ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คำสารภาพของฆาตกร ภาค3 (The Message)

    ลำดับตอนที่ #19 : ตอนที่ 13 ไกลแค่ไหน (คือใกล้)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 272
      3
      30 ต.ค. 56

     ตอนที่ 13 ไกลแค่ไหน (คือใกล้)
      
    เพลง
    Only love อาจบาดใจใครบางคน แต่ร่างของคนสองคนที่นั่งเคียงข้างกันในเงาสลัวบาดตาจนผมทนมองไม่ไหว ระยะแค่เอื้อมมือคว้าแต่กลับห่างไกลยิ่งกว่าเทือกเขาและทะเลขวางกั้น เนื้อหาเพลงๆ หนึ่งผุดขึ้นในใจของผม ไกลแค่ไหนคือใกล้ ใช่ ผมต้องไปไกลแค่ไหนถึงจะใกล้หัวใจของพี่สัม มันคงจะเป็นความผิดพลาดที่ผมเลือกเดินในเส้นทางที่ยิ่งก้าวเท่าไหร่ก็ทำให้ยิ่งไกลห่างหัวใจ

                สิบกว่าปีที่แล้ว ผมเคยนั่งตรงนั้น นั่งอยู่ข้างๆ พี่สัม โดยที่เขาเป็นคนเลือกที่จะนั่งข้างผมเอง และหยิบยื่นมิตรภาพให้กับผม เพียงแต่ถ้ามันจะไวกว่านี้แค่เพียงหนึ่งวัน ก่อนที่ความฝันและความหวังของผมจะแหลกสลาย ก่อนที่ผมจะรู้ว่าโลกมันไม่ได้งดงามอย่างที่ดวงตาของเด็กชายคนหนึ่งเคยมองก็คงจะดี ก่อนวันนั้นโลกของผมอาจจะไม่เหมือนใครแต่ผมก็มีความฝันในวัยที่เปี่ยมด้วยความเยาวเป็นเพื่อนสนิท ผมยังเชื่อว่าความสุขมีอยู่จริง ถึงคนรอบข้างจะพร่ำพูดยังไงก็ตาม แม่ผมเป็นอีตัวผมยอมรับ ผมรู้จักเรื่องเซ็กส์ดียิ่งกว่าเด็กคนไหนจะรู้จัก แต่สำหรับผมมันเป็นอาชีพที่แม่เลือกทำ และนั้นมันก่อนที่แม่จะบังคับให้ผมทำ

                วันนั้นท่ามกลางอาทิตย์ที่กำลังอ่อนแสง ผมมองสนามฟุตบอลที่เริ่มร้างผู้คนในขณะที่สมองพยายามหาเหตุผลสำหรับการนั่งอยู่ตามลำพังไม่กลับไปยังบ้านของตนเอง โรงเรียนเป็นสถานที่ที่หนึ่งที่ผมไม่เคยชอบอยู่ ตามประสาเด็กที่เกลียดการเรียน แต่ตอนนี้มันเป็นสถานที่หลบภัยแห่งเดียวที่ผมมี เสื้อแขนยาวให้ความรู้สึกร้อนระอุแต่ผมกลัวสายตาคนจะมองเห็นร่องรอยบนตัวเกินกว่าจะถอดทิ้ง และด้วยนิสัยเงียบขรึมไม่เป็นมิตรมันก็ทำให้ไม่มีเด็กคนไหนสนใจจะถามว่าทำไมผมถึงใส่เสื้อแจ๊กเก๊ตมาเรียนพิเศษในช่วงซัมเมอร์แบบนี้

                “รอคนมารับเหรอ”

    เสียงของเด็กหนุ่มที่เริ่มแตกพานดังขึ้นข้างตัว ผมกระถดตัวหนีด้วยความตกใจ และปฏิกิริยานั้นก็ไม่อาจเล็ดลอดดวงตาสีม่วงแกมดำได้ แต่เขาเลือกที่จะมองข้ามมันไปแล้วนั่งลงข้างๆ ชวนคุยต่อ

                “นี่มันก็เย็นมากแล้ว ไม่ลองโทรไปตามที่บ้านดูเหรอ เผื่อเขาลืม จำเบอร์ที่บ้านได้ไหม” แม้จะอายุไม่เต็มสิบสี่ดี พี่สัมก็แสดงไหวพริบและความละเอียดรอบคอบให้เห็น

                การส่ายหน้าคือคำตอบเดียวที่ผมให้ได้ พี่สัมคงเข้าใจว่าผมจำเบอร์บ้านไม่ได้ แต่ความจริงคือ ไม่ ผมไม่ได้รอใครมารับ ผมไม่อยากให้คนที่บ้านมารับ ผมไม่อยากให้เขาจำได้ว่ามีผม ไม่ ผมจำเบอร์บ้านได้แต่ไม่โทรเพราะผมอยากลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่บ้าน และ ไม่ ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่

                “ไปนั่งกับพี่ไหม หรือจะไปเล่นบาสกับไอ้ชาญ”

    พี่สัมพยักเพยิคหน้าไปทางม้านั่งตัวประจำของเขา ก่อนจะบุ้ยหน้าไปทางสนามบาสที่มีกลุ่มเด็กชายเกือบสิบคนวิ่งแย่งลูกกันอยู่ นั้นคือครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อพี่ชาญ แต่ในสายตาของผมขณะนั้นเขาเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ ร่างกายผอมสูงที่ล่ำสันกว่าคนที่อยู่ใกล้ตัวผม ปลุกความกลัวของผมมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่อเขากอดล๊อคคอเด็กชายตัวเล็กกว่าที่กระแทกแย่งบอลของเขา มันคงจะเป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงความสนุกสนานแบบเด็กๆ ถ้าสิ่งนั้นไม่ถูกแย่งจากมือผมไปแล้ว

                อีกครั้งที่ผมเลือกส่ายหน้าแทนที่จะตอบ พี่สัมทำหน้ายุ่ง เขาคงจะห่วงเด็กชายตัวเล็กผอมแกรนกว่าวัยที่นั่งอยู่ในเงามืดเพียงลำพัง แต่หลังจากคะยั่นคะยออีกหลายครั้งทว่าได้รับคำตอบเพียงความเงียบงันเขาก็ล่าถอยออกไปยังที่นั่งของตนเอง ปล่อยผมไว้กับความเงียบเหงา ซึ่งทำให้ผมตระหนักว่าอยากมีใครสักคนอยู่ข้างๆ มากเพียงใด สายตาของผมแอบชำเลืองมองไปยังคนที่เดินเข้ามาชั่วครู่เพียงเพื่อจากไป แล้วรีบก้มหน้าหลบเมื่อเขามองกลับมา มันกลับไปกลับมาแบบนั้นอีกหลายครั้ง จนผมเริ่มชินกับการแอบมองดูเขา

    เสียงนาฬิกาเรือนใหญ่จากหอกลางโรงเรียนบอกเวลาหกโมงเย็น ผมขยับมองหน้าปัดใหญ่กว่าเมตรที่ติดตั้งให้นักเรียนได้ดู แล้วจึงรู้สึกตัวว่านั่งอยู่ในท่าเดิมเกือบชั่วโมงแล้ว ตอนนี้แม้จะอยู่ในช่วงหน้าร้อนแสงสว่างก็เหลือน้อยเต็มที สมองของผมคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ และคนที่รออยู่ ป่านนี้เขาคงจะสงสัยว่าทำไมถึงไม่เห็นผม อีกไม่นานเขาต้องมาตามหาที่นี่แน่ เพราะผมไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้ว

    “ไปกินขนมกับพี่ไหม” เหมือนรู้ความคิดของผม พี่สัมกลับมายืนใกล้ๆ อีกครั้ง คราวนี้เขาสะพายกระเป๋าเป้เตรียมตัวพร้อมจะกลับบ้าน ดังนั้นคำชวนน่าจะมาจากความเป็นห่วงที่ยังเห็นผมอยู่คนเดียว

    “ฝากบอกลุงยามไว้ก็ได้ ว่าจะไปกินขนมข้างโรงเรียน ที่บ้านมาก็ให้ลุงยามบอกให้เขาไปรับที่โน้น ไปเหอะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

    สายตาแสดงความสงสารยากเกินกว่าจะมองข้าม ผมเบือนหนีด้วยความอับอาย ผมเคยขอข้าวกินด้วยความหิวมากเกินกว่าจะนับได้ และไม่เคยชื่นชอบความรู้สึกที่เกิดขึ้นเลยสักครั้ง ทว่าการหยิบยื่นให้ด้วยน้ำใจจากเด็กหนุ่มที่แทบจะเรียกได้ว่าแปลกหน้าเรียกความอายจากผมได้มากกว่าครั้งไหนๆ ผมขยับจะส่ายหน้าอีก ทำให้พี่สัมเอื้อมมือมาแตะบ่าของผม

    “อย่ามายุ่งกับผม”

    เสียงตวาดทำให้มือที่ยื่นมาด้วยไมตรีหยุดชะงัก ด้วยประสบการณ์จำกัดของเด็กวัยรุ่น แม้พี่สัมจะฉลาดเกินวัยก็คงทำอะไรไม่ถูกเช่นกันเมื่อเห็นว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้เด็กตัวเล็กกว่าหวาดระแวง ผมเองก็ไม่อาจหยุดปฏิกิริยาที่แสดงออกได้ ตัวผมเกร็งรอความเจ็บปวดจากความคำถามที่กำลังจะเกิดขึ้น ผมอยากพูดอยากทำอะไรหลายๆ อย่างให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ผมทำไม่ได้ ผมอยากไปจากที่นี่แต่ขณะเดียวกันก็อยากอยู่ตรงนี้ อยู่ในที่ที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกทำร้ายจากคนที่แข็งแรงกว่า หลายนาทีผ่านไปหรืออาจะไม่ถึงนาทีพี่สัมก็ปลดเป้ลงจากบ่าแล้วล้วงหาของที่อยู่ข้างในก่อนจะยื่นหนังสือปกเคลือบสีสดมาตรงหน้าของผม

    “เอาการ์ตูนไปอ่านแล้วกัน” มันเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้รับ ดังนั้นมือของผมจึงยังอยู่ที่เดิม

    ฝีเท้าหลายคู่ดังใกล้เข้ามา คนตัวโตสุดที่นำหน้าเด็กชายคนอื่นๆ ก็คือพี่ชาญ เสียงตะโกนเรียกชื่อสัมดังลั่น เขาหันไปตอบก่อนจะวางหนังสือในมือไว้ข้างๆ ผม

    “พี่อ่านจบแล้ว เอาไปเหอะ”

    ไม่รอการปฏิเสธอีกครั้ง ร่างสูงผอมเก้งก้างก็เดินแกมวิ่งไปรวมตัวกับกลุ่มเด็กวัยเดียวกัน เมื่อถึงระยะเอื้อมมือคว้าแขนยาวๆ ของพี่ชาญก็โอบบ่าเพื่อนด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย ทั้งคู่หยอกล้อกันด้วยคำพูดที่ผมจับใจความไม่ได้ ผมเจ็บแปลบที่ได้เห็นมันแต่ไม่อาจถอนสายตาไปไหนแม้ว่าภาพนั้นจะเดินห่างไปไกลจนลับเหลี่ยมกำแพงโรงเรียน ผมขยับจะชะโงกมองพี่สัมต่อมือจึงขยับไปข้างๆ จนสัมผัสกับหนังสือการ์ตูนฝั่งตะวันตกที่ยังวางอยู่ใกล้ๆ ผมหยิบขึ้นมาดูหน้าปก เหล่าฮีโร่ที่สาบานว่าจะปกป้องโลกเหมือนจะโจนทะยานออกมา ภาพสีสดพร่าเลือนไปเมื่อน้ำตาหยดแรกหลั่งไหลเป็นสาย เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมร้องไห้เงียบๆ กับสิ่งที่สูญเสียไป

    “มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย”

    เพลงที่ผมคิดถึงเมื่อครู่ก่อนทดแทนภาพจากอดีตที่ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา ผมมองพี่สัมที่เปลี่ยนไปจากตอนที่ยังเป็นเด็กชายไปมากมาย เขาสูงขึ้นร่างกายเข็มแข็งขึ้นแต่ดูเหมือนว่าจิตใจของเขาจะอ่อนแอลงจากวันเวลาและประสบการณ์ที่ผ่านไป ซึ่งมันน่าแปลกที่ผมยังคงหวนหาวันและเวลาเหล่านั้นอยู่ไม่เสื่อมคลาย

    ถ้า มันยังคงเป็นคำเดิมที่ผมพยายามกลบฝัง แต่มันก็ยังคงย้อนกลับมา ถ้าสิบกว่าปีก่อน ไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ถ้าผมไม่ทำตัวแบบนี้ หรือถ้าเดือนก่อนเหตุการณ์ไม่เป็นไปแบบนั้น ถ้า และถ้า ไม่มีประโยชน์ที่จะสงสัยในสิ่งที่ผ่านเลยไปแล้วและสิ่งที่เลือกทำลงไป แต่ผมก็ยังสงสัย ถ้าทุกสิ่งเปลี่ยนไปคนที่อยู่ใกล้พี่สัมตอนนี้จะเป็นผมได้ไหม ใจของผมไม่เคยเปลี่ยน แต่การกระทำของผมทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ผมต้องยอมรับผลของมัน เพราะไม่ว่าจะทำยังไง ระยะห่างของเราก็ไม่มีวันใกล้กว่าเดิม ผมบอกตัวเองแบบนั้นขณะที่เดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดูว่าสองคนที่ทำร้ายหัวใจของผมโดยไม่เจตนากำลังมีจุดประสงค์อะไร

    To be continue.
    พรุ่งนี้ขอตอบคอมเม๊นต์ก่อนจะลงบทใหม่นะคะ อาจจะลงในวันสองวันนี้
    ซึ่งบท14 ที่หลายคนรอคอยจะได้รู้กันสักทีว่าระหว่างสัมมากับอรัญจะมีความสัมพันแบบไหน
    ป.ล. คนเขียนก็อยากบอกเหมือนกัน555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×