ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คำสารภาพของฆาตกร ภาค2 (The Memory)

    ลำดับตอนที่ #3 : การพบเจอ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 689
      74
      25 เม.ย. 54

    ตอนที่ 2 การพบเจอ

              หนาวจังผ้าห่มอยู่ไหนเนี่ย อะไรกันทำไมผ้านวมมันกลายเป็นผ้าแพรไปได้ล่ะ ว่าแต่มันติดๆ อะไรอยู่นะ
    ธัญญ์ชยากระชากผ้าห่มผืนบางเต็มแรง แต่เหมือนกับมีอะไรดึงกลับไปอยู่เรื่อย เธอจึงฝืนลืมตาที่แสบร้อนขึ้นเขม่นมอง ก่อนจะเห็นว่ามีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งนอนทับผ้าห่มเอาไว้ มันเป็นร่างของชายหนุ่มที่นอนคว่ำหน้าโดยปราศจากเสื้อผ้าติดกาย ด้วยความตกใจหญิงสาวกระเถิบร่างถอยหลังหนีโดยอัตโนมัติ แต่ดันไปชนเข้ากับอีกร่างที่นอนตะแคงหันหลังอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยกาย
    “ว้าย...ช่วยด้วย โจรขึ้นบ้านช้าน...”
    เสียงแปดหลอดทำให้สองร่างที่กำลังนอนหลับไหลสะดุ้งสุดตัว คนแรกที่ธัญญ์ชยาตื่นขึ้นมาเห็นรีบผุดลุกคว้าปืนที่วางหมิ่นๆ บนหัวเตียง ก่อนจะเผ่นไปยืนจังก้าโดยไม่สนใจสภาพเปลือยเปล่าของตัวเอง แต่คนที่สนดันเป็นคนที่แหกปากอยู่เมื่อกี้ หญิงสาวอึ้งเพราะสิ่งที่ชี้หน้าเธออยู่ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ปืน เพราะตำรวจทุกนายได้รับการฝึกไม่ให้จ่อปืนสุ่มสี่สุ่มห้าใส่ใคร แต่อุปกรณ์บางอย่างที่นอกเหนือการควบคุมมันดันตื่นขึ้นรับอรุณชี้หน้าอีกฝ่าย
    “ไอ้ชาญมึงจะหาผ้ามานุ่ง ก่อนคว้าปืนได้ไหมว่ะ”
    คำเตือนเอื่อยๆ ภายใต้เสียงแหบห้าว ทำเอาธัญญ์ชยาสะดุ้งสุดตัว เธอมัวแต่มองอวัยวะที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จนลืมไปว่ามีอีกคนอยู่ด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่ามีสายตาไม่เป็นมิตรหรี่มองเธอลอดผ่านแพขนตาดำหนา
    “แก...แก...พวกแกเป็นใคร มาอยู่ห้องฉันได้ยังไง”
    เสียงเล็กร้องถามด้วยความตกใจ เธอกลัวจนระงับสติแทบไม่อยู่ ได้แต่จ้องมองหน้าคมคายของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะมันน่าจะเป็นส่วนที่ปลอดภัยที่สุดที่เธอสามารถจะมองได้โดยไม่ใจสั่น เธอพยายามไม่หันกลับไปมองชีเปลือยอีกคนที่ลดปืนลง และยักแย่ยักยันใส่กางเกงยีนส์มือเดียว ส่วนอีกมือยังถือปืนโดยกดปากกระบอกลงพื้นอยู่เช่นเดิม
    “ห้องใคร ถ้าคุณตื่นเต็มตาแล้ว ผมว่าคุณหันไปมองรอบๆ ก่อนดีกว่ามั้ง ผมจำได้ว่าล่าสุดผมเป็นคนจ่ายค่าเช่าห้องนี้นะ”
    หนุ่มนิรนามในชุดบ๊อกเซอร์เตือนเสียงเรียบด้วยท่าทางสุขุม เหมือนกับว่าการมีหญิงสาวแปลกหน้ามานั่งโวยวายบนเตียงนอนของเขาเป็นเรื่องปกติอย่างหนึ่ง
    “ทีหน้าทีหลังมึงจะพาใครมา ก็บอกกูก่อนสิว่ะไอ้สัม”
    พอใส่กางเกงเสร็จผู้หมวดชาญเดชก็ถือโอกาสสั่งสอนเพื่อน นายแพทย์สัมมาส่ายหน้ากับความฉลาดน้อยของตำรวจหนุ่ม ก็ผู้หญิงตื่นมากรี๊ดกร๊าดเห็นๆ จะบอกว่าเขาเป็นคนพามาได้ยังไง
    ธัญญ์ชยาหันไปมองหน้าหมวดหนุ่มทันที ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก ชาญไม่ยอมวางปืน จึงเหลือมือข้างเดียวสำหรับสวมกางเกง เขาสามารถทำได้แค่รูดซิบไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บ แต่ไม่อาจกลัดกระดุมกางเกงยีนส์ด้วยมือข้างซ้ายได้ ผลก็คือหมวดหนุ่มต้องยอมโชว์ไรขนข้างใต้วีฟร๊อนให้เห็นรำไรรับกับขนหน้าอกเป็นแผง พร้อมทั้งซิกแพคเป็นลอนท้าสายตาผู้ชมบนเตียง
    เมื่อเห็นว่าหญิงสาวแปลกหน้าจ้องเป๋งที่จุดไหน เขาก็กระแอมเสียงดังเตือน ธัญญ์ชยารีบหันไปมองอีกด้านเพื่อพบอาหารตาพร้อมเสริฟกำลังลุกไปยืนอีกฝั่งของเตียงกล้ามเนื้อของหมอหนุ่มอาจไม่ขึ้นเป็นลูกๆ แต่ก็ล่ำสันไปทั้งตัว มันขยับไปตามจังหวะเคลื่อนไหว ผ้าฝ้ายบางๆ ซ่อนบั้นท้ายแน่นๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งเมื่อเจ้าของบ๊อกเซอร์สีรุ้งหันกลับมาถลึงตาใส่เธอ หญิงสาวก็พบว่ามีบางส่วนด้านหน้าที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่ขนบนอกกว้างไปจนถึงท่อนขากำยำ
    “กูไม่ได้พามาโว๊ยไอ้หมวด กูตื่นขึ้นมาตอนมึงกลับ ก็เห็นนอนอยู่บนเตียง กูเลยนึกว่ามึงพามาด้วยต่างหาก”
    หมอสัมปฎิเสธข้อกล่าวหาของตำรวจ พร้อมกับบอกเหตุผลที่เขาไม่ได้ไล่หญิงสาวไปตั้งแต่เมื่อคืน เขาตื่นเพราะเสียงเพื่อนกลับเข้าห้อง ด้วยความง่วงที่เขาเข้าทำงานหนักติดกันหลายวันจึงไม่ได้สนใจนัก คิดว่าหมวดหนุ่มเมามายพาสาวมานอนด้วย
    หมวดชาญยกมือเสยผมด้วยท่าทางหงุดหงิด ก่อนจะบอกเสียงแหบเหมือนคนที่ยังไม่ฟื้นจากอาการเมาค้างดี
    “กูมาถึงก็นอนอยู่แล้วต่างหากล่ะ มึงนอนยังไงให้คนเข้ามาถึงบนเตียงได้ว่ะ ประตูห้องก็ไม่รู้จักล๊อค”
    “ก็นอนแบบหมอน่ะสิ กูไม่ใช่ตำรวจนะโว๊ยที่ต้องคอยห่วงเรื่องรักษาความปลอดภัย มึงซื้อยศมาหรือไง ทำไมไม่คิดบ้างว่ากูไม่เคยพาใครมานอนที่นี่ แล้วถ้ากูล๊อคห้องมึงจะคลานเข้ามานอนได้หรอ”
    ธัญญ์ชยามองสองเพื่อนซี้โต้เถียงกัน ก่อนจะได้สติหันมามองตัวเองแล้วพบว่าอยู่ในสภาพเกือบเปลือยเช่นกัน
    “อ๊าย...พวกแกปล้ำฉัน ไอ้พวกสารเลว”
    ตำรวจหนุ่มที่ยังมีฤทธิ์น้ำเมาอัดแน่นอยู่เต็มหัวยกมือขึ้นอุดหู เมื่อเสียงแหลมเสียดแทงเข้าเส้นสมอง แต่หมอสัมที่ได้ชื่อว่ามากด้วยสติปัญญาส่ายหน้า ก่อนจะแก้ปัญหาด้วยการชะโงกไปใกล้แล้วตะคอกใส่หน้าคนเสียงดัง
    “เงียบเดี๋ยวนี้นะ”
    ได้ผลตามคาดเมื่อหญิงสาวชะงักเงียบด้วยความตกใจ หมอหนุ่มรีบพูดต่อก่อนที่อีกฝ่ายจะแหกปากไม่ดูตาม้าตาเรืออีก
    “จะร้องทำไม แค่ไม่ใส่เสื้อสรุปได้แล้วหรอว่าโดนปล้ำ เมื่อคืนผมเหนื่อยแทบชัก ไอ้ชาญก็เมาเหมือนหมาจะเอาแรงที่ไหนไปปล้ำคุณ บอกแล้วว่าให้มองดูดีๆ ก่อนโวยวาย”
    ปากอิ่มบิดเบ้ น้ำตาคลอหน่วยเธอกลั้นใจตั้งสติก่อนจะพบว่ากางเกงชั้นในยังอยู่กับตัว แต่ส่วนที่เหลือไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด
    “แล้วใครถอดเสื้อผ้าฉันล่ะ”
    หมอหนุ่มส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด ปกติสัมมาได้ชื่อว่าเป็นคนใจเย็นจัดๆ แต่ในทางกลับกันก็ขี้โมโหสุดๆ ถ้าต้องอดนอน และที่สำคัญเขาไม่เห็นว่าผู้หญิงหน้าตาระดับอายุสามสิบอัพแถมเยินไปทั้งตัวน่าพิศวาสตรงไหน เมื่อมองไปสบตาเพื่อนที่ทำหน้าเบ้ก็รู้ว่าหมวดหนุ่มก็คงคิดแบบเดียวกัน เพราะรสนิยมไม่ทิ้งกันเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงเขาก็ต้องสารภาพความจริงเรื่องที่มีผู้หญิงมาเปลือยอยู่บนเตียงอยู่ดี
    “ผมยอมรับก็ได้ว่าผมถอด ก็คุณมานอนเบียดผม แล้วเสื้อคุณมันเหม็นอ๊วก ผมเลยคลำๆ ถอดๆ เอามันทิ้งไป แต่นอกนั้นผมไม่ได้แตะนะ”
    คราวนี้ได้เวลาหมวดชาญยิ้มกร่อยๆ มั่ง เมื่อสายตาสองคู่หันมาจ้องหน้า เขาพยายามฉีกยิ้มซื่อบริสุทธิ์ก่อนจะแก้ตัวเสียงอ๋อย
    “เอ่อ...อันนั้นฝีมือผมเอง ก็ผมกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น มือมันไปโดนตะขอกับซิบก็เลยรูดติดมือ แต่หลังจากนั้นก็หมดแรงหลับไป ไม่ได้ทำอะไรต่อนะ”
    หมวดหนุ่มรีบแก้ตัวก่อนที่หญิงสาวจะตะโกนด่า แต่ฝ่ายเสียหายยังไม่วายตั้งข้อหาเพื่อจับผิดสองหนุ่มต่อ
    “แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าไม่โดนพวกคุณปล้ำ”
    “ผมจะทำอะไรได้ ในเมื่อคุณเล่นใส่ชุดเกราะหนาขนาดนั้น”
    ชาญเดชรีบบอกเพราะอย่างน้อยเขาก็จำได้ว่าตอนดึงกระโปรงออก เขาสัมผัสได้ถึงสเตย์ที่รัดแน่นตั้งแต่หน้าท้องยันหน้าขา และมันเป็นสิ่งที่ไร้รสนิยมมากในสายตาเพล์บอยอย่างเขา มากจนทำให้ชายหนุ่มหมดอารมณ์จะทำอะไรกับหญิงสาวแปลกหน้าที่นอนอยู่บนเตียง
    “แล้วเสื้อในฉันไปไหน”
    หญิงสาวยังเสียงดัง หันรีหันขวางหาบราเซียที่สาบสูญไป
    “อยู่นี่ จะเอาไหม”
    หมอสัมพูดพร้อมกับเอื้อมไปหยิบยกทรงสีเนื้อที่อยู่ปลายเตียงส่งให้ ธัญญ์ชยารีบคว้ามาแอบไว้ในโปงผ้าห่มเพื่อซ่อนสภาพย้วยยาน คนส่งให้ส่ายหน้าก่อนจะเลี่ยงไปยืนกอดอกอยู่ห่างๆ
    “เอาเป็นว่าเคลียร์แล้วนะ ว่าพวกผมไม่ได้ปล้ำคุณ”
    หมอหนุ่มเอ่ยสรุปแล้วทำท่าจะเดินไปทำอย่างอื่น ที่มีประโยชน์กว่าการแก้ตัวกับผู้หญิงไร้สติที่แอบมานอนในห้องเขา
    “ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าพวกคุณไม่ทำอะไรฉัน เสื้อในฉันมันคงไม่กระเด็นหลุดไปจากตัวได้หรอก หนึ่งในพวกคุณนั้นแหละที่ทำ เผลอๆ อาจทำมากกว่าถอดชุดก็ได้ ใครมันจะไปรู้”
     ตำรวจอย่างชาญได้แต่กรอกตา เขาอยากจะบอกว่าตามกฎหมายไทย การที่มีคนบังเอิญเจอโบราณวัตถุตกอยู่ แล้วแก้หีบห่อสกปรกที่หุ้มออก ไม่อาจนับได้ว่ากำลังทำลายโบราณวัตถุชิ้นนั้น แต่หมวดหนุ่มก็ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษเกินกว่าจะพูดออกมา อีกอย่างเรื่องปากหมามันต้องยกให้ หมอสัม ที่จัดหนักชนิดไม่ไว้หน้า
    “ผมไม่รู้หรอกนะว่าผู้ชายคนอื่นเป็นยังไง แต่ผมไม่เคยมีอารมณ์กับกองอ๊วก”
    เพราะคาดคิดไว้ก่อนแล้ว หมวดชาญจึงยกมือขึ้นปิดหูทันก่อนที่เสียงกรีดร้องจะดันลั่นห้อง แต่เพราะว่าวันนี้เสียงกรี๊ดดังกังวานมาหลายรอบแล้ว ข้างห้องที่แสนจะหวังดีจึงมาเคาะประตูถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
    “พี่หมอค่ะ พี่หมอ เกิดอะไรขึ้น เสียงใครร้องน่ะ”
    หมอสัมรีบชี้หน้าให้ตัวก่อเรื่องเงียบเสียง ก่อนจะบุ้ยใบ้ให้ชาญที่อยู่ในชุดเครื่องแต่งกายสภาพดีกว่าเขาไปเปิดประตู หมวดหนุ่มฉลาดพอที่จะวางปืนบนโต๊ะใกล้ๆ เพราะไม่ต้องห่วงแล้วว่าคนแปลกหน้าจะมีพิษมีภัย เขารีบกลัดกระดุมกางเกง แล้วก้มหยิบเสื้อยืดมาสวม ก่อนจะแง้มประตูออกโดยใช้ตัวบังไม่ให้คนที่ยืนอยู่ข้างนอกมองเข้ามาเห็นภายในห้อง
    “อ้าว น้องน้ำนี่เอง สวัสดีครับ”
    นายตำรวจที่มีหน้าเป็นอาวุธทำลายหัวใจ รีบทักทายด้วยน้ำเสียงสดชื่น เมื่อเห็นว่าผู้มาเรียกเป็นชลธิชาหรือน้องน้ำสาวน้อยนักศึกษาข้างห้อง
    “พี่ชาญนี่เอง พี่หมอไปไหนค่ะ ทำไมมีเสียงผู้หญิงร้อง”
    หมวดหนุ่มอึกอักไม่รู้จะบอกความจริงยังไงดี เพราะตัวเขาเองก็ยังลำดับเรื่องไม่ถูกด้วยซ้ำ จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าของห้องต้องตะโกนบอกเอาเอง ในฐานะคนที่ฉลาดกว่า
    “ไอ้หมวดมันบ้าเปิดทีวีเสียงดังน่ะ พี่ปิดแล้วแหละ”
    “ใช่ครับ ขอโทษทีนะ ทีหลังพี่จะไม่ทำอีก”
    ตำรวจรีบเออออตามหมอ พร้อมกับส่งยิ้มกระชากใจให้กับสาวน้อยตรงหน้า ชลธิชามองรอยยิ้มทรงสเน่ห์ของชายหนุ่มด้วยความเขินอาย ก่อนจะขอตัวกลับไปห้องตัวเอง
    พอลับหลังเด็กสาว ชาญเดชรีบปิดประตูแล้วยกมือกุมหัวที่เต้นตุบๆ หมอสัมเห็นอาการเพื่อนก็เดินเข้าไปในส่วนทำครัวแล้วหยิบแก้วใส่น้ำพร้อมด้วยยาเม็ดมาส่งให้
    “เอาไปมึงแก้ยาแก้แฮ๊ง แล้วทีหลังแดกเหล้าให้มันน้อยๆ หน่อย เดี๋ยวกูชงกาแฟแก่ๆ ให้ บ่ายต้องไปเข้าเวรอีกไม่ใช่หรือ”
    หมวดหนุ่มรับมากินพร้อมกับพึมพำขอบใจ ธัญญ์ชยาจ้องท่าทางเป็นห่วงเป็นใยที่หมอสัมมอบให้กับเพื่อนด้วยแววตาสงสัย ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะแวบเข้ามาในหัว
    “พวกคุณเป็นแฟนกันนี่เอง เลยไม่ปล้ำฉัน”
    เสียงพูดเบาๆ แต่ทำเอาหมวดชาญแทบสำลักน้ำ หมอสัมหันขวับอยากจะด่าผู้หญิงสมองกลวงให้จั๊งหนับ แต่ด้วยความที่ไม่อยากเสียเวลาแก้ตัวมากกว่า เลยพูดเป็นการเป็นงานแทน
    “อย่ามาสนเรื่องของพวกผมเลย เอาเป็นว่าคุณจะไปได้หรือยัง หรือว่าจะนอนอยู่บนเตียงของผมอีกนาน ผมจะได้คิดค่าเช่าฟูก”
    สัมมาพูดห้วนๆ เพราะเริ่มง่วงจัดอยากจะนอนเต็มแก่ บอกแล้วว่าอะไรคนอย่างหมอสัมก็ยอมให้ได้ ยกเว้นทำให้อดนอน
    “ฉันไม่ได้เจตนามานอนนะ เมื่อคืนฉันคงเมามากไปหน่อย”
    พูดแล้วธัญญ์ชยาก็รู้สึกปวดหัวจี้ดขึ้นมาบ้าง คนเป็นหมอผ่าศพมานานย่อมสังเกตเห็นจึงเดินกลับไปหยิบน้ำหยิบยามาอีกชุด
    “อันนี้ยาแก้เมา ทานสิ” เมื่อเห็นหญิงสาวลังเล คนใจดีแต่ปากร้ายเลยสำทับเสียงดุ
    “ก็เห็นอยู่ว่าเพื่อนบ้านของผมหูตาไวแค่ไหน ถ้ามีอะไรคุณก็กรี๊ดดังๆ แบบเมื่อกี้ เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเองแหละ”
    ด้วยอาการเหมือนหัวจะระเบิด รวมกับสายตาข่มขู่ของหมอสัม ทำให้ธัญญ์ชยารีบรับยามากินโดยไว ก่อนคนให้ที่ยืนปั้นหน้ายักษ์จะเปลี่ยนใจ เอาน้ำสาดหน้าแล้วเอายายัดปากแทน
    สัมมายืนค้ำหัวมองหน้าคนที่นั่งยังเอ้เต้อยู่บนเตียงนอนของเขาด้วยความสงสัย เพราะจะว่าไปหน้าตาก็ออกจะคุ้นๆ อยู่มิใช่น้อย แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอยัยยับเยินนี่ที่ไหน จนหญิงสาวเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน
    “ฉันอยู่ห้อง613 ว่าแต่ห้องนี้อยู่ชั้นไหน”
    “อยู่ชั้นเดียวกันนั้นแหละ แต่ห้องคุณอยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมจะกลับห้องหรือยังล่ะ”
    หมอปากแมวบอกเรียบๆ ตอนนี้เขานึกได้แล้วว่ายัยทึนทึกนี่อยู่ห้องไหน แต่เนื่องจากหญิงสาวชอบทำตัวเหมือนมนุษย์ล่องหนไม่ค่อยพบปะสังสรรค์กับคนในตึก บวกกับหน้าตาไม่ได้สวยสะนักหนา เขาเลยไม่ได้ให้ความสนใจ เรียกว่าแทบจำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ
    พอได้คำตอบ ธัญญ์ชยาก็พยักหน้าแบบฝืดเฝือนไอ้เดินกลับห้องน่ะได้อยู่ หลังจากได้น้ำไปเลี้ยงสมอง ก็ดูเหมือนว่าร่างกายจะพร้อมทำงานขึ้น แต่จะให้เดินแก้ผ้ากลับห้องมันก็กระไร
    “พวกคุณหันหลังไปหน่อยสิ ฉันจะได้ใส่เสื้อผ้า”
    หญิงสาวบอกอ๋อยๆ หน้าเริ่มแดงด้วยความอับอายที่มานั่งเอาตัวห่อผ้าห่ม อยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้า แถมยังเป็นชายหนุ่มรูปงามถึงสองคน
    “ไอ้ชุดเลอะอ๊วกนั้นน่ะหรอ”
    หมอสัมพูดแล้วเบ้ปากด้วยความขยะแขยงแทน เมื่อคนฟังทำท่าจะร้องไห้ สุภาพบุรุษผู้พิทักษ์สตรีและเด็กจึงกระโดดเข้ามาช่วย
    “เอางี้แล้วกันครับ คุณใส่เสื้อผ้าผมก่อนแล้วกัน”
    ไม่พูดเปล่า หมวดชาญก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อยืดและกางเกงเลมายื่นให้หญิงสาวด้วยท่าทางเป็นมิตร
    “เฮ๊ย...ไอ้ชาญนั้นมันเสื้อผ้ากูนี่นา”
    หมอสัมร้องเสียงหลง ตั้งแต่เขาอยู่คนเดียวโดยปราศจากก้อยภรรยาสาว หมวดชาญก็ถือสิทธิความสนิทมากินนอนห้องเขา ลำพังเพื่อนรักมาอาศัยห้องเป็นโรงแรม แถมใช้ข้าวของส่วนตัวของเขาด้วยยังพอทนได้ แต่การจะเอาไปให้คนอื่นใช้ด้วยอีก นี่มันออกจะเกินไปหน่อยแล้ว
    “เออน่า เดี๋ยวเขาก็เอามาคืนมึงเองแหละ หรือมึงจะใจร้ายให้เขาแก้ผ้ากลับห้อง”
    หมวดหนุ่มหันไปดุเพื่อนที่ยังยืนจังก้าท้าสายตาในกางเกงบ๊อกเซอร์ แน่นอนว่าคนอย่างหมอสัมที่ทั้งเห็นทั้งสัมผัสมาแล้วทุกเพศ ทุกวัย ทุกไซร์ ทุกขนาด ไม่นับอีกด้วยว่าทุกรูปแบบย่อมไม่รู้สึกอายในสภาพกึ่งวันเกิดของตัวเอง คนที่ต้องอายแทนเลยกลายเป็นคนที่เหลือในห้อง แต่เมื่อเพื่อนเตือนและเขาเองก็ใช่จะงกนักหนา ด้วยมนุษยธรรมหมอสัมจึงพยักหน้าแล้วหันหลังไปมองทางอื่น ชาญเดชเองก็ลุกขึ้นยืนหันหลังไปทางเดียวกับเพื่อนพร้อมกับเอ่ยอย่างมีน้ำใจ
    “คุณไปเปลี่ยนในห้องน้ำก็ได้นะครับ สะดวกกว่า”
    หญิงสาวคนเดียวในห้องรีบผุดลุกคว้าเสื้อผ้าวิ่งเข้าห้องน้ำ โดยไม่ลืมหยิบเสื้อยกทรงติดไปด้วย แต่ดันลืมที่จะพันผ้าห่ม ผลคือสองหนุ่มที่หันไปทางทีวีจอแก้วสีดำมองเห็นภาพสะท้อนทุกอย่างเต็มๆ
    “มีดีกว่าที่คาด” หมอสัมพึมพำกับตัวเอง จนเพื่อนอดที่จะศอกใส่ไม่ได้
    “รักษามารยาทหน่อยมึง เขาผู้หญิงนะโว๊ย”
    ตำรวจออกปากเตือนหมอให้ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ทั้งที่ตาของตัวเองยังจ้องไม่เลิก แม้ว่าร่างของหญิงสาวจะลับหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็ตาม
    “ไม่เห็นจะเสียมารยาทตรงไหน นี่กูก็นุ่งกางเกงในอยู่ตัวเดียว เขาก็นุ่งกางเกงในตัวเดียวเท่ากัน กูยืนให้เขามองตั้งนาน เห็นไหมว่าไม่มีใครเสียเปรียบใคร”
    ชาญเดชฟังเพื่อนเสร็จก็ทำหน้าปูเลื่อน ไม่รู้ว่าจะขำหรือจะโศกดี ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายแก้ผ้าแก้ผ่อนอยู่คนเดียว
    “เหี้ยเอ๊ย งั้นกูก็เสียเปรียบสินะ”
    คนไม่เสียเปรียบขำก๊าก แล้วเลยไปบ่นคนข้างๆ ยืดยาวเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเมียตำรวจมาตลอดชีวิต
    “ก็กูบอกแล้วให้มึงใส่อะไรนอนบ้าง จะได้ไม่อุจาดตา มึงก็ไม่เชื่อกู ยังจะแก้ผ้ามานอนกับกูอยู่ได้ รู้ไหมว่าเช้าๆ กูตื่นมาเห็นมึงเคารพธงชาติ กูเครียดแค่ไหน”
    หมอสัมหันด่าเพื่อนเสียงเขียว ชาญเดชถือว่าเป็นผู้ชายด้วยกัน จึงนอนแก้ผ้าแบบไม่เกรงอกเกรงใจเจ้าของห้อง ทำให้สัมมาต้องเป็นฝ่ายอดทนกับปฎิกิริยาทางธรรมชาติของเพื่อน ที่เกิดขึ้นทุกๆ เช้าแทน
    “กูก็อยากใส่ แต่อากาศมันร้อนแผลกูมันแสบๆ ตึงๆ”
    ชาญเดชไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อ ว่าแผลอะไรแต่เพื่อนก็เข้าใจได้เอง ว่าแผลเป็นบริเวณหลังและสะโพก ที่หมอศัยกรรมเอาเนื้อเยื่อไปปลูกถ่ายตรงที่เป็นแผลไฟลวก มีอาการไม่ดีนักเมื่อเจอกับสภาพอากาศ จึงเปลี่ยนเรื่องไปเป็นอย่างอื่นแทน
    “มึงรีบต้อนยัยเบื้อกนั้นไปส่งให้ถึงห้องเลยนะ กูจะได้นอนเสียที เคลียร์งานที่แล๊ปมาหลายวันแล้ว กูเหนื่อย”
    หมอสัมพูดเสร็จก็ล้มตัวลงไปนอนกลางเตียงเสียดื้อๆ ก่อนจะคว้าหมอนอีกใบมาปิดหน้าเป็นเชิงห้ามเถียง ไม่สนใจเพื่อนที่อ้าปากค้าง
    ตำรวจมองหมอแล้วส่ายหน้าดิก เป็นที่รู้กันว่าถ้าสัมมาจะนอนใครก็อย่ามากวนใจไม่งั้นโดนด่าเจ็ดวันไม่ซ้ำคำ เขาหันมองทางห้องน้ำก็พอดีกับที่ร่างเล็กๆ ของคนร่วมเตียงเมื่อคืนโผล่ออกมา
    “คุณเห็นแว่นตาของฉันมั้งไหม...ค่ะ”
    ธัญญ์ชยาถามก่อนจะนึกขึ้นได้ควรลงท้ายว่าค่ะ เพื่อความสุภาพ เพราะคนที่ยืนรออยู่เป็นคนที่เห็นได้ชัดว่ามีนิสัยพูดเพราะและเป็นมิตรไม่น้อย
    “แว่นตาของคุณหรือครับ ผมไม่เห็นนะ”
    ตำรวจมากน้ำใจสอดส่ายสายตาช่วยมองหาแว่นให้หญิงสาว ก่อนจะเหยียบบางอย่างเข้าเต็มๆ เท้า
    “กร๊อบ”
    “เอ้อ...ผมว่ามันคงไม่น่าจะใช่ได้แล้วล่ะ”
    พูดเสร็จนิ้วเรียวยาวก็คีบซากที่เคยชื่อว่าแว่นตา มาส่งคืนให้เจ้าของที่มองตาปริบๆ ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณที่ช่วยหา หรือว่าด่าที่เหยียบเป็นชิ้นๆ
    “ผมขอโทษนะครับ มันราคาเท่าไหร่ล่ะ เดี๋ยวผมจ่ายคืนให้”
    ประโยคหลังหมวดชาญกัดฟันพูดด้วยจิตใต้สำนึกที่สั่งสอนให้รู้จักรับผิดชอบ ธัญญ์ชยาส่ายหน้าบอกปฏิเสธทั้งที่กรอบแว่นอันนั้นรวมเลนท์มีราคาร่วมหมื่นได้ แต่เธอไม่กล้าขูดรีดเงินจากชายหนุ่มรูปหล่อที่ยืนยิ้มละห้อยตรงหน้า
    ชาญเดชหันไปหยิบถุงพลาสติกส่งให้หญิงสาวใช้จัดเก็บชุดกระโปรงที่ตกอยู่ข้างเตียง โดยไม่ช่วยหยิบให้ เนื่องจากรู้ดีว่าไอ้เสื้อผ้าเหล่านั้นมันชุ่มไปด้วยอะไร ธัญญ์ชยากวาดตามองรอบห้องแต่ไม่เจอกระเป๋าสะพาย จึงได้ข้อสรุปว่ามันน่าจะหายไปตั้งแต่เมื่อคืนพร้อมสติสัมปชัญญะ
    เมื่อเรียบร้อย หมวดหนุ่มก็ต้อนสาวโทรมสุดๆ กลับไปส่งที่ห้องตรงข้าม แล้วพบว่าเพื่อนบ้านประมาทขนาดเก็บกุญแจห้องไว้ในตู้จดหมาย ตำรวจอย่างชาญแอบส่ายหน้าแต่เมื่อเจ้าของห้องหันมามอง ก็รีบฉีกยิ้มพร้อมกับกล่าวลาด้วยความสุภาพ ก่อนจะหันหลังเข้าห้องฝั่งตรงข้าม แล้วกระโจนขึ้นเตียงนอนไปอยู่ข้างๆ หมอสัมที่หลับอุตุไม่สนใจใคร
    ก่อนเข้าสู่ห้วงนิททรา หมวดชาญก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ว่าทั้งเขาและสัมมา รวมถึงผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้น ไม่มีใครแนะนำตัวเองเลย แต่จะว่าไปหากไม่คิดว่าจะเจอหน้าอีกฝ่ายซ้ำสอง ไม่ว่าใครก็คงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องแนะนำตัวให้อีกฝ่ายรู้ชื่อ พอได้ข้อสรุปหมวดหนุ่มก็นอนหลับสนิทโดยไม่ยอมถอดเสื้อผ้าออกจากตัวแม้แต่ชิ้นเดียว
    To be continue. 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×