภาพเลือดจะไม่สามารถวัดระดับพลังตามเกณฑ์ธรรมดาได้ เพราะเป็นการได้รับพลังผ่านการสืบทอดสายเลือด (แปลงสภาพเลือดคือการนำเลือดของคนอื่นมาเปลี่ยนให้เป็นของตนเองและปลุกพลัง) จุดกำเนิดแห่งพลังจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับศักยภาพตามสายเลือดที่ได้รับมา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มาต่อเร็วนะครับ มาต่อเร็วๆนะครับ ไม่มาต่อไฟไหม้บ้านนะครับ
Sending you the greetings of the season with all my love and cheers. May the light of Christmas give you peace and happiness.
ขอส่งคำอวยพรของเทศกาลแด่คุณ ด้วยความรักและความปรารถนาดีทั้งหมดของฉัน ขอให้แสงไฟในเทศกาลคริสต์มาส มอบความสุขสันต์และความสงบสุขให้แด่คุณ
สนุกมากครับ รอครับผม
ต่ออีกหลายๆตอนก้อได้นะคับ
ไม่ต้องรอให้เปิดเหรียญฟรีออกหมดค่อยลงตอนใหม่
จัดมาไวไว!!!