ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คำสารภาพของฆาตกร ภาค2 (The Memory)

    ลำดับตอนที่ #28 : ความทรงจำในวัยหนุ่ม 28ปี (เงานางฟ้า)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 431
      18
      15 มิ.ย. 54

     ตอนที่ 27 ความทรงจำในวัยหนุ่ม
    28 ปี (เงานางฟ้า)
               
                 “ธัญญ่ามาส่งของให้ที่ทำงานหรอ”
                 จากอาการสะดุ้งด้วยความตกใจ ทำให้ฉันรู้ว่าธัญญ่าไม่เห็นว่าฉันมายืนอยู่ใกล้ๆ ฉันยิ้มตอบรอยยิ้มที่ฝืดเฝือนของเธอ จากสีหน้านั้นทำให้ฉันแน่ใจว่าธัญญ่ารู้เรื่องคดีที่ฉันเคยทำ ไม่สิ ต้องบอกว่าคดีที่พวกพี่ชาญสงสัยว่าฉันทำแต่ขาดหลักฐาน
                “เปล่า ธัญญ่ามาส่งของให้พี่ของธัญญ่าน่ะ”
                คำว่าพี่ทำให้ใจฉันเต้นผิดจังหวะเลยทีเดียว ฉันต้องเรียกสติที่กระจัดกระจายไปเพราะภาพของพี่ฟ้ากลับคืนมา ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ดูปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
                “พี่ของธัญญ่าอยู่ที่ต่างจังหวัดกับแม่หรอ”
                “ไม่ค่ะ พอดีพี่เขาอยู่ที่สถานปฎิบัติธรรมน่ะ”
                “เขาบวชหรอ”
                ฉันถามด้วยเสียงที่ร้อนรนขึ้น แต่ธัญญ่าคงไม่ทันสังเกต จึงตอบคำถามด้วยรอยยิ้มตามปกติของเธอ
                “แค่ทำงานการกุศลน่ะ พี่เขาชอบทำ ไปๆ มาๆ เลยอยู่ช่วยงานเป็นการถาวร ไม่ยอมกลับบ้านอีกเลย แต่เขาก็มีความสุขมากเลยนะที่ได้ช่วยคน ธัญญ่ากับแม่ก็พลอยมีความสุขไปด้วย”
                ธัญญ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความภูมิใจ และฉันไม่แปลกใจเลยที่ได้ยินว่าพี่ฟ้าทำงานแบบนี้  เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกันพี่ฟ้าพูดเสมอว่าอยากทำงานเพื่อสังคม
                “เขาทำงานทุกวันเลยนะ ที่นั้นคนช่วยน้อยด้วยมั้ง เขาต้องทำจิปาถะสารพัดหาเวลาว่างไม่ได้เลย ถ้าจะออกมาหาญาติก็คงต้องรอวันเผาธัญญ่าน่ะแหละ”
                ประโยคล้อเล่นนั้นจุดความคิดบางอย่างในสมองของฉัน ประจวบกับที่ธัญญ่าเหลือบเห็นสายตาของฉันพอดี เธอก้าวถอยหลังออกห่าง และทันใดก็มีคนก้าวเข้ามาแทรกระหว่างเรา
                “คุยอะไรกัน”
                เสียงพี่ชาญเย็นเยียบชนิดที่ถ้าเป็นคนประสาทอ่อนคงต้องวิ่งหนี แต่ฉันฝึกตัวเองมานานพอที่จะยิ้มให้ด้วยท่าทางสบายๆ ฉันรู้ว่าถ้าทำได้พี่ชาญคงจะหากรงมาขังฉันแล้วเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนสักที่ ที่ห่างจากตัวธัญญ่ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้
                “คุยเรื่องของพี่สาวธัญญ่าน่ะ”
                “พี่สาวหรอ”
                ธัญญ่าทวนคำด้วยความแปลกใจ ฉันถึงรู้ตัวว่าพลาด แต่ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก เจนก็เดินเข้ามาร่วมวงพอดี
                “เจนส่งพัสดุเสร็จแล้วค่ะ”
                “พี่ชาญ ธัญญ่า นี่เจนแฟนผมครับ”
                รอยยิ้มเป็นมิตรกลับมาสู่ใบหน้าของธัญญ่า ในขณะที่พี่ชาญมีท่าทางผ่อนคลายลง ทั้งหมดคุยกันสักพัก โดยที่เจนไม่ถามว่าทำไมพี่ชาญกับธัญญ่าถึงไม่เรียกฉันว่ายักษ์ แต่ตลอดเวลานั้นพี่ชาญยืนอยู่ในจุดที่ขวางระหว่างฉันกับธัญญ่าตลอดเวลา เขาคงคิดว่าจะปกป้องคนรักของตัวเองได้ แต่เขาคงไม่ทันคิดว่าต้องมีเวลาที่เขาจะพลาด เหมือนกับที่พี่สัมเคยพลาดเรื่องก้อยมาแล้ว
    ............................
    2 ปีก่อนหน้านี้
                แผ่นหลังฉันแสบร้อนจากรอยแผลไฟไหม้ มันก็แค่รอยเล็กๆ ที่บังเอิญโดนรอยเก่าที่ฉันได้รับตอนอายุสิบหก รอยแผลแห่งฝันร้าย รอยแผลที่เจ็บแสบมากในเวลานี้
    วันนี้ฉันอยู่ในอารมณ์อยากตะโกนอยากด่าทอ อยากทำอะไรก็ได้ให้ลืม ลืมอดีต ลืมความเจ็บปวด ลืมฝันที่ครอบคลุมฉันมาหลายเดือน กว่าครึ่งปีที่ฉันเข้าไปช่วยพี่ชาญออกจากห้อง วันนั้นมันเป็นวันมหาวินาศในความคิดฉัน เริ่มจากการทำหน้าที่อาสาสมัครแบบชั่วคราวดึงฉันไปสถานที่เกิดเหตุโดยไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมเช่นเคย พี่สัมที่กำลังรีบร้อนเข้าไปช่วยเพื่อนจนลืมระวังอันตราย และการระเบิดติดต่อกันที่ไม่มีใครคาดคิด ฉันกำลังเข้าไปช่วยผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้ทีหลังว่าเป็นคนรักของพี่ชาญและตายไปแล้วจากการยิงตัวเอง แต่ขณะนั้นฉันไม่รู้เรื่องเหล่านั้น ฉันรู้แค่เพียงว่าผู้หญิงคนหนึ่งติดอยู่ท่ามกลางกองไฟ และฉันต้องเอาเธอออกมา
    ระยะหลังฉันฝันร้ายถึงเหตุการณ์นั้นบ่อยครั้ง ฝันถึงร่างหญิงสาวที่กำลังติดไฟ ร่างที่กำลังมอดไหม้โดยที่ฉันช่วยเหลือไม่ได้ เพราะร่างของฉันติดอยู่ภายใต้ซากปรักหักพัง และฝันที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นเมื่อคืน ฉันเห็นร่างที่ไหม้ไฟค่อยๆ กลายเป็นร่างของพี่ฟ้า และมือของฉันที่เอื้อมไปไม่ถึงเธอ
                มือของฉันกำพวงมาลัยแน่นขึ้นขณะที่หัวสมองกำลังคิดว่าควรเลี้ยวกลับออกจากหน้าคอนโดดีหรือไม่ คืนนี้ฉันควรออกไปหาอะไรทำดีกว่าอยู่กับเพื่อนๆ แล้วฝืนทำหน้ายิ้มแย้ม แต่จากหางตาฉันเห็นร่างหนึ่งกำลังเดินออกไปพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง
                “ก้อยจะไปไหนน่ะ”
                แสงจากป้อมยามสะท้อนรอยน้ำตาบนหน้าเธอ ฉันรีบถอยรถก่อนจะเลี้ยวไปจอดเทียบด้านข้างก้อย
                “ขึ้นมาสิเดี๋ยวไปส่ง ดึกแล้วมันอันตราย”
                ก้อยลังเลแค่แวบเดียว และฉันไม่คิดว่ามันมาจากการที่เธอไม่เชื่อใจฉัน เรารู้จักกันมานาน เพราะพี่สัมอยากให้แฟนสนิทกับกลุ่มเพื่อน แต่ก้อยไม่ชอบสุงสิงกับพวกเรานัก ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยถ้าดูจากนิสัยชอบเที่ยวชอบกินเหล้าของพวกเรา
                “จะไปไหนหรอ”
                ฉันถามขณะที่เธอก้าวขึ้นรถมานั่งข้าง
                “ไปหาแม่ จอดหน้าปากซอยก็พอ เดี๋ยวก้อยต่อแท๊กซี่เอง”
                เสียงของก้อยแหบแห้ง ฉันคิดว่าน่าจะมาจากการร้องไห้เธอหันไปทางด้านอื่น เพื่อไม่ให้ฉันเห็นสีหน้าและแววตาของเธอ
                “ไม่เป็นไร กำลังเบื่อๆ อยากขับรถเล่นอยู่พอดี”
                ฉันหาข้ออ้างเพื่อไปส่ง แต่ก้อยก็ไม่ยอมแม้แต่จะหันมาคุยด้วย ฉันคิดว่าควรพูดอะไรออกไป เผื่ออย่างน้อยเธอจะได้ใจเย็นลงบ้าง
                “ทะเลาะกับพี่สัมมาหรอ”
                ไหล่ของก้อยเกร็งขึ้น ฉันรู้ดีว่าไม่ควรจะพูดต่อ แต่ก็ไม่อาจห้ามปากของตัวเองได้
                “ก้อยอย่าโกรธเรื่องพี่ชาญเลย เขาสนิทกันมานานเป็นสิบปี พี่สัมเขาก็ต้องห่วงเพื่อนเขาเป็นธรรมดา”
                “จอดตรงนี้เลย”
                เสียงก้อยตวาดแว้ด จนฉันเริ่มหงุดหงิดบ้าง
                “โอเคไม่พูดก็ได้ บอกมาสิว่าจะไปไหน เดี๋ยวไปส่ง”
                “บอกให้จอดไง ก้อยจะลง ก้อยไม่อยากฟังเพื่อนพี่สัมคนไหนทั้งนั้น”
                ไม่พูดเปล่า มือของก้อยเอื้อมไปยังที่เปิดประตู ฉันรีบหักรถลงข้างทาง ก่อนที่ก้อยจะทำอะไรแบบไม่คิดด้วยความโกรธ แต่เหตุการณ์ยิ่งแย่ลงเมื่อก้อยฉวยโอกาสนั้นเดินลงไปจากรถ ทั้งที่สองข้างทางมีแต่ป่าละเมาะกับที่ดินรกร้าง ฉันตามลงไปทันทีเพื่อพยายามเกลี่ยกล่อมให้เธอใจเย็นลง
                “อย่าทำอย่างนี้สิ ก้อยรู้ไหมว่ามันอันตราย”
                “จะไปไหนก็ไป อย่ามายุ่งเรื่องของก้อย”
                ก้อยเดินไปเรื่อยๆ ท่าทางของเธอไม่สนใจเลยสักนิด ว่ารอบตัวมีแต่ความมืด ฉันทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเดินตาม และพยายามเกลี่ยกล่อมให้เธอกลับไปที่รถ
                “ไม่ยุ่งได้ยังไงล่ะ พี่สัมเป็นเพื่อนผมนะ ถ้าเขารู้ว่าปล่อยให้ก้อยเดินไปคนเดียว ผมแย่แน่”
                “คำก็เพื่อนสองคำก็เพื่อน พวกผู้ชายนี่เพื่อนสำคัญสุดเลยใช่ไหม ไม่มีเพื่อนแล้วจะตายเลยหรือไง งั้นก็ไปตายด้วยกันซะเลยสิ”
                “โธ่เอ๊ย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ ไปได้แล้วกลับขึ้นรถ”
                ฉันเอื้อมมือไปที่กระเป๋าเดินทางใบเล็ก อย่างน้อยถ้าไม่มีของก้อยก็คงยอมกลับ แต่เธอกระชากกลับเต็มแรง
                “ไม่ อย่ามายุ่งกับก้อยนะ จะไปไหนก็เรื่องของก้อย ไม่ใช่เรื่องของ ว้าย...”
                เสียงร้องด้วยความตกใจของก้อยดังขึ้น เมื่อฉันปล่อยมือจากกระเป๋าทำให้เธอที่กำลังยื้อแย้งเซถลา ฉันคว้าต้นแขนของก้อยก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น ทำให้แขนเธอโอบไหล่ของฉันด้วยสัญชาติญานพร้อมเล็บแหลมๆ ที่จิกลงบนหลังฉันตรงกับรอยแผลที่กำลังเจ็บพอดี
                “โอ๊ย”
                จากมือที่จับเปลี่ยนเป็นผลักให้พ้นออกจากตัว คราวนี้ร่างก้อยกระแทกเข้ากับพื้นด้วยความแรงที่มากกว่าการหกล้ม
                “จะบ้าหรอมันเจ็บนะ”
                “ผมขอโทษ ผมไม่ตั้งใจ ผม...”
                ฉันลืมไปว่าจะพูดอะไรต่อเมื่อเห็นขาในรองเท้าคัทชูสีขาวกำลังถอยหนีไปจากฉัน มือของฉันคว้าข้อเท้านั้นโดยอัตโนมัติ
                “พี่ฟ้าจะไปไหนน่ะ”
                “ทำอะไร ปล่อยนะ”
                พี่ฟ้าดึงขาหนี แต่ฉันยื้อเอาไว้
                “ไม่ปล่อย ถ้าผมปล่อยพี่ฟ้าก็จะไป”
                เท้าอีกข้างที่เป็นอิสระถีบเข้าที่ท้องของฉัน ในจังหวะที่ฉันตกใจจากความเจ็บปวด ร่างของพี่ฟ้าก็พลิกตัวหนี แต่ฉันว่องไวกว่าจึงสามารถตะครุบตัวเธอคว่ำลงกับพื้น เสียงกรีดร้องดังขึ้น มือของฉันเอื้อมมือไปปิดปากของเธอก่อนที่ใครจะมาพบและพาเธอไปจากฉัน ร่างของเธอดิ้นรนสุดฤทธิ์ทำเอาเราทั้งคู่พลิกตัวกลิ้งเข้าไปในป่าข้างทาง
                “อย่าดิ้นสิ ผมจะไม่ทำร้ายพี่ ผมสัญญา”
                คำพูดเหล่านั้นทำให้พี่ฟ้านิ่งเงียบอยู่ใต้ร่างฉัน แขนของฉันจึงคลายออก แต่แล้วเธอก็ศอกหลังเข้าที่ท้องฉันอีก ก่อนจะกัดมือที่กำลังปิดปากเธอเต็มแรง
                “โอ๊ย”
                เมื่อดิ้นหลุดพี่ฟ้าก็วิ่งหนีอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอจึงวิ่งลึกเข้าไปในป่าละเมาะ ด้วยความรกเรื้อ ไม่กี่นาทีฉันจึงจับตัวเธอได้อีกครั้ง คราวนี้ฉันไม่ยอมพลาดอีก สองมือของพี่ฟ้าถูกรวบเหนือหัวขณะที่ฉันกดทับอยู่เหนือตัวเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังดิ้นรนต่อสู้
                “ปล่อยนะ ฉันจะไปหาพี่สัม”
                “ไม่ ผมไม่ปล่อย พี่เป็นของผมนะ”
                ใบหน้าของพี่ฟ้าแสดงความกลัวออกมา แต่เสียงของเธอไม่สั่นแม้แต่น้อย
                “แกจะบ้าหรือไง ฉันเป็นเมียพี่สัมนะ”
                “ไม่ พี่เป็นของผม ต่อไปพี่จะเป็นเมียผมเท่านั้น ผมจะไม่ให้พี่ไปนอนกับใครอีกแล้ว”
                พี่ฟ้าเหมือนรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ เธอพยายามดิ้นรนหนักขึ้น แต่มันก็ทำได้เพียงให้ฉันมีอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น แค่มือเดียวฉันก็สามารถรวบจับข้อมือทั้งสองข้างของเธอได้แล้ว เหลืออีกมือหนึ่งเพื่อกระชากเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ออก
                “อย่าทำฉันเลย ฉันท้องอยู่นะ”
    “ว่าไงนะ”
    “ฉันท้องลูกของพี่สัมอยู่”
    “เพี๊ยะ”
    ฉันปล่อยมือที่กำลังจับข้อมือเธอแล้วตบไปที่หน้าขาวๆ เต็มเหนี่ยว
    “สารเลว”
    “เพี๊ยะ”
    “ไหนพี่ว่าจะไม่มีลูกอีกไง”
    “เพี๊ยะ”
    “ไหนพี่ว่าพี่จะอยู่คนเดียว จะไม่มีใครแล้วไง”
    “ปึ๊ก”
    ฉันจบแต่ละคำด้วยฝ่ามือ จนเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงต่อยลงไปที่ท้องของพี่ฟ้าเต็มแรง ร่างของพี่ฟ้างอด้วยความเจ็บ มันยิ่งทำให้ฉันย้ำหมัดลงไปอีก
    “ปึ๊ก ปึ๊ก ปึ๊ก”
    “ผมไม่ปล่อยพี่ไปให้ใคร ผมจะเอาไอ้เด็กนี่ออก พี่เป็นของผม ผมไม่แบ่งพี่ให้ใครทั้งนั้น พี่ต้องมีผมคนเดียว”
    “พอ...พอ....”
    เสียงของพี่ฟ้าแทรกขึ้นมาทำให้ฉันชะงักมือ เพื่อมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความเจ็บปวดของเธอ
    “ฉันเปล่าท้อง อย่าทำฉัน ฉันขอโทษ”
    “ผั้ว”
    คราวนี้กำปั้นของฉันกระทบหน้าพี่ฟ้าเต็มแรงด้วยโทสะ
    “พี่โกหกผมหรอ พี่เห็นคนอื่นดีกว่าผมใช่ไหม”
    พี่ฟ้าส่ายหน้าพยายามจะหนีแต่ร่างของฉันหนักเกินกว่าที่เธอจะผลักไปพ้นตัว และยิ่งเธอดิ้นมันก็ยิ่งปลุกความดิบเถื่อนในตัวฉัน
    “ต่อไปนี้ผมจะทำให้พี่จำว่าพี่เป็นของผม ผมจะไม่ปล่อยพี่ไปอีก”
    ฉันพูดให้พี่ฟ้าฟัง ในขณะที่เอื้อมมือไปยังกระเป๋ากางเกงด้านหลัง แล้วดึงเอากระเป๋าเงินที่ใส่ถุงยางไว้ออกมา
    “ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะไม่ปล่อยให้พี่ท้องหรอก เพราะพี่เป็นของผมคนเดียว ผมจะไม่แบ่งพี่กับใครทั้งนั้น”
    แม้ว่าจะได้ยินเสียงพี่ฟ้ากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากการที่ฉันโถมทะยานเข้าไปในตัวเธอ แต่ฉันก็รู้สึกยินดีที่ได้กลับมาอยู่ตรงนี้อีกครั้ง ที่ที่เป็นของฉัน ที่ที่ฉันควรอยู่
    ฉันตอกย้ำพี่ฟ้าในทุกวิถีทางที่นึกออก ตอกย้ำมันลงไปในจิตวิญญานของเธอให้เธอรู้ว่าใครเป็นเจ้าของเธอ ฉันทำแม้แต่ชกจนเธอสลบเพื่อย้อนไปเอาอุปกรณ์ป้องกันการตั้งครรณ์ในรถ แต่ถึงจะผ่านไปหลายครั้งหลายหน แต่สองคำที่ฉันได้ยินจากปากพี่ฟ้ามีแค่
    “ช่วยด้วย”
    และ
    “พี่สัม”
    จนแสงสว่างของดวงอาทิตย์ส่องเข้ามา ฉันรู้สึกตัวว่ากำลังซบอยู่กับทรวงอกที่มีเสียงเต้นแผ่วเบาของหัวใจ เมื่อลุกขึ้นฉันมองเห็นอักษรเอสที่เกี่ยวกระหวัดอักษรเคเอาไว้ ฉันมึนงงเมื่อคิดว่ามันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร แต่เสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามาในความคิดฉัน
    “พี่สัม...ช่วย...ด้วย...”
    กระแสเย็นเยียบครอบงำทั้งตัวและหัวใจของฉัน เมื่อนึกภาพแผ่นอกกว้างที่มีรอยสักรูปตัวเคเกี่ยวกระหวัดกับตัวเอส
    “เจ๋งไหมมึง หลักฐานแสดงความรักของกูกะก้อย”
    “บ้าไปแล้วมึงยังไม่ทันแต่งก็หงอแล้ว”
    “ไม่ได้หงอโว๊ย มันแปลว่ากรรณิการักสัมมา รู้เปล่าก้อยก็แอบกูไปสักด้วยนะ เขาเอามาอวดว่าเลียนแบบที่กูสัก แต่เป็นคำว่า...”
    “สัมมารักกรรณิกา”
    ฉันพูดออกมาเหมือนละเมอ ในขณะที่มือเอื้อมไปแตะรอยสักนั้น มันแผดเผาจากปลายนิ้วของฉันไปถึงหัวใจ และยิ่งเจ็บมากขึ้นเมื่อเห็นดวงตาที่บวมช้ำจากการน้ำตาและการถูกทุบตีของก้อย ฉันมองไปทั่วตัวเธอที่ยับเยินและเต็มไปด้วยร่องรอยของความรุนแรง ฉันไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ไม่รู้จะเอาหน้าที่ไหนไปสู้หน้าพี่สัม เขาต้องฆ่าฉันแน่
    “ก้อยผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ”
    น้ำตาของฉันหยดบนหน้าเธอ หยดลงบนมือของฉันที่รวบลำคอของเธออยู่ ฉันอยากให้มันจบลงไปโดยเร็ว แต่มันเหมือนผ่านไปเนิ่นนาน โดยเฉพาะเมื่อเห็นริมฝีปากของเธอขยับเหมือนจะพูดคำสุดท้ายออกมา คำที่ดูคล้ายคำว่า
    พี่สัม
    ......................
                “แหวนสวยดีนี่เจน”
                เจนยิ้มอย่างเอียงอายเมื่อได้ยินธัญญ่าชมแหวนที่ฉันให้ ฉันฝืนยิ้มตาม มันดีพอที่จะทำให้พี่ชาญยิ้มไปด้วย แต่แววตาที่ยังคมปลาบบอกให้รู้ว่ามีอีกหลายเรื่องที่พี่ชาญยังต้องการคำตอบจากฉัน มือข้างซ้ายของพี่ชาญอยู่บนไหล่ของธัญญ่า และฉันคิดว่าหัวใจของพี่ชาญคงจะอยู่ใกล้ศรีษะของคนที่พี่ชาญรัก ฉันมองท่าทางที่พี่ชาญยืนคั้นระหว่างฉันกับธัญญ่า และมองไปยังมือของพี่ชาญที่ปราศจากแหวน มันทำให้ฉันนึกออกว่าตอนนี้แหวนที่พี่ชาญเคยใส่อยู่ที่ไหน
                ขณะที่ฉันจูงมือเจนที่สวมแหวนของพี่ฟ้าและบอกลาคนทั้งคู่ ฉันยังเห็นพี่ชาญพยายามกันธัญญ่าให้อยู่ไกลฉันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันไม่สำคัญหรอก เพราะฉันจะทำทุกอย่างให้ได้ในสิ่งที่ฉันต้องการ สิ่งที่เรียกว่าพี่ฟ้า และมีบางสิ่งจะช่วยพาเธอกลับมาหาฉัน บางสิ่งที่เรียกว่า ความตายของธัญญ่า
     To be continue.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×